ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 552 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 11021 - 11040 จากข้อมูลทั้งหมด 124006 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
11021 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เต้าเสียบและเต้ารับสำหรับใช้ในที่อยู่อาศัยและงานทั่วไปที่มีจุดประสงค์คล้ายกัน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เต้าเสียบและเต้ารับสำหรับใช้ในที่อยู่อาศัยและงานทั่วไปที่มีจุดประสงค์คล้ายกัน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเต้าเสียบและเต้ารับสำหรับใช้ในที่อยู่อาศัยและงานทั่วไปที่มีจุดประสงค์คล้ายกัน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยและป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดแก่ผู้บริโภค ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11022 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หลอดไฟฟ้าไส้ทังสเตนสำหรับใช้ในที่อยู่อาศัย และที่มีจุดประสงค์ให้แสงสว่างทั่วไปที่คล้ายกัน เล่ม 1 คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 4 เล่ม 1 - 2558 พ.ศ. .... | อก | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หลอดไฟฟ้าไส้ทังสเตนสำหรับใช้ในที่อยู่อาศัยและที่มีจุดประสงค์ให้แสงสว่างทั่วไปที่คล้ายกัน เล่ม ๑ คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก.๔ เล่ม ๑-๒๕๕๘ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหลอดไฟฟ้าไส้ทังสเตนสำหรับใช้ในที่อยู่อาศัยและที่มีจุดประสงค์ให้แสงสว่างทั่วไปที่คล้ายกัน เล่ม ๑ คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยและป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดแก่ผู้บริโภค ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11023 | ผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง | กต | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนางแคร์รี หล่ำ (Carrie Lam) ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ในฐานะแขกของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ระหว่างวันที่ ๒๘-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ โดยมีภารกิจหลักระหว่างการเยือนและประเด็นสำคัญของการหารือ ได้แก่ (๑) การเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี โดยทั้งสองฝ่ายย้ำถึงความสำคัญของการผลักดันการเชื่อมโยงทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับเขตบริหารพิเศษฮ่องกง (๒) การประชุม High Level Joint Committee (HLJC) ไทย-ฮ่องกง ครั้งที่ ๑ ได้ร่วมกันกำหนดแนวทางและมาตรการการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ เช่น ด้านการค้า ด้านการโยกย้ายฐานการผลิตและการลงทุน และด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เป็นต้น และ (๓) การลงนามบันทึกความเข้าใจ โดยรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกงได้ร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเสริมสร้างความส้มพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับฮ่องกง รวมทั้งร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนไทยกับเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการเยือนดังกล่าว ได้แก่ การเพิ่มพูนมูลค่าการค้า การจัดทำความตกลงการค้าเสรี การลงทุน อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ การเงิน การแลกเปลี่ยนวิสาหกิจและวิสาหกิจเริ่มต้น (Start-up) ด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล การพัฒนาทรัพยากรบุคคล การท่องเที่ยว และความเชื่อมโยงระดับประชาชน การเชื่อมโยงเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และการขับเคลื่อนการประสานงานและการทำงานของกลไกการประชุมระดับสูงไทย-ฮ่องกง เพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11024 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 และในภาพรวมของปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | นร01 | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติแล้วถึงร้อยละ ๘๙.๔๑ และยังคงมีเรื่องที่อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร้อยละ ๑๐.๕๙ สำหรับภาพรวมสถิติผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติแล้วถึงร้อยละ ๙๐.๗๖ และยังคงมีเรื่องที่อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงร้อยละ ๙.๒๔ และมอบหมายให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญแก่การแจ้งความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และเร่งรัดการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม ๒. ให้ส่วนราชการใช้กลไกของผู้นำการขับเคลื่อนการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ประจำหน่วยงาน (Chief Complaint Executive Office : CCEO) ทำหน้าที่ในการกำกับดูแลการดำเนินงานด้านการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ ประสานความร่วมมือ ติดตามและประเมินผลการดำเนินการเรื่องราวร้องทุกข์และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ ๓. ให้หน่วยงานที่มีระบบฐานข้อมูลเรื่องร้องทุกข์ให้ความร่วมมือในการเชื่อมโยงข้อมูลเรื่องร้องทุกข์กับศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงมหาดไทย ซี่งมีศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดและอำเภอที่รับเรื่องและแก้ไขปัญหาโดยตรงในพื้นที่ เพื่อให้เป็นฐานข้อมูลเรื่องร้องทุกข์ในภาพรวมของประเทศ อันจะส่งผลให้การประมวลผลปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนสะท้อนภาพรวมของประเทศ รวมถึงการนำข้อมูลไปประเมินสถานการณ์หรือคาดการณ์ล่วงหน้า เพื่อกำหนดเป็นนโยบาย มาตรการ และแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่มีประสิทธิภาพได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11025 | ขอปรับปรุงและเพิ่มเติมองค์ประกอบคณะกรรมการพิจารณายกเว้นอากรนำเข้าสื่อ วัสดุ เครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการศึกษา | ศธ | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงและเพิ่มเติมองค์ประกอบคณะกรรมการพิจารณายกเว้นอากรนำเข้าสื่อ วัสดุ เครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการศึกษา โดยมีอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการคงเดิม ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. การปรับปรุงองค์ประกอบของประธานกรรมการ จากเดิม “รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการที่ได้รับมอบหมาย” เป็น “ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ หรือรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการที่ได้รับมอบหมาย” ๒. การปรับปรุงองค์ประกอบของกรรมการ จำนวน ๒ ตำแหน่ง ได้แก่ ๒.๑ จากเดิม “ผู้แทนกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร” เป็น “ผู้แทนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม” ๒.๒ จากเดิม “ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา” เป็น “ผู้แทนสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” ๓. การเพิ่มเติมองค์ประกอบของกรรมการ เพิ่มเติม กรรมการผู้แทนด้านวิทยาศาสตร์จากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จำนวน ๒ ตำแหน่ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11026 | การกู้เงินเพื่อใช้ในกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์ ประจำปีงบประมาณ 2563 จำนวน 500 ล้านบาท | พม | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการกู้เงินเพื่อใช้ในกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวน ๕๐๐ ล้านบาท เพื่อไว้ใช้เป็นเงินทุนในการหมุนเวียน รองรับธุรกรรมการรับจำนำของประชาชนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเพื่อประกันการขาดสภาพคล่องทางการเงินที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินกิจการ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดย สธค. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควร (๑) ดำเนินการขยายสาขาในการให้บริการให้ได้ตามแผน เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงบริการทางการเงินได้มากขึ้น (๒) ดำเนินการให้สอดคล้องกับมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยต้องก่อหนี้ด้วยความรอบคอบ และคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ การกระจายภาระการชำระหนี้ ตลอดจนดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบและหลักเกณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง (๓) จัดทำแผนบริหารความเสี่ยง การวางแผนทางการเงินล่วงหน้า และการพัฒนาระบบบริการทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถบริการประชาชนได้ทันต่อสถานการณ์ และการกู้เงินดังกล่าวจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัด และ (๔) ให้ความสำคัญกับการทำงานเชิงรุกในการยกระดับการให้บริการ การพิจารณาหาแหล่งรายได้อื่นเพิ่มเติม รวมถึงการลดต้นทุนในการดำเนินการ เพื่อเพิ่มรายได้ของ สธค. และป้องกันการขาดสภาพคล่องที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11027 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ | กห | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN Defence Ministers’ Meeting Retreat : ADMM Retreat) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนกระทรวงกลาโหมเข้าร่วมการประชุม ADMM Retreat ซึ่งที่ประชุมฯ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองด้านความมั่นคงของภูมิภาคในประเด็นการก่อการร้าย แนวคิดนิยมความรุนแรง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ความมั่นคงทางทะเล และการแข่งขันของประเทศมหาอำนาจ รวมทั้งโรคระบาด เป็นความท้าทายที่สำคัญที่อาเซียนจะต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง โดยที่ประชุมฯ ได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาโรคระบาดเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านการแพทย์ทหาร และประสานความร่วมมือระหว่างสาขาความร่วมมือของอาเซียน โดยพิจารณาให้มีการจัดการฝึกภายใต้กรอบของศูนย์แพทย์ทหารอาเซียนในโอกาสแรก ในการเตรียมพร้อมในการรับมือกับปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด ๒๐๑๙ (COVID-19) นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลียอย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN-Australia Defence Ministers’ Informal Meeting) เพื่อรับทราบวิสัยทัศน์ ปี ๒๐๒๐ ของเครือรัฐออสเตรเลีย ว่าด้วยการปฏิสัมพันธ์ด้านการป้องกันประเทศกับอาเซียน (Australia’s 2020 Vision for Defence Engagement with ASEAN) และได้หารือทวิภาคีกับคณะผู้แทนกระทรวงกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียน จำนวน ๓ ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11028 | ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาดูไบ (Dubai Declaration) | รง | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาดูไบ (Dubai Declaration) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานรับรองร่างปฏิญญาฯ โดยไม่มีการลงนาม โดยร่างปฏิญญาฯ เป็นเอกสารที่สำนักเลขาธิการ Abu Dhabi Dialogue (ADD) ได้นำหารือในการประชุมระดับรัฐมนตรีภายใต้กรอบความร่วมมือ ADD ครั้งที่ ๕ ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๒ ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางความร่วมมือระหว่างประเทศด้านแรงงานภายใต้กรอบความร่วมมือ ADD ในประเด็นต่าง ๆ เช่น การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยสนับสนุนการทำงานและความโปร่งใสของการจัดหางาน การพัฒนาฝีมือแรงงานและการรับรองมาตรฐานฝีมือ การพัฒนางานวิจัยในประเด็นที่เกี่ยวกับผลกระทบ ความท้าทาย และโอกาสของงานในอนาคต (Future of Works) ที่จะเกิดขึ้น การพัฒนาความร่วมมือให้มากขึ้นในด้านการจัดมาฐานความสามารถของแรงงานทำงานบ้าน (Domestic Worker Competency Standards) และการส่งเสริมให้มีความร่วมมือระหว่างภูมิภาคในการผลักดันให้เรื่องการเคลื่อนย้ายแรงงานก้าวไปสู่การประชุมบนเวทีโลก เป็นต้น และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานรับรองร่างปฏิญญาฯ โดยไม่มีการลงนาม ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. การประชุมครั้งต่อ ๆ ไป หากมีกรณีที่จะต้องรับรองเอกสารในที่ประชุม ให้กระทรวงแรงงานเร่งประสานงานกับประเทศเจ้าภาพโดยเร็ว เพื่อให้สามารถพิจารณากำหนดท่าทีของไทยหรือนำเสนอประเด็นในเชิงรุกได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด ตามนัยข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ให้กระทรวงแรงงานพิจารณากำหนดข้อสงวนหรือชะลอการรับรองหรือลงนามในเอกสารนั้น ๆ ไปก่อน ตามนัยข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11029 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน รวม 3 ฉบับ | กษ | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทานจากผู้ใช้น้ำที่นำน้ำไปใช้เพื่อกิจการโรงงาน การประปา หรือกิจการอื่นนอกจากภาคเกษตรกรรม เพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลปริมาณน้ำ และให้การใช้น้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวม ๓ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษารังสิตใต้ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองซอย ๕ จากกิโลเมตรที่ ๑๙.๖๔๕ ในท้องที่ตำบลบึงยี่โถ และตำบลรังสิต อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ถึงกิโลเมตรที่ ๒๘.๑๔๕ ในท้องที่ตำบลลาดสวาย และตำบลบึงคำพร้อย อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน และกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองซอย ๖ จากกิโลเมตรที่ ๑๙.๕๔๔ ในท้องที่ตำบลรังสิต อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ถึงกิโลเมตรที่ ๒๙.๑๔๔ ในท้องที่ตำบลบึงคำพร้อย อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาดอนเจดีย์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองซอย ๑๕ ซ้าย ของคลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ของคลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง ในท้องที่ตำบลดอนเจดีย์ อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี ถึงกิโลเมตรที่ ๔.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลดอนเจดีย์ อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน และกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองซอย ๑๖ ซ้าย ของคลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ของคลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง ในท้องที่ตำบลดอนเจดีย์ อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี ถึงกิโลเมตรที่ ๓.๖๒๐ ในท้องที่ตำบลดอนเจดีย์ อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำคลองสียัด เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำคลองสียัด ในท้องที่ตำบลท่าตะเกียบ และตำบลคลองตะเกรา อำเภอท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11030 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ไปพลางก่อน งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ครั้งที่ 2 รวมทั้งสิ้น 691.12 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (จำนวน 17 จังหวัด) ของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท | คค | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน ๑๗ จังหวัด ภายในวงเงิน ๖๙๑,๑๒๐,๐๐๐ บาท ประกอบด้วย กรมทางหลวง จำนวน ๒๙ รายการ วงเงิน ๓๗๓,๗๐๐,๐๐๐ บาท และกรมทางหลวงชนบท จำนวน ๓๓ รายการ วงเงิน ๓๑๗,๔๒๐,๐๐๐ บาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยเบิกจ่ายในงบลงทุน และให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทจัดทำแบบรูปรายการและประมาณการค่าก่อสร้างเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ และเมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ มีผลใช้บังคับ ให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทหักงบประมาณที่ได้รับเพื่อการบูรณะ/ซ่อมแซมที่ได้ดำเนินการในพื้นที่แล้วออกจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท) รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งควรออกแบบโครงสร้างทางโดยเฉพาะในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากให้สามารถรองรับอุทกภัยได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้สามารถบริการประชาชนได้อย่างสะดวกและปลอดภัย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11031 | การขอเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งสำหรับข้าราชการตุลาการ | ศย | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานศาลยุติธรรมก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เพื่อเช่ารถประจำตำแหน่งข้าราชการตุลาการมาใช้ในราชการ จำนวน ๘๕ คัน อัตราค่าเช่าปีละ ๔๑,๘๒๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาเช่า ๕ ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น ๒๐๙,๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยค่าเช่าในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ที่ได้รับจัดสรรภายใต้แผนงานพื้นฐานด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ผลผลิตการอำนวยความยุติธรรมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพตามที่กฎหมายบัญญัติ งบเงินอุดหนุน เงินอุดหนุนทั่วไป รายการค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ที่ได้รับจัดสรรเป็นค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่ง ในวงเงิน ๑,๕๗๙,๐๑๒,๘๐๐ บาท โดยในการทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันขอให้สำนักงานศาลยุติธรรมคำนึงถึงงบประมาณและระยะเวลาที่คงเหลือในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมดำเนินการจัดหารถประจำตำแหน่งสำหรับข้าราชการตุลาการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11032 | การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2563 ถึงวันที่ 19 มิถุนายน 2563) | นร08 | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่ทุกอำเภอ ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยกเว้นอำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี อำเภอเบตง จังหวัดยะลา และอำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอสุคิริน อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส ออกไปอีก ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๓ ๒. เห็นชอบและรับทราบร่างประกาศ รวม ๓ ฉบับ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบร่างประกาศ เรื่อง การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส ยกเว้นอำเภอศรีสาคร อำเภอสุไหงโก-ลก และอำเภอสุคิริน จังหวัดยะลา ยกเว้นอำเภอเบตง และจังหวัดปัตตานี ยกเว้นอำเภอแม่ลาน และร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ ๒.๒ รับทราบร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศและคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11033 | ร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกพืชกระท่อมออกจากการเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ และยกเลิกบทกำหนดโทษในความผิดเกี่ยวกับพืชกระท่อม เพื่อเป็นการควบคุมพืชกระท่อมให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพของสังคมไทย รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาการใช้ประโยชน์จากพืชกระท่อมในเชิงพาณิชย์อุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เห็นควรมีมาตรการทางกฎหมายควบคุมการใช้และการเข้าถึงพืชกระท่อมของเด็กและเยาวชนอาจมีลักษณะเช่นเดียวกับการควบคุมยาสูบหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตลอดจนศึกษาว่าผู้ใช้พืชกระท่อมยังสามารถควบคุมยานพาหนะหรือเครื่องจักรได้ตามปกติหรือไม่ และเพิ่มบทเฉพาะกาลเพื่อขยายระยะเวลาการบังคับใช้ออกไปจนกว่ามาตรการควบคุมต่าง ๆ จะเสร็จสิ้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงยุติธรรมเสนอประเด็นการปรับแก้ไขร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ต่อคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ แล้วแจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาตามความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงบประมาณที่เห็นควร (๑) พิจารณาให้มีกฎหมายอื่นรองรับเพื่อควบคุมและกำกับการนำพืชกระท่อมไปใช้ในผลิตภัณฑ์อื่น ๆ และการนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง (๒) หากมีการยกเลิกพืชกระท่อมหน่วยงานของรัฐควรมีกฎหมายหรือมาตรการควบคุมการเข้าถึงพืชกระท่อมของเด็กและเยาวชน รวมถึงควบคุมการใช้แบบผิดวิธีที่ชัดเจน ก็สามารถนำพืชกระท่อมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ (๓) เนื่องจากพืชกระท่อมมีฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ควรมีการควบคุมการใช้พืชกระท่อมโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน อาทิ กำหนดอายุขั้นต่ำของผู้ที่จะใช้พืชกระท่อม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว (๔) หากรัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจน มีผลการศึกษาวิจัยเป็นที่ประจักษ์ว่า ไม่ควรจัดให้พืชกระท่อมเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ อีกต่อไป รวมทั้งมีการรับฟังความคิดเห็นและสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนให้เข้าใจถูกต้องครบถ้วนแล้ว ก็สามารถดำเนินการได้ และ (๕) ควรเร่งสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่บุคคลทั่วไป โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนเกี่ยวกับการใช้พืชกระท่อมในทางที่ถูกต้อง และป้องกันการใช้พืชกระท่อมในทางที่ผิด เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการนำพืชกระท่อมมาใช้ประโยชน์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเร่งสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ประชาชนทั่วไปในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กและเยาวชนเกี่ยวกับการใช้พืชกระท่อมและการนำพืชกระท่อมไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ในทางที่ถูกต้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11034 | (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2562-2565) | ยธ | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) โดยมีวิสัยทัศน์ “การบริหารงานยุติธรรมมีธรรมาภิบาลและทันสมัย สร้างสังคมไทยเคารพกฎหมาย มีความปลอดภัยและสงบสุข” พันธกิจ เช่น เสริมสร้างการป้องกันการกระทำผิดโดยสร้างความรู้ความเข้าใจด้านความยุติธรรมและกฎหมาย ปรับปรุงและพัฒนากระบวนการไกล่เกลี่ยเพื่อใช้ระงับข้อพิพาทหรือยุติความขัดแย้ง โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมและสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้สะดวกและง่าย และเพิ่มประสิทธิภาพการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน โดยการพัฒนากฎหมายและระบบบริหารงานยุติธรรม มีเป้าหมาย ได้แก่ การบริหารงานยุติธรรมที่มีธรรมาภิบาลและโปร่งใส และสังคมมีความสงบเรียบร้อย ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและการมีส่วนร่วมด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม (๒) การส่งเสริมและพัฒนากระบวนการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาททั้งทางอาญา ทางแพ่งและพาณิชย์ และทางปกครอง (๓) การพัฒนากฎหมายและระบบบริหารงานยุติธรรม (๔) พัฒนาระบบการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด และ (๕) การขับเคลื่อนกระบวนการยุติธรรมด้วยดิจิทัล ตามที่คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเสนอ ๑.๒ ให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องนำไปใช้เป็นกรอบทิศทางและแนวทางดำเนินงาน รวมทั้งใช้เป็นกรอบแนวทางในการเสนอคำของบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕ ๑.๓ ให้สำนักงบประมาณใช้เป็นแนวทางการจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕ แก่หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ๑.๔ ให้สำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการประสาน สนับสนุน ติดตามประเมินผลเพื่อการดำเนินงานขับเคลื่อนแผนแม่บทฯ ไปสู่การปฏิบัติและรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่อง ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาใช้คำว่า “การรณรงค์” หรือ “การส่งเสริม” แทนการใช้คำว่า “การสร้างแรงจูงใจ” ในแนวทางการขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติในทุก ๆ ขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม เนื่องจากการเคารพกฎหมายเป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะต้องรับรู้และปฏิบัติตาม และหากมีการกำหนดโครงการสำคัญเร่งด่วนที่จะนำไปสู่การบรรลุยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนก็จะเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนแผนแม่บทฯ ให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11035 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. .... | นร09 | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่งสำหรับปี ๒๕๖๓ ตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11036 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย - บังกลาเทศ ครั้งที่ 5 | พณ | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-บังกลาเทศ ครั้งที่ ๕ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๗-๘ มกราคม ๒๕๖๓ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์บังกลาเทศ (H.E. Mr.Tipu Munshi) เป็นประธานร่วม โดยผลการประชุมมีสาระสำคัญเกี่ยวกับภาพรวมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การส่งเสริมการค้าการลงทุน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และประเด็นอื่น ๆ ซึ่งเป็นการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนระหว่างกันให้มากขึ้น รวมทั้งเป็นการกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจในด้านที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพร่วมกัน ได้แก่ อุตสาหกรรม เกษตร ประมง ปศุสัตว์ บริการสุขภาพและสาธารณสุข และความเชื่อมโยงทางคมนาคม เพื่อผลักดันให้มูลค่าการค้าระหว่างกันบรรลุเป้าหมายที่ ๒,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๔ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เป็นต้น ดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าวให้มีผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11037 | ผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ 3 | ทส | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดยมีประเด็นสำคัญ เช่น (๑) ที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ ๓ มีมติแต่งตั้งให้ ดร. ประเสริฐ ตปนียางกูร เป็นผู้แทนภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เพื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกของคณะกรรมการบริหารแผนงานพิเศษระหว่างประเทศต่อเป็นวาระที่ ๒ (๒) สาระสำคัญที่มีความก้าวหน้าในมติข้อตัดสินใจของการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ ๓ และจะนำไปหารือต่อเนื่องในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ ๔ ต่อไป เช่น ผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอทและกระบวนการผลิตที่มีการใช้ปรอทหรือสารประกอบปรอท การปลดปล่อยปรอทสู่ดินและน้ำ และการปล่อยปรอทจากการเผาในที่โล่งของของเสีย เป็นต้น และ (๓) การกำหนดการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ ๔ ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ ๓๑ ตุลาคม-๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ สมัยที่ ๓ ๒. มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) ในการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท และขับเคลื่อนการดำเนินงานภายในประเทศให้เป็นไปตามมติข้อตัดสินใจของการประชุมรัฐภาคีฯ สมัยที่ ๓ ดังนี้ ๒.๑ มอบหมายกระทรวงอุตสาหกรรม (กรมโรงงานอุตสาหกรรม และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกรมควบคุมมลพิษ) และกระทรวงพลังงาน (กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ) นำแนวทางการจัดการพื้นที่ปนเปื้อนที่ผ่านการรับรองโดยที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ ๓ มาปรับใช้ในทางปฏิบัติสำหรับประเทศไทยต่อไป ๒.๒ มอบหมายกระทรวงสาธารณสุข (กรมอนามัย) จัดส่งผู้แทนเพื่อเข้ารับการคัดเลือกเป็นผู้แทนภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเฉพาะกิจ ในการพิจารณาทบทวนภาคผนวก เอ และ บี โดยแจ้งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) ภายในวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓ ๒.๓ มอบหมายกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) จัดส่งผู้แทนผู้มีความชำนาญในการใช้งานพิกัดศุลกากรสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอทตามภาคผนวก เอ โดยแจ้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) ภายในวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓ เพื่อแจ้งสำนักเลขาธิการอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอททราบ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11038 | การยืนยันร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว (แผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ 1 ปี) | นร09 | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการดำเนินการเพื่อจัดทำแผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ ๑ ปี เนื่องจากขณะนี้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศกำลังปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศตามมติคณะรัฐมนตรี (๓ ธันวาคม ๒๕๖๒) ทำให้ข้อมูลเกี่ยวกับร่างกฎหมายที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้รับมาตามมติคณะรัฐมนตรี (๖ สิงหาคม ๒๕๖๒) จึงไม่สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศ สมควรรอให้มีการประกาศใช้บังคับแผนการปฏิรูปประเทศที่ปรับปรุงใหม่เสียก่อน เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะได้จัดทำแผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ ๑ ปี ให้สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศได้อย่างถูกต้อง โดยจะดำเนินการจัดทำแผนการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่มีการประกาศแผนการปฏิรูปประเทศที่ปรับปรุงใหม่ในราชกิจจานุเบกษา และจะได้นำเสนอแผนการเสนอร่างกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11039 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กำหนดด่านพรมแดนแม่สอด แห่งที่ 2 ของด่านศุลกากรแม่สอด) | กค | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย แห่งที่ ๒ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นด่านพรมแดนแม่สอด แห่งที่ ๒ ของด่านศุลกากรแม่สอด และกำหนดให้บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ๒ ริมฝั่งแม่น้ำเมยฝั่งไทย ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นเขตศุลกากร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11040 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับวัตถุอันตราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อก | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับวัตถุอันตราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมใบนำผ่านสำหรับวัตถุอันตรายชนิดที่ ๑ ชนิดที่ ๒ และชนิดที่ ๓ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการขออนุญาตนำเข้า ส่งออก หรือนำผ่านวัตถุอัตราย ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับหลายส่วนราชการ จึงเห็นว่าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องควรมีการดำเนินงานในลักษณะของการบูรณาการการทำงานร่วมกัน และควรพัฒนาระบบการให้บริการในการขออนุมัติอนุญาตจากภาครัฐและการชำระค่าธรรมเนียมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการเชื่อมโยงข้อมูลของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับระบบ i-Industry ซึ่งมีกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้รับผิดชอบหลัก เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....