ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 555 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 11081 - 11100 จากข้อมูลทั้งหมด 124240 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
11081 | ขอความเห็นชอบการให้สัตยาบันเพื่อเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1968 | คค | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11082 | ขออนุมัติหลักการโครงการส่งเสริมการพัฒนาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้มีคุณภาพ | ศธ | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการส่งเสริมการพัฒนาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้มีคุณภาพ แผนระยะ ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๗) กรอบวงเงินทั้งสิ้น ๒๔๕,๒๓๘,๓๕๐ บาท จำแนกเป็น ค่าครุภัณฑ์/สิ่งก่อสร้าง จำนวน ๑๘๕,๐๑๙,๘๐๐ บาท และเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินงาน จำนวน ๖๐,๒๑๘,๕๕๐ บาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ) ได้รับจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์เพื่อสนับสนุนด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โครงการบริหารจัดการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ งบรายจ่ายอื่น รายการค่าใช้จ่ายโครงการส่งเสริมการพัฒนาโรงเรียนเอกชน ในโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้มีคุณภาพ จำนวน ๕,๖๙๘,๓๐๐ บาท และในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ อยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดทำงบประมาณ สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๗ เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป โดยให้คำนึงถึงความคุ้มค่า ประสิทธิภาพ และผลสัมฤทธิ์เป็นสำคัญ ตามนัยของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการจัดสรรงบประมาณในการยกระดับคุณภาพการศึกษา ให้มีกิจกรรมส่งเสริมและครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่ครบถ้วนยิ่งขึ้น โดยอาจพิจารณาปรับลดงบลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานตามความจำเป็นของแต่ละบริบทพื้นที่และโรงเรียน อาทิ โรงเรียนที่มีการลดลงของนักเรียนอาจไม่มีความจำเป็นต้องสร้างอาคารเรียนเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถนำงบประมาณบางส่วนไปใช้กับการยกระดับคุณภาพการศึกษา ซึ่งยังคงเป็นปัญหาอย่างต่อเนื่องยาวนาน และควรพิจารณาเพิ่มเติมตัวชี้วัดในระดับกิจกรรมที่สะท้อนถึงผลลัพธ์ต่อผู้เรียนในมิติคุณภาพการศึกษาทั้งการเพิ่มขึ้นของทักษะด้านวิชาการ ทักษะชีวิต และทักษะอาชีพ มากกว่าการวัดจากเพียงจำนวนกิจกรรมที่เข้าร่วม นอกจากนี้ ควรมีตัวชี้วัดที่สะท้อนเรื่องการมีงานทำของนักเรียนร่วมด้วยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11083 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและวงเงิน กรณีการทำสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโดฮา | กต | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-พ.ศ. ๒๕๖๖ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ วงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าทั้งสิ้น ๑๙,๐๐๘,๐๐๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่นกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน ตามนัยมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวน ๔,๗๕๒,๐๐๐ บาท เห็นควรให้ใช้จ่ายจากโครงการภารกิจทีมประเทศไทยเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ งบดำเนินงาน รายการค่าเช่าอาคารสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ ๔๘ แห่ง ซึ่งได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม สอดคล้องกับค่าเช่าที่จะต้องจ่ายจริงต่อไป สำหรับค่าเช่าอาคารที่ขออนุมัติครั้งนี้ วงเงินงบประมาณผูกพันข้ามปีส่วนที่เพิ่มขึ้นอยู่ภายในกรอบสัดส่วนการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าหรือนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย ที่กำหนดไว้ว่าต้องไม่เกินร้อยละแปดของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กำหนดสัดส่วนต่าง ๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ ๒. การเช่าอาคารดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ รวมถึงการใช้จ่ายเงินสำหรับการดำเนินภารกิจดังกล่าวจะต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่าและประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่ได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการภาครัฐอย่างยั่งยืน ตามนัยของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11084 | รายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจำปี พ.ศ. 2561 | นร12 | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกอบด้วย รายงานการพัฒนาระบบราชการไทย (ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๖-พ.ศ. ๒๕๖๑) และรายงานการดำเนินงานของสำนักงาน ก.พ.ร. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งการพัฒนาระบบราชการไทยในอนาคต ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นว่า (๑) การพัฒนาการให้บริการ เพื่อยกระดับองค์การสู่ความเป็นเลิศในประเด็นที่มีการสร้างมาตรฐานการให้บริการศูนย์ราชการสะดวก (Government Easy Contact Center : GECC) เพื่อเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนให้เกิดการบริการที่มีประสิทธิภาพ และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนที่เดินทางมาติดต่อราชการกับหน่วยงานของรัฐ โดยขอให้หน่วยงานต่าง ๆ มีการดำเนินการและการประเมินผลการดำเนินงานศูนย์ราชการสะดวก เพื่อขอรับการรับรองมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวกให้เพิ่มมากขึ้น อันจะนำไปสู่การยกระดับการให้บริการและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ก่อเกิดความพึงพอใจในการให้บริการ รวมทั้งช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและความเชื่อมั่นต่อหน่วยงานของรัฐ และ (๒) การปรับปรุงบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างของหน่วยงานภาครัฐในระยะต่อไป ซึ่งจะต้องก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากผลกระทบของเทคโนโลยีและการเข้าสู่สังคมสูงอายุ จึงควรเร่งให้หน่วยงานภาครัฐปรับปรุงบทบาท ภารกิจ โครงสร้างของหน่วยงาน รูปแบบวิธีการทำงาน และวัฒนธรรม เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความคาดหวังของประชาชนและนานาชาติ ตลอดจนเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ โดยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการปฏิบัติงานในทุกระดับอย่างเหมาะสมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11085 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) (การยกเว้นอากรขาเข้ายาสูตรผสมที่ใช้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์) | กค | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นอากรขาเข้ายาสูตรผสม (ประเภทย่อย ๓๐๐๓.๙๐) ที่ใช้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์เท่านั้น จากเดิมที่กำหนดไว้ร้อยละ ๑๐ ตามบัญชีท้ายประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ ลงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ภาค ๒ พิกัดอัตราอากรขาเข้า ซึ่งจะทำให้ลดภาระต้นทุนการผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ ส่งผลให้ผู้ผลิตยามีความคล่องตัวในการเลือกใช้วัตถุดิบที่หลากหลายสำหรับการผลิตยาต้านไวรัสให้มีคุณสมบัติการรักษาที่เหมาะสมกับอาการของผู้ติดเชื้อ และลดการนำเข้ายาต้านไวรัสเอดส์สำเร็จรูป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างความรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับมาตรการเร่งรัดค้นหาและส่งเสริมให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีเข้าถึงบริการรักษาที่ได้มาตรฐานไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11086 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กษ | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อปรับปรุงระยะเขตทะเลชายฝั่งและแผนที่ท้ายกฎกระทรวงในส่วนของจังหวัดชลบุรี จากเดิม “เส้นโค้งเว้า” เป็น “เส้นตรงลากผ่านจุดพิกัด” เพื่อให้เกิดความชัดเจนของแนวเขตทะเลชายฝั่งสำหรับประมงพื้นบ้านกับประมงพาณิชย์ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นว่า (๑) การกำหนดทะเลชายฝั่งตามร่างกฎกระทรวงฯ มีผลกระทบต่อเขตพื้นที่รับผิดชอบของคณะกรรมการประมงประจำจังหวัด และการประกอบอาชีพของประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ สมควรที่จะได้เสนอแก้ไขประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบของคณะกรรมการประมงประจำจังหวัดในเขตทะเลชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้สอดคล้องด้วย เพื่อมิให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ (๒) ควรประชาสัมพันธ์ให้ชาวประมงพื้นบ้านและชุมชนประมงชายฝั่งและประมงพาณิชย์ โดยเฉพาะประมงพาณิชย์ขนาดเล็กได้รับทราบและเข้าใจถึงเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงฯ เพื่อให้การดูแลรักษาทรัพยากรสัตว์น้ำอยู่ในภาวะที่เหมาะสมและสามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืน และแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายตามเจตนารมณ์แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ (๓) ควรมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำทางทะเลในแต่ละพื้นที่ และ (๔) ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เกิดผลสัมฤทธิ์ หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11087 | รายงานผลการเข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่นกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และการลงนามร่างบันทึกความ ร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงยุติธรรมแห่งประเทศญี่ปุ่นในสาขากฎหมายและการบริหารงานยุติธรรม | ยธ | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่นกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร ซี่งทั้งสองฝ่ายได้หารือข้อราชการใน ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) การยกระดับความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมไทยและกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น (๒) การพัฒนาความร่วมมือด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของประเทศญี่ปุ่นกับภูมิภาคอาเซียน และ (๓) การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ ๑๔ (the 14th United Nations Congress on Crime Prevention and Criminal Justice-UN Crime Congress) รวมทั้งได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงยุติธรรมแห่งประเทศญี่ปุ่นในสาขากฎหมายและการบริหารงานยุติธรรม (Memorandum of Cooperation between the Ministry of Justice of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Justice of Japan in the Field of Legal and Justice Administration) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11088 | ผลการเยือนสาธารณรัฐเกาหลีของนายกรัฐมนตรีเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 และการหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี | กต | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ ๓ โดยนายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนนครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เพื่อเข้าร่วมการประชุมฯ และกิจกรรมคู่ขนานต่าง ๆ ที่จัดขึ้นในโอกาสครบรอบ ๓๐ ปี ของความสัมพันธ์อาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ตลอดจนการหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี โดยนายกรัฐมนตรีได้แสดงบทบาทนำอย่างมีวิสัยทัศน์และสร้างสรรค์ในฐานะประธานอาเซียนและประธานร่วมกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ส่งผลให้การประชุมฯ ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยในบรรยากาศที่เป็นมิตร และประสบความสำเร็จในการผลักดันผลลัพธ์ของการประชุมฯ ที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และช่วยส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองต่ออาเซียนและภูมิภาคโดยรวม ตลอดจนสามารถผลักดันประเด็นสำคัญภายใต้แนวคิดหลักของการเป็นประธานอาเซียนของไทย ทั้งในด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน การเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ความเชื่อมโยง การเสริมสร้างสถาปัตยกรรมของภูมิภาคที่มีอาเซียนเป็นแกนกลาง และความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ เช่น การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ และการส่งเสริมธุรกิจผู้ประกอบการรายใหม่ (สตาร์ทอัพ) ส่วนในด้านการหารือทวิภาคี ไทยสามารถผลักดันความร่วมมือกับสาธารณรัฐเกาหลีในสาขาที่เอื้อต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น การค้าการลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการน้ำ ความร่วมมือในสาขาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม การสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การลงทุนในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) และการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาแรงงานไทยผิดกฎหมายในสาธารณรัฐเกาหลี ๑.๒ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการประชุมฯ ไปปฏิบัติและติดตามผลการประชุมฯ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติที่เห็นควร (๑) พิจารณาเพิ่มเติมการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ (Technology Localization) เพื่อเป็นการสนับสนุนการลงทุน หากผู้ประกอบการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการวิจัย ได้รับการสนับสนุนเพื่อให้เกิดความร่วมมือด้านการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยี/การถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับทั้งสองประเทศ (๒) ให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมไทย-เกาหลี เพื่อดำเนินการบริหารจัดการน้ำ โดยมีหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำ และ (๓) เพิ่มกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในประเด็นความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11089 | ผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปคครั้งสุดท้าย ประจำปี 2562 และผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปคอย่างไม่เป็นทางการ ประจำปี 2563 | กต | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปคครั้งสุดท้าย ประจำปี ๒๕๖๒ และผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปคอย่างไม่เป็นทางการ ประจำปี ๒๕๖๓ โดยมีอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศเข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปคครั้งสุดท้าย ประจำปี ๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๒ ณ สำนักงานเลขาธิการเอเปค สาธารณรัฐสิงคโปร์ ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายภายใต้วาระการเป็นประธานเอเปคของชิลี โดยที่ประชุมฯ ได้รับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมเอเปค ประจำปี ๒๕๖๒ จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ (๑) แผนลาเซเรนาเพื่อสตรีและการเจริญเติบโตที่ครอบคลุม (ค.ศ. ๒๐๑๙-๒๐๓๐) (เปลี่ยนชื่อจากแผนซันติอาโกเพื่อสตรีและการเจริญเติบโตที่ครอบคลุม) (๒) แผนเอเปคว่าด้วยขยะทะเล และ (๓) แผนเอเปคว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม และได้เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปคอย่างไม่เป็นทางการ ประจำปี ๒๕๖๓ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ ณ เมืองลังกาวี ประเทศมาเลเซีย เพื่อหารือเกี่ยวกับหัวข้อหลักและประเด็นสำคัญของการประชุมเอเปค ประจำปี ๒๕๖๓ วิสัยทัศน์เอเปคหลังปี ๒๕๖๓ และปฏิทินการดำเนินงานของเอเปค ประจำปี ๒๕๖๓ ๑.๒ มอบหมายหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องตามนัยตารางสรุปประเด็นติดตามผลสำหรับเอกสารผลลัพธ์การประชุมเอเปค ประจำปี ๒๕๖๒ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปในโอกาสแรก ๑.๓ พิจารณาสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมการสำหรับการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยในปี ๒๕๖๕ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นที่มาเลเซียได้เสนอแนวคิดเรื่อง Beyond GDP เพื่อเป็นตัวชี้วัดทางเลือกในการวัดระดับการพัฒนาของเขตเศรษฐกิจ นั้น เนื่องจาก GDP ยังคงเป็นตัวที่ชี้วัดที่ยังคงมีความสำคัญในการสะท้อนภาพรวมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ในปัจจุบันการพัฒนาจำเป็นต้องมีความครอบคลุมทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จึงเห็นควรให้ต้องมีการใช้ตัวชี้วัดอื่นนอกเหนือจาก GDP ซึ่งในกรณีของไทยได้มีการพัฒนาดัชนีความอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันในสังคมไทย (Green and Happiness Index : GHI) ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นฐานในการยกระดับเป็นตัวชี้วัดที่ใช้ควบคู่ไปกับ GDP ได้ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11090 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นของเสียเคมีวัตถุ ตามบัญชี ๕.๒ ลำดับที่ ๒.๑๘ ของประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๕๖ และตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภท ๘๔ และประเภท ๘๕ เฉพาะรหัสสถิติ ๘๙๙ ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร ตามบัญชีท้ายประกาศ จำนวน ๔๒๘ รายการ เป็นสินค้าต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การสาธารณสุข การคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน และเพื่อให้การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการใช้คำว่า “ขยะอิเล็กทรอนิกส์” ซึ่งแตกต่างจากคำว่า “ของเสียเคมีวัตถุ” และ “ของเสียอิเล็กทรอนิกส์” ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฯ และพิกัดอัตราศุลกากร ที่มีการอ้างอิงถึง ตามร่างข้อ ๓ และร่างข้อ ๔ ของร่างประกาศดังกล่าว อาจทำให้เข้าใจว่าเป็นคนละประเภทกัน จึงควรแก้ไขการใช้ถ้อยคำดังกล่าวให้สอดคล้องกันเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องของผู้อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมาย นอกจากนี้ การกำหนดให้มีดุลยพินิจในการพิจารณา กรณีเป็นที่สงสัยตามข้อ ๔ วรรคสอง ของร่างประกาศดังกล่าว อาจทำให้เกิดความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งไม่เป็นไปตามที่มาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้บัญญัติรับรองไว้ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการผลักดันให้เกิดกฎหมายหรือกลไกรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์จากครัวเรือน เพื่อนำไปจัดการอย่างถูกต้องและปลอดภัยในโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการในการถอดแยกและรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ และมีระบบบำบัดมลพิษหรือนำของเสียที่เกิดขึ้นจากกระบวนการรีไซเคิลไปกำจัดอย่างถูกต้องเหมาะสม และภาครัฐควรมีนโยบายหรือมาตรการส่งเสริมการลงทุนโรงงานรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ปลายน้ำที่มีการใช้เทคโนโลยีการสกัดหรือนำโลหะกลับคืนหรือการทำให้บริสุทธิ์ขึ้นภายในประเทศ เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทรัพยากรภายในประเทศ ลดการส่งออกชิ้นส่วนที่มีมูลค่าไปต่างประเทศ โดยเฉพาะวัสดุหรือชิ้นส่วนที่มีโลหะมีค่าและแร่ธาตุหายากเป็นองค์ประกอบที่สามารถสกัดแยกมาใช้เป็นวัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11091 | ขอความเห็นชอบในการเข้าเป็นภาคีพิธีสาร ค.ศ. 1996 ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. 1972 | คค | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเข้าเป็นภาคีพิธีสาร ค.ศ. ๑๙๙๖ ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. ๑๙๗๒ หรือพิธีสารลอนดอน ค.ศ. ๑๙๙๖ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างกลไกในการควบคุมการทิ้งเทลงในทะเลโดยห้ามทิ้งเทของเสียและวัสดุอย่างอื่นจากเรือ อากาศยาน แท่นหรือสิ่งก่อสร้างอื่นที่มนุษย์สร้างขึ้นในทะเล ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ไม่ต้องตั้งข้อสงวนตามข้อ ๗ ของพิธีสารฯ ในเรื่องขอบเขตการใช้บังคับ ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ๒. เห็นชอบพิธีสาร ค.ศ. ๑๙๙๖ ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. ๑๙๗๒ หรือพิธีสารลอนดอน ค.ศ. ๑๙๙๖ และภาคผนวกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิธีสารฯ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ๓. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการป้องกันมลพิษทางทะเลเนื่องจากการทิ้งเทของเสียหรือวัสดุอื่นลงทะเล พ.ศ. .... เพี่อรองรับการเข้าเป็นภาคีพิธีสารลอนดอน ค.ศ. ๑๙๙๖ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่เห็นควรพิจารณาการใช้ถ้อยคำในร่างพระราชบัญญัติฯ ที่ไม่สอดคล้องกัน อาทิ มาตรา ๓ ของร่างพระราชบัญญัติฯ ว่าด้วยนิยามของคำว่า “ทะเล” ซึ่งใช้ถ้อยคำ “...ดินใต้ผิวดินท้องทะเล” และนิยามของคำว่า “การทิ้งเท” ซึ่งใช้ถ้อยคำว่า “...ดินใต้ผิวดินในทะเล...” จึงอาจพิจารณาปรับแก้ไขโดยใช้ถ้อยคำว่า “...ดินใต้ผิวดินของพื้นดินท้องทะเล” แทน เพื่อให้สอดคล้องกัน รวมทั้งสอดคล้องกับถ้อยคำที่ใช้ในคำแปลอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. ๑๙๘๒ และแก้ไขถ้อยคำในร่างพระราชบัญญัติฯ ในส่วนที่กล่าวถึง “กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ให้เป็น “กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรเมื่อพิธีสาร ค.ศ. ๑๙๙๖ ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. ๑๙๗๒ หรือพิธีสารลอนดอน ค.ศ. ๑๙๙๖ ได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว ๔. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติฯ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๕. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำภาคยานุวัติสาร (Instrument of Accession) เพื่อเข้าเป็นภาคีพิธีสาร ค.ศ. ๑๙๙๖ ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. ๑๙๗๒ ภายหลังจากที่การเข้าเป็นภาคีพิธีสารฯ ได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา และร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ได้ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว ๖. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้กระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า) วางกรอบการดำเนินงานในระดับปฏิบัติที่ต้องเชื่อมโยงและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการจัดการขยะบกสู่ทะเล ให้การดำเนินงานมีความสอดประสานและบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็นภาคีพิธีสารฯ ต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11092 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล พ.ศ. 2563 (ครบ 6 เดือน) | ดศ | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล พ.ศ. ๒๕๖๓ (ครบ ๖ เดือน) ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การติดตามข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล พบว่า ประชาชนร้อยละ ๗๗.๔ ติดตามข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล โดยแหล่งข้อมูลที่ติดตามมากที่สุด คือ โทรทัศน์ (ร้อยละ ๙๕.๕) รองลงมา คือ อินเทอร์เน็ต เช่น เว็บไซต์ เฟซบุ๊ก ไลน์ (ร้อยละ ๓๙.๔) ๒. การดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลที่ประชาชนรับทราบมากที่สุด คือ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ร้อยละ ๙๖.๗) รองลงมา คือ โครงการ “ชิมช้อปใช้” (ร้อยละ ๙๖.๔) ๓. ความพึงพอใจในภาพรวมต่อการดำเนินงานของรัฐบาล พบว่า ประชาชนมีความพึงพอใจในระดับมาก-มากที่สุด ร้อยละ ๔๑.๗ ซึ่งนโยบายที่ประชาชนพึงพอใจในระดับมาก-มากที่สุด คือ โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดถึงอายุ ๖ ปี (ร้อยละ ๕๔.๖) รองลงมา คือ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ร้อยละ ๕๔.๑) ๔. ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาของประเทศ พบว่า ประชาชนมีความเชื่อมั่นในระดับเชื่อมั่นมาก-มากที่สุด ร้อยละ ๓๙.๑ เชื่อมั่นปานกลาง ร้อยละ ๔๕.๑
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11093 | การกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ | รง | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ฉบับที่ ๙) ลงวันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลใช้บังคับต่อไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ ๒๐ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๓ ได้มีมติเห็นชอบให้กำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ จำนวน ๑๓ กลุ่มสาขาอาชีพ/กลุ่มอุตสาหกรรม รวม ๖๔ สาขาอาชีพ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป ๑.๒ คณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ ๒๐ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ได้มีมติให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ฉบับที่ ๓-๘) โดยให้รวบรวมอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือดังกล่าวไว้ในประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ฉบับที่ ๙) เพียงฉบับเดียว เพื่อให้มีความเหมาะสมและสะดวกต่อการถือปฏิบัติต่อไป ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมในการกำหนดวันที่มีผลบังคับใช้ประกาศดังกล่าว โดยคำนึงถึงผลกระทบจากภาระต้นทุนของผู้ประกอบการและการจ้างงานในภาพรวมภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-๑๙) ในปัจจุบันไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11094 | การขอรับจัดสรรงบประมาณโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2562/63 (เพิ่มเติม) | พณ | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการขยายเป้าหมายปริมาณข้าวเปลือก ขยายวงเงินสินเชื่อ และขยายระยะเวลาการจัดทำสัญญาเงินกู้ ตามโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ (เพิ่มเติม) และการขอรับจัดสรรค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือก โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ (เพิ่มเติม) จากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร วงเงิน ๗๕๐.๐๐ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๓ ๒. เห็นชอบการจัดสรรวงเงินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ (เพิ่มเติม) วงเงินรวมทั้งสิ้น ๖๘๒.๘๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรศึกษาโอกาสความเป็นไปได้ในการขยายตลาดส่งออกข้าวไทยไปยังประเทศต่าง ๆ ซึ่งผลกระทบจากโรค COVID-19 อาจทำให้ความสามารถในการผลิตแต่ละประเทศลดลงและมีความจำเป็นต้องนำเข้าข้าวเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นโอกาสในการเปิดตลาดข้าวของไทยในอนาคต โดยต้องไม่กระทบกับความมั่นคงทางอาหารภายในประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11095 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายเฉลิมพงษ์ สุคนธผล) | สธ | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเฉลิมพงษ์ สุคนธผล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11096 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนำจับ เงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ และเงินช่วยเหลือในการปฏิบัติงานยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนำจับ เงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ และเงินช่วยเหลือในการปฏิบัติงานยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนำจับ เงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ และเงินช่วยเหลือในการปฏิบัติงานยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๖๑ เกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนำจับและเจ้าหน้าที่ ในคดียึดได้แต่ยาเสพติด คดีจับผู้ต้องหาพร้อมยาเสพติด คดีที่จับผู้ค้าหรือนายทุนผู้อยู่เบื้องหลังซึ่งเป็นคดีที่ขยายผลจากคดียาเสพติดที่มีหรือเคยมีอยู่ก่อน และคดีที่ผู้ต้องหาได้จำหน่ายยาเสพติดให้แก่เด็กหรือเยาวชน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า (๑) ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนำจับ เงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ และเงินช่วยเหลือในการปฏิบัติงานยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีการปรับหลักเกณฑ์การจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนำจับ เงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ และเงินช่วยเหลือในการปฏิบัติงานยาเสพติด ซี่งมีผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ ซึ่งจะต้องพิจารณาความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และ (๒) ควรกำหนดเงินค่าตอบแทนให้เหมาะสมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน เช่น เงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ ซึ่งจะมีความเหมาะสมกว่าการกำหนดค่าตอบแทนตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนำจับ เงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ และเงินช่วยเหลือในการปฏิบัติงานยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยกระทรวงยุติธรรมควรทบทวนการจ่ายเงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในระยะยาวอย่างเป็นระบบและไม่ซ้ำซ้อนกัน โดยคำนึงถึงมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการและการขัดกันของผลประโยชน์ด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11097 | สรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2563 | นร10 | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๓ ซึ่งมีประเด็นข้อสั่งการสำคัญที่มอบหมายให้ส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่ารับไปดำเนินการรวม ๖ ประเด็น ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ให้ทุกส่วนราชการบูรณาการความร่วมมือและประสานงานกัน โดยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาภัยแล้ง รวมทั้งกำชับและสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็ง อำนวยความสะดวกให้ประชาชนได้เข้าถึงการบริการของภาครัฐอย่างทั่วถึง ๑.๒ ให้กระทรวงพลังงานบริหารจัดการเรื่องการอนุญาตประกอบกิจการพลังงานทดแทนในแต่ละพื้นที่ โดยให้คำนึงถึงความสอดคล้องกับวิถีชีวิตและสภาพแวดล้อมของชุมชนโดยรอบ เช่น กรณีโรงไฟฟ้าชุมชนที่มีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ๑.๓. ให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงการต่างประเทศเร่งรัดการเจรจาต่อรองกับราชอาณาจักรกัมพูชาในกรณีพื้นที่ทับซ้อน เพื่อการใช้ประโยชน์พื้นที่ร่วมกัน แต่ประเทศไทยจะต้องไม่สูญเสียดินแดนทั้งผืนดินและผืนน้ำ ๑.๔ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมกันดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้งอย่างเป็นรูปธรรม เช่น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ร่วมกันพิจารณาการกำหนดพื้นที่ (Zoning) ในการปลูกพืชที่สามารถใช้ประโยชน์ด้านพลังงาน เช่น ปาล์ม หญ้าเนเปียร์ อ้อย โดยกำหนดพื้นที่บริเวณเพาะปลูก และปริมาณที่เหมาะสมกับการใช้ประโยชน์ ๑.๕ ให้ทุกส่วนราชการที่มีความจำเป็นต้องขอรับการจัดสรรงบกลางเพื่อการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาภัยแล้ง จัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณส่งให้สำนักงบประมาณภายในวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๓ และเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้ปรับเปลี่ยนเป็นแผนงาน/โครงการที่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าหรือระยะสั้นที่พร้อมดำเนินการ ๑.๖ ให้ทุกส่วนราชการร่วมกันดำเนินการการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) อย่างเป็นรูปธรรม เช่น ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการคลังพิจารณาการให้สิทธิประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เพื่อการดูแลบุคลากรทางการแพทย์/สาธารณสุข ซึ่งปฏิบัติภารกิจให้การดูแลประชาชนภายใต้สภาวการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เช่น การเบิกจ่ายค่าตอบแทนพิเศษ และการจัดทำประกันสุขภาพ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดการสนับสนุนโรงงานอุตสาหกรรมดำเนินการเพิ่มกำลังการผลิตหน้ากากอนามัยให้มากขึ้นเพื่อให้เพียงพอต่อปริมาณความต้องการใช้งาน ๒. ให้แก้ไขข้อความในหนังสือสำนักงาน ก.พ. ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๐๐๗.๒/๑๕ ลงวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๓ ในหน้า ๒ ข้อ ๓.๓ บรรทัดที่ ๒ จากเดิม “....พื้นที่ทับซ้อน...” เป็น “....พื้นที่อ้างสิทธิ์...”
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11098 | สรุปผลการดำเนินการมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมา | นร01 | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการติดตามมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมารายงานความคืบหน้าการดำเนินการมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมา (ข้อมูล ณ วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๓) สรุปได้ ดังนี้
๑. เงินช่วยเหลือตามกฎหมายและสิทธิประโยชน์ส่วนบุคคล เช่น กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน กระทรวงกลาโหม และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ได้จ่ายเงินช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ของแต่ละหน่วยงานแล้ว ๒. เงินบริจาคและเงินช่วยเหลือจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น เงินประทานจากสมเด็จพระอริยวงษาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชฯ เงินบริจาคผ่านจังหวัดนครราชสีมา เงินช่วยเหลือจากสวัสดิการหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ และเงินช่วยเหลือจากรัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ได้ดำเนินการในส่วนดังกล่าวแล้ว ๓. การรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บ ๖๙ ราย (รวมคู่กรณี ๑ ราย) กลับบ้านแล้ว ๖๔ ราย และรักษาตัวในโรงพยาบาล ๕ ราย โดยแบ่งเป็นผู้ป่วยในวิกฤต (ICU) ๓ ราย และผู้ป่วยในสามัญ ๒ ราย ๔. การฟื้นฟูสภาพจิตใจผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ฯ มีการประเมินสภาพจิตใจ โดยแบ่งเป็น ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ กลุ่มผู้อยู่ในเหตุการณ์ และกลุ่มประชาชนทั่วไป สรุปรวมมีผู้ได้รับการประเมิน ๒,๘๗๒ ราย มีผลต้องติดตาม ๔๔๐ ราย คิดเป็นร้อยละ ๑๕.๓๒
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11099 | ขออนุมัติดำเนินโครงการปรับปรุงคลองยม - น่าน จังหวัดสุโขทัย | กษ | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ดำเนินโครงการปรับปรุงคลองยม-น่าน จังหวัดสุโขทัย มีกำหนดแผนงานโครงการ ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-พ.ศ. ๒๕๖๗) กรอบวงเงิน ๒,๘๗๕ ล้านบาท (โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จะดำเนินการเตรียมความพร้อมในการจัดหาที่ดินและชี้แจงทำความเข้าใจแก่ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบ เพื่อเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔) และมอบหมายให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการเพื่อให้เป็นไปตามแผนงานต่อไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้ใช้จ่ายจากรายการค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้ายในการจัดหาที่ดิน จำนวน ๗๐ ล้านบาท ที่ได้จัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนที่เหลือขอให้กรมชลประทานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามความสามารถในการใช้จ่ายและการก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณที่สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอย่างเคร่งครัด เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรศึกษาความพร้อมในการดำเนินโครงการที่มีผลกระทบต่อที่ดินและทรัพย์สินของราษฎรในเขตพื้นที่โครงการ และให้ความสำคัญในการควบคุมและกำกับดูแลโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11100 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลำปาง | กษ | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลำปาง จากเดิม ๑๔ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๖๑) เป็น ๑๗ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๖๔) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม ๓,๖๗๐.๕๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินโครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลำปาง ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อมิให้โครงสร้างของโครงการฯ ที่ดำเนินการก่อสร้างไปแล้วเสื่อมสภาพลงก่อนที่โครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จ และเพื่อให้สามารถเปิดใช้งานโครงการได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติที่เห็นควรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมในระยะก่อสร้าง ซึ่งกำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอย่างเคร่งครัด และควรถอดบทเรียนจากการดำเนินโครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลำปาง สำหรับการวางแผนก่อสร้างโครงการชลประทานในอนาคต ทั้งกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนที่มีส่วนได้เสียจากการดำเนินโครงการตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผน เพื่อให้โครงการชลประทานสามารถดำเนินการตามแผนงานที่วางไว้อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และมีความคุ้มค่า ประชาชนได้รับประโยชน์จากโครงการตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ตั้งไว้และได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ในการดำเนินแผนงาน/โครงการ ในระยะต่อไป รวมทั้งโครงการอื่น ๆ ในอนาคต ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการ และการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (เรื่อง การตรวจสอบและจัดเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ) อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการที่ต้องขอปรับเปลี่ยนรายละเอียดแผนงาน/โครงการ หรือขอขยายระยะเวลาการดำเนินการออกไปในลักษณะเดียวกับเรื่องที่เสนอมาในครั้งนี้
|
.....