ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 959 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 19161 - 19180 จากข้อมูลทั้งหมด 123972 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
19161 | รายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2559 (ครั้งที่ 19) | มท | 18/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ (ครั้งที่ ๑๙) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยมีผลงานสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปความก้าวหน้างานก่อสร้าง ๑.๑ ผลงานสะสมที่ทำได้ คิดเป็นร้อยละ ๒๔.๕๐ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๑๙ ๑.๒ การส่งมอบพื้นที่ก่อสร้าง ยังไม่มีการส่งมอบพื้นที่เพิ่มเติม ปัจจุบันส่งมอบพื้นที่ได้รวมทั้งหมด ๑๐๓-๒-๑๓ ไร่ (คิดเป็นร้อยละ ๘๔) ๑.๓ ปัญหา/อุปสรรคที่สำคัญ คือปัญหาการส่งมอบพื้นที่ที่เหลือยังส่งมอบไม่ได้ตามสัญญาก่อสร้างกระทบกับแผนงานก่อสร้างตามที่ได้รับอนุมัติ ๒. ความเห็นคณะทำงานติดตามความก้าวหน้าโครงการฯ เห็นว่าการขยายระยะเวลาก่อสร้างออกไปจำนวน ๓๘๗ วัน ยังไม่สามารถทำให้งานก่อสร้างแล้วเสร็จได้ อีกทั้งยังมีเหตุให้ผู้รับจ้างขอขยายระยะเวลาการก่อสร้างออกไปได้อีก จึงได้แจ้งเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรให้ดำเนินการ ๒.๑ แจ้งคณะกรรมการตรวจการจ้างเร่งรัดการพิจารณาขยายระยะเวลาการก่อสร้าง กรณีผู้รับจ้างขอสงวนสิทธิ์อันเนื่องมาจากความล่าช้าในการขนย้ายดินขุดจากงานก่อสร้างชั้นใต้ดินให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒.๒ กำกับดูแลการดำเนินงานของผู้รับซื้อซากอาคารให้อยู่ในกรอบเวลาที่กำหนดเพื่อส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างที่เหลือให้แก่ผู้รับจ้าง [บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)] โดยเร็วต่อไป ๒.๓ เร่งรัดการจัดจ้างผู้ออกแบบระบบ ICT โดยเร็ว เพื่อไม่ให้เป็นเหตุให้ผู้รับจ้างหลักขอสงวนสิทธิ์ในการขยายระยะเวลาก่อสร้างออกไปอีก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19162 | การจ่ายค่าเยียวยาให้แก่ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร | กค | 18/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการจ่ายค่าเยียวยาให้แก่ราษฎร จำนวน ๕ ราย และค่ารื้อถอนระบบไฟฟ้าของศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรมุกดาหาร และสถานีพัฒนาอาหารสัตว์มุกดาหาร รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๐๓๔,๗๙๓ บาท เพื่อนำที่ดินไปใช้ในการพัฒนาพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยมิให้มีการใช้สิทธิเรียกร้องอื่นเพิ่มเติมในภายหลังด้วย สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ของกรมธนารักษ์ที่ได้ดำเนินการขออนุมัติกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกับกระทรวงการคลังแล้ว และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าเยียวยาให้แก่ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษอื่น ๆ ตามความเหมาะสมและเป็นธรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19163 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณอาคารวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี | ศธ | 18/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี จากวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้เดิม ๑๕๗.๕ ล้านบาท เป็นวงเงิน ๑๖๙.๔๗ ล้านบาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการ (มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี) ขอรับจัดสรรงบประมาณกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19164 | ขออนุมัติขยายวงเงินกู้จากต่างประเทศเพิ่มเติม (เงินกู้ธนาคารพัฒนาเอเชีย) สำหรับดำเนินโครงการก่อสร้างทางสายหลักเป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2) ทางหลวงหมายเลข 22 ช่วงอำเภอหนองหาน - อำเภอพังโคน ทางหลวงหมายเลข 22 ช่วงสกลนคร - นครพนม (กิโลเมตรที่ 180 - 213) และ ทางหลวงหมายเลข 23 ช่วงร้อยเอ็ด - ยโสธร ของกรมทางหลวง | คค | 18/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ดำเนินโครงการก่อสร้างทางสายหลักเป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๒๒ ช่วงอำเภอหนองหาน-อำเภอพังโคน ทางหลวงหมายเลข ๒๒ ช่วงสกลนคร-นครพนม (กิโลเมตรที่ ๑๘๐-๒๑๓) และทางหลวงหมายเลข ๒๓ ช่วงร้อยเอ็ด-ยโสธร รวมระยะทางก่อสร้างทั้งสิ้น ๑๒๔.๙๐ กิโลเมตร ในกรอบวงเงิน ๖,๘๐๘ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้และเงินงบประมาณในอัตราส่วน ๕๐ : ๕๐ ๒. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดหาแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสมเพื่อดำเนินโครงการนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19165 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าสาธารณูปโภคและค่าวัสดุอาหาร | ยธ | 18/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒,๑๖๑,๑๓๐,๕๐๐ บาท เพื่อให้กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) สามารถชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคและค่าวัสดุอาหารตามจ่ายจริงที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ได้ครบถ้วน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ค่าสาธารณูปโภค (เดือนเมษายน-กรกฎาคม ๒๕๕๙) จำนวน ๑๒๐,๙๓๖,๓๐๐ บาท ๑.๒ ค่าวัสดุอาหารผู้ต้องขัง ผู้ต้องกักขัง และผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ (เดือนเมษายน-สิงหาคม ๒๕๕๙) จำนวน ๒,๐๔๐,๑๙๔,๒๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) รับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นว่าในโอกาสต่อไปขอให้กรมราชทัณฑ์จัดเตรียมงบประมาณให้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายดังกล่าว เพื่อเป็นการรักษาวินัยทางการเงินการคลัง รวมทั้งให้นำมาตรการในการประหยัดพลังงานที่มีประสิทธิภาพมาใช้เพื่อมิให้เป็นภาระด้านงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) พิจารณากำหนดมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคและค่าวัสดุอาหารผู้ต้องขัง ผู้ต้องกักขัง และผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์เพื่อไม่ให้เกิดภาระงบประมาณเป็นจำนวนมากในปีต่อ ๆ ไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19166 | ขอความเห็นชอบปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | มท | 18/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินในเรื่องค่ารักษาพยาบาล กรณีค่าห้องค่าอาหารของบุคคลในครอบครัวพนักงาน (คู่สมรส บุตร และบิดามารดา) โดยให้เบิกได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินวันละ ๑,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ กฟภ. บริหารจัดการด้านการเงินอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้กระทบต่อสภาพคล่องทางการเงิน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19167 | หลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นสูงของตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้ง | นร10 | 18/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นสูงของตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้ง โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ ตามมติคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ครั้งที่ ๙/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผู้ดำรงตำแหน่งในระดับที่ได้รับเงินเดือนถึงอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุด (เงินเดือนตัน) ได้รับเงินเดือนในระดับถัดไปของแต่ละประเภทตำแหน่ง ยกเว้น (๑) ระดับทักษะพิเศษและระดับเชี่ยวชาญ ได้รับเงินเดือนไม่เกิน ๗๔,๓๒๐ บาท (๒) ระดับทรงคุณวุฒิ ได้รับเงินเดือนไม่เกิน ๗๖,๘๐๐ บาท และ (๓) ประเภทอำนวยการระดับสูง ได้รับเงินเดือนในตำแหน่งบริหารระดับต้นไม่เกิน ๗๔,๓๒๐ บาท ๑.๒ ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต่างประเภท ต่างสายงาน หรือต่างระดับ และเงินเดือนที่ได้รับสูงกว่าเงินเดือนขั้นสูงของตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้ง ให้ได้รับเงินเดือนในอัตราที่ได้รับอยู่เดิมโดยให้ได้รับเงินเดือนในระดับถัดไปของแต่ละประเภทตำแหน่ง เช่น ผู้ดำรงตำแหน่งประเภททั่วไประดับชำนาญงาน ได้รับเงินเดือน ๓๒,๐๐๐ บาท และต่อมาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับปฏิบัติการซึ่งมีเงินเดือนขั้นสูง ๒๖,๙๐๐ บาท กรณีนี้ให้ได้รับเงินเดือนในอัตราที่ได้รับอยู่เดิม ๑.๓ กรณีผู้ดำรงตำแหน่งประเภททั่วไประดับอาวุโสและประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ เมื่อได้รับเงินเดือนถึงอัตราเงินเดือนสูงสุดที่ ก.พ. กำหนดแล้ว ให้ได้รับเงินเดือนโดยคำนวณจากฐานในการคำนวณระดับบน ๒ ตามกฎ ก.พ. ว่าด้วยการเลื่อนเงินเดือน พ.ศ. ๒๕๕๒ ได้แก่ ประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ อัตรา ๖๘,๕๖๐ บาท ประเภททั่วไประดับอาวุโส อัตรา ๔๔,๙๗๐ บาท ๑.๔ ผู้ได้รับค่าตอบแทนพิเศษ หรือค่าจ้างถึงขั้นสูงหรือใกล้ถึงขั้นสูง ให้นำค่าตอบแทนมารวมเป็นเงินเดือนและให้ได้รับเงินเดือนในอัตราใหม่ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ส่วนราชการใช้จ่ายจากงบบุคลากรของส่วนราชการต่าง ๆ ไปก่อนเป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอให้ส่วนราชการขอทำความตกลงกับกรมบัญชีกลางเพื่อขอรับจัดสรรงบกลาง รายการเงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ ส่วนภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19168 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย - เมียนมา ครั้งที่ 30 | กห | 18/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๓๐ (The 30th Myanmar-Thailand Regional Border Committee Meeting : RBC-30) ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๙ ณ จังหวัดเชียงตุง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยมีพลโท มินหน่อง ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการพิเศษที่ ๔ เป็นประธานฝ่ายเมียนมา และพลโท สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล แม่ทัพภาคที่ ๓ เป็นประธานฝ่ายไทย มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. เรื่องเพื่อทราบ ได้แก่ (๑) การส่งเสริมกลไกความร่วมมือคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นตามบริเวณพื้นที่ชายแดน (๒) การแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้นำในระดับสูงไทย-เมียนมา และ (๓) ความคืบหน้าในการแก้ไขบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหภาพเมียนมาในการจัดตั้งคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ๒. เรื่องเพื่อพิจารณา ได้แก่ (๑) มาตรการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน (๒) ความร่วมมือในพื้นที่ชายแดน (๓) ความร่วมมือทวิภาคีเกี่ยวกับการปราบปรามยาเสพติด (๔) ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเขตแดน (๕) ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับชายแดน (๖) ความเคลื่อนไหวชนกลุ่มน้อยติดอาวุธ/กลุ่มต่อต้านในพื้นที่ชายแดน (๗) เรื่องอื่น ๆ เช่น การอาชญากรรมในพื้นที่ชายแดน ความร่วมมือในการพัฒนาพื้นที่การค้าชายแดน และการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตากกับรัฐกะเหรี่ยง และ (๘) การกำหนดวันที่และสถานที่ของการประชุมคณะกรรมการ RBC-31 ซึ่งกำหนดจัดขึ้นที่ประเทศไทย สำหรับวันที่และสถานที่จะแจ้งให้ทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19169 | การปรับอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ [ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุน พัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559] | กค | 18/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจในอัตราร้อยละ ๐.๒๕ ต่อปี ของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชน โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรกำหนดแผนการเพิ่มทุน รายละเอียดของวงเงินและระยะเวลาดำเนินการที่ชัดเจน รวมทั้งกำหนดระยะเวลาการปรับอัตราเงินนำส่งกองทุนฯ ให้สอดคล้องกับความต้องการในการเพิ่มทุนที่แท้จริง เพื่อมิให้กระทบกับฐานะทางการเงินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่น ๆ และหากในระยะต่อไป ปริมาณเงินของกองทุนฯ ที่ต้องการใช้สำหรับการเพิ่มทุนให้แก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจมีเพียงพอแล้ว ก็ควรพิจารณาปรับอัตราเงินนำส่งให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อฐานะการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่มีหน้าที่นำส่งเงินเข้ากองทุนฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจตามพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ. ๒๕๕๘ นำส่งเงินเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจในอัตราร้อยละ ๐.๒๕ ต่อปี ของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19170 | ร่างพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กษ | 18/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่วมกับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย พ.ศ. .... โดยให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม ธรรมาภิบาล และนโยบายของรัฐบาล และให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐที่เห็นควรมีมาตรการหรือหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบการได้มาของที่ดินที่จะนำไปปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมอย่างละเอียดรอบคอบ และกำหนดเรื่องการเปลี่ยนมือการถือครองที่ดินเพื่อแก้ไขการเปลี่ยนมือไปสู่กลุ่มทุนและการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนในรูปแบบแปลงรวมให้มีความชัดเจน รวมทั้งควรพิจารณาการบริหารจัดการพื้นที่ปฏิรูปที่ไม่เหมาะสมต่อการประกอบเกษตรกรรมให้รอบคอบ และเพิ่มเติมข้อความในมาตรา ๒๙/๑ (ร่างมาตรา ๗) เป็น “ในกรณีมีผู้ประสงค์จะขายที่ดินเพื่อเกษตรกรรมซึ่งมิได้อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน และอยู่นอกเขตที่ดินของรัฐ ให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีอำนาจจัดซื้อที่ดินนั้น เพื่อนำมาดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ได้ และให้ถือเสมือนว่าเป็นที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน โดยไม่ต้องดำเนินการกำหนดเขตที่ดินนั้นให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินตามมาตรา ๒๕” และไม่ขัดข้องหากเป็นที่ดินที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้มาโดยการจัดซื้อ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการวางแผนและลำดับความสำคัญในการดำเนินงานโดยเฉพาะในระยะเร่งด่วนที่ต้องเร่งดำเนินการในรัฐบาลปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับการเร่งนำคืนที่ดินที่ถูกนำไปใช้อย่างไม่ถูกต้อง เร่งปรับปรุงและพัฒนาที่ดินที่มีอยู่และที่ได้รับคืนมาเพื่อจัดสรรให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกิน การจัดหาที่ดินที่อยู่นอกเขตปฏิรูปที่ดินควรพิจารณาตามความจำเป็นเฉพาะในพื้นที่ที่มีศักยภาพทางการเกษตรและมีราคาที่เป็นธรรม โดยในการดำเนินงานควรต้องยึดพระราชบัญญัติฯ กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เป็นกรอบแนวทางปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและมีความต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19171 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... | ยธ | 18/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับเปลี่ยนสถานภาพสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) จากเดิมซึ่งจัดตั้งตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๔ มาเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ เพื่อรองรับภารกิจด้านวิชาการเกี่ยวกับการป้องกันอาชญากรรมและกระบวนการยุติธรรมทางอาญาและระบบงานยุติธรรมที่เพิ่มขึ้นจากการที่สถาบันฯ ได้รับรองสถานะเป็นสถาบันในเครือข่ายแผนงานสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรม และความยุติธรรมทางอาญา ของสำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (The United Nations Office on Drugs and Crime : UNODC) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเสนอร่างกฎหมาย) ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๙ (เรื่อง การดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองและแผนการเสนอกฎหมายลำดับรอง และการเร่งรัดดำเนินการเสนอกฎหมาย หรือปรับปรุงกฎหมายสำคัญ) และให้กระทรวงยุติธรรมเร่งรัดการเสนอแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19172 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2546 และขอผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2550 สำหรับโครงการก่อสร้างทาง 4 ช่องจราจร ทางหลวงหมายเลข 304 สาย อ. กบินทร์บุรี - อ. วังน้ำเขียว ตอน 3 จ. นครราชสีมา จ. ปราจีนบุรี ส่วนที่ 1 และ ส่วนที่ 2 และสาย อ. กบินทร์บุรี - อ. ปักธงชัย (ทางเชื่อมผืนป่า จ. ปราจีนบุรี) | คค | 18/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ได้รับการผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๖ (เรื่อง ขอผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเพื่อให้กองทัพอากาศใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ) และได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ (เรื่อง แนวทางพิจารณาการก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า) สำหรับโครงการก่อสร้างทาง ๔ ช่องจราจร ทางหลวงหมายเลข ๓๐๔ สาย อ. กบินทร์บุรี-อ. วังน้ำเขียว ตอน ๓ จ. นครราชสีมา จ. ปราจีนบุรี ส่วนที่ ๑ และ ส่วนที่ ๒ และสาย อ. กบินทร์บุรี-อ. ปักธงชัย (ทางเชื่อมผืนป่า) จ.ปราจีนบุรี เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ที่ให้ตั้งหน่วยพิทักษ์อุทยานตั้งแต่เริ่มโครงการ สร้างช่องทางให้สัตว์ป่าสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัย และทำทางเชื่อมผืนป่าเพิ่มเติมในอนาคต เป็นต้น และความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการป้องกันและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในการก่อสร้างบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น ๑ เอ ลุ่มน้ำชั้น ๑ บี และลุ่มน้ำชั้นที่ ๒ และให้ดำเนินการขอเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้และเขตอุทยานแห่งชาติตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด รวมทั้งมีการปลูกป่าทดแทนเพื่ออนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อมของพื้นที่ดังกล่าวด้วย รวมถึงจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี ตลอดจนกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการก่อสร้างในพื้นที่ที่จดทะเบียนมรดกโลกอย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19173 | เอกสารผลลัพธ์ของการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (Ayeyawady - Chao Phraya - Mekong Economic Cooperation Strategy: ACMECS) ครั้งที่ 7 | กต | 18/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญากรุงฮานอยของการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ครั้งที่ ๗ มีสาระสำคัญเป็นเอกสารที่แสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของผู้นำประเทศสมาชิกที่จะส่งเสริม สนับสนุน และสานต่อความร่วมมือในภูมิภาคในด้านต่าง ๆ เพื่อเอื้ออำนวยต่อการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ การส่งเสริมประเทศสมาชิกในการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนปี ค.ศ. ๒๐๓๐ รวมทั้งหาแนวทางเพื่อส่งเสริมความร่วมมือกับกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ในอนุภูมิภาค และสนับสนุนให้หุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการและแผนงานต่าง ๆ ภายใต้กรอบ ACMECS ซึ่งจะมีการรับรองร่างปฏิญญาฯ เป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุมผู้นำ ACMECS ครั้งที่ ๗ ที่กรุงฮานอย เวียดนาม ในวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ ๑.๒ อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างปฏิญญาฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19174 | ท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 40 (ต่อเนื่อง) | ทส | 18/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๑.๑ เห็นชอบการกำหนดท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ (ต่อเนื่อง) ดังนี้ ๑.๑.๑ ราชอาณาจักรไทยควรเร่งหารือเพื่อทำความเข้าใจกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาก่อนการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ (ต่อเนื่อง) ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ ณ ที่ทำการใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ๑.๑.๒ ยืนยันตามร่างข้อมติคณะกรรมการมรดกโลกที่ให้ Refer เพื่อชะลอการขึ้นทะเบียนพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก และพยายามไม่ให้มีถ้อยคำเกี่ยวกับ “เขตแดน” ไว้ในข้อมติของคณะกรรมการมรดกโลก ๑.๑.๓ กรณีมีประเด็นอื่นที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ให้อยู่ในดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการพิจารณากำหนดท่าทีในประเด็นนั้น ๆ ทั้งนี้ ให้คณะผู้แทนไทยพิจารณาร่วมกันระหว่างการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ (ต่อเนื่อง) โดยคำนึงถึงหลักการของอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และข้อมูลด้านเทคนิคและวิชาการจากองค์กรที่ปรึกษา ๑.๒ มอบหมายให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นหน่วยงานหลักในการจัดคณะผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหารือและทำความเข้าใจร่วมกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาในเรื่องข้อห่วงกังวลในเรื่องค่าพิกัดของพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน ก่อนการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ (ต่อเนื่อง) ๑.๓ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดส่งเอกสารค่าพิกัดตำแหน่งที่ตั้งของพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานในเอกสารเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลก จากเดิม ๔ ตำแหน่ง เป็น ๑ ตำแหน่ง ต่อศูนย์มรดกโลกรับทราบ ๑.๔ รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ (ต่อเนื่อง) ตามองค์ประกอบเดิมในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ โดยมอบหมายให้เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปารีส (นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว) เป็นหัวหน้าคณะ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมอบหมายให้ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเลขานุการหัวหน้าคณะ ๒. หากมีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ (ต่อเนื่อง) ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19175 | ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปีการผลิต 2559/60 ด้านการผลิต (เพิ่มเติม) | กษ | 18/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงกระบือ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงแพะ และโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการทำนาหญ้า ดำเนินการโดยกรมปศุสัตว์ ให้เพิ่มพื้นที่ดำเนินงานจากเดิม ๔๐ จังหวัด ปรับเพิ่มขึ้น ๕๕ จังหวัด โดยเพิ่มอีก ๑๕ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน กำแพงเพชร ตาก พิจิตร อุทัยธานี ลพบุรี สระบุรี ชัยนาท ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา จันทบุรี นครปฐม และเพชรบุรี ๑.๒ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไม่เหมาะสมเป็นเกษตรกรรมทางเลือกอื่น ดำเนินการโดยกรมส่งเสริมการเกษตร ให้เพิ่มพื้นที่ดำเนินงานจากเดิม ๓๐ จังหวัด ปรับเพิ่มเป็นทุกจังหวัด ยกเว้น ๑๔ จังหวัดภาคใต้ และขยายพื้นที่ดำเนินการครอบคลุมไปถึงพื้นที่เหมาะสมน้อย (S3) ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการภายใต้กรอบวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไปแล้วเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ควรให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงด้านการตลาด โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ ผู้ประกอบการในท้องถิ่น เครือข่ายสหกรณ์ เป็นต้น ให้มีการจัดทำแผนความร่วมมือทางการตลาด เพื่อให้ผลผลิตทางการเกษตรของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการมีตลาดรองรับที่ชัดเจน สามารถจำหน่ายได้ในราคาที่เป็นธรรมและสร้างรายได้แก่เกษตรกรเพิ่มขึ้น รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ด้านการผลิต (เพิ่มเติม) ให้เกษตรกรได้รับทราบอย่างทั่วถึง ตลอดจนควรติดตามผลการดำเนินงานและประเมินผลสำเร็จของโครงการทั้ง ๕ โครงการ ในช่วงระยะเวลา ๖/๑๒ เดือน เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาแนวทางการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตเพื่อลดปริมาณอุปทานข้าวเปลือกภายในประเทศในรอบฤดูกาลผลิตต่อ ๆ ไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตรวจสอบและคัดเลือกพื้นที่และกลุ่มเกษตรกรเป้าหมายให้ชัดเจนก่อนการดำเนินโครงการตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ด้านการผลิต (เพิ่มเติม) จำนวน ๕ โครงการ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการอย่างแท้จริง โดยดำเนินการในพื้นที่ปลูกข้าวไม่เหมาะสม (N) และพื้นที่ปลูกข้าวเหมาะสมน้อย (S3) ตามแนวทางและหลักการการกำหนดพื้นที่ที่เหมาะสมในการทำเกษตรกรรม ทั้ง Zoning และ Agri-Map และให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ [เรื่อง มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ด้านการผลิต (เพิ่มเติม)] โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะต้องไม่ซ้ำซ้อนกับการได้รับสิทธิ์ตามโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรของกระทรวงการคลัง [โครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ (ไร่ละ ๑,๐๐๐ บาท)]
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19176 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 38 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กษ | 18/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ (ASEAN Ministers on Agriculture and Forestry : AMAF) ครั้งที่ ๓๘ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๕-๗ ตุลาคม ๒๕๕๙ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ (AMAF) ครั้งที่ ๓๘ ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าในการดำเนินงานด้านอาหาร การเกษตร และป่าไม้ ภายหลังปี ๒๕๕๘ และให้ความเห็นชอบมาตรฐานและเอกสารต่าง ๆ เช่น (๑) ตัวชี้วัดของแผนยุทธศาสตร์ความร่วมมือด้านอาหาร การเกษตร และป่าไม้ ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๘ (๒) แผนยุทธศาสตร์ความร่วมมือของอาเซียนด้านปศุสัตว์ พืช และประมง ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๓ รวมทั้งเห็นชอบต่อเอกสารร่างแนวคิดเรื่องท่าทีร่วมของอาเซียนต่อประเด็นที่เกี่ยวกับการเกษตรสำหรับการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC COP 22) และมอบหมายให้ประเทศไทยในฐานะประธาน G77 เป็นประเทศผู้ประสานงานหลักกับกลุ่มเจรจาของอาเซียนสำหรับประเด็นด้านการเกษตรในการประชุมดังกล่าว ทั้งนี้ ประเทศไทยได้เชิญชวนให้ประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมกันจัดทำ “นโยบายประมงอาเซียน”เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการร่วมกันทำประมงอย่างยั่งยืน และรับผิดชอบ และขอให้สำนักเลขาธิการอาเซียนแสวงหาการสนับสนุนจากองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งได้นำเสนอนโยบาย “ประเทศไทย ๔.๐” และประเทศไทยแสดงความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ครั้งที่ ๓๙ ซึ่งจะจัดขึ้น ณ จังหวัดเชียงใหม่ ในเดือนกันยายน ๒๕๖๐ ๒. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้กับรัฐมนตรีของจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี (AMAF Plus Three) ครั้งที่ ๑๖ ที่ประชุมรับทราบ (๑) ความก้าวหน้าในการดำเนินงานตามกรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมืออาเซียนบวกสามด้านอาหาร การเกษตร และป่าไม้ ปี ๒๕๕๔-๒๕๕๘ และ (๒) การดำเนินงานขององค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินอาเซียนบวกสาม (ASEAN Plus Three Emergency Rice Reserve : APTERR) ภายใต้ความตกลง APTERR ทั้งนี้ ประเทศไทยเสนอให้เจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนบวกสามร่วมกันจัดทำกรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือฯ ฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และแสดงความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้กับรัฐมนตรีของจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๑๗ ซึ่งจะจัดขึ้น ณ จังหวัดเชียงใหม่ ในเดือนกันยายน ๒๕๖๐ ๓. การลงนามในความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ประสานงานอาเซียนด้านสุขภาพสัตว์และโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน (ASEAN Coordinating Centre for Animal Health and Zoonoses : ACCAHZ) เพื่อเป็นกลไกในการประสานงานและความร่วมมือระดับภูมิภาค ด้านสุขภาพสัตว์ และโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน ๔. การหารือทวิภาคีกับสาธารณรัฐสิงคโปร์ สาธารณรัฐเกาหลี และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ในการขยายความร่วมมือทั้งด้านการค้า การลงทุน รวมถึงการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19177 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) (จำนวน 4 ราย 1. นายมนัสวี ศรีโสดาพล ฯลฯ) | กต | 18/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ผู้เกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ในจำนวนนี้เป็นการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ จำนวน ๓ ราย ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับแล้ว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นายมนัสวี ศรีโสดาพล ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม ๒. นายนพพร อัจฉริยวณิช ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮลซิงกิ สาธารณรัฐฟินแลนด์ ๓. นายพิริยะ เข็มพล ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ๔. นายภาสกร ศิริยะพันธุ์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19178 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์) (นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์) | พณ | 18/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19179 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงยุติธรรม) (พันตำรวจโท สุพจน์ นาคเงินทอง และนายสมณ์ พรหมรส) | ยธ | 18/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงยุติธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. พันตำรวจโท สุพจน์ นาคเงินทอง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายสมณ์ พรหมรส ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19180 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ (จำนวน 10 คน 1. นายพิชิต อัคราทิตย์ ฯลฯ) | พม | 18/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ จำนวน ๑๐ คน เนื่องจากคณะกรรมการชุดเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปีแล้ว เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้
๑. นายพิชิต อัคราทิตย์ ประธานกรรมการ ๒. นายวีระวุฒิ ศรีเปารยะ กรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลัง ๓. ว่าที่ร้อยตรี ศรัณย์ สมานพันธ์ กรรมการ ผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ ๔. พลเอก สุชาติ หนองบัว กรรมการ ๕. พลเอก พิสิทธิ์ สิทธิสาร กรรมการ ๖. พลเอก วัลลภ รักเสนาะ กรรมการ ๗. พลตำรวจโท ปิยะ อุทาโย กรรมการ ๘. นางชุตินาฏ วงศ์สุบรรณ กรรมการ ๙. นางสาวจิตพัต ฉอเรืองวิวัฒน์ กรรมการ ๑๐. นายธนาวัฒน์ สังข์ทอง กรรมการ
|
.....