ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 107 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 2121 - 2140 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2121 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การจัดทำความตกลงทางการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปที่จะมีผลกระทบต่อการเข้าถึงยา" | สสป | 31/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การจัดทำความตกลงทางการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปที่จะมีผลกระทบต่อการเข้าถึงยา" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยสภาที่ปรึกษาฯ เห็นว่าการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปเป็นการจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง มีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน และงบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ จึงมีความเห็นและข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล สรุปได้ ดังนี้
๑. จัดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อ (ร่าง) กรอบการเจรจาฯ อย่างทั่วถึงก่อนเสนอให้รัฐสภาพิจารณา ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศกำหนดให้ (ร่าง) กรอบการเจรจาฯ ระบุอย่างชัดเจนให้ระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาต้องไม่เกินไปกว่าความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการค้าขององค์การการค้าโลก กฎหมายไทย หรือความตกลงใด ๆ ที่ไทยเป็นภาคีอยู่ ๓. ให้รอผลการประเมินผลกระทบทางสุขภาพกรณีศึกษาผลกระทบจากข้อตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรปต่อการเข้าถึงยา ที่อยู่ระหว่างการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการกำหนดแนวทางในการเจรจาที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ ๔. ให้มีการศึกษาเปรียบเทียบผลดีผลเสียในภาพรวมทางเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน เพื่อนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษาไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการเจรจา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลดีผลเสียด้านสวัสดิการของเกษตรกร แรงงาน และผู้มีรายได้น้อย
|
|||||||||||||||||||||
2122 | หนังสือแลกเปลี่ยนรับรองการปรับแก้ไขความคลาดเคลื่อนภายใต้ภาคผนวก 2 ของความตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นไทย - นิวซีแลนด์ | พณ | 31/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการร่างหนังสือแลกเปลี่ยน (Exchange of Letters) รับรองการปรับแก้ไขความคลาดเคลื่อนภายใต้ภาคผนวก ๒ ของความตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นไทย-นิวซีแลนด์ (TNZCER) มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขความคลาดเคลื่อนของการพิมพ์กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าเฉพาะรายสินค้า (Product Specific Rule : PSR) ภายใต้ภาคผนวก ๒ ของความตกลงฯ รวม ๑๓ แห่ง สำหรับสินค้าทั้งหมด ๒๙ รายการ โดยความคลาดเคลื่อนทั้งหมดมีสาเหตุมาจากการพิมพ์ผิด แบ่งเป็น ๓ ลักษณะ ได้แก่ การพิมพ์เลขพิกัดอัตราศุลกากรผิด จำนวน ๘ รายการ การพิมพ์ตก จำนวน ๑๗ รายการ และการพิมพ์ผิด จำนวน ๔ รายการ ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจ (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับเรื่องนี้ไปตรวจสอบรายละเอียดร่วมกับกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ชัดเจนถูกต้อง แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||
2123 | โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2555/56 | พณ | 31/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินการ ข้อเท็จจริง และความเห็นในการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๕/๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานกรรมการนโยบายมันสำปะหลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๕/๕๖ ปริมาณการรับจำนำ ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๕-๒๑ มีนาคม ๒๕๕๖ รวมทั้งสิ้น ๘,๙๖๖,๐๘๒ ตัน แยกเป็น ลานมัน ๕,๕๖๗,๐๑๑ ตัน และโรงแป้ง ๓,๓๙๙,๐๗๒ ตัน คิดเป็นร้อยละ ๖๒ และ ๓๘ ตามลำดับ โดยออกใบประทวนให้เกษตรกร ๓๒๗,๒๕๐ ใบ แยกเป็น ลานมัน ๑๕๑,๗๔๔ ใบ โรงแป้ง ๑๗๕,๕๐๖ ใบ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้จ่ายเงินให้เกษตรกรแล้ว (ณ วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๖) ๑๒๓,๗๔๘ สัญญา จำนวนเงิน ๑๖,๙๓๓.๑๓ ล้านบาท ทั้งนี้ คงเหลือปริมาณที่รับจำนำได้ตั้งแต่วันที่ ๒๒-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๑,๐๓๓,๙๑๘ ตัน จากเป้าหมายรับจำนำหัวมันสด ๑๐ ล้านตัน โดยปริมาณการรับจำนำตั้งแต่เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เฉลี่ยวันละ ๐.๑๕-๐.๒ ล้านตัน และในช่วง ๑๐ วันสุดท้ายก่อนสิ้นโครงการฯ (วันที่ ๒๒-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖) คาดว่าจะมีปริมาณมันสำปะหลังที่เข้าสู่โครงการฯ ประมาณ ๒.๐ ล้านตัน ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายรับจำนำ ดังนั้น เพื่อให้การรับจำนำเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสามารถดำเนินการได้ครบกำหนดระยะเวลาโครงการฯ จึงได้กำหนดปริมาณโควตารับจำนำให้แก่จุดรับจำนำรวม ๐.๙๖ ล้านตัน ๑.๒ จากกรณีการชุมนุมกดดันเพื่อเรียกร้องให้พิจารณาขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ ออกไปอีก ๑-๒ เดือน เพื่อให้ครอบคลุมปริมาณผลผลิตที่จะเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ๒๕๕๖ จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่ พบว่า ปริมาณผลผลิตมันสำปะหลังส่วนใหญ่ได้ออกสู่ตลาดไปแล้วประมาณร้อยละ ๗๒ คิดเป็นปริมาณผลผลิต ๑๙.๒๓ ล้านตัน จึงยังคงมีปริมาณผลผลิตที่ยังคงเหลือจำนวนไม่มาก และแนวโน้มราคาตลาดมีการปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดู ประกอบกับตลาดส่งออกยังคงมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอุตสาหกรรมเอทานอลยังคงมีความต้องการดูดซับมันสำปะหลัง เพื่อผลิตเอทานอลในปริมาณที่สูงขึ้น ดังนั้น หากผลักดันให้อุตสาหกรรมเอทานอลดูดซับมันสำปะหลังมากขึ้นจะเป็นการสร้างความมั่นใจและเป็นทางเลือกในการจำหน่ายผลผลิตให้กับเกษตรกร จึงเห็นควรยืนยันกำหนดเป้าหมายรับจำนำที่ ๑๐ ล้านตัน และกำหนดสิ้นสุดระยะเวลารับจำนำปี ๒๕๕๕/๕๖ ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งดำเนินการระบายผลผลิตมันสำปะหลังและการประสานหารือกับกระทรวงพลังงานในการขยายปริมาณระบายมันสำปะหลังเพื่อนำไปผลิตเอทานอลให้เพิ่มมากขึ้น และกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวางแผนเชื่อมโยงการผลิตและการตลาดมันสำปะหลังในฤดูกาลต่อไป ให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของตลาดเพื่อมิให้เกิดปัญหาราคาตกต่ำ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
2124 | การดำเนินการเกี่ยวกับหนังสือร้องเรียนที่ยื่นกราบเรียนนายกรัฐมนตรี | นร04 | 31/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินเการกี่ยวกับกรณีที่ประชาชนและองค์กรต่าง ๆ ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนที่ยื่นกราบเรียนนายกรัฐมนตรี ระหว่างการปฏิบัติราชการ ณ จังหวัดสระแก้ว และจังหวัดปราจีนบุรี เมื่อวันเสาร์ที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. สรุปประเด็นหนังสือร้องเรียนร้องทุกข์ และเห็นควรดำเนินการ ๑.๑ เรื่องขอรับการสนับสนุนการพัฒนาจังหวัดปราจีนบุรี กรณีพัฒนาเส้นทางรถยนต์ เส้นทางรถไฟเป็นรางคู่ มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาดำเนินการ กรณีสนับสนุนให้จังหวัดปราจีนบุรีเป็นเขตอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการทำน้ำหอมระเหยจากต้นกฤษณาเป็นอุตสาหกรรมขนาดย่อม มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาดำเนินการ กรณีร้องขอให้รักษาผังเมืองรวมที่กำหนดให้พื้นที่ตำบลบางเดชะ อำเภอเมือง เป็นพื้นที่สีขาวแทยงเขียว (พื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม) มอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรีพิจารณาดำเนินการ ๑.๒ เรื่องขอให้ทบทวนการเปิดด่านถาวรบ้านหนองเอี่ยน จังหวัดสระแก้ว-สตึงบท จังหวัดบนเตียเมียนเจย โดยเสนอขอให้พิจารณาเปิดด่านถาวรบ้านเขาดิน อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว และเรื่องขอให้พิจารณาพื้นที่ในเขตตำบลบ้านไร่เป็นสถานที่จัดตั้ง “สถานีขนถ่ายสินค้าโลจิสติกส์” มอบให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาดำเนินการ ๑.๓ เรื่องขอให้ปรับปรุงระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจัดหาประโยชน์ในทรัพย์สินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๓ การยกเลิกคำสั่งส่วนแบ่งรางวัลนำจับความผิดพระราชบัญญัติจราจร และการติดตามเงินเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาดำเนินการ ๑.๔ เรื่องขอให้ปราบปรามยาเสพติดในจังหวัดปราจีนบุรี และขอให้ช่วยเหลือกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) พิจารณาดำเนินการ ๑.๕ เรื่องขอให้แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกและโครงการรับจำนำมันสำปะหลัง มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการ ๑.๖ เรื่องขอให้ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาของเกษตรกรไร่อ้อยรายย่อยจากการใช้หลักเกณฑ์ของภาครัฐเกี่ยวกับการจัดตั้งโรงงานน้ำตาลแห่งใหม่ จังหวัดสระแก้ว มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาดำเนินการ ๑.๗ เรื่องขอให้ติดตามการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของสหพันธ์พัฒนาองค์กรชุมชนคนจนเมืองแห่งชาติ และเครือข่ายที่ดินแนวใหม่ชุมชนท้องถิ่นจัดการตนเองแห่งชาติ มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาดำเนินการ ๑.๘ เรื่องขอให้ตรวจสอบการขายสินค้าของร้านค้าในโครงการบัตรเครดิตเกษตรกร มอบให้ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรพิจารณาดำเนินการ ๑.๙ เรื่องขอให้ผลักดันโครงการผันน้ำจากเขื่อนพระปรงไปอ่างเก็บน้ำเขื่อนห้วยยาง และโครงการเก็บน้ำห้วยลำสะโตน จังหวัดสระแก้ว มอบให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยพิจารณาดำเนินการ ๑.๑๐ เรื่องขอให้ช่วยเหลือจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่ราษฎรที่ไร้ที่ทำกิน มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาดำเนินการ ๑.๑๑ เรื่องขอรับการสนับสนุนงบประมาณพัฒนาท้องถิ่นและติดตามโครงการพัฒนาในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ขอให้ปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณตลาดโรงเกลือ ตรวจสอบการประมูลการจัดให้เช่าที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคารค้าขายบริเวณตลาดโรงเกลือ และชาวต่างด้าวเปิดร้านปิดทางเดินเข้าออกบ้าน ขอให้ตรวจสอบแก้ไขปัญหากรณีแนวเขตที่ดินของราษฎรกับสนามบินอรัญประเทศ และเรื่องขอให้ผลักดันชาวกัมพูชาที่เข้ามายึดครองพื้นที่ทำกิน มอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วพิจารณาดำเนินการ ๒. ส่งเรื่องทั้งหมดให้ศูนย์บริการประชาชน (๑๑๑๑) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินการประสานกับหน่วยปฏิบัติ และนำเข้าระบบรับเรื่องร้องเรียนนายกรัฐมนตรีเพื่อการติดตามเรื่อง
|
|||||||||||||||||||||
2125 | การขอนำเงินต้นของกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ มาใช้ในการดำเนินงานเกี่ยวกับการพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ | พณ | 31/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอนำเงินต้นของกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จำนวน ๔๐๐ ล้านบาท มาใช้เพื่อดำเนินการ ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการส่งเสริมและเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการกลางและขนาดย่อม (SMEs Pro-active) ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องระยะเวลา ๓ ปี (๒๕๕๖-๒๕๕๘) วงเงิน ๓๐๐ ล้านบาท โดยถัวจ่ายเพื่อจ่ายเพื่อดำเนินโครงการเป็นระยะเวลา ๓ ปี และโครงการสำคัญเร่งด่วนที่จำเป็นในการเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จัดสรรไว้สำหรับดำเนินโครงการของภาครัฐและภาคเอกชน วงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ปีละ ๕๐ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงพาณิชย์บูรณาการแนวทางการดำเนินการพัฒนาและส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม และการค้าระหว่างประเทศร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้แผนงาน/โครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้มีความเชื่อมโยงและดำเนินไปในแนวทางเดียวกัน ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงเจ้าของเรื่องพิจารณาให้การดำเนินโครงการมีความสอดคล้องกับการขยายผลการเยือนต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี และกำหนดกลุ่มประเทศเป้าหมายที่เป็นตลาดใหม่และมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เพื่อก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อประเทศไทย ควรพิจารณาบูรณาการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างทั่วถึง เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน รวมทั้งเห็นควรจัดทำรายละเอียดของกิจกรรม กลุ่มเป้าหมาย และหลักเกณฑ์ในส่วนของโครงการสำคัญเร่งด่วนที่จำเป็นในการเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ วงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับมาตรการที่รัฐบาลดำเนินการอยู่แล้ว และพิจารณาหาแนวทางในการบริหารจัดการเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเพื่อให้มีดอกผลจากเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเพียงพอกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแต่ละปี ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
2126 | ผลการเยือนประเทศนิวซีแลนด์และปาปัวนิวกินี | นร04 | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอผลการเยือนประเทศนิวซีแลนด์ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๔ มีนาคม ๒๕๕๖ และรัฐเอกราชปาปัวนิวกินี ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๕ มีนาคม ๒๕๕๖ โดยมีผลการเยือนสรุปได้ ดังนี้
๑. ประเทศนิวซีแลนด์ นายกรัฐมนตรีพร้อมทั้งคณะผู้แทนภาคเอกชนในสาขาธุรกิจต่าง ๆ ได้เข้าเยี่ยมชมกิจการด้านเทคโนโลยีการเกษตรของนิวซีแลนด์ ซึ่งพบว่าประเทศนิวซีแลนด์มีเทคโนโลยีในด้านนี้ที่มีความก้าวหน้ามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีในการเก็บรักษาผลผลิตทางการเกษตรหลังการเก็บเกี่ยวให้คงคุณภาพอยู่ได้อย่างยาวนาน และสามารถผลักดันให้ผลไม้ที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศ เช่น กีวี เป็นผลไม้ส่งออกที่สำคัญและแพร่หลายไปทั่วโลก นอกจากนี้ ได้เข้าเยี่ยมชมกิจการฟาร์มโคนมของบริษัท Fonterra ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมรายใหญ่ที่สุดในนิวซีแลนด์ และเป็นรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก รวมทั้งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายวัตถุดิบจากผลิตภัณฑ์นมรายใหญ่ที่สุดให้แก่ประเทศไทย และพบว่าบริษัทมีการเลี้ยงโคนมที่ให้ปริมาณน้ำนมต่อตัวสูงกว่าของประเทศไทยมาก เนื่องจากเลี้ยงด้วยหญ้าที่ดีมีสารอาหารสูงและอยู่ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิเหมาะสม จึงขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณานำแนวทางดังกล่าวของประเทศนิวซีแลนด์มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินการกับพืชผลทางการเกษตรและการเลี้ยงโคนมของไทยให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารจัดการผลิตผลทางการเกษตรชนิดต่าง ๆ ที่กำลังจะออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ๒. รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี นายกรัฐมนตรีได้เข้าเยี่ยมคารวะผู้สำเร็จราชการปาปัวนิวกินีเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และได้หารือกับนายกรัฐมนตรีปาปัวนิวกินี ซึ่งผลการหารือทั้งสองฝ่ายยืนยันที่จะร่วมผลักดันความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคีและภูมิภาค ทั้งด้านการค้า การลงทุน การเกษตร การประมง การก่อสร้าง การพลังงาน การสาธารณสุข และการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ไทยได้แสดงความพร้อมที่จะสนับสนุนให้ปาปัวนิวกินีนำเข้าข้าวจากไทยให้มากขึ้น จึงขอให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันหารือและประสานงานในรายละเอียดกับปาปัวนิวกินีเกี่ยวกับรูปแบบและวิธีการที่เหมาะสมเพื่อดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2127 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการส่งเสริมเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพื่อการพัฒนาด้านเกษตรกรรม" | สสป | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการส่งเสริมเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพื่อการพัฒนาด้านเกษตรกรรม และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานเลขานุการวุฒิสภา สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ หน่วยงานอื่น ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นควรให้รัฐบาลดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านอุปกรณ์ เครื่องมือ และเทคโนโลยี ได้แก่ ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพื่อการพัฒนาด้านเกษตรกรรมให้มากขึ้น โดยการจัดตั้ง "ศูนย์ข้อมูลกลาง" ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ พร้อมทั้งจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการวิจัยและพัฒนาด้านโปรแกรมประยุกต์ (Application) มาใช้ในการแปลสัญญาณภาพ กำหนดมาตราส่วนของแผนที่ภาพถ่ายดาวเทียม ให้เป็นมาตรฐานกลาง มีศูนย์การฝึกอบรมความรู้ด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ และจัดส่งดาวเทียมสำรวจทรัพยากรดวงใหม่ของประเทศไทยในระบบ Passive sensor แทนดาวเทียมไทยโชต ซึ่งจะหมดอายุทางเทคโนโลยี ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้น ๒. ด้านการบริหารจัดการ ได้แก่ กำหนดให้ทุกหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับด้านการเกษตรใช้ข้อมูลเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเทคโนโลยีจาก "ศูนย์ข้อมูลกลาง" เพื่อการพัฒนาด้านเกษตรกรรม นำแผนที่ภาษี (แผนที่สำหรับใช้ประเมินภาษีที่ดิน) ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีมาตรฐานมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาด้านเกษตรกรรม ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ สร้างแรงจูงใจ และให้ผลตอบแทนแก่เกษตรกรในการนำข้อมูลเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาการเกษตรกรรม เป็นต้น ๓. ด้านบุคลากร ได้แก่ พัฒนาผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวกับการพัฒนาด้านการเกษตร ให้มีความรู้ความเข้าใจและให้ความสำคัญในการใช้ข้อมูลทางด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ จัดหาบุคลากรเพิ่มเติมทั้งบุคลากรใหม่และบุคลากรที่เกษียณอายุราชการที่มีความรู้ความสามารถพิเศษด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านการเกษตรให้เพียงพอและเหมาะสม ส่งเสริมให้มีหลักสูตรเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศในระดับมหาวิทยาลัย และจัดตั้งสถาบันเฉพาะด้าน เพื่อผลิตบุคลากรด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศให้ตรงกับสิ่งที่ขาดแคลน ๔. ด้านงบประมาณ ได้แก่ จัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลางด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อพัฒนาด้านเกษตรกรรม เพื่อการส่งดาวเทียมสำรวจทรัพยากรระบบ Passive sensor ดวงที่ ๒ ของประเทศทดแทนดาวเทียวไทยโชต เพื่อการจัดซื้อข้อมูลจากดาวเทียมสำรวจทรัพยากรระบบ Active sensor และโปรแกรมสำเร็จรูปซอฟต์แวร์ (Application) ที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาความรู้ความเชี่ยวชาญของบุคลากร และเพิ่มค่าตอบแทนหรือสร้างแรงจูงใจพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ในสาขาอาชีพที่ขาดแคลนด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เป็นต้น ๕. ด้านกฎหมาย ได้แก่ กำหนดมาตรการป้องกันหรือลงโทษผู้ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ และส่งเสริมการจดลิขสิทธิ์ด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อพัฒนาด้านการเกษตรกรรม
|
|||||||||||||||||||||
2128 | แผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2557 - พ.ศ. 2561) | ยธ | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๕) และเห็นชอบแผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) เพื่อสอดรับผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๑ โดยอาศัยหลักการของการนำกรอบแนวคิดการดำเนินงานตามแนวทางของโครงการหลวงและหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วย การพัฒนาอาชีพและรายได้บนพื้นฐานความรู้ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและการสนับสนุนการเรียนรู้จากโครงการหลวง การจัดการเชิงพื้นที่ในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน และยึดถือกรอบนโยบายรัฐบาลด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นแนวทางในการดำเนินงาน โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาชุมชนเป้าหมายและชุมชนข้างเคียงที่ได้รับผลกระทบหรือสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาการแพร่ระบาดของฝิ่นและยาเสพติดชนิดต่าง ๆ ครอบคลุม ๑๒๖ หมู่บ้าน ใน ๑๘ ตำบล ๗ อำเภอ ของ ๓ จังหวัดภาคเหนือตอนบน ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และตาก ประชากรที่จะได้รับประโยชน์และมีส่วนร่วมในการพัฒนา จำนวน ๒๖,๗๐๗ คน ๕,๔๙๓ ครัวเรือน ๕ ชนเผ่า คือ กะเหรี่ยง ลีซอ มูเซอ ม้ง และจีนฮ่อ ๑.๒ เห็นชอบในหลักการกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อดำเนินการตามแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ ตามที่ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติเสนอ ในวงเงิน ๑,๘๗๕,๐๕๖,๒๖๐ บาท เพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการจัดทำคำของบประมาณประจำปี ภายใต้ชื่อรายการ “โครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน” เสนอต่อสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณารายละเอียดความเหมาะสมของแผนงานโครงการ เหตุผลความจำเป็น และความพร้อมในการดำเนินงาน ตามกระบวนการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) รับไปบูรณาการแผนงานโครงการต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่โครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ระยะที่ ๒ ร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณไม่เกิดความซ้ำซ้อนและเป็นประโยชน์สูงสุดและให้กระทรวงพาณิชย์สนับสนุนด้านการตลาดและระบบโลจิสติกส์เชื่อมโยงระบบทั้งในและนอกพื้นที่โครงการฯ |
|||||||||||||||||||||
2129 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหากรณี FATF ขึ้นบัญชีดำประเทศไทย" | สสป | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงยุติธรรมร่วมกับกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร กรมสรรพากร) กระทรวงการต่างประเทศ (กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมสหกรณ์) กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง กรมที่ดิน) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย สมาคมธนาคารไทย และสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหากรณี FATF ขึ้นบัญชีดำประเทศไทย" โดยสาระสำคัญของความเห็นและข้อเสนอแนะสรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐบาลต้องร่วมมือรัฐสภาในการเร่งรัดการออกกฎหมายที่เกี่ยวกับการฟอกเงิน ๒. รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตามเงื่อนไขและมาตรฐานของ FATF ๓. รัฐบาลจะต้องชี้แจงและสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคธุรกิจทั้งผู้ส่งออก-นำเข้า ภาคท่องเที่ยว ตลาดทุนและภาคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๔. รัฐบาลควรชี้แจงให้ FATF ทราบว่ารัฐบาลกำลังร่วมมือกับรัฐสภาในการเร่งรัดออกกฎหมายเกี่ยวกับการฟอกเงินเพื่อการก่อการร้ายให้เสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๕. รัฐบาลต้องจัดตั้งคณะทำงานเพื่อเข้ามากำกับในการเร่งรัดการออกกฎหมาย ๖. กฎหมายที่ออกมาต้องครอบคลุมมาตรฐานใหม่ของ FATF ๗. กฎหมายที่ออกมาต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมและผลกระทบในวงกว้าง ๘. รัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับการกำหนดแนวทางให้หน่วยงานที่กำกับดูแล ทั้งนี้ รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญในการผลักดันและติดตามให้มีการปฏิบัติตามเงื่อนไขของ FATF โดยเฉพาะในการร่วมมือกับรัฐสภาในการผลักดันให้ออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ทันระยะเวลาที่ทาง FATF จะประชุมในครั้งต่อไป และดำเนินการทุกวิถีทางในการที่จะปลดล็อคประเทศไทยจากระดับที่เป็น Dark Grey List ไปสู่ระดับปกติโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||
2130 | การจัดทำข้อตกลงว่าด้วยการแก้ไขบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลบังกลาเทศ | พณ | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติการลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการแก้ไขบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลบังกลาเทศ โดยมอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิได้ทำให้สาระสำคัญในข้อตกลงฯ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ให้อยู่ในดุลพินิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่จะดำเนินการได้ สำหรับสาระสำคัญของข้อตกลงฯ มีดังนี้ ๑.๑ รัฐบาลไทยและรัฐบาลบังกลาเทศตกลงที่จะซื้อขายข้าวนึ่งปริมาณไม่เกิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ ตันต่อปี ระหว่างปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ โดยมีเงื่อนไขขึ้นอยู่กับสถานการณ์การผลิตข้าวของแต่ละประเทศ และระดับราคาซื้อขายในตลาดโลก ซึ่งรัฐบาลไทยจะมอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นหน่วยงานดำเนินการ ในขณะที่รัฐบาลบังกลาเทศจะมอบหมายให้หน่วยงานอาหารภายใต้กระทรวงอาหารเป็นหน่วยงานดำเนินการ ๑.๒ การทำข้อตกลงซื้อขายข้าวจะลงนามร่วมกันระหว่างประเทศผู้ซื้อและประเทศผู้ขาย โดยเป็นไปตามหลักการค้าระหว่างประเทศ ๑.๓ ประเทศใดประเทศหนึ่งสามารถขอแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ ได้โดยการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร และอีกประเทศหนึ่งจะแจ้งตอบเป็นลายลักษณ์อักษรต่อข้อเสนอดังกล่าวภายในระยะเวลา ๑ เดือนหลังจากได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการแล้ว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการแก้ไขถ้อยคำบางประการ ไปดำเนินการแก้ไขร่างข้อตกลงฯ ให้ชัดเจนและสอดคล้องกับรูปแบบในการทำความตกลงก่อนการลงนาม รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้โอกาสในความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลบังกลาเทศขยายตลาดข้าวชนิดอื่น ๆ โดยเฉพาะข้าวคุณภาพดีที่มีความต้องการของตลาดในบังกลาเทศ เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว ๑๐๐% เป็นต้น ตลอดจนผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและสร้างโอกาสทางการตลาดมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา |
|||||||||||||||||||||
2131 | สรุปผลการหารือระหว่างรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สปป.ลาว | พณ | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการหารือระหว่างรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในการเดินทางเยือน สปป.ลาว ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๕ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การหารือกับนายหุมพัน อินธะราช (Mr. Houmphan Intarath) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สปป.ลาว ๑.๑ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สปป.ลาว ยินดีที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทยเยือน สปป.ลาว เพื่อหารือเรื่องความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา อย่างไรก็ดี เนื่องจากฝ่าย สปป.ลาว เห็นควรให้มีการลงนามความร่วมมือระดับกระทรวงก่อน จึงยังไม่สามารถลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาไทยกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา สปป.ลาว ตามที่หารือกันไว้ได้ ๑.๒ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทยกล่าวว่า การหารือความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาในวันนี้จะนำไปสู่การขยายผลถึงความร่วมมือด้านอื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะการทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างสองกระทรวงในอนาคตซึ่งอาจรวมเรื่องชั่ง ตวง วัด ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ของไทยและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สปป.ลาว ดูแลอยู่ นอกจากนี้ ไทยได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) เมื่อปี ๒๕๓๘ ทำให้ไทยมีประสบการณ์ในการพัฒนากฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อรองรับการเป็นสมาชิก WTO และยินดีที่จะร่วมมือแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์กับ สปป.ลาว ทั้งนี้ ไทยได้กำหนดให้ปี ๒๕๕๖ เป็นปีแห่งการต่อต้านการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ ซึ่งจะบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวม ๒๔ หน่วยงาน ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะจะเน้นการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดรายใหญ่ รวมทั้งจะเร่งรัดภารกิจฟื้นฟูผู้ประกอบการรายย่อย การรณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา โดยมีการทำแผ่นป้ายรณรงค์ มีความร่วมมือกับภาคเอกชน จึงเห็นว่านอกจากความร่วมมือระดับกระทรวง และกรมฯ แล้ว น่าจะสร้างความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนด้วย ๒. การหารือกับนายโบเวียงคำ วงศ์ดาลา (Dr. Boviengham Vongdala) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สปป.ลาว ๒.๑ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทยได้แจ้งให้ทราบวัตถุประสงค์ของการเยือน สปป.ลาว ครั้งนี้ เพื่อหารือเรื่องความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาไทย-ลาว ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี มีการลงนามสรุปผลการประชุม (Minutes of the meeting) ระหว่างอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาไทยกับอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา สปป.ลาว และหลังจากนี้จะได้ยกระดับความร่วมมือดังกล่าวเป็นบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระดับกระทรวงต่อไป โดยนอกจากความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาแล้วยังมีเรื่อง ชั่ง ตวง วัด ซึ่งทั้งสองกระทรวงน่าจะสามารถดำเนินความร่วมมือกันได้ ๒.๒ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทยเสนอให้ภาคเอกชนของทั้งสองฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในกลไกความร่วมมือเพื่อให้การดำเนินงานมีความเข้มแข็งและประสบผลสำเร็จเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สปป.ลาว สนับสนุน โดยแจ้งว่า สปป.ลาว จะเข้าเป็นสมาชิก WTO ในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ การเข้าเป็นสมาชิก WTO ดังกล่าวจะทำให้ สปป.ลาว ต้องพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญาในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งความร่วมมือระหว่างไทย-สปป.ลาว จะช่วยให้ สปป.ลาว เรียนรู้จากไทยในฐานะประเทศที่มีประสบการณ์ในการเข้าเป็นสมาชิก WTO แล้ว
|
|||||||||||||||||||||
2132 | โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2555/56 | พณ | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้า สถานการณ์ และแนวโน้มของการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๕/๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานกรรมการนโยบายมันสำปะหลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๕/๕๖ (ณ วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖) ๑.๑ การเปิดจุดรับจำนำของลานมัน/โรงแป้ง มีผู้ประกอบการลานมันและโรงแป้งสมัครเข้าร่วมโครงการฯ และเปิดเป็นจุดรับจำนำ รวม ๖๐๓ ราย แยกเป็น ลานมัน ๕๕๑ ราย โรงแป้ง ๕๒ ราย ๑.๒ ปริมาณการรับจำนำ รวมทั้งสิ้น ๕,๔๑๖,๐๒๘ ตัน แยกเป็น ลานมัน ๓,๓๖๙,๘๙๖ ตัน และโรงแป้ง ๒,๐๔๖,๑๓๑ ตัน คิดเป็นร้อยละ ๖๒ และ ๓๘ ตามลำดับ ซึ่งองค์การคลังสินค้า (อคส.) ได้ออกใบประทวนให้เกษตรกร ๑๙๔,๓๒๕ ใบ แยกเป็น ลานมัน ๙๐,๒๑๗ ใบ โรงแป้ง ๑๐๔,๑๐๘ ใบ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้จ่ายเงินให้เกษตรกร ๕๕,๗๘๖ สัญญา จำนวนเงิน ๗,๖๑๖.๑๖๙ ล้านบาท ๑.๓ การอนุมัติโกดังกลางเก็บผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง รวมทั้งสิ้น ๑๐๔ แห่ง แบ่งเป็น โกดังกลางมันเส้น ๘๕ แห่ง ในพื้นที่ ๒๓ จังหวัด ความจุ ๒,๗๑๑,๗๕๐ ตัน และโกดังกลางแป้งมัน ๓๘ แห่ง ในพื้นที่ ๑๔ จังหวัด ความจุ ๕๙๔,๙๖๐ ตัน และได้อนุมัติผู้ประกอบการตรวจสอบคุณภาพมันสำปะหลังที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการค้าต่างประเทศ จำนวน ๙ บริษัท ๑.๔ การเปิดจุดรับจำนำในส่วนเอทานอล มีโรงงานเอทานอลสมัครเข้าร่วมโครงการฯ รวม ๖ ราย ซึ่งโรงงานเอทานอลจะแจ้งแผนการรับมันสำปะหลังตามโครงการฯ และจัดทำสัญญาซื้อขายกับ อคส. เป็นรายไตรมาส โดยในไตรมาสที่ ๑ เป็นการรับมันสำปะหลังทั้งในรูปหัวมันสดและมันเส้น ส่วนไตรมาสที่ ๒-๔ เป็นการรับมันเส้นจากโครงการฯ สำหรับเป้าหมายการรับมันสำปะหลังจากโครงการฯ ในไตรมาสที่ ๑ มีปริมาณทั้งสิ้น ๔๑๕,๔๘๘.๕๔ ตันหัวมันสด แบ่งเป็น การรับหัวมันสด จำนวน ๒๑๐,๔๒๕.๐๐ ตัน และมันเส้น จำนวน ๘๔,๗๓๗.๐๐ ตัน (๒๐๕,๐๖๓.๕๔ ตันหัวมันสด) ทั้งนี้ ปริมาณการรับมันสำปะหลังจากโครงการฯ ในส่วนของเอทานอล ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ถึง ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เป็นเพียงการรับในรูปหัวมันสดเท่านั้น โดยมีปริมาณรวมทั้งสิ้น ๑๗,๒๖๑.๗๘ ตัน คิดเป็นเอทานอลประมาณ ๒,๗๕๗,๔๗๒.๘๔ ลิตร (อัตราแปรสภาพหัวมันสด : เอทานอล = ๖.๒๖ : ๑) ซึ่งกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงพลังงานจะกำกับดูแลให้เป็นไปตามแผนในการช่วยดูดซับมันสำปะหลังและลดภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ๒. สถานการณ์และแนวโน้ม ๒.๑ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์คาดการณ์ผลผลิตปี ๒๕๕๕/๕๖ ประมาณ ๒๗.๕๕ ล้านตัน ต้นทุนการผลิตกิโลกรัมละ ๑.๘๒ บาท เทียบกับปีที่ผ่านมามีผลผลิตประมาณ ๒๖.๖๐ ล้านตัน ต้นทุนการผลิตกิโลกรัมละ ๑.๗๗ บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๕๖ และ ๒.๘๒ ตามลำดับ ปัจจุบันผลผลิตออกสู่ตลาดแล้วร้อยละ ๖๒.๗๕ หรือประมาณ ๑๗.๒๙ ล้านตัน ๒.๒ ราคาหัวมันสดที่เกษตรกรจังหวัดนครราชสีมาขายได้ (เชื้อแป้งร้อยละ ๒๕) ณ วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ กิโลกรัมละ ๒.๐๕-๒.๒๕ บาท ส่วนจังหวัดอื่น ๆ เช่น จังหวัดกำแพงเพชร อุทัยธานี อุดรธานี อุบลราชธานี ระยอง สระแก้ว และชลบุรี อยู่ระหว่างกิโลกรัมละ ๑.๙๕-๒.๕๕ บาท สำหรับราคาส่งออก F.O.B. (Free on Board) มันเส้นตันละ ๒๒๘-๒๓๐ ดอลลาร์สหรัฐ (๖.๗๕-๖.๘๐ บาท/กิโลกรัม) ต่ำกว่าช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา กิโลกรัมละ ๐.๕๘ บาท และแป้งมันตันละ ๔๕๐-๔๖๐ ดอลลาร์สหรัฐ (๑๓.๓๐-๑๓.๖๐ บาท/กิโลกรัม) ต่ำกว่าช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา กิโลกรัมละ ๐.๑๓ บาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๖.๖๑ และ ๐.๙๖ ตามลำดับ ๒.๓ การส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในปี ๒๕๕๕ (เดือนมกราคม-ธันวาคม) มีปริมาณรวมทั้งสิ้น ๘.๓๕๐ ล้านตัน มูลค่า ๘๕,๖๓๕ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาคิดเป็นร้อยละ ๒๒.๖๗ และ ๙.๕๘ ตามลำดับ ตลาดส่งออกมันเส้น ร้อยละ ๙๙ ส่งออกไปยังประเทศจีน ส่วนตลาดส่งออกแป้งมัน ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน เกาหลี อินโดนีเซีย และไต้หวัน ๒.๔ การระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๕/๕๖ กระทรวงพาณิชย์ได้จัดทำยุทธศาสตร์การระบายมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง โดยระบายด้วยวิธี (๑) เจรจาขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) (๒) ขายเป็นการทั่วไป (๓) ขายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) (๔) ขายให้แก่ผู้ผลิตเอทานอลที่นำไปผลิตเป็นพลังงานทดแทน ซึ่งอยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๒.๕ แนวโน้มตลาดมันสำปะหลัง คาดว่าราคาหัวมันสดที่เกษตรกรขายได้จะเคลื่อนไหวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง ประกอบกับผลกระทบจากภาวะภัยแล้งทำให้ปริมาณผลผลิตลดต่ำกว่าที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์คาดการณ์ไว้ โดยราคาส่งออกมันเส้นเมื่อสิ้นสุดระยะเวลารับจำนำในเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ คาดว่าจะมีปริมาณใกล้เคียงกับเป้าหมาย ๑๐ ล้านตัน |
|||||||||||||||||||||
2133 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนมกราคม 2556 | พณ | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ๑.๑ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนมกราคม ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๔.๔๔ เทียบกับดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๐๔.๒๗ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๖ จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าหมวดอาหารสดและพลังงาน โดยดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๘ จากการสูงขึ้นของราคาเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ร้อยละ ๑.๐๓ สินค้าสำคัญที่ราคาสูงขึ้น ได้แก่ เนื้อสุกร ไก่สด ไก่ย่าง ปลาช่อนสด ปลาดุก ปลานิล ปลาตะเพียน ปลาทู กุ้งขาวและปลาหมึก นอกจากนี้ สินค้าประเภทข้าวสารเจ้า ไข่ไก่ อาหารสำเร็จรูป อาหารพร้อมปรุง และอาหารบริโภคนอกบ้าน มีราคาสูงขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ส่วนดัชนีหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๐ จากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกโดยเฉลี่ยในประเทศ ร้อยละ ๐.๗๕ ตามภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลก สินค้าและบริการอื่นที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ หมวดเคหสถาน สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๖ (ค่าเช่าบ้าน อิฐ ค่าแรงช่างประปา) ค่ากระแสไฟฟ้า สูงขึ้นร้อยละ ๑.๐๘ จากการประกาศปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่าเอฟที) งวดใหม่ (ประจำเดือนมกราคม-เมษายน ๒๕๕๖ ปรับสูงขึ้น ๔.๐๔ สตางค์ต่อหน่วย) ค่าน้ำประปา ร้อยละ ๑.๐๑ คนรับใช้/คนทำงานบ้าน ร้อยละ ๐.๘๖ สิ่งทอสำหรับใช้ในบ้าน ร้อยละ ๐.๒๕ (ผ้าม่าน ผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน มุ้ง) สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด ร้อยละ ๐.๐๘ (ก้อนดับกลิ่น สารกำจัดแมลง/ไล่แมลง น้ำยาปรับผ้านุ่ม) ค่ายาและเวชภัณฑ์ ร้อยละ ๐.๐๔ (ยาหอม ยาหม่อง ยาฆ่าเชื้อรา ยาลดกรดในกระเพาะ ถุงยางอนามัย) ค่าของใช้ส่วนบุคคล ร้อยละ ๐.๑๓ (น้ำยาระงับกลิ่นกาย ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว ใบมีดโกน แป้งทาผิวกาย ยาสีฟัน น้ำหอม) ๑.๒ ดัชนีผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนมกราคม ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๒.๗๙ เทียบกับเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๘ จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำประปา สิ่งทอสำหรับใช้ในบ้าน (มุ้ง ผ้าม่าน ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม) สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด (น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยารีดผ้า ผลิตภัณฑ์ซักผ้า ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้น สารกำจัดแมลง) คนรับใช้หรือคนทำงานบ้าน ค่าฝากเลี้ยงเด็กและยามดูแลความปลอดภัย และค่าของใช้ส่วนบุคคล (ยาสีฟัน แชมพูสระผม น้ำหอม ลิปสติก ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว แปรงสีฟัน กระดาษชำระ ครีมนวดผม น้ำยาระงับกลิ่นกาย ค่าแต่งผมชาย ค่าทำเล็บ) ๒. ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ยังคงขยายตัวได้ดี จากอุปสงค์ภายในประเทศที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ และอุปทานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนโดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีการเร่งผลิตและส่งมอบรถยนต์ให้ผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การแข็งค่าของเงินบาทจะมีผลกระทบต่ออุปทานที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มผู้ส่งออกขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) จะประสบปัญหาการบริหารจัดการเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงการแข่งขันด้านราคา
|
|||||||||||||||||||||
2134 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2556 | พณ | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๑.๑ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๔.๖๖ เทียบกับดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนมกราคม ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๔.๔๔ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๑ จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๖ จากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีก ค่าเช่าบ้าน ค่าวัสดุก่อสร้าง (ปูนซีเมนต์ กระเบื้องซีเมนต์ใยหินมุงหลังคา อิฐ) ค่าธรรมเนียมผ่านทางพิเศษ ค่ายาและเวชภัณฑ์ (ยาฆ่าเชื้อรา ยาหม่อง ยาบรรเทาปวดกล้ามเนื้อ ถุงยางอนามัย) และค่าของใช้ส่วนบุคคล (สบู่ถูตัว แชมพู แปรงสีฟัน ยาสีฟัน กระดาษชำระ ผ้าอนามัย) ขณะที่ดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ลดลงร้อยละ ๐.๐๘ สาเหตุจากการลดลงของราคาผักสด ได้แก่ ผักคะน้า ผักชี ขึ้นฉ่าย ต้นหอม มะเขือเทศ ผักกาดขาว ผักกาดหอม กะหล่ำปลี และผักบุ้ง สินค้าประเภทเครื่องประกอบอาหาร (น้ำมันพืช และกะทิสำเร็จรูป) ๑.๒ ดัชนีผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๒.๘๘ เทียบเดือนมกราคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๙ จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ ค่าเช่าบ้าน วัสดุก่อสร้าง (ปูนซีเมนต์ กระเบื้องซีเมนต์ใยหินมุงหลังค่า อิฐ) ค่าของใช้ส่วนบุคคล (สบู่ถูตัว แชมพูสระผม ยาสีฟัน น้ำหอม ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว แปรงสีฟัน กระดาษชำระ ครีมนวดผม น้ำยาระงับกลิ่นกาย ค่าแต่งผมชาย ค่าดัดผมสตรี ค่าทำเล็บ) ๒. ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ยังคงขยายตัวได้ดี จากการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และการลงทุนภาคเอกชนที่กลับสู่ภาวะปกติ ถึงแม้การผลิตภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมจะชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่เสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่อุปทานด้านการส่งออกเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามเศรษฐกิจโลกที่มีเสถียรภาพมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||
2135 | การมอบหมายรัฐมนตรีกำกับดูแลพื้นที่จังหวัดประสบภัยแล้ง | นร04 | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการมอบหมายรัฐมนตรีกำกับดูแลพื้นที่จังหวัดประสบภัยแล้ง ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. มอบหมายรัฐมนตรีทำหน้าที่ดูแลพื้นที่จังหวัดที่ประสบภัยแล้งเพิ่มเติม ๘ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดร้อยเอ็ด สกลนคร ปราจีนบุรี น่าน กำแพงเพชร แม่ฮ่องสอน ชัยนาท และตรัง ๑.๑ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (พล.ต.ท. ชัชจ์ กุลดิลก) เป็นผู้กำกับดูแลพื้นที่ประสบภัยแล้งในจังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดสกลนคร ๑.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้กำกับดูแลพื้นที่ประสบภัยแล้งในจังหวัดแม่ฮ่องสอน และจังหวัดชัยนาท ๑.๓ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เป็นผู้กำกับดูแลพื้นที่ประสบภัยแล้งในจังหวัดกำแพงเพชร ๑.๔ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายฐานิสร์ เทียนทอง) เป็นผู้กำกับดูแลพื้นที่ประสบภัยแล้งในจังหวัดปราจีนบุรี ๑.๕ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว) เป็นผู้กำกับดูแลพื้นที่ประสบภัยแล้งในจังหวัดน่าน ๑.๖ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) เป็นผู้กำกับดูแลพื้นที่ประสบภัยแล้งในจังหวัดตรัง ๒. ปรับเปลี่ยนผู้กำกับดูแลพื้นที่ ๒.๑ รัฐมนตรีผู้กำกับดูแลพื้นที่ประสบภัยแล้งในจังหวัดตาก เปลี่ยนจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) ๒.๒ รัฐมนตรีผู้กำกับดูแลพื้นที่ประสบภัยแล้งในจังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดสุโขทัย เปลี่ยนจากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช)
|
|||||||||||||||||||||
2136 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงพาณิชย์) (นายสมชาติ สร้อยทอง) | พณ | 19/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายสมชาติ สร้อยทอง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
2137 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 19/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปหารือร่วมกันเพื่อกำหนดแผนการลดการใช้พลังงาน โดยสนับสนุนให้มีการใช้พลังงานอย่างประหยัดและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการให้มีการนำพลังงานทางเลือกมาใช้ รวมทั้งให้เสนอมาตรการขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล โดยให้พิจารณาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในภาพรวม แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||
2138 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2556 (ครั้งที่ 144) | พน | 19/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ (ครั้งที่ ๑๔๔) เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ให้ขยายเวลาตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนที่ ๑๘.๑๓ บาทต่อกิโลกรัม ไปจนถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ และให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนให้สะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ ๒๔.๘๒ บาทต่อกิโลกรัม ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน และการบรรเทาผลกระทบกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยและร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร รวมทั้งให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาดำเนินการแก้ไขคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวการณ์ขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อให้ครัวเรือนรายได้น้อย และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหารสามารถรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ ๒. เห็นชอบในหลักการของร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลต่อการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (Inter-Governmental Memorandum of Understanding for the Establishment of the Regional Power Coordination Centre in the Greater Mekong Subregion : IGM) เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบต่อไปตามนัยแห่งมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ ๓. เห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเงี้ยบ ๑ และให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลงนามในสัญญาฯ เมื่อร่างสัญญาฯ ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุด ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องมีการแก้ไขร่างสัญญาฯ ที่ไม่กระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้าที่ระบุไว้ในร่างสัญญาฯ และเงื่อนไขสำคัญ รวมทั้งการปรับกำหนดเวลาของแผนงาน (Milestones) ที่เกี่ยวข้องกับกำหนดการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในช่วงก่อนการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพื่อให้เหมาะสมกับช่วงเวลาในการกักเก็บน้ำและการทดสอบโรงไฟฟ้า ให้อยู่ในอำนาจการพิจารณาของคณะกรรมการ กฟผ. ในการแก้ไขโดยไม่ต้องนำกลับมาเสนอขอความเห็นชอบอีก และให้นำร่างสัญญาฯ ซึ่งมีเงื่อนไขการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีอนุญาโตตุลาการฯ เสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ๔. เห็นชอบการพิจารณาอัตราการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการวิสาหกิจชุมชนพลังงานสีเขียวจากพืชพลังงานในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับโครงการที่มีปริมาณพลังงานไฟฟ้าเสนอขายไม่เกิน ๑ เมกะวัตต์ ด้วยอัตรา ๔.๕๐ บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา ๒๐ ปี และให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเร่งจัดทำระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าก๊าซชีวภาพจากพืชพลังงานภายใต้โครงการวิสาหกิจชุมชนพลังงานสีเขียวจากพืชพลังงาน ในรูปแบบ FiT ต่อไป ๕. เห็นชอบแผนปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงาน ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๗๓) และให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานในการกำกับติดตามการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงาน ๖. รับทราบการขยายอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำงึม ๑ และเซเสด และการเพิ่มจุดซื้อขาย ที่เห็นชอบการขยายอายุของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำงึม ๑ และโครงการเซเสดออกไป เพื่อให้ครอบคลุมระยะเวลาที่รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (ฟฟล.) จะคืนพลังงานไฟฟ้า โดยใช้เงื่อนไขและอัตราไฟฟ้าเดิม (ฟฟล. ซื้อไฟฟ้าจาก กฟผ. ช่วงเวลา Peak ๑.๗๔ บาทต่อหน่วย และช่วงเวลา Off Peak ๑.๓๔ บาทต่อหน่วย) ทั้งนี้ ให้มีการขยายอายุสัญญาฯ โครงการน้ำงึม ๑ ออกไป ๓ ปี (๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗-๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐) และขยายอนุสัญญาฯ โครงการเซเสด ออกไป ๔ ปี (๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖-๓๐ เมษายน ๒๕๖๐) รวมทั้งให้แก้ไขจุดส่งมอบมุกดาหาร-ปากบ่อ ที่เป็นจุดที่ กฟผ. ขายฝ่ายเดียวเป็นจุดซื้อและขาย และให้ กฟผ. แก้ไขเพิ่มเติมสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำงึม ๑ และโครงการเซเสด โดยอนุมัติให้ กฟผ. ลงนามในสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป ๗. รับทราบโครงการวิสาหกิจชุมชนพลังงานสีเขียวจากพืชพลังงาน ที่ให้กระทรวงพลังงานจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาโครงการวิสาหกิจชุมชนพลังงานสีเขียวจากพืชพลังงานแบบให้ครบ โดยมีองค์ประกอบคณะกรรมการเป็นผู้แทนจาก ๙ กระทรวง ประกอบด้วยกระทรวงพลังงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งเห็นชอบให้กระทรวงพลังงานดำเนินโครงการวิสาหกิจชุมชนพลังงานสีเขียวจากพืชพลังงาน โดยให้ดำเนินงานโครงการนำร่องในพื้นที่ ๓ ลักษณะ ได้แก่ พื้นที่แล้งน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำ และพื้นที่ปลูกข้าวได้ผลผลิตไม่ได้มาตรฐาน และให้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณดำเนินการจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน ๓๐๐ ล้านบาท และให้รายงานผลการดำเนินงานให้ กพช. ทราบต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2139 | ขอความเห็นชอบให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการจัดทำคลังข้อมูลทางการค้าระดับประเทศและคลังข้อมูลทางการค้าของอาเซียน (NTR/ATR) ของไทย | พณ | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการจัดทำคลังข้อมูลทางการค้าระดับประเทศและคลังข้อมูลทางการค้าของอาเซียน (National Trade Repository : NTR/ASEAN Trade Repository : ATR) ของไทย ๑.๒ ให้หน่วยงานรัฐอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการทางการค้า และกฎระเบียบทางการค้าต่าง ๆ ซึ่งจะนำมารวบรวมไว้ในคลังข้อมูลทางการค้าระดับประเทศ (NTR) ของไทย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างประเทศ เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามมติของการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจของอาเซียน (ASEAN Senior Economic Officials Meeting : SEOM) โดยให้กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการพัฒนาและออกแบบระบบ ATR/NTR ในทางเทคนิค เพื่อให้สอดคล้องกับการให้บริการในระบบ National Single Window และ ASEAN Single Window รวมทั้งให้หน่วยงานรัฐอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นต้น ให้การสนับสนุนกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการทางการค้าและกฎระเบียบทางการค้าต่าง ๆ รวบรวมไว้ในคลังข้อมูลทางการค้าระดับประเทศ (NTR) ของไทย เพื่อช่วยในการอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลให้กับผู้ประกอบการ เช่น ผู้ส่งออก ผู้นำเข้า รวมถึงหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาชนในการเข้าถึงคลังข้อมูลทางการค้าทั้งในระดับประเทศและระดับอาเซียนผ่านทางเว็บไซต์ และควรมีการติดตามและประเมินผลการใช้ประโยชน์จากคลังข้อมูลทางการค้าในระดับประเทศและระดับอาเซียน เพื่อนำไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาการจัดเก็บข้อมูลให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
2140 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการรับมือเศรษฐกิจไทยจากสภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป" | สสป | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการรับมือเศรษฐกิจไทยจากสภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กรมสรรพากร สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดูแลสภาพคล่องและสนับสนุนการประกันส่งออก ให้กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ๒. ดูแลเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน และร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทยรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ ๓.๐ หรือต่ำกว่านี้ไปจนถึงสิ้นปี รวมทั้งสนับสนุนให้ใช้เงินสกุลต่างประเทศในการชำระค่าระวางเรือ (Freight Charge) ๓. ให้หน่วยงานราชการปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการนำเข้า-ส่งออก ๔. ให้กรมสรรพากรพิจารณาในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีนำเข้าเพื่อการส่งออกให้รวดเร็ว ๕. ส่งเสริมการส่งออกกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยให้มีระบบสินเชื่อให้กับคู่ค้า รวมทั้งสนับสนุนและแก้ไขอุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกให้สินค้าเข้า-ออกชายแดน ๖. ส่งเสริมการส่งออกทดแทนตลาดหลัก ๗. ส่งเสริมให้มีการจัดหาวัตถุดิบซึ่งขาดแคลนเพื่อผลิตและส่งออก (Global Sourcing) ๘. ให้มีการเจรจาขอสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GPS) กลับคืนมา ๙. เร่งแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานเข้มข้นในภาคอุตสาหกรรม และควรมีมาตรการเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติอย่างเป็นระบบ ๑๐. ส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรมและมีความชัดเจน ๑๑. กำหนดเป้าหมายการส่งออกให้สอดคล้องกับความเป็นจริง
|
.....