ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 559 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 11161 - 11180 จากข้อมูลทั้งหมด 124240 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
11161 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรมภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน : กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) | วธ | 31/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรมภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน : กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ประกอบด้วย (๑) การแต่งตั้งคณะทำงานศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กระทรวงวัฒนธรรม (๒) การดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อเป็นการติดตามเฝ้าระวังและให้ความช่วยเหลือประชาชนในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี และมาตรการที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค (๓) การบูรณาการความร่วมมือกับชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร และภาคีเครือข่าย เพื่อป้องกันและบรรเทาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และ (๔) การจัดทำองค์ความรู้และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ เพื่อช่วยกันรณรงค์ให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องในการปฏิบัติตัว และมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวม ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11162 | การดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เพื่อบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดฃองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) | นร | 31/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้การบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตด้วย ดังนี้
๑. การรวบรวมข้อมูลมาตรการและจัดทำจดหมายเหตุสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ๑.๑ ให้กระทรวงสาธารณสุขรวบรวมข้อมูลมาตรการป้องกัน การรักษา และการบริหารจัดการ ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังรวบรวมข้อมูลมาตรการเยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ ๑.๓ ให้กระทรวงวัฒนธรรมจัดทำจดหมายเหตุสถานการณ์และการดำเนินการในมิติต่าง ๆ ทั้งในส่วนของประเทศไทยและภาพรวมของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดการออกประกาศเพื่อยกเว้นอากรสำหรับสินค้านำเข้าที่เกี่ยวกับการตรวจรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เช่น ยาและเวชภัณฑ์ หน้ากากอนามัย เครื่องมือ ชุดตรวจ และสิ่งของจำเป็นอื่น ๆ โดยเร็ว ทั้งนี้ ให้มีผลย้อนหลังนับแต่วันที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์) เร่งรัดการดำเนินการตรวจรับรองมาตรฐานอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ที่นำเข้าจากต่างประเทศเพื่อนำมาใช้ในการตรวจคัดกรองและรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด (ภายใน ๕ วัน) รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและป้องกันไม่ให้มีการทุจริตและเรียกรับผลประโยชน์ ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์กำกับดูแลการผลิตและการจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในการดำรงชีพของประชาชนให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเข้มงวดในราคาที่เป็นธรรม รวมทั้งพิจารณาทบทวนความจำเป็นและเหมาะสมของระยะเวลาการห้ามส่งออกไข่ไก่สดไปนอกราชอาณาจักรที่กำหนดไว้ ๗ วัน ตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๖๓ เรื่อง ห้ามส่งออกไข่ไก่สดไปนอกราชอาณาจักร ๕. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาประเมินผลมาตรการห้ามการเดินทางเข้า-ออกพื้นที่เขตจังหวัดที่ใช้ในจังหวัดภูเก็ต และสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส) หากมีผลสัมฤทธิ์เป็นที่น่าพอใจ สมควรที่จะนำไปปรับใช้ในพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศต่อไป ๖. ให้ฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย ดำเนินการอย่างเข้มงวดเพื่อมิให้มีการรวมกลุ่มของประชาชน เช่น การจัดการชกมวย การลักลอบเล่นการพนัน การมั่วสุมดื่มสุรา และเสพยาเสพติด การจัดการแข่งขันรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์บนถนน รวมถึงกรณีที่ผู้ให้บริการรถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ (วินมอเตอร์ไซค์) ไม่ใส่หน้ากากอนามัยและมีการพูดคุยกับผู้โดยสารในระหว่างการขับขี่ ๗. การจัดสรรและแจกจ่ายหน้ากากอนามัยที่ผลิตได้ภายในประเทศ จำนวน ๒,๓๐๐,๐๐๐ ชิ้น ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม-๓ เมษายน ๒๕๖๓ (๕ วัน) ให้จัดสรรให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มเสี่ยงก่อน โดยดำเนินการ ดังนี้ ๗.๑ ให้กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบการจัดหาหน้ากากอนามัยให้แก่กระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ ชิ้น และกระทรวงมหาดไทย จำนวนไม่น้อยกว่า ๘๐๐,๐๐๐ ชิ้น เพื่อนำไปแจกจ่ายให้แก่กลุ่มเป้าหมายในแต่ละวัน ๗.๒ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมประสานงานบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด รับผิดชอบการขนส่งหน้ากากอนามัยไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทยกำหนด ๗.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบการบริหารจัดการการแจกจ่ายหน้ากากอนามัย จำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ ชิ้นต่อวัน ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ ทั้งในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงสถานพยาบาลของเอกชน ๗.๔ ให้กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบการบริหารจัดการการแจกจ่ายหน้ากากอนามัยจำนวนไม่น้อยกว่าวันละ ๘๐๐,๐๐๐ ชิ้น ให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐทั่วประเทศที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ซึ่งปฏิบัติงานให้บริการแก่ประชาชน เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ทหาร ตำรวจ รวมทั้งประชาชนกลุ่มเสี่ยง ทั้งนี้ การจัดสรรหน้ากากอนามัยสำหรับประชาชนให้พิจารณาดำเนินการในระยะต่อไป ๘. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและกระทรวงสาธารณสุขประสานงานในการระดมนักศึกษาแพทย์และพยาบาล ตลอดจนนักศึกษาด้านสาธารณสุขอื่น ๆ เพื่อช่วยสนับสนุนการดูแลผู้ป่วย เพื่อแบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงเตรียมการรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ๙. ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการพิจารณากำหนดแนวทางการนำคนไทยที่อยู่ต่างประเทศเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทย โดยให้มีการกักกันตามมาตรการที่กำหนด รวมทั้งประสานประเทศต่าง ๆ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องรับชาวต่างประเทศกลับประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11163 | การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ | นร | 31/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ชี้แจงเกี่ยวกับการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ว่า ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๗๔/๒๕๕๗ เรื่อง การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นกฎหมายกลางที่กำหนดให้การประชุมตามที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องมีการประชุมสามารถกระทำผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายได้อีกทางหนึ่งด้วย โดยผู้ร่วมประชุมอย่างน้อยหนึ่งในสามขององค์ประชุม ไม่ใช่องค์ประกอบ ต้องอยู่ในที่ประชุมแห่งเดียวกัน เช่น คณะกรรมการมีจำนวน ๓๐ คน กรรมการ ๑๕ คน ย่อมเป็นองค์ประชุม ในการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต้องมีผู้ร่วมประชุมในที่เดียวกันอย่างน้อย ๕ คน และผู้ร่วมประชุมทั้งหมดต้องอยู่ในราชอาณาจักรขณะที่มีการประชุม และต้องสามารถประชุมปรึกษาหารือและแสดงความคิดเห็นระหว่างกันได้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ตามมาตรการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกำหนด ซึ่งได้มีประกาศกำหนดเรื่องดังกล่าวไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ แล้ว และในกรณีมีการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ให้จ่ายเบี้ยประชุมแก่ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนซึ่งได้แสดงตนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้ด้วย อนึ่ง ในกรณีที่คำนวณแล้วปรากฏว่า หนึ่งในสามขององค์ประชุมมีจำนวน ๑ คน ควรจะต้องจัดให้มีผู้เข้าร่วมประชุมอย่างน้อย ๒ คน อยู่ในที่ประชุมแห่งเดียวกันเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าว ส่วนการประชุมคณะรัฐมนตรี นั้น มาตรา ๘ แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ กำหนดองค์ประชุมของคณะรัฐมนตรีไว้ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนทั้งหมดที่มีอยู่ เมื่อคณะรัฐมนตรี (รวมนายกรัฐมนตรี) มีจำนวนทั้งหมด ๓๖ คน หนึ่งในสามของจำนวนที่มีอยู่ทั้งหมด คือ ๑๒ คน และหนึ่งในสามขององค์ประชุม คือ ๔ คน ดังนั้น การประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต้องมีรัฐมนตรีอยู่ในที่ประชุมแห่งเดียวกันอย่างน้อย ๔ คน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11164 | การขอปรับโครงสร้างกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (กองทุนย่อยกองที่ 1) | กค | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี โดยยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ [เรื่อง การจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (SMEs Private Equity Trust Fund)] และคณะกรรมการที่แต่งตั้งตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ยกเว้นกองทุนย่อยกองที่ ๑ ที่ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยได้จัดตั้งแล้ว ให้ดำเนินการต่อไป โดยปรับปรุงโครงสร้างและหลักการกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (กองทุนย่อยกองที่ ๑) ให้ลงทุนในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs)/วิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ที่มีศักยภาพสูงหรือที่ใช้เทคโนโลยีเป็นฐานในกระบวนการผลิตหรือให้บริการ หรืออยู่ในกลุ่มธุรกิจที่มีประโยชน์ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ ต้องเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตได้ โดยร่วมลงทุนได้ไม่เกิน ๕๐ ล้านบาทต่อราย และร่วมลงทุนแต่ละรายไม่เกินร้อยละ ๔๙ ของทุนจดทะเบียนของกิจการ และให้มีคณะกรรมการพิจารณานโยบายการลงทุนทำหน้าที่กำหนดกรอบนโยบายการลงทุนและกำกับดูแลการลงทุนของกองทุนร่วมฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย) รับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น (๑) การกำหนดวงเงินร่วมลงทุนไม่เกิน ๕๐ ล้านบาทต่อราย อาจทำให้เกิดความไม่ยืดหยุ่นในทางปฏิบัติ เพราะธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีเป็นฐานในการผลิตหรือให้บริการในบางอุตสาหกรรมใช้เงินลงทุนสูง และมีความเสี่ยงสูง แต่หากประสบผลสำเร็จก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศสูง ภาครัฐจำเป็นต้องช่วยแบ่งเบาความเสี่ยงบางส่วน ซึ่งอาจทำให้กองทุนร่วมฯ ต้องร่วมลงทุนสูงกว่า ๕๐ ล้านบาท จึงเห็นควรให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการพิจารณานโยบายการลงทุนในการพิจารณานโยบายการลงทุนในการกำหนดวงเงินการลงทุนให้เหมาะสมกับธุรกิจและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลา (๒) คณะกรรมการพิจารณานโยบายการลงทุนควรมีการกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือก SMEs ให้ชัดเจนและมีความโปร่งใส รวมทั้งควรมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนร่วมฯ เป็นระยะอย่างต่อเนื่อง และ (๓) กลุ่มเป้าหมาย อาจพิจารณาร่วมลงทุนกับกิจการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโคโรนา (COVID-19) เช่น ธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11165 | หลักเกณฑ์การกำหนดค่าตอบแทน ค่าใช้จ่าย เบี้ยประชุม และประโยชน์ตอบแทนอื่นของคณะกรรมการการอุดมศึกษา คณะกรรมการมาตรฐานการอุดมศึกษา และคณะอนุกรรมการ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2562 | อว | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11166 | รายงานตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ประจำปี 2561 | พม | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ ประจำปี ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นรายงานข้อมูลสถานการณ์ความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว รายงานความรุนแรงในครอบครัว และข้อเสนอแนะเชิงมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและต่อการดำเนินงาน เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้เสนอรัฐสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11167 | ให้หน่วยงานของรัฐตรวจสอบการออกกฎหมายลำดับรอง (ร่างกฎหมายลำดับรองซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 จำนวน 8 ฉบับ) | คค | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงและร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี รวม ๘ ฉบับ โดยเป็นกฎหมายลำดับรองซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขเกี่ยวกับการกำหนดราคาเบื้องต้นสำหรับที่ดินที่เวนคืน การกำหนดราคาสูงขึ้นหรือลดลงของที่ดินที่เหลือจากการเวนคืน การชดใช้เงินค่าทดแทนและการวางเงินค่าทดแทน การกำหนดเกี่ยวกับค่ารื้อถอน ค่าขนย้าย ค่าโรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง การจำหน่ายหรือทำลาย โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง การขอคืนที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้แก่เจ้าของเดิม ตลอดจนการเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์ของรัฐ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติซึ่งมีความเห็นบางประการ เช่น ร่างกฎหมายลำดับรองที่เสนอในครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินที่อาจมีความแตกต่างจากปัจจุบัน และอาจจะส่งผลกระทบต่อประมาณการค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน รวมถึงผลตอบแทนทางเศรษฐกิจของโครงการ จึงเห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานเจ้าของโครงการพิจารณาทบทวนค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินของโครงการที่ได้ประมาณไว้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ได้กำหนดไว้ในร่างกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง โดยกรณีที่หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการพบว่าค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนดำเนินการในขั้นตอนต่อไป เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ และมีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่าย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องคำนึงถึงระยะเวลาการใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับกำลังเงินของแผ่นดิน รวมถึงการนำเงินนอกงบประมาณหรือเงินรายได้มาประกอบการพิจารณาในการขอรับจัดสรรเงินค่าทดแทนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ด้วย และมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรับรู้ความเข้าใจในกฎหมายให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังเร่งดำเนินการออกกฎหมายลำดับรองที่อยู่ในความรับผิดชอบและจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยเร็ว ๔. ให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่งตรวจสอบกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบทุกฉบับเพื่อดำเนินการออกกฎหมายลำดับรองให้ทันภายในกำหนดเวลาตามมาตรา ๒๒ ของพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ อย่างเคร่งครัดเพื่อมิให้เกิดปัญหาข้อกฎหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11168 | ขออนุมัติหลักการก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลราชวิถี | สธ | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ อนุมัติ และอนุญาตให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลราชวิถี เป็นอาคารสูง ๑๑ ชั้น ชั้นใต้ดิน ๒ ชั้น ความสูงของอาคารประมาณ ๕๕ เมตร ซึ่งมีความสูงเกินกว่าที่กำหนดไว้ในข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง กำหนดบริเวณซึ่งอาคารบางชนิดจะปลูกสร้างขึ้นมิได้ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุข (โรงพยาบาลราชวิถี) ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11169 | แนวทางการสนับสนุนจังหวัดในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ และทิศทางการพัฒนาจังหวัดในระดับพื้นที่ | นร12 | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการสนับสนุนจังหวัดในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ และทิศทางการพัฒนาจังหวัดในระดับพื้นที่ โดยให้หน่วยงานของรัฐที่ปฏิบัติงานในจังหวัดที่จะดำเนินกิจการหรือปฏิบัติงานใด ๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่แจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทราบก่อนดำเนินการในทุกเรื่อง และในกรณีที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเห็นว่า การดำเนินการดังกล่าวอาจมีผลกระทบต่อแผนการพัฒนาจังหวัด ให้หารือกับหัวหน้าหน่วยงานของรัฐนั้นโดยเร็ว เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) ให้ตรวจสอบและดำเนินการตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องและหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด และ (๒) หน่วยงานส่วนกลางควรพิจารณาให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจพิจารณาร่วมกับหน่วยงานต้นสังกัดในการประเมิน/ให้คุณให้โทษหัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานที่ปฏิบัติงานในจังหวัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณาศึกษา วิเคราะห์ และนำเสนอรูปแบบและกลไกในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารราชการในจังหวัดอย่างเป็นระบบ โดยครอบคลุมถึงภารกิจในการขับเคลื่อนการพัฒนาและการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ เช่น ปัญหาอุทกภัย ภัยแล้ง และโรคระบาด รวมถึงบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบด้วย เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อพัฒนาจังหวัดต้นแบบที่มีประสิทธิภาพในการบริหารราชการในจังหวัด ภายใต้โครงการห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab : Gov Lab) ก่อนขยายผลการดำเนินการไปยังพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11170 | รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน | พน | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ประกอบด้วย (๑) ผลการดำเนินงานการกำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ (๒) ผลการดำเนินงานกองทุนพัฒนาไฟฟ้าประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ (๓) งบการเงินและบัญชีทำการของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และกองทุนพัฒนาไฟฟ้า และ (๔) แผนการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11171 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ กรมโยธาธิการและผังเมือง สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2561 | มท | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ กรมโยธาธิการและผังเมือง สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองงบการเงินแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้นำเสนอรัฐสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11172 | ผลการเยือนกรุงโตเกียว และจังหวัดชิบะ ประเทศญี่ปุ่น ของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) | นร13 | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการเยือนกรุงโตเกียว และจังหวัดชิบะ ประเทศญี่ปุ่น ของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ โดยได้พบปะหารือในประเด็นต่าง ๆ กับภาครัฐและหน่วยงานพันธมิตร รวมทั้งภาคเอกชนของญี่ปุ่น ได้แก่ (๑) การเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership : CPTPP) ของไทย โดยไทยจะเสนอเรื่องการเข้าร่วม CPTPP ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนเมษายน ๒๕๖๓ และจะยื่นความจำนงเข้าร่วมเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการในการประชุมคณะกรรมาธิการ CPTPP ครั้งที่ ๓ ณ สหรัฐเม็กซิโก ณ ในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๓ (๒) ความร่วมมือด้านการยกระดับภาคการเกษตรชุมชนของไทย โดยไทยได้ขอความร่วมมือจากหน่วยงานพันธมิตรและเอกชนของญี่ปุ่นที่มีบทบาทในการพัฒนาการเกษตรของญี่ปุ่น เพื่อนำเทคโนโลยีและรูปแบบการพัฒนาการเกษตรของญี่ปุ่นมายกระดับภาคการเกษตรชุมชนของไทยให้เป็นเกษตรกรรมสมัยใหม่ โดยเฉพาะด้านเครื่องจักรแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร และ (๓) การหารือกับภาคเอกชนรายบริษัท โดยได้หารือกับผู้บริหารจากภาคเอกชนที่มีแผนการขยายการลงทุนในไทย รวมถึงบริษัทที่สนใจจะนำสินค้าเกษตรและสินค้าจากชุมชนของไทยไปจำหน่ายในตลาดผู้บริโภคญี่ปุ่นและเทศอื่น ๆ และเห็นชอบการมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการหารือให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการเร่งศึกษาประโยชน์และผลกระทบในการเข้าร่วมเป็นสมาชิก CPTPP อย่างรอบด้าน รวมทั้งทำความเข้าใจกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องภายในประเทศ และหาแนวทางรองรับที่เหมาะสมเพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาและสามารถดำเนินกระบวนการที่เกี่ยวข้องได้ตามกรอบเวลาที่คาดการณ์ไว้ การส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามสาขาการลงทุนเพื่อรองรับการขยายตัวของการลงทุนของญี่ปุ่นในไทยในระยะยาว และการสานต่อความร่วมมือกับญี่ปุ่นเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในภาคเกษตรกรรมของไทย โดยเฉพาะในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการผลิตและการแปรรูปผลิตภัณฑ์ซี่งจะมีส่วนช่วยส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มต่อสินค้าเกษตรของไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11173 | การเสนอสงกรานต์ในประเทศไทย เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโก | วธ | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้
๑. เอกสารนำเสนอสงกรานต์ในประเทศไทย ขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโก ๒. ให้อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เป็นผู้ลงนามในเอกสารนำเสนอสงกรานต์ในประเทศไทย ในฐานะตัวแทนของประเทศไทย เพื่อเสนอขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11174 | รายงานประจำปี 2561 ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) | พณ | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๑ ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (สคพ.) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยมีผลการดำเนินงานสรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดการฝึกอบรม ประชุม สัมมนาให้แก่ประชาชนและบุคลากรทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีเนื้อหาครอบคลุมด้านการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ด้านการค้า/การลงทุน/การพัฒนาระหว่างประเทศ ด้านมาตรการการค้า/การลงทุนระหว่างประเทศ และด้านกฎหมายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ ๒. การดำเนินโครงการวิจัย เช่น โครงการการศึกษาโอกาสและการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation) ในกลุ่มประเทศ CLMVT โครงการการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของประเทศสมาชิกอาเซียนสู่ความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่คุณค่าโลก (Global Value Chain) รายงานการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการลงทุนด้านพลังงานทดแทนในประเทศสมาชิกอาเซียน และรายงานวิจัยเชิงนโยบายด้านการพัฒนาการค้าชายแดนไทย-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นต้น ๓. การดำเนินการด้านวิชาการ ได้สนับสนุนการจัดทำผลงานทางวิชาการที่เป็นบทความและเผยแพร่ข้อมูลวิชาการของสถาบันผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุ โทรทัศน์ และเว็บไซต์ สคพ. รวมทั้งขยายเครือข่ายการสร้างองค์ความรู้และการให้บริการวิชาการเพื่อการค้าและการพัฒนาทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ๔. การดำเนินงานของศูนย์ศึกษาวิเคราะห์แนวโน้มด้านการค้าและการพัฒนา ได้จัดการประชุมรับฟังความคิดเพื่อวิเคราะห์ประเด็นต่าง ๆ เช่น การค้าภาคบริการ การค้าชายแดน การพัฒนาที่ยั่งยืน จัดทำเอกสารรายงานผลการวิเคราะห์ด้านการค้าและการพัฒนา และจัดงานแถลงข่าวเพื่อเผยแพร่สรุปเล่มผลการศึกษาวิเคราะห์แนวโน้มด้านการค้าและการพัฒนา เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11175 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 23 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ณ เมืองบันดาร์เสรีเบกาวัน บรูไนดารุสซาลาม | กก | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๒-๑๖ มกราคม ๒๕๖๓ ณ เมืองบันดาร์เสรีเบกาวัน บรูไนดารุสซาลาม ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๓ ที่ประชุมได้รับรองเอกสารผลลัพธ์ จำนวน ๑ ฉบับ ได้แก่ ถ้อยแถลงข่าวร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ มีสาระสำคัญ เช่น (๑) พึงพอใจต่อจำนวนสถิตินักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังภูมิภาคอาเซียนในปี ๒๕๖๒ มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เป็นจำนวน ๑๓๓.๑ ล้านคน และสัดส่วนนักท่องเที่ยวภายในภูมิภาคอาเซียน คิดเป็นร้อยละ ๓๖.๗ ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก (๒) ร่วมเป็นสักขีพยานในการเปิดเว็บไซต์ใหม่การท่องเที่ยวอาเซียน https://visitseasia.travel ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแบบครบวงจรให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และกิจกรรมการท่องเที่ยวในอาเซียน (๓) สนับสนุนให้ “Digital Tourism” เป็นวาระสำคัญของอาเซียนในปี ๒๕๖๓ (๔) การลงนามพิธีสารเพื่อแก้ไขข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียน เพื่อขยายให้ครอบคลุมไปยังบุคลากรวิชาชีพในอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) และการจัดงาน (Event) รวมถึงบุคลากรวิชาชีพสปาอาเซียน และ (๕) ให้การรับรองกรอบการดำเนินงานพัฒนาเรื่องเพศสภาพบุคลากรการท่องเที่ยวอาเซียน (The ASEAN Gender and Development Framework) และแผนการดำเนินงานปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๗๓ เป็นต้น ๒. การประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนบวกสาม (จีน ญี่ปุ่น เกาหลี) ครั้งที่ ๑๙ เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๓ ที่ประชุมได้รับรองเอกสารผลลัพธ์ จำนวน ๑ ฉบับ ได้แก่ ถ้อยแถลงข่าวร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนบวกสาม (จีน ญี่ปุ่น เกาหลี) ครั้งที่ ๑๙ มีสาระสำคัญ เช่น (๑) รับรองแผนงานมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อมอาเซียนบวกสาม และ (๒) เห็นชอบการจัดทำเอกสารแผนงานความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวอาเซียนบวกสามที่เป็นไปตามยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวอาเซียน พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘ (ATSP 2016-2025) เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11176 | รายงานการขับเคลื่อนแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2559-2564) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | วธ | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการขับเคลื่อนแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยใช้กลไกภาคีเครือข่ายในภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ร่วมบูรณาการในการดำเนินงาน ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความเข้าใจในการขับเคลื่อนแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) มีการดำเนินงาน เช่น จัดการประชุมสัมมนา “การส่งเสริมและพัฒนาองค์กรชุมชน อำเภอ และจังหวัดคุณธรรม จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ ติดตามการดำเนินงานส่งเสริมและพัฒนาองค์กร ชุมชน อำเภอและจังหวัดคุณธรรม และจัดสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๐ ภายใต้แนวคิดหลัก “๑ ทศวรรษ สร้างสังคมคุณธรรม : วินัยคนสะท้อนวินัยชาติ” เป็นต้น ๒. ด้านวิชาการและการประชาสัมพันธ์ มีการดำเนินงาน เช่น จัดทำหนังสือ “การส่งเสริมคุณธรรม พอเพียง วินัย สุจริต จิตอาสา สร้างคนดีสู่สังคม” เพื่อเผยแพร่เป็นแนวทางการดำเนินงานแก่หน่วยงานทุกภาคส่วน และจัดทำหนังสือการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๖๒ ภายใต้แผนแม่บทฯ เพื่อประชาสัมพันธ์ผลงานของแต่ละหน่วยงาน เป็นต้น ๓. ด้านการส่งเสริมชุมชน องค์กร อำเภอ จังหวัดคุณธรรม โดยจัดทำเกณฑ์การประเมิน ๙ ขั้นตอน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาองค์กร ชุมชน อำเภอ จังหวัดคุณธรรม ใน ๓ ระดับ ได้แก่ ระดับส่งเสริมคุณธรรม ระดับคุณธรรม และระดับคุณธรรมต้นแบบ ๔. แนวทาง/แผนการดำเนินการต่อไป เช่น จัดประชุมติดตามการขับเคลื่อนแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) ในระดับภูมิภาคทั้ง ๔ ภาค เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11177 | ร่างเอกสารโครงการแลกเปลี่ยนด้านการศึกษาและวิทยาศาสตร์ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและการค้าและกระทรวงนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งประเทศฮังการี ประจำปี ค.ศ. 2020 - 2022 | อว | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารโครงการแลกเปลี่ยนด้านการศึกษาและวิทยาศาสตร์ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม แห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงการต่างประเทศและการค้า และกระทรวงนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งประเทศฮังการี ประจำปี ค.ศ. ๒๐๒๐-๒๐๒๒ มีสาระสำคัญเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งประเทศฮังการี โดยฝ่ายฮังการีเสนอให้ทุนการศึกษาเต็มจำนวนแก่ผู้รับทุนชาวไทย จำนวน ๔๐ ทุนต่อปี เพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ส่วนฝ่ายไทยให้ทุนการศึกษาเต็มจำนวนหรือทุนการศึกษาบางส่วนแก่นักเรียน/นักศึกษาฮังการี เพื่อศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาของไทยเป็นระยะเวลา ๑-๒ ภาคการศึกษา ในระหว่างปี ค.ศ. ๒๐๒๐-๒๐๒๒ ๑.๒ อนุมัติให้ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างเอกสารโครงการแลกเปลี่ยนฯ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการที่เห็นควรตัดเนื้อหาในร่างเอกสารโครงการฯ I. Higher Education Paragraph 4. ซึ่งระบุว่า “The Thai Participant will consider the Hungarian Participants as a key partner within the framework of the One District One Scholarship programme enhancing the studies of Thai students on BA/BSc level and promote the studies of Thai students in Hungary through the aforementioned programme” เนื่องจากโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน (One District One Scholarship : ODOS) จะสิ้นสุดการดำเนินโครงการในปี ๒๕๖๓ และปัจจุบันยังไม่มีแผนการดำเนินโครงการในรุ่นต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารโครงการแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11178 | ร่างพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อก | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ เฉพาะมาตรการที่มีความจำเป็นต้องดำเนินการโดยเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศและการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงมหาดไทยดำเนินการจัดทำร่างกฎหมายให้สอดคล้องกับนโยบาย BCG Model โดยเปิดโอกาสให้นำอ้อยไปผลิตเป็นเอทานอลหรือผลิตภัณฑ์ชีวมวลที่ผูกกับรายได้เกษตรกร รวมถึงพลังงานไฟฟ้าชุมชนต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมชี้แจงมาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ที่ก่อให้เกิดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน ๒.๕ ไมครอน (PM ๒.๕) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๒ (เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้) โดยให้รายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรีถัดไป (๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11179 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารสำนักงบประมาณแห่งใหม่ของสำนักงบประมาณ และรายการค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารสำนักงบประมาณแห่งใหม่ของสำนักงบประมาณ | นร07 | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จำนวน ๒ รายการ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. รายการก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ของสำนักงบประมาณ จากเดิม วงเงิน ๑,๖๑๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๖๒ (๖ ปี) เป็น วงเงิน ๑,๖๙๐,๐๗๕,๗๐๐ บาท ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๖๓ (๗ ปี) ๒. รายการค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ของสำนักงบประมาณ จากเดิม วงเงิน ๔๐,๖๘๖,๕๐๐ บาท ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๖๒ (๖ ปี) เป็น วงเงิน ๕๔,๑๒๒,๘๐๐ บาท ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ ๒๕๖๓ (๗ ปี)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11180 | ผลการประชุมคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (กพย.) ครั้งที่ 1/2562 | นร11 | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (กพย.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๒ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมเห็นชอบหลักการร่างแผนการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) สำหรับประเทศไทย และมอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินงานขับเคลื่อนตามแผนดังกล่าวในรายละเอียดร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ต่อไป และเห็นชอบให้ยกเลิกการดำเนินงานที่คณะอนุกรรมการต่าง ๆ ภายใต้ กพย. ได้เคยสั่งการไว้ และปรับการดำเนินงานให้สอดคล้องกับแผนที่เสนอในครั้งนี้ ๒. ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการให้มีการจัดกลุ่มจังหวัด ๔ ระดับ จำแนกตามศักยภาพ ได้แก่ กลุ่มที่ ๑ เป็นพื้นที่/จังหวัดที่มีความเหลื่อมล้ำสูง ยังขาดความพร้อม ต้องได้รับการสนับสนุนอย่างเร่งด่วน กลุ่มที่ ๒ เป็นพื้นที่/จังหวัดที่มีศักยภาพ แต่ยังมีข้อจำกัดที่จะพัฒนา กลุ่มที่ ๓ เป็นพื้นที่/จังหวัดที่มีศักยภาพและพร้อมที่จะพัฒนา และกลุ่มที่ ๔ เป็นพื้นที่/จังหวัดที่มีความเข้มแข็ง พร้อมขยายผลออกไปภายนอก โดยเพิ่มเติมตัวชี้วัดตาม SDGs ๓๔ ตัวชี้วัดตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และมอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงมหาดไทยคัดเลือกจังหวัดนำร่องในพื้นที่ ๖ ภาค และกระจายตัวตามกลุ่มจังหวัด ๔ ระดับ เพื่อทดลองจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนาท้องถิ่นต่อไป ๓. ที่ประชุมเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ จำนวน ๔ คณะ ประกอบด้วย คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน คณะอนุกรรมการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คณะอนุกรรมการติดตามและประเมินผลการพัฒนาที่ยั่งยืน และคณะอนุกรรมการการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ ๔. ที่ประชุมรับทราบระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นการแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๙ เช่น การเพิ่มปลัดกระทรวงยุติธรรมและเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเป็นองค์ประกอบของคณะกรรมการ และการเพิ่มอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการให้เสนอแนะให้มีการกำหนด แก้ไขเพิ่มเติมหรือปรับปรุงมาตรการด้านเศรษฐศาสตร์ สังคม สิ่งแวดล้อม และกฎหมาย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อคณะรัฐมนตรี ๕. ที่ประชุมรับทราบผลการประชุม High-Level on Political Forum (HLPF) on Sustainable Development 2019 และการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Summit) ๖. ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงาน ประกอบด้วยการจัดการความรู้ การขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่สนับสนุนการบรรลุ SDGs การขับเคลื่อนขยายผลและการพัฒนาเครือข่าย การสื่อสารสาธารณะ การจัดทำเครื่องมือติดตามและประเมินผล ตลอดจนการจัดงานก้าวพอดี (A Bright Leap Forward) ร่วมกับภาคีเครือข่ายเพื่อนำเสนอผลการใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการสนับสนุนการบรรลุ SDGs ๗. ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการขับเคลื่อน ประกอบด้วยการสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และอยู่ระหว่างจัดทำ (ร่าง) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ พ.ศ. ....
|
.....