ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 956 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 19101 - 19120 จากข้อมูลทั้งหมด 123969 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
19101 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำฝั่งขวา เขื่อนระบายน้ำบ้านจอหอ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำฝั่งขวา เขื่อนระบายน้ำบ้านจอหอ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำฝั่งขวา เขื่อนระบายน้ำบ้านจอหอ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทานจากผู้ใช้น้ำเพื่อกิจการโรงงาน การประปา หรือกิจการอื่นที่มิใช่เกษตรกรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้น้ำอย่างเต็มที่ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19102 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน จำนวน 4 ฉบับ | กษ | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....จำนวน ๔ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทานจากผู้ใช้น้ำเพื่อกิจการโรงงาน การประปา หรือกิจการอื่นที่มิใช่เกษตรกรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้น้ำอย่างเต็มที่ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองซอย ๑๓ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองบางซ้าย-ลาดบัวหลวง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาภาษีเจริญ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ๔. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองระบายน้ำที่ ๑ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19103 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งซ้าย ของอ่างเก็บน้ำห้วยเสนง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งซ้าย ของอ่างเก็บน้ำห้วยเสนง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งซ้าย ของอ่างเก็บน้ำห้วยเสนง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทานจากผู้ใช้น้ำเพื่อกิจการโรงงาน การประปา หรือกิจการอื่นที่มิใช่เกษตรกรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้น้ำอย่างเต็มที่ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19104 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 63/2559 เรื่อง การส่งเสริม สนับสนุน และปฏิรูปการกีฬาของประเทศ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษา ความสงบแห่งชาติ ที่ 64/2559 เรื่อง การให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครพ้นจากตำแหน่ง และการแต่งตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร | สลธ.คสช. | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๖๓/๒๕๕๙ เรื่อง การส่งเสริม สนับสนุน และปฏิรูปการกีฬาของประเทศ สั่ง ณ วันที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ๒.คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๖๔/๒๕๕๙ เรื่อง การให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครพ้นจากตำแหน่ง และการแต่งตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สั่ง ณ วันที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19105 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นายณพงศ์ ศิริขันตยกุล) | กค | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายณพงศ์ ศิริขันตยกุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบบัญชี (นักบัญชีทรงคุณวุฒิ) กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19106 | สรุปผลการพิจารณารายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิชุมชนและสิทธิในการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกรณีกล่าวอ้างว่าร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. .... กระทบต่อสิทธิมนุษยชน | อก | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณารายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิชุมชนและสิทธิในการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกรณีกล่าวอ้างว่าร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. .... กระทบต่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยมีบางประเด็นที่ประชุมเห็นควรให้คงไว้ตามร่างเดิม เช่น การกำหนดให้ทรัพยากรแร่เป็นของรัฐหรือชุมชน ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาในการตีความ การกำหนดพื้นที่สงวนหวงห้ามหรือพื้นที่อนุรักษ์ตามกฎหมายเฉพาะให้เป็นพื้นที่ต้องห้ามทำเหมืองแร่ไว้ในร่างกฎหมายอย่างชัดเจน ซึ่งอาจเกิดปัญหาในทางปฏิบัติและการบังคับใช้กฎหมาย หากภายในอนาคตมีการกำหนดพื้นที่เพิ่มเติมนอกเหนือจากพื้นที่ที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชิาติเสนอ ทั้งนี้ บางประเด็นกระทรวงอุตสาหกรรมจะรับไปปรับปรุงแก้ไขให้รอบคอบและรัดกุมยิ่งขึ้น เช่น การกำหนดหลักเกณฑ์การแบ่งประเภทแร่ เป็นต้น ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19107 | การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ที่มีวงเงินรวม ตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รายการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา ช่วง 26 ช่วง 30 ช่วง 31 และช่วง 32 (รวม 4 ช่วง) (การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ที่มีวงเงินรวม ตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รายการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา ช่วง กม.126 + 475.000 - กม. 128 + 095.000 (ช่วง 26), ช่วง กม. 132 + 955.000 - กม. 135 + 150.000 (ช่วง 30)ช่วง กม.135 + 150.000 - กม. 136 + 920.000 (ช่วง 31) และช่วง กม. 136 + 920.000 - กม. 138 + 690.000 (ช่วง 32)) | คค | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบกรณีกรมทางหลวงก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป รายการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา รวม ๔ ช่วง [ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ช่วง กม. ๑๒๖+๔๗๕.๐๐๐-กม. ๑๒๘+๐๙๕.๐๐๐ (ช่วง ๒๖), ช่วง กม. ๑๓๒+๙๕๕.๐๐๐-กม. ๑๓๕+๑๕๐.๐๐๐ (ช่วง ๓๐), ช่วง กม. ๑๓๕+๑๕๐.๐๐๐-กม. ๑๓๖+๙๒๐.๐๐๐ (ช่วง ๓๑) และช่วง กม. ๑๓๖+๙๒๐.๐๐๐-กม. ๑๓๘+๖๙๐.๐๐๐ (ช่วง ๓๒)] โดยก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19108 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 49 และการประชุมระดับรัฐมนตรีอื่นที่เกี่ยวข้อง | กต | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๔๙ และการประชุมระดับรัฐมนตรีอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ณ เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งได้มีการหารือ ๓ ประเด็นหลัก ได้แก่ (๑) การสร้างประชาคมอาเซียนและความเป็นแกนกลางของอาเซียนในภูมิภาค (๒) สถานการณ์ในภูมิภาคและระหว่างประเทศ เช่น สถานการณ์ในทะเลจีนใต้ ประเด็นอาวุธนิวเคลียร์ในภูมิภาค และ (๓) ความสัมพันธ์กับประเทศคู่เจรจาและประเทศนอกภูมิภาค โดยไทยได้ผลักดันความร่วมมือที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เช่น การส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความเชื่อมโยงในภูมิภาค นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาในกรอบต่าง ๆ เช่น กรอบความร่วมมือแม่น้ำโขง-คงคา ครั้งที่ ๗ ซึ่งได้รับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุม เช่น แผนปฏิบัติการกรอบความร่วมมือแม่น้ำโขง-คงคา ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๑๘ รวมทั้งได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ๕ ประเทศ ได้แก่ จีน นิวซีแลนด์ เวียดนาม เกาหลีเหนือ และญี่ปุ่น ซึ่งการประชุมฯ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกันและมีนัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยกระทรวงการต่างประเทศเห็นว่ามีหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องตามสรุปประเด็นสำคัญและต้องนำไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19109 | รายงานการรับรองปฏิญญาลิมา (Lima Declaration) และแผนปฏิบัติการลิมา (Lima Action Plan) สำหรับปี ค.ศ. 2016 - 2025 | ทส | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการรับรองปฏิญญาลิมา (Lima Declaration) และแผนปฏิบัติการลิมา (Lima Action Plan) สำหรับปี ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๒๕ ที่ได้มีการรับรองในที่ประชุม World Congress of Biosphere Reserves ครั้งที่ ๔ เมื่อวันที่ ๑๔-๑๗ มีนาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ปฏิญญาลิมา มีสาระสำคัญตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี โดยได้เพิ่มเนื้อความเกี่ยวกับกิจกรรมโครงการมนุษย์และชีวมณฑลในแถบประเทศหมู่เกาะแคริบเบียน ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย และการสนับสนุนการใช้พื้นที่สงวนชีวมณฑลเป็นพื้นที่สาธิตในการดำเนินกิจกรรมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน การสำรวจ วิจัย ติดตามการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสนับสนุนความร่วมมือกับภาคเอกชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่สงวนชีวมณฑล ซึ่งไม่มีข้อผูกมัดในการดำเนินการ และสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทย ๒. แผนปฏิบัติการลิมา สำหรับปี ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๒๕ มีสาระสำคัญโดยมีการปรับเปลี่ยนและเพิ่มถ้อยคำให้ครอบคลุมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในโครงการมนุษย์และชีวมณฑล ในภาพรวมให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยถ้อยคำที่ปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมนั้น ไม่กระทบสาระสำคัญเดิมตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด ๓. การดำเนินการภายหลังการรับรองปฏิญญาลิมา และแผนปฏิบัติการลิมา คณะกรรมการโครงการมนุษย์และชีวมณฑลของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้แต่งตั้งคณะทำงานร่างยุทธศาสตร์การบริหารจัดการพื้นที่สงวนชีวมณฑลของประเทศไทยขึ้นเพื่อจัดทำร่างยุทธศาสตร์ดังกล่าว ๔. การพัฒนาความร่วมมือกับเครือข่ายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เห็นชอบให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จัดประชุมเครือข่ายพื้นที่สงวนชีวมณฑลในแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ ๑๐ [(10th Southeast Asian Biosphere Reserve Network (SeaBRnet) Meeting] ในปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ณ จังหวัดเชียงใหม่
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19110 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 20 ครั้งที่ 21 และครั้งที่ 22 | นร | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๒๐ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๘-๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙) ครั้งที่ ๒๑ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๘-๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙) และครั้งที่ ๒๒ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๘-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) เสนอ มีผลงานสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น การชี้แจงและจัดกิจกรรมผ่านศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูประดับจังหวัด/อำเภอ/ท้องถิ่น รวมทั้งคณะกรรมการหมู่บ้านและแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ โดยล่าสุดถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ มีผู้เข้ารับบริการศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศ ๒,๘๓๗,๙๔๖ เรื่อง แก้ไขแล้วเสร็จ ๒,๗๕๑,๖๑๗ เรื่อง ร้อยละ ๙๖.๙๖ ๒. การปฏิรูปประเทศ คณะกรรมการประสานงานรวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) ได้พิจารณาประเด็นข้อเสนอการปฏิรูป รวม ๒๔ เรื่อง เช่น การปฏิรูปเศรษฐกิจดิจิทัล ธนาคารที่ดินและร่างพระราชบัญญัติธนาคารที่ดิน พ.ศ. .... การจัดการศึกษาตลอดชีวิตและร่างพระราชบัญญัติการศึกษาตลอดชีวิต พ.ศ. .... และการขับเคลื่อนการปฏิรูประบบวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการวิจัยเพื่อนวัตกรรม ทั้งนี้ กขร. ได้มีการติดตามขับเคลื่อนความคืบหน้าการดำเนินการตามประเด็นปฏิรูป เช่น การอนุรักษ์พลังงานโดยใช้ข้อบัญญัติเกณฑ์มาตรฐานอาคารด้านพลังงาน ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การจัดกิจกรรมเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ การปฏิรูประบบข่าวกรอง การต่อต้านการก่อการร้าย และการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาตามหลักมนุษยธรรมแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง ปี ๒๕๕๖-๒๕๕๗ การลงนามความร่วมมือด้านแรงงานระหว่างไทย-เมียนมา และการเปิดจองพื้นที่เขาหัวโล้นเนื้อที่กว่า ๑๓,๐๐๐ ไร่ ให้ผู้สนใจจองปลูกป่า ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ ในภาพรวมมีผลการเบิกจ่ายจริงร้อยละ ๘๒.๙๓ สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดร้อยละ ๒.๘๕ การส่งเสริมภาคเศรษฐกิจดิจิทัลและวางรากฐานของเศรษฐกิจดิจิทัล การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานราก และการส่งเสริมการค้าการลงทุนและเสริมสร้างศักยภาพผู้ประกอบการไทย ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ เช่น การสนับสนุนให้ปี ๒๕๖๐ เป็นปีแห่งความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวอาเซียน-จีน ซึ่งตั้งเป้าหมายให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางระหว่างอาเซียนกับจีน ๓๐ ล้านคน ภายในปี ๒๕๖๓ การเข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศ เช่น การประชุมสุดยอดเอเชีย-ยุโรป และการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น โครงการตรวจสารพันธุกรรมแก่ราษฎรไร้สถานะและประสบปัญหาทางทะเบียนราษฎร์ การช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา และการปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย ไม่เป็นธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19111 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. .... | สธ | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการนำสาระสำคัญของพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชบัญญัติคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ. ๒๕๓๕ มารวมเป็นกฎหมายฉบับเดียวกัน รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติบางประการให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขรับข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรออกประกาศห้ามการแสดงภาพ ข้อความ หรือเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะจูงใจให้เกิดการบริโภคยาสูบ รวมถึงไม่เปิดเผยข้อมูลรายการส่วนประกอบและสารที่เกิดจากการเผาไหม้ของส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ยาสูบ เพื่อมิให้กระทบต่อสิทธิของเจ้าของความลับทางการค้า เว้นแต่ ในกรณีที่จำเป็นเพื่อคุ้มครองสุขภาพอนามัยของสาธารณชน และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่เห็นควรให้มีมาตรการรณรงค์เพื่อลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ปัจจุบันและไม่เพิ่มผู้สูบบุหรี่รายใหม่ รวมทั้งให้มีการกำหนดพื้นที่การสูบบุหรี่ให้เหมาะสมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๓. รับทราบผลการดำเนินการขอจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบขึ้นเป็นหน่วยงานในสังกัดกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19112 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2558 กรณีการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร10 | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ กรณีการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ของ ๗ หน่วยงาน เพื่อปฏิบัติภารกิจรวม ๑๓,๒๘๐ อัตรา แบ่งเป็น (๑) สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ๓๐๗ อัตรา บรรจุแต่งตั้งแล้ว ๒๔๘ อัตรา (๒) กรมการปกครอง ๘๔๑ อัตรา อยู่ระหว่างดำเนินการสอบแข่งขัน (๓) กรมราชทัณฑ์ ๑,๗๙๔ อัตรา บรรจุแต่งตั้งแล้ว ๒๐๐ อัตรา (๔) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ๓๒๕ อัตรา อยู่ระหว่างดำเนินการสอบแข่งขันและรับโอน (๕) กระทรวงการต่างประเทศ ๗ อัตรา บรรจุแต่งตั้งแล้ว ๕ อัตรา (๖) สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ๑๔๓ อัตรา บรรจุแต่งตั้งแล้ว ๙ อัตรา และ (๗) กระทรวงสาธารณสุข ๙,๘๖๓ อัตรา บรรจุแต่งตั้งแล้ว ๘,๓๑๘ อัตรา รวมบรรจุแต่งตั้งแล้วทั้งสิ้น ๘,๗๘๐ อัตรา ตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เสนอ ๒. ให้ คปร. และทุกส่วนราชการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ที่ให้ทุกส่วนราชการที่เสนอขอเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการต่อ คปร. พิจารณาทบทวนการเสนอขอเพิ่มอัตรากำลังโดยคำนึงถึงภาระงบประมาณที่เป็นค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและปริมาณภารกิจเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดจ้างผู้ที่มีคุณวุฒิพิเศษมาดำเนินภารกิจเฉพาะ รวมทั้งการจ้างพนักงานราชการเพื่อทดแทนการบรรจุข้าราชการด้วยโดยเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19113 | ร่างพระราชบัญญัติสุขภาพจิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สธ | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสุขภาพจิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยกำหนดเพิ่มเติมบทนิยาม เพิ่มเติมองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ กำหนดสิทธิผู้ป่วยที่จะต้องได้รับ การสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกัน และควบคุมปัจจัยที่คุกคามสุขภาพจิต กำหนดให้เจ้าหน้าที่จากสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติเป็นผู้ช่วยเหลือพนักงานเจ้าหน้าที่ กำหนดให้คณะกรรมการสถานบำบัดมีอำนาจให้ความยินยอมในการบำบัดรักษาทางกายแทนบุคคล (ผู้ป่วย) รวมทั้งกำหนดให้คณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติจัดทำแผนยุทธศาสตร์การสร้างเสริมสุขภาพจิต การป้องกันและควบคุมปัจจัยที่คุกคามสุขภาพจิต แบบมีส่วนร่วม โดยเชื่อมโยงและประสานสอดคล้องกันทั้งระดับชาติ ระดับจังหวัด และระดับท้องถิ่น ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับร่างมาตรา ๑๙/๑ เนื่องจากความยินยอมในการเข้ารับการรักษาของคนไข้ โดยหลักควรจะต้องเกิดจากความยินยอมของคนไข้ หรือผู้มีอำนาจให้ความยินยอมตามกฎหมาย เนื่องจากการรักษาอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตหรือร่างกายได้ไม่มากก็น้อย เช่น ฉีดยา ผ่าตัด หากเป็นกรณีที่คนไข้มีอาการทางกายจนน่าจะเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตแต่ไม่อยู่ในวิสัยที่จะให้ความยินยอมได้ กรณีนี้อาจบังคับตามเหตุแห่งความจำเป็นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๗ ได้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19114 | กรอบการเจรจาและลงนามในปฏิญญาร่วมของการประชุมอัยการสูงสุดจีน - อาเซียน ครั้งที่ 10 | อส | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาร่วมของการประชุมอัยการสูงสุดจีน-อาเซียน ครั้งที่ ๑๐ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้ายาเสพติดและการค้ามนุษย์ โดยมุ่งเน้นในเรื่องต่าง ๆ เช่น การนำตัวผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมข้ามชาติมาลงโทษตามกฎหมาย การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการอย่างซื่อสัตย์และแข็งขันภายใต้กรอบกฎหมายภายในของแต่ละประเทศและอนุสัญญาสหประชาชาติเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวกับการต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติ การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับอาชญากรรมข้ามชาติอย่างทันท่วงที โดยจะมีการลงนามในร่างปฏิญญาร่วมฯ ในการประชุมอัยการสูงสุดจีน-อาเซียน ครั้งที่ ๑๐ ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ณ นครเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และมอบหมายให้สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นผู้เจรจาร่างปฏิญญาร่วมฯ ภายในกรอบที่สอดคล้องกับกฎหมายภายใน โดยมีอัยการสูงสุดหรือรองอัยการสูงสุดผู้ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในปฏิญญาร่วมฯ ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างปฏิญญาร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19115 | ขออนุมัติเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานคดีเยาวชนและครอบครัว | อส | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานอัยการสูงสุดเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-พ.ศ. ๒๕๗๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๙๐,๗๐๗,๑๐๔ บาท และอนุมัติให้สำนักงานอัยการสูงสุดก่อหนี้ผูกพันเกินกว่า ๕ ปี เป็นกรณีเฉพาะราย สำหรับงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเช่าที่ดินดังกล่าว เห็นควรให้สำนักงานอัยการสูงสุดจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ทั้งนี้ ให้สำนักงานอัยการสูงสุดจัดเตรียมความพร้อมที่ดิน แบบรูปรายการก่อสร้าง และประมาณการค่าใช้จ่าย ตลอดจนกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างให้ครบถ้วน และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อให้การก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานคดีเยาวชนและครอบครัวสามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จโดยเร็ว อันจะก่อให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการและประชาชนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานอัยการสูงสุดและการรถไฟแห่งประเทศไทยรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ขอให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาออกแบบอาคารให้เกิดประโยชน์กับประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ให้เกิดความคุ้มค่ากับการลงทุน และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยสงวนสิทธิ์ขอคืนพื้นที่บริเวณดังกล่าวในกรณีต้องใช้ประโยชน์พื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19116 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ | กต | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) จำนวน ๑ ฉบับ ได้แก่ ข้อมติ UNSC ที่ ๒๒๘๓ (ค.ศ. ๒๐๑๖) เกี่ยวกับการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่อสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ ตลอดจนการยุบคณะกรรมการกำกับดูแลการปฏิบัติตามข้อมติฯ เรื่อง สาธารณรัฐโกตดิวัวร์ (Cote d''lvoire Sanctions Committee) และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Group of Experts) ที่จัดตั้งขึ้นตามข้อมติฯ ๑.๒ มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานอัยการสูงสุด ถือปฏิบัติ และแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติ (United Nations : UN) ต่อไป ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ในส่วนที่เกี่ยวกับสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ที่ผ่านมา ให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19117 | การจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ | นร | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบผลการประชุมเรื่อง การจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ ตามบัญชานายกรัฐมนตรี และให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อไป รวมทั้งให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวด้วย ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ โดยที่ประชุมเห็นควรใช้วิธีการทางบริหารในการดำเนินการในระยะเริ่มแรก ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามหนังสือ มท. ด่วนที่สุด ที่ มท ๐๓๐๗.๒/ว ๒๔๑๗ ลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๗ ต่อไป แต่เพื่อให้มีการจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรมขึ้นในอำเภอเป็นไปตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๙๖/๒๕๕๗ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดออกคำสั่งจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรมขึ้นในอำเภอและกำหนดให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและช่วยเหลือนายอำเภอในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่มีสาเหตุจากการร้องเรียนร้องทุกข์ ๑.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยเกลี่ยอัตรากำลังที่มีไปสนับสนุนการดำเนินการตามข้อ ๑.๑ ๑.๓ ในการดำเนินการตามข้อ ๑.๑ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบอำนาจตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๙๖/๒๕๕๗ ให้แก่นายอำเภอเพื่อให้ศูนย์ดำรงธรรมที่จัดตั้งขึ้นสามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่มีสาเหตุจากการร้องเรียนร้องทุกข์ได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และทันต่อสถานการณ์ ๑.๔ เมื่อศูนย์ดำรงธรรมอำเภอตามข้อ ๑.๑ ดำเนินการไประยะหนึ่งแล้ว ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาถึงความจำเป็นเหมาะสมในการคงอยู่ ระหว่างศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดกับศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นควรมีการเกลี่ยอัตรากำลังจากส่วนกลางเพื่อไปปฏิบัติงานในศูนย์ดำรงธรรมอำเภอให้เหมาะสมกับปริมาณงาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19118 | โครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ประจำปีงบประมาณ 2560 | กค | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ เพื่อพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ภูมิภาคผ่านโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของหมู่บ้าน หรือการดำเนินกิจการสาธารณประโยชน์ของหมู่บ้าน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายสุธี มากบุญ) เสนอเพิ่มเติมว่า เพื่อให้การดำเนินโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เห็นควรให้ดำเนินการ ๑.๑ ในส่วนของระยะเวลาในการดำเนินโครงการ หากเป็นโครงการที่ดำเนินการได้เอง ให้เบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๐ ส่วนโครงการที่เป็นการจ้างเหมาให้ก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๐ ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้อันจะทำให้การดำเนินโครงการต้องล่าช้าออกไป ให้กระทรวงมหาดไทยเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการดังกล่าวต่อไป พร้อมชี้แจงเหตุผลความจำเป็นโดยละเอียด ๑.๒ ในขั้นตอนการพิจารณาคัดเลือกโครงการ ให้คณะกรรมการระดับอำเภอในแต่ละพื้นที่พิจารณากลั่นกรองโครงการโดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนส่วนรวมในแต่ละหมู่บ้านจะได้รับเป็นสำคัญ และจะต้องไม่เป็นโครงการเพื่อการจัดซื้อครุภัณฑ์หรือซ่อมแซมอาคารสถานที่ต่าง ๆ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยนำโครงการที่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ มาพิจารณาความเหมาะสมและจำเป็นเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณตามโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินการ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ รวมทั้งความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓.๑ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) ในฐานะหน่วยงานหลักวางแผนการดำเนินโครงการให้ชัดเจนเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ดำเนินโครงการให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยนำข้อจำกัด ปัญหา และอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการครั้งก่อนมาใช้เป็นข้อมูลเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งให้มีการกำหนดมาตรการป้องกันการทุจริตทุกขั้นตอนด้วย ๓.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยติดตามเร่งรัดการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด และให้นำเสนอโครงการดังกล่าวต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเพื่อบรรจุไว้เป็นโครงการสำคัญของรัฐบาลที่ต้องติดตามเร่งรัดเป็นกรณีพิเศษ ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยนำผลการสำรวจความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อการดำเนินโครงการดังกล่าวมาใช้เป็นข้อมูลประกอบการรายงานผลการดำเนินโครงการต่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19119 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร07 | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมต่ำกว่า ๕๐๐ ล้านบาท จำนวน ๑,๒๗๘ รายการ ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๕๐๐ ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๕๑ รายการ และที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๔๖ รายการ โดยเป็นงบประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๔๐,๓๘๘.๘ ล้านบาท จากวงเงินภาระผูกพันรวมทั้งสิ้นจำนวน ๒๓๑,๒๕๕.๙ ล้านบาท สำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๔๖ รายการ เห็นสมควรให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เจ้าของเรื่องพิจารณาและนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบอีกครั้งหนึ่งก่อนดำเนินการต่อไป ๑.๒ อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่ไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามข้อ ๑.๓ และข้อ ๑.๖ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามที่เสนอได้ ๑.๓ รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่เสนอในครั้งนี้ หากเป็นรายการที่จะต้องจ่ายในรูปของเงินตราต่างประเทศ เช่น รายการค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าอาคารสำนักงาน และค่าเช่าทรัพย์สินในต่างประเทศ ฯลฯ ให้สำนักงบประมาณสามารถพิจารณาอนุมัติวงเงินผูกพันที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้รับอนุมัติเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยน ในกรณีที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ๆ นั้น สามารถปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้ง ๑.๔ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยเฉพาะรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลและเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนฯ และมีการติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19120 | สรุปผลการประชุมรัฐมนตรีด้านการศึกษาของเอเปค ครั้งที่ 6 | ศธ | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีด้านการศึกษาของเอเปค ครั้งที่ ๖ ระหว่างวันที่ ๔-๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีด้านการศึกษาของเอเปค ครั้งที่ ๖ จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ Education Growth : Competencies, Employability and Innovation มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวทางการศึกษา และรับรองยุทธศาสตร์ด้านการศึกษาของเอเปค รวมทั้งแถลงการณ์ร่วมด้านการศึกษาของเอเปค มีสมาชิกเขตเศรษฐกิจเข้าร่วมทั้งสิ้น ๑๙ เขตเศรษฐกิจ ซึ่งที่ประชุมฯ ได้ให้ความเห็นชอบและรับรองในเอกสาร จำนวน ๒ ฉบับ คือ ยุทธศาสตร์ด้านการศึกษาของเอเปค ระหว่างปี ๒๕๖๐-๒๕๗๓ และแถลงการณ์ร่วมด้านการศึกษาของเอเปค โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยได้นำเสนอรายงานด้านการศึกษาของประเทศไทยหัวข้อ “การเตรียมคนสู่การทำงาน” (Employability) ต่อที่ประชุมฯ ๒. การประชุมหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไทย-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการฮ่องกงในเรื่องการทำความตกลงความร่วมมือด้านการศึกษา ระหว่างไทย-ฮ่องกง การให้ทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาของไทย และการทำโครงการ Sister School กับสถานศึกษาของไทยเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน
|
.....