ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1315 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 26281 - 26300 จากข้อมูลทั้งหมด 124012 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26281 | รายงานผลการเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงเพื่อความร่วมมือด้านภาษีอากรระหว่างประเทศและการปฏิบัติตาม Foreign Account Tax Compliant Act (ความตกลง FATCA) ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา | กค | 24/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการเจรจาจัดทำความตกลงเพื่อความร่วมมือด้านภาษีอากรระหว่างประเทศและการปฏิบัติตาม Foreign Account Tax Compliance Act : FATCA ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ คณะผู้แทนรัฐบาลไทยสำหรับการเจรจาความตกลง FATCA และคณะผู้แทนรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเพื่อการจัดทำความตกลง FATCA ได้ร่วมกันจัดทำร่างความตกลง FATCA เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๗ โดยได้ปรับร่างความตกลงมาตรฐาน (Model Text) ที่สหรัฐฯ จัดทำขึ้นสำหรับการเจรจากับประเทศต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสมกับข้อกำหนดของกฎหมายของไทย โดยหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐบาลไทยฯ และหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ร่วมลงนามในบันทึกการเจรจา (Agreed Minutes) และลงนามย่อ (initial) ในร่างความตกลง FATCA เพื่อรับรองความถูกต้องของร่างความตกลง FATCA เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๗ ๑.๑.๒ คณะผู้แทนรัฐบาลไทยฯ และคณะผู้แทนรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ร่วมกันจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) เกี่ยวกับความตกลง FATCA เพื่อลงนามพร้อมกับร่างความตกลง FATCA โดยเป็นความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับการยกเว้นการรายงานข้อมูลของผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตรายย่อย และการดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายของไทยเพื่อให้ความตกลง FATCA มีผลสมบูรณ์ รวมถึงกำหนดขั้นตอนในการขยายเวลาการสิ้นสุดของความตกลงหากประเทศไทยยังไม่สามารถเริ่มส่งข้อมูลให้สหรัฐฯ ได้ตามข้อกำหนดของความตกลง FATCA ๑.๑.๓ สหรัฐฯ มีกำหนดการเริ่มหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ ๓๐ จากรายได้ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ของสถาบันการเงินที่อยู่ในประเทศที่ไม่มีความตกลง FATCA กับสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ แต่สหรัฐฯ จะยกเว้นการเก็บภาษีจากสถาบันการเงินที่อยู่ในประเทศที่ได้มีการเจรจาในสาระสำคัญของร่างความตกลงกับสหรัฐฯ แล้ว (Reach Agreement in Substance) โดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ออกประกาศเพื่อกำหนดให้สถาบันการเงินที่อยู่ในประเทศที่ได้มีการเจรจาในสาระสำคัญของร่างความตกลง FATCA กับสหรัฐฯ แล้ว และได้มีการเผยแพร่ชื่อประเทศนั้นในเว็บไซต์ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ก่อนวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ ได้รับสิทธิประโยชน์จากความตกลง FATCA โดยจะได้รับยกเว้นการหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ ๓๐ นับตั้งแต่วันที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ประกาศชื่อประเทศดังกล่าวในเว็บไซต์ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ๑.๒ เห็นชอบให้ดำเนินการนำชื่อประเทศไทยขึ้นประกาศในเว็บไซต์ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เพื่อกระทรวงการคลังจะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังติดตามและประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว เพื่อรายงานคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
26282 | แนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2557/2558 | สลธ.คสช. | 24/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ตามที่พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการหลัก ได้แก่ การลดราคาปัจจัยการผลิต โดยสมาคมผู้ค้าปุ๋ยและธุรกิจเกษตรกรที่มีธุรกิจค้าปุ๋ย สมาคมผู้รวบรวมและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวผู้ประกอบการรถเกี่ยวข้าวไทย ผู้ให้เช่านา กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยินดีให้ความร่วมมือในการลดราคาสินค้า ควบคุมราคาสินค้า รวมทั้งการจัดหาเมล็ดพันธุ์ข้าวและสารเคมีคุณภาพดีราคาถูกมาจำหน่ายให้กับชาวนาเพื่อช่วยลดราคาปัจจัยการผลิต ๑.๒ มาตรการสนับสนุน มี ๔ ด้าน ได้แก่ ๑.๒.๑ ด้านการส่งเสริมปัจจัยการผลิต กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีมาตรการสนับสนุน จำนวน ๔ มาตรการ ได้แก่ การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ การจัดตั้งธนาคารเมล็ดพันธุ์ข้าว การกำหนดเขตพื้นที่ปลูกข้าว (Zoning) และการจัดหาแหล่งน้ำสนับสนุน ๑.๒.๒ ด้านการสนับสนุนแหล่งเงินทุน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีมาตรการสนับสนุน จำนวน ๒ มาตรการ ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร และการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่เกษตรกร ๑.๒.๓ ด้านการส่งเสริมการตลาด กระทรวงพาณิชย์มีมาตรการสนับสนุน จำนวน ๓ มาตรการ ได้แก่ การเร่งหาตลาดใหม่ การเชื่อมโยงตลาดข้าวในประเทศและต่างประเทศ และการช่วยเหลือผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก และ ธ.ก.ส. มีมาตรการสนับสนุน จำนวน ๑ มาตรการ คือ การให้สินเชื่อเกษตรกรเพื่อชะลอการขายข้าวเปลือก (ประกันยุ้งฉาง) ๑.๒.๔ ด้านการส่งเสริมการมีส่วนร่วม ธ.ก.ส. มีมาตรการสนับสนุน จำนวน ๑ มาตรการ คือ โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗ กระทรวงพาณิชย์มีมาตรการสนับสนุน จำนวน ๑ มาตรการ คือ การจัดตั้งสถาบันพัฒนาศักยภาพการค้าข้าวแบบครบวงจร และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีมาตรการสนับสนุน จำนวน ๑ มาตรการ คือ การจัดตั้งกองทุนข้าวและชาวนาแห่งชาติ ทั้งนี้ ฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ จะรวบรวมรายละเอียดเพื่อจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ เพื่อใช้ในการดำเนินมาตรการระยะสั้น (ระยะที่ ๑) ต่อไป ๒. ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ รับไปดำเนินการจัดตั้งศูนย์การช่วยเหลือผลิตผลทางการเกษตร ในระดับจังหวัด เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายด้านการเกษตรให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีการบูรณาการจากทุกหน่วยงานที่มีบุคลากรที่ปฏิบัติงานในพื้นที่อยู่แล้ว และกำหนดให้มีหัวหน้าที่รับผิดชอบประจำอยู่ทุกศูนย์การช่วยเหลือผลิตผลทางการเกษตร และให้เชื่อมโยงข้อมูลในระดับอำเภอและตำบลด้วย ทั้งนี้ ให้ศูนย์การช่วยเหลือผลิตผลทางการเกษตรมีหน้าที่หลัก ๓ ประการ ได้แก่ ๒.๑ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร เช่น ด้านการเกษตร ด้านการตลาด มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรของภาครัฐ เป็นต้น เพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างถูกต้องและทั่วถึง ๒.๒ ให้บริการช่วยเหลือเกษตรกรให้ครอบคลุมพืชผลทางการเกษตรทุกประเภท ๒.๓ เฝ้าระวังภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นเพื่อแจ้งเตือนไปยังเกษตรกรและให้การช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที โดยศูนย์การช่วยเหลือผลิตผลทางการเกษตรจะต้องทำการเชื่อมโยงกับหน่วยงานและคณะกรรมการระดับนโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกร ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปดำเนินการจัดทำมาตรการเชิงรุกเพื่อรองรับการแก้ไขปัญหาการส่งออกข้าว ในกรณีที่สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปอาจมีการปรับลดปริมาณการนำเข้าข้าวไทยในอนาคต โดยกระทรวงพาณิชย์ควรจัดหาตลาดส่งออกข้าวแหล่งใหม่สำรองไว้ด้วย ๔. ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. รับไปพิจารณาหามาตรการผ่อนผันการชำระหนี้ให้แก่เกษตรกรที่เป็นลูกหนี้ของธนาคารฯ โดยให้คำนึงถึงสภาพคล่องและสถานะทางการเงินของธนาคารฯ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
26283 | ร่างความตกลงมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคีฉบับปรับปรุง | กค | 24/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาเห็นว่า ร่างความตกลงมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation Agreement : CMIM Agreement) ฉบับปรับปรุง มีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มวงเงินความช่วยเหลือให้สูงขึ้นเป็น ๒ เท่า จาก ๑๒๐ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น ๒๔๐ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในส่วนของประเทศไทยนั้น จะเพิ่มวงเงินผูกพันเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในความตกลงฯ จากเดิม ๔.๕๕๒ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น ๙.๑๐๔ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีมติเห็นชอบการกันเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ จำนวน ๙.๑๐๔ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสมทบในความตกลงฯ ด้วยแล้ว จึงไม่มีผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดินแต่อย่างใด ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า เรื่องนี้อยู่ในอำนาจการพิจารณาให้ความเห็นชอบของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เรื่อง ให้อำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นอำนาจของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงลงมติเห็นชอบ อนุมัติ และให้ดำเนินการต่อไปได้ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลง CMIM ฉบับปรับปรุง ๒. อนุมัติการลงนามในร่างความตกลงฯ และมอบหมายให้ ๒.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทน และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามในความตกลงฯ และหนังสือแนบท้ายความตกลงเพื่อยืนยันการผูกพันในการสมทบเงินใน CMIM ในวงเงิน ๙.๑๐๔ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ๒.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนลงนามในหนังสือรับทราบการขอรับความช่วยเหลือและหนังสือยืนยันการปฏิบัติตามเงื่อนไขของความตกลงฯ ๒.๓ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาลงนามในหนังสือให้ความเห็นทางกฎหมายเมื่อประเทศไทยต้องการขอรับความช่วยเหลือภายใต้ความตกลงฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในความตกลงดังกล่าว ให้ผู้ลงนามสามารถใช้ดุลพินิจในเรื่องนั้น ๆ ได้ โดยไม่ต้องนำเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
26284 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 24/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก รวมทั้งเหตุผลความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนราคาจำหน่ายน้ำมันภายในประเทศให้กับประชาชนและผู้สนใจได้ทราบอย่างถูกต้อง ทั่วถึง และสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
26285 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 24/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ๑.๑ ให้ฝ่ายความมั่นคงและกระทรวงการต่างประเทศเร่งดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจกับต่างประเทศในทุกช่องทางให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความจำเป็นที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติจะต้องดำเนินการเข้าควบคุมการบริหารประเทศ ๑.๒ ให้ส่วนราชการที่มีหน้าที่ในการเจรจาหรือการจัดทำความตกลงระหว่างประเทศในเรื่องต่าง ๆ พิจารณาดำเนินการโดยยึดถือผลประโยชน์และศักดิ์ศรีของชาติในเวทีโลกเป็นหลัก รวมทั้งให้พิจารณาถึงประเด็นทางความมั่นคงด้วย โดยประสานงานกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทั้งนี้ ให้มีการตรวจสอบและทบทวนการดำเนินการตามผลการประชุม/การเจรจาในครั้งที่ผ่านมาแล้ว เพื่อนำข้อมูล ปัญหา อุปสรรคมาใช้กำหนดท่าทีในการเจรจาข้อตกลง หรือการประชุมในครั้งต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการแก้ไขปัญหาการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ในกรอบของประกาศ ระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องและการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการบริหารงานของท้องถิ่น โดยประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อจัดทำแผนงาน/โครงการให้ชัดเจน สอดคล้องกับนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยเฉพาะการใช้จ่ายงบประมาณปี ๒๕๕๗ จะต้องอยู่ในกรอบนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติอย่างเคร่งครัด ๓. กฎหมาย ๓.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการวบรวม กลั่นกรอง และจัดประเภทกฎหมายที่สมควรดำเนินการในระยะที่ ๑ ระยะที่ ๒ หรือระยะที่ ๓ ให้ชัดเจน ๓.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการวบรวมกฎหมายสำคัญ ๆ เพื่อนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติพิจารณาในวาระแรก ได้แก่ กฎหมายที่เกี่ยวกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน กฎหมายที่แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และกฎหมายที่เอื้อต่อการปฏิรูปการเมือง เป็นต้น สำหรับกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ ให้ศึกษาในรายละเอียดโดยให้เปรียบเทียบกับกฎหมายของต่างประเทศด้วย ๓.๓ ให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณกำหนดขอบเขตของงานหรือประเภทงานที่เหมาะสมกับการดำเนินการประมูลด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ ให้เกิดประสิทธิภาพ รวดเร็ว เสนอต่อฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมพิจารณาก่อนเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป ๓.๔ ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมพิจารณาทบทวนแนวทางการดำเนินการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญในตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๗ โดยให้ยึดหลักความถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรม โดยให้หัวหน้าฝ่ายทุกฝ่ายดำเนินการตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ๔. การประชาสัมพันธ์ ๔.๑ ให้ทุกหน่วยงานระมัดระวังในการสื่อสารและให้ข้อมูลแก่สื่อมวลชนและประชาชนโดยเฉพาะเรื่องต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการหรือยังอยู่ในชั้นการพิจารณาที่ยังไม่เป็นที่ยุติหรือที่ต้องนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติก่อน และให้หัวหน้าส่วนราชการทั้งในระดับปลัดกระทรวงและอธิบดีทำความเข้าใจในข้อสั่งการ นโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้ชัดเจนก่อนที่จะให้ข้อมูลใด ๆ แก่สาธารณชน ๔.๒ ให้คณะทำงานด้านประชาสัมพันธ์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและกรมประชาสัมพันธ์ร่วมกันจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อชี้แจงผลการปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในรอบ ๑ เดือน ให้ประชาชนและผู้สนใจทราบ ๔.๓ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ สำรวจความพึงพอใจของประชาชนเกี่ยวกับผลงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในระยะเวลาที่ผ่านมา และรายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบโดยเร็ว ๔.๔ ให้หัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ โดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (ศูนย์บริการประชาชน) กำหนดแนวทางการรวมศูนย์การรับข้อร้องเรียนของประชาชน โดยรวบรวม กลั่นกรอง เสนอแนะแนวทางการแก้ไข ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาให้เป็นรูปธรรม และรายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบ ๕. การดำเนินการข้อร้องเรียนและการทุจริต ๕.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงบประมาณตรวจสอบปัญหาข้อร้องเรียนเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ และค่าตอบแทนที่พนักงานของมหาวิทยาลัยพึงจะได้รับตามสิทธิ แล้วรายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบต่อไป ๕.๒ ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเร่งรัดการดำเนินการตรวจสอบการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน เช่น การออกใบประกอบกิจการโรงงาน (รง. ๔) เป็นต้น ๖. เรื่องอื่น ๆ ๖.๑ ให้ทุกหน่วยงานจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนให้สอดคล้องกับห้วงเวลาในการดำเนินงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งแบ่งเป็น ๓ ระยะ โดยจัดทำแผนการดำเนินการให้ชัดเจนว่า เรื่องใดต้องดำเนินการในระยะเร่งด่วน เรื่องใดสามารถดำเนินการในระยะที่ ๒ และระยะที่ ๓ ต่อไปได้ และให้จัดทำรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการเป็นประจำทุกวันตามนโยบายเชิงรุกของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอต่อหัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ เพื่อรวบรวมเสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบต่อไป ๖.๒ ให้ปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นองค์ประกอบเพิ่มเติมในการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๖.๓ ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมร่วมกับฝ่ายมั่นคงและสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กำกับดูแลสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม สถานีวิทยุชุมชน ให้มีการดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งความเหมาะสมของการจัดตั้งสถานีต่าง ๆ ในแต่ละพื้นที่ด้วย ๖.๔ ให้กระทรวงการคลังเร่งพิจารณาดำเนินการกรณีข้าราชการที่เป็นสมาชิกของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) โดยสมัครใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าราชการที่จะเกษียณอายุราชการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และข้าราชการบำนาญที่จะกลับไปเลือกรับบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการฉบับเดิม ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติในสัปดาห์ต่อไป ๖.๕ ให้หน่วยงานด้านความมั่นคงและส่วนงานรักษาความสงบเรียบร้อยหาแนวทางในการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมเชิงสัญลักษณ์ ให้ดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยให้หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงและก่อให้เกิดการกระทบกระทั่ง อันส่งผลในเชิงลบต่อการดำเนินการของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
26286 | ขออนุมัติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับสุดยอดผู้นำแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) ครั้งที่ 5 ณ ประเทศไทย | นร11 | 24/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้รัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับสุดยอดผู้นำแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ครั้งที่ ๕ (The 5th GMS Summit) ในระหว่างวันที่ ๑๙-๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ โรงแรมแชงกรีลา กรุงเทพมหานคร ๑.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะหน่วยงานหลักประสานงานความร่วมมือ (National Coordinator) แผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (Greater Mekong Subregion Economic Cooperation : GMS) เป็นหน่วยงานเจ้าภาพเตรียมการจัดประชุมฯ และแจ้งยืนยันไปยังธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) และประเทศสมาชิกต่อไป ๒. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอเพิ่มเติมว่า ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจัดการประชุมระดับสุดยอดผู้นำแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ครั้งที่ ๕ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ภายในวงเงิน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยจะขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกับกระทรวงการคลังต่อไป และจะขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ในส่วนที่เหลืออีก ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทบทวนผลการดำเนินงานตามแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศที่ผ่านมา และหากแผนงาน/โครงการใดเป็นประโยชน์ คุ้มค่า สมควรดำเนินการต่อไป ก็ให้รวบรวมข้อมูลและประเมินผลการดำเนินการดังกล่าวเพื่อกำหนดเป็นท่าทีและยุทธศาสตร์ในการเจรจาเชิงรุกเพื่อรักษาผลประโยชน์ของไทยและเสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติก่อนที่จะนำเสนอต่อที่ประชุมระดับสุดยอดผู้นำแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ครั้งที่ ๕ ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ เพื่อให้ที่ประชุมฯ พิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ความมั่นคงด้านพลังงาน ความมั่นคงทางดินแดน (อาทิ กรณีการใช้พื้นที่ดอนชม อำเภอปากชม จังหวัดเลย กับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) และประสานข้อมูลกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปใช้ในการเจรจาต่อรองกับประเทศเพื่อนบ้านในเวทีการประชุมที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ การเจรจาต่อรองจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งชาติเป็นสำคัญ |
|||||||||||||||||||||||||||
26287 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือวัด ที่พักสงฆ์ ศูนย์ปฏิบัติธรรมของคณะสงฆ์ โรงเรียนพระปริยัติธรรม และพระภิกษุสามเณรที่ประสบแผ่นดินไหว) | พศ | 17/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๑๒๗,๗๑๕,๒๐๐ บาท ซึ่งกระทรวงการคลังได้อนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณแล้ว เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบูรณะซ่อมแซมอาคารเสนาสนะของวัด/ที่พักสงฆ์ ศูนย์ปฏิบัติธรรม และโรงเรียนพระปริยัติธรรมที่ประสบภัยแผ่นดินไหว โดยเบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป ทั้งนี้ ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติดำเนินการตามประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินงบกลาง ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริง เพื่อประกอบการพิจารณาขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเร่งรัดดำเนินโครงการที่มีความเร่งด่วนในกรอบวงเงิน ๗๔,๙๓๑,๖๐๐ บาท ก่อน ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงบประมาณ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดปรับปรุงระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ และที่เกี่ยวข้อง ให้เหมาะสมและมีความคล่องตัวในการปฏิบัติงานของส่วนราชการมากยิ่งขึ้น เช่น การขยายวงเงินทดรองราชการของส่วนราชการ ขั้นตอนการอนุมัติและเบิกจ่าย เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||
26288 | ขอส่งข้อมูลการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2557 ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ | ศธ | 17/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติในหลักการให้หน่วยงานและสถานศึกษาที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ปัญหาอาคารสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว ภายในกรอบวงเงิน ๓๓๒.๘๓๔๖ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ภายใต้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของแต่ละหน่วยงานมาดำเนินการโดยด่วนก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตามประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีการก่อสร้างใหม่ ควรพิจารณาใช้แบบแปลนการก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างสำหรับพื้นที่เสี่ยงภัย เพื่อให้มีความมั่นคงแข็งแรงสามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
26289 | การชี้แจงของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) | สลธ.คสช. | 17/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. รับทราบโครงการลงทุนที่มีวงเงินเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๒๘ โครงการ ๑.๑ โครงการที่สามารถดำเนินการต่อไปได้ จำนวน ๒๔ โครงการ ๑.๒ โครงการที่ต้องพิจารณาทบทวน จำนวน ๔ โครงการ ๑.๓ แผนการดำเนินงานของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ในห้วงสัปดาห์ ๑๖-๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ จำนวน ๘ โครงการ เช่น โครงการจัดหารถจักร จำนวน ๑๒๖ คัน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นต้น ๒. โครงการที่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ให้พิจารณาดำเนินการโดยคำนึงถึงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่สำคัญ ๒.๑ โครงการที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน ให้พิจารณาทบทวนและต่อรองราคาเพื่อให้เกิดความเหมาะสม ประหยัด คุ้มค่าในการดำเนินการด้วย ๒.๒ โครงการที่เกี่ยวกับการจัดหายานพาหนะของส่วนราชการ ต้องพิจารณาให้เหมาะสมสอดคล้องกับภารกิจ มีความปลอดภัยในการใช้งาน และประหยัดพลังงาน ๒.๓ โครงการที่เกี่ยวกับระบบสาธารณูปโภค ให้คำนึงถึงประสิทธิภาพในการใช้งานและความคุ้มค่าด้วย ๒.๔ โครงการก่อสร้างอาคาร ให้พิจารณาปรับลดราคาลงให้เหมาะสม รวมถึงการนำพื้นที่เดิมไปใช้ต้องพิจารณาความคุ้มค่าในการใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนด้วย ๒.๕ โครงการเกี่ยวกับการก่อสร้างโครงข่ายทางหลวงและทางหลวงชนบท ในภาพรวมควรพิจารณาทบทวนราคาของแต่ละโครงการให้เหมาะสม โดยคำนวณราคาวัสดุให้ชัดเจน ถูกต้อง เหมาะสมด้วย และควรมีมาตรการอื่น ๆ เช่น เชิญผู้ประกอบการมาต่อรองราคาด้วย ทั้งนี้ การพิจารณาดำเนินโครงการก่อสร้างถนนสายใดหรือไม่ ควรต้องพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมตามความต้องการและการใช้ประโยชน์ของประชาชนอย่างคุ้มค่า นอกจากนี้ จะต้องให้ความสำคัญกับกรณีการสร้างถนนที่ขวางทางน้ำไหล ซึ่งจำเป็นจะต้องสำรวจออกแบบให้มีท่อลอดเพื่อระบายน้ำให้เหมาะสมเพียงพอ รวมทั้งจะต้องมีการติดตามตรวจสอบการก่อสร้างให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งจะช่วยให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงสายทางลงได้ด้วย สำหรับการใช้วัสดุในการก่อสร้างถนนควรพิจารณาความเหมาะสมในการใช้ยางพาราเป็นวัสดุในการก่อสร้างด้วย เนื่องจากยางพารามีแรงเสียดทานและความปลอดภัยสูง และสต็อกยางในประเทศมีมาก หากสามารถนำมาใช้ประโยชน์ภายในประเทศได้ ก็จะเป็นการเพิ่มมูลค่าในการใช้ยางพาราให้สูงขึ้นด้วย ๓. โครงการที่ต้องพิจารณาทบทวน ให้พิจารณาดำเนินการโดยคำนึงถึงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่สำคัญ ๓.๑ โครงการเช่าระบบคอมพิวเตอร์ให้บริการประชาชนด้านทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อทดแทนระบบเดิม ๔๕๕ แห่ง ของกระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาหลักการและเหตุผลความจำเป็น ยังไม่ได้มีการดำเนินการ ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องพิจารณาทบทวนโครงการ โดยให้นำความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารไปประกอบการพิจารณาต่อไปด้วย ๓.๒ โครงการต่อขยายสะพานอรุณอัมรินทร์พร้อมทางขึ้น-ลง และทางยกระดับข้ามแยกศิริราช ซึ่งเป็นการดำเนินการตามงบประมาณของกรุงเทพมหานคร ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนของกระบวนการประกวดราคา จัดซื้อจัดจ้าง และรอความเห็นชอบจากกระทรวงมหาดไทย ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องพิจารณาทบทวนและต่อรองราคาให้เหมาะสมด้วย ๓.๓ โครงการเขื่อนทดน้ำผาจุก จังหวัดอุตรดิตถ์ และโครงการห้วยโสมง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี เนื่องจากมีการปรับราคาการดำเนินโครงการสูงเกินไป ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาทบทวนและปรับราคาให้เหมาะสมต่อไปด้วย ๔. ในการจัดทำโครงการต่าง ๆ ของทุกส่วนราชการ ให้ประกาศเชิญชวนผ่านสื่อทุกประเภท ให้ประชาชนและผู้สนใจได้ทราบล่วงหน้าโดยทั่วกัน เพื่อให้มีการแข่งขันการประมูลอย่างเป็นธรรม ทั้งนี้ ให้จัดทำขอบเขตของงาน (TOR) ให้มีความรัดกุม และให้มีผู้แทนของหน่วยงานกลาง เช่น คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และสำนักงบประมาณ เป็นต้น เป็นผู้สังเกตการณ์ในวันทำการประมูลเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและป้องกันการทุจริต ตลอดจนการดำเนินการดังกล่าวต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเป็นไปตามแนวทางการเปิดเผยราคากลางของทางราชการและการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ มอบหมายให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐรับไปดำเนินการพิจารณาติดตามและตรวจสอบการดำเนินโครงการให้ถูกต้องเหมาะสมต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
26290 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 17/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ภาพรวม ๑.๑ ให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่มีผลกระทบต่อประชาชนโดยรวมให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในระยะแรกซึ่งยังเหลือระยะเวลาอีกประมาณ ๒ เดือน โดยเฉพาะในเรื่องข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจ โดยให้ยึดหลักประสิทธิภาพ ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่มีการทุจริตในทุกขั้นตอน ส่วนในระยะที่ ๒ ต้องมีการปรับปรุงแผนงาน/โครงการที่จะดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และในระยะยาวจะต้องมีแผนงาน/โครงการที่ชัดเจน เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ ในการเสนอขออนุมัติโครงการต่าง ๆ ให้ส่วนราชการจัดทำรายละเอียดประกอบโครงการด้วยว่า ประชาชนจะได้รับผลประโยชน์อะไร อย่างไรบ้าง เช่น ประชาชนจะมีน้ำใช้เพิ่มขึ้นจำนวนเท่าไร ประชาชนจะได้รับการบริการที่ดีขึ้นอย่างไร เป็นต้น ๑.๒ ในการจัดทำโครงการต่าง ๆ ของทุกส่วนราชการ ให้ประกาศเชิญชวนผ่านสื่อทุกประเภทให้ประชาชนและผู้สนใจได้ทราบล่วงหน้าโดยทั่วกัน เพื่อให้มีการแข่งขันการประมูลอย่างเป็นธรรม ทั้งนี้ ให้จัดทำขอบเขตของงาน (TOR) ให้มีความรัดกุม และให้มีผู้แทนของหน่วยงานกลาง เช่น คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และสำนักงบประมาณ เป็นต้น เป็นผู้สังเกตการณ์ในวันทำการประมูลเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและป้องกันการทุจริต ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงบประมาณและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐพิจารณาปรับปรุงแนวทางการใช้จ่ายเงินทดรองราชการกรณีการเกิดภัยพิบัติ ในประเด็นเกี่ยวกับการเพิ่มวงเงินทดรองราชการให้แก่ส่วนราชการ แนวทางการจัดสรรเงินให้แก่ส่วนราชการ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการให้ความช่วยเหลือประชาชนได้เพียงพอและทันต่อสถานการณ์ ๑.๔ ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐพิจารณาตรวจสอบโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ จำนวน ๓๙๖ แห่ง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้มีความถูกต้องและเหมาะสม และให้นำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณา เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและปัญหาในการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้วย ๑.๕ การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญในตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงซึ่งต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๗ นั้น ให้หัวหน้าฝ่ายทุกฝ่ายดำเนินการตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ๑.๖ ให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาเพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชน และให้พิจารณาหาแนวทางการแบ่งปันผลประโยชน์ให้เป็นธรรม มิให้มีการผูกขาด รวมทั้งกำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์จากเงินรายได้เพื่อสาธารณประโยชน์เป็นหลักด้วย ๑.๗ ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาหาแนวทางการดำเนินการเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะจะต้องมีระบบติดตามมิให้ขับขี่เกินระยะเวลาที่กำหนด และมีระบบตรวจสอบว่าผู้ขับขี่มีความพร้อม ไม่เมาสุรา ไม่เสพยาเสพติด และมีการพักผ่อนที่เพียงพอ ๑.๘ ให้ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยประกาศและคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติเร่งรัดจัดการประชุมคณะกรรมการโดยเร็ว เพื่อขับเคลื่อนงานด้านเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศตามแนวทางของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๑.๙ ให้ชะลอการดำเนินการจัดประชุมคลื่นความถี่ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ไว้ก่อน และให้ทบทวนการดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความมั่นคงและมีกลไกที่รัฐสามารถควบคุมกำกับดูแลระบบโทรคมนาคมได้อย่างเหมาะสม ๑.๑๐ ให้กระทรวงพลังงานเร่งพิจารณาหาแนวทางและมาตรการด้านพลังงานทั้งในระยะเวลา ๓-๕ ปีข้างหน้า และในระยะยาว โดยให้มีการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม หรือการหาวิธีการใช้พืชพลังงานและพลังงานทางเลือก ๒. เรื่องการประชาสัมพันธ์ ๒.๑ การประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับประชาชนและองค์กรต่าง ๆ ควรจัดตั้งคณะทำงานเพื่อทำหน้าที่ติดตามและกำหนดแนวทางการดำเนินการประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสม โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย และสามารถตอบข้อสงสัยของประชาชนได้ ทั้งนี้ ให้ประสานทำความเข้าใจกับสื่อมวลชน สมาคม และมูลนิธิต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มีแนวทางการสื่อสารที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันด้วย ๒.๒ ให้ปรับเปลี่ยนเนื้อหาของรายการบางรายการซึ่งเผยแพร่ทางกรมประชาสัมพันธ์ โดยให้เป็นการนำเสนอความก้าวหน้าในการดำเนินงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเป็นระยะ ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานและผลการดำเนินงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังชี้แจงทำความเข้าใจให้ชัดเจนเกี่ยวกับการดำเนินโครงการพัฒนารถไฟรางคู่ ทั้งในด้านประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับและพื้นที่ที่ต้องใช้ในการดำเนินโครงการ รวมทั้งขั้นตอนที่ต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ขนาดของรางรถไฟที่ใช้มีความเหมาะสมประการใด และการกู้เงินจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศมีข้อกำหนดประการใด ประเทศไทยจะได้ประโยชน์อย่างไรด้วย ๓. เรื่องการปฏิรูปประเทศ ตามที่ได้มีการแถลงอย่างเป็นทางการถึงห้วงเวลาในการดำเนินงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งแบ่งเป็น ๓ ระยะ โดยในระยะที่ ๒ หลังจากมีการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองชั่วคราว ซึ่งจะมีบทกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งสภาปฏิรูป โดยสภาปฏิรูปที่จัดตั้งนั้น จะประกอบด้วย ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน พรรคการเมือง และผู้ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมือง มีการกำหนดวิธีการในการคัดเลือก ซึ่งการปฏิรูปประเทศต้องให้ครอบคลุมในด้านต่าง ๆ ได้แก่ สังคม เศรษฐกิจ การเงิน การคลัง การเมือง กฎหมาย การปกครองส่วนท้องถิ่น พลังงาน สิ่งแวดล้อม สังคมจิตวิทยา การบริหารราชการ การศึกษา กระบวนการยุติธรรม คุณภาพคน มาตรการป้องกันแก้ไขการทุจริตคอร์รัปชัน สื่อสารมวลชน และอื่น ๆ ซึ่งเมื่อมีข้อสรุปจากสภาปฏิรูปที่ชัดเจนแล้วก็จะเข้าสู่ระยะที่ ๓ ต่อไป ๔. เรื่องโรงงานกำจัดขยะ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาขยะ และการกำจัดน้ำเสียจากโรงงาน รวมทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่มจากขยะ โดยเริ่มต้นจากการให้ทุกส่วนราชการดำเนินมาตรการแยกประเภทและบริหารจัดการขยะให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ ให้พิจารณาสร้างโรงงานกำจัดขยะบนพื้นที่ราชพัสดุหรือพื้นที่ทหารก่อน ๕. เรื่องโครงการจัดการน้ำและระบบสาธารณูปโภค ๕.๑ โครงการต่าง ๆ ที่มีความพร้อมในการดำเนินการและผ่านการตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมจากแต่ละฝ่ายและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐแล้ว ให้นำเสนอเรื่องต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ ๕.๒ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาทบทวนเกี่ยวกับการสร้างถนนทางสายหลักและทางสายรองในแต่ละเส้นทางว่ามีความจำเป็น คุ้มค่า และเป็นไปตามความต้องการของคนในพื้นที่ รวมทั้งพิจารณาหาแนวทางการดูแลซ่อมบำรุงถนนทั้งระบบ โดยเฉพาะการป้องกันการเสื่อมสภาพของพื้นที่ถนน เช่น การเลือกวัสดุที่ใช้ทำถนน การกำหนดน้ำหนักบรรทุกของรถ เป็นต้น นอกจากนี้ ให้สำรวจถนนที่มีการก่อสร้างขวางทางเดินน้ำและเร่งจัดทำท่อลอดเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมขังในอนาคต ๕.๓ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาระบบการเดินรถไฟให้มีความเชื่อมโยงกับระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ รวมทั้งการจัดสถานที่จอดรถสำหรับผู้ใช้บริการด้วย ๕.๔ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจเร่งรัดให้กระทรวงคมนาคมโดยการรถไฟแห่งประเทศไทยทบทวนการบริหารจัดการกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทยระยะยาว โดยเน้นการปรับโครงสร้างองค์กร การเพิ่มประสิทธิภาพ การเพิ่มรายได้ การลดภาระรายจ่ายที่ไม่จำเป็น รวมทั้งจัดทำแผนการเพิ่มทุน และการบริหารจัดการหนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๖. เรื่องแรงงานต่างด้าว ตามที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้จัดทำรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (Trafficking in Persons Report : TIP Report) ซึ่งประเทศไทยได้รับการประเมินอยู่ในสถานะระดับ ๒ (Tier 2 : Watch List) ซึ่งเป็นประเทศที่ถูกจับตามอง ดังนั้น เพื่อมิให้ประเทศไทยถูกลดระดับลง จึงมอบให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน เป็นต้น เร่งดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจกับต่างประเทศให้ถูกต้องและทั่วถึงเกี่ยวกับการใช้แรงงานในประเทศไทย รวมทั้งการที่ประเทศไทยให้ความสำคัญอย่างเต็มที่เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยเบื้องต้นได้แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าว เพื่อทำหน้าที่จัดระเบียบและแก้ไขปัญหาแรงงานทั้งระบบด้วยการบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากลและเป็นที่ยอมรับจากต่างประเทศและประชาคมโลก โดยไม่ถูกลดระดับความน่าเชื่อถือ และให้ฝ่ายความมั่นคงเร่งจัดทำแผนและแนวทางการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวอย่า
|
|||||||||||||||||||||||||||
26291 | การสมัครเข้ารับเลือกตั้งตำแหน่งเลขาธิการองค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (APT) | ทก | 17/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติเห็นชอบการเปลี่ยนแปลงผู้สมัครตำแหน่งเลขาธิการองค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก [Asia-Pacific Telecommunity (APT)] ในนามประเทศไทย จากนายไกรสร พรสุธี เป็น นางสาวอารีวรรณ ฮาวรังษี ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
26292 | การขออนุมัติงบประมาณการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ ปี 2557 มาตรการระยะสั้น (เพิ่มเติม) | กษ | 17/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในกรอบวงเงิน จำนวน ๖,๑๕๙.๙๙๖ ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้แล้วและผ่านการตรวจสอบตามเงื่อนไขโครงการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ ปี ๒๕๕๗ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ และ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๖ ซึ่งยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ คิดเป็นพื้นที่เปิดกรีด ๒.๔๔๔ ล้านไร่ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบเอกสารหลักฐานเพื่อยืนยันความถูกต้องของรายชื่อและกรรมสิทธิ์การถือครองที่ดินของเกษตรกรให้เป็นไปตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ของโครงการฯ อย่างเคร่งครัดอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงื่อนไขการบุกรุกทำลายพื้นที่ป่าที่เป็นปัญหาสำคัญของประเทศ และให้ทยอยจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรสอดคล้องกับข้อเท็จจริง โดยมุ่งเน้นให้เกษตรกรผู้ปลูกยางพาราเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากเงินช่วยเหลือดังกล่าวอย่างแท้จริง ๒. สำหรับกรณีเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนและอยู่ระหว่างการพิสูจน์สิทธิ์การถือครองที่ดิน จากคณะกรรมการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๑๙,๐๔๔ ครัวเรือน พื้นที่ขอเข้าร่วมโครงการฯ ๑๗๔,๖๘๒ ไร่ วงงิน ๔๔๐.๒๐๐ ล้านบาท นั้น หากมีการตรวจสอบเอกสารหลักฐาน รายชื่อ และกรรมสิทธิ์การถือครองที่ดินของเกษตรกรดังกล่าวครบถ้วนถูกต้องภายในระยะเวลาที่กำหนดเสร็จสิ้นในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗ แล้ว ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำเรื่องนี้เสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติอีกครั้งหนึ่งต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดปรับปรุงฐานข้อมูลเกษตรกรผู้เพาะปลูกพืชเกษตรทุกรายการให้ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน เพื่อให้สามารถนำไปใช้ประกอบการดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องมีการสำรวจใหม่ทุกครั้ง ๔. ให้รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติรับไปดำเนินการร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบในระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แนวทางการใช้ประโยชน์จากยางพาราเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ยางพารา เพื่อเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
26293 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ 2557 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | สลธ.คสช. | 17/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของ รฟท. จำนวน ๘,๘๖๔.๖๑๘ ล้านบาท โดย รฟท. รับภาระต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสม พร้อมยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันให้ รฟท. ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ความสำคัญและเร่งดำเนินงานปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของ รฟท. ให้แล้วเสร็จ ซึ่งรวมถึงราง หัวรถจักร และระบบอาณัติสัญญาณ เพื่อให้สามารถเดินรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นควรพิจารณายุทธศาสตร์ในการเพิ่มรายได้จากการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าโดยการพัฒนาคุณภาพและยกระดับมาตรฐานการให้บริการ รวมทั้งขยายตลาดของกลุ่มผู้ใช้บริการระบบรางให้เพิ่มมากขึ้น ตลอดจนพิจารณาการเพิ่มรายได้จากการบริหารทรัพย์สิน และควรเร่งปรับโครงสร้างการบริหารจัดการกิจการของ รฟท. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๓) ซึ่งประกอบด้วย ๓ หน่วยธุรกิจ ได้แก่ หน่วยธุรกิจการเดินรถ หน่วยธุรกิจการซ่อมบำรุง หน่วยธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน และ ๑ บริษัทลูก ให้สามารถแบ่งแยกบัญชีทรัพย์สิน หนี้สิน และรับรู้ผลกำไรขาดทุนของแต่ละหน่วยธุรกิจได้อย่างชัดเจน รวมทั้งความเห็นของคณะรักษาความสงบแห่งชาติรวม ๒ ข้อ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้
๑. การรถไฟแห่งประเทศไทยควรเร่งรัดปรับปรุงการรักษาความสะอาดของขบวนรถให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาพภายนอกของตู้โดยสาร ๒. การที่ขบวนรถไฟต้องวิ่งเข้าสู่สถานีหัวลำโพงเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ก่อให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัดและการสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมากในภาพรวม ดังนั้น กระทรวงคมนาคม และ รฟท. ควรพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวในระยะยาวทั้งระบบ เพื่อดำเนินการต่อไป เช่น การนำรถไฟชานเมืองระยะสั้นมาใช้วิ่งเข้าเมืองแทนการให้ขบวนรถระยะไกลต้องวิ่งเข้าเมืองทุกขบวน เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||
26294 | ขอเงินงบกลางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตร ปี 2555 - 2557 | กษ | 17/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการเงินงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นในกรอบวงเงินรวม ๕,๔๙๘,๙๘๖,๘๑๙ บาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตร ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๗ จำนวน ๖๘ จังหวัด รวม ๑๐ ภัย ได้แก่ อุทกภัย ดินโคลนทับถม ภัยแล้ง วาตภัย ภัยฝนทิ้งช่วง ศัตรูพืชระบาด โรคพืชระบาด อัคคีภัย ภัยหนาว และภัยพายุและคลื่นลมแรง เกษตรกรรวมจำนวน ๕๘๔,๐๐๕ ราย โดยให้กรมส่งเสริมการเกษตร กรมประมง และกรมปศุสัตว์ ตรวจสอบเอกสารหลักฐานและรวบรวมส่งสำนักงบประมาณ โดยให้ถือว่าคำขอดังกล่าวเป็นคำขออนุมัติจัดสรรงบประมาณของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเพื่อดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงบประมาณ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเพื่อปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้เหมาะสมและมีความคล่องตัวในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติมากยิ่งขึ้น |
|||||||||||||||||||||||||||
26295 | การดำเนินการของฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม | สลธ.คสช. | 17/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมของฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๑.๑ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นมี ๒ กรณี คือ กรณีครบวาระการดำรงตำแหน่ง และกรณีแทนตำแหน่งที่ว่าง เห็นสมควรให้มีการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นเฉพาะกรณีครบวาระการดำรงตำแหน่ง แต่เนื่องจากประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๗/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ กำหนดให้ห้ามมิให้มั่วสุม หรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใด ๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ ๕ คนขึ้นไป เป็นเหตุให้ไม่สามารถดำเนินการจัดการเลือกตั้งได้ ดังนั้น ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมร่วมหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้งเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวเพื่อดำเนินการต่อไป รวมทั้งหามาตรการเพื่อสนับสนุนให้การเลือกตั้งระดับท้องถิ่นมีความโปร่งใส ยุติธรรม และไม่มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงด้วย ๑.๒ การปรับปรุงกฎหมาย ได้แบ่งกลุ่มกฎหมายออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ ๑.๒.๑ กลุ่มกฎหมายองค์กรอิสระ ๑.๒.๒ กลุ่มกฎหมายของกระทรวง กรม ซึ่งแบ่งย่อยออกได้เป็น ๔ ประเภท คือ ประกาศ หรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กฎหมายที่ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา กฎหมายที่ให้คณะรัฐบาลชุดใหม่พิจารณา และกฎกระทรวง ในชั้นนี้ กฎกระทรวงสามารถดำเนินการต่อไปได้ จึงขอให้ส่วนราชการต่าง ๆ รวบรวมกฎกระทรวงที่อยู่ในความรับผิดชอบ และส่งให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เพื่อจัดประเภทกฎกระทรวงที่ควรเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จในระยะที่ ๑ ต่อไป ๒. ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมไปรวบรวมกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวกับการค้า เศรษฐกิจ ที่ล้าสมัย หรือเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายที่จำเป็นต้องดำเนินการในระยะเร่งด่วน และหากไม่สามารถเสนอกฎหมายได้ภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗ ให้พิจารณาดำเนินการออกเป็นมาตรการชั่วคราวเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคเบื้องต้นด้วย หรือให้ไปดำเนินการในระยะที่ ๒ หรือระยะที่ ๓ เมื่อมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว สำหรับกฎหมายที่เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างกระทรวงยุติธรรมให้ไปดำเนินการในระยะที่ ๒ โดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
26296 | การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร08 | 17/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. อนุมัติการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (เขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดยะลา และจังหวัดปัตตานี ยกเว้นอำเภอแม่ลาน) ต่อไปอีกเป็นระยะเวลา ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๗ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ๒. เห็นชอบและรับทราบร่างประกาศ รวม ๓ ฉบับ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบร่างประกาศ เรื่อง การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดยะลา และจังหวัดปัตตานี ยกเว้นอำเภอแม่ลาน และร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ ๒.๒ รับทราบร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศและคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ ๓. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรร่วมกันจัดทำรายละเอียดคำขอและวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งแผนการดำเนินการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งในระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อให้เกิดการบูรณาการร่วมกันต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
26297 | การแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง กระทรวงยุติธรรม | ยธ | 17/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นว่า
๑. เพื่อให้การพัฒนางานด้านนิติวิทยาศาสตร์และแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของกระทรวงยุติธรรมมีความเหมาะสมยิ่งขึ้น ตลอดจนสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการกำหนดนโยบายระดับชาติ รวมทั้งเป็นการปรับย้ายหมุนเวียนบุคลากรภายในของกระทรวงยุติธรรม จึงมีมติ ๑.๑ ให้ พันโท เอนก ยมจินดา ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ มาปฏิบัติหน้าที่ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม โดยให้รับเงินเดือนทางสังกัดเดิมไปพลางก่อน ๑.๒ ให้ คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรมมาปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ โดยให้รับเงินเดือนทางสังกัดเดิมไปพลางก่อน ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีมติ (๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ๒. ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ อนุมัติโอนนายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งปลัดกระทรวง (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ (นักบริหารระดับสูง) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป และอนุมัติแต่งตั้งนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม เป็นผู้รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงยุติธรรม เมื่อนายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ พ้นจากตำแหน่งปลัดกระทรวงแล้วนั้น โดยที่การสับเปลี่ยนหน้าที่ ย้าย หรือโอนข้าราชการพลเรือนสามัญ (นักบริหารระดับสูง) ที่ปฏิบัติหน้าที่เดียวกันครบ ๔ ปีแล้ว ให้ไปปฏิบัติหน้าที่อื่นจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันครบกำหนด ซึ่งกรณีของนายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ จะครบกำหนดในวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติราชการของกระทรวงยุติธรรมเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จึงมีมติ ๒.๑ ให้นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ไปช่วยราชการในตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ (นักบริหารระดับสูง) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ๒.๒ ให้นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองปลัดกระทรวง (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม เป็นผู้รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||||||||
26298 | พลังงานของไทย | พน | 10/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานการณ์พลังงานของโลกและของไทย การพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในประเทศไทย น้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซธรรมชาติ กองทุนน้ำมัน ระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ระบบไฟฟ้า พลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงาน แนวทางการปรับโครงสร้างพลังงานของไทย ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. เพื่อให้ประชาชนและผู้สนใจเกี่ยวกับการพลังงานของไทยในทุกภาคส่วนได้ทราบข้อมูล ข้อเท็จจริงต่าง ๆ อย่างถูกต้องและทั่วถึง จึงมอบให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการจัดทำข้อมูลที่ง่ายต่อความเข้าใจเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชนต่อไป โดยให้ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ๒.๑ ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศส่งออกน้ำมันแต่เป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมันสุทธิ ส่วนกรณีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ขุดเจาะได้ภายในประเทศเป็นการดำเนินการภายใต้สัมปทานของรัฐ โดยรัฐได้รับรายได้จากการให้สัมปทานดังกล่าวเท่านั้น ดังนั้น เพื่อให้สามารถใช้พลังงานของประเทศที่มีอยู่ได้อย่างคุ้มค่า จึงต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมของวิธีการบริหารจัดการการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติให้มีความยั่งยืนและมีราคาที่เป็นธรรมทั้งแก่ผู้ผลิต ผู้จำหน่าย และผู้บริโภค ๒.๒ ปริมาณก๊าซและน้ำมันของประเทศไทยที่มีอยู่ในปัจจุบันยังคงเหลืออยู่จำนวนเท่าใด และจะสามารถใช้ได้ไปอีกเป็นระยะเวลาเท่าใด ๒.๓ ความเป็นมา วัตถุประสงค์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง การบริหารจัดการเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ผลดี ผลเสีย และผลกระทบต่าง ๆ หากมีการยกเลิกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ๒.๔ ผลกระทบต่อประชาชนทั้งในภาคครัวเรือนและภาคขนส่งหากมีการลอยตัวราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) เช่น ราคาขายปลีกสินค้าในตลาดเพิ่มขึ้น ค่าบัตรโดยสารรถสาธารณะเพิ่มขึ้น เป็นต้น ๒.๕ สัดส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้า ถ่านหิน ก๊าซ และน้ำมันเชื้อเพลิง มีสัดส่วนการใช้ในประเทศเท่าใด และนำเข้าจากต่างประเทศเท่าใด ในแต่ละภาคส่วนมีการใช้ในจำนวนเท่าใด และหากพลังงานเหล่านี้หมดสิ้นไป จะมีแผนสำรองพลังงานหรือแผนการใช้พลังงานทดแทนหรือไม่ อย่างไร ๒.๖ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นรัฐวิสาหกิจ ในรูปแบบบริษัทมหาชน ซึ่งคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียนั้น มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นเท่าใด บริษัท ปตท.ฯ มีการจ่ายภาษีให้แก่รัฐเป็นจำนวนเท่าใด ผูกขาดระบบน้ำมันไทยหรือไม่ ระบบการบริหารจัดการเป็นอย่างไร และรายได้ของบริษัท ปตท.ฯ มาจากกิจการภายในประเทศหรือจากการลงทุนในต่างประเทศเท่าใด ๒.๗ กรณีที่มีข้อเรียกร้องให้ยืดบริษัท ปตท.ฯ กลับมาเป็นของรัฐนั้น กระทำได้หรือไม่ หากกระทำจะทำให้เกิดผลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและความเชื่อมั่นในการลงทุนจากต่างประเทศอย่างไร ๒.๘ เหตุผลที่ประเทศไทยอ้างอิงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจากสาธารณรัฐสิงคโปร์ ๒.๙ แหล่งที่มาของน้ำมันเชื้อเพลิงของบริษัทต่าง ๆ นอกจากบริษัท ปตท.ฯ ได้มาจากที่ใด ๒.๑๐ ประเทศไทยมีแหล่งพลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงจำนวนมากกว่าประเทศในตะวันออกกลาง เช่น สาธารณรัฐซาอุดีอาระเบีย รัฐกาตาร์ จริงหรือไม่ ๓. มอบให้กระทรวงพลังงานไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๓.๑ ประเทศไทยขาดความมั่นคงทางด้านพลังงาน ต้องพิจารณาหาแนวทางและมาตรการด้านพลังงานในระยะเวลา ๓-๕ ปีข้างหน้าซึ่งจะต้องเปิดให้มีการแข่งขันเอกชนเข้าร่วมลงทุน หรือการหาวิธีการใช้พืชพลังงานและพลังงานทางเลือกอย่างไร ๓.๒ เหตุผล ความจำเป็น และความเหมาะสมในการต่ออายุสัมปทานให้แก่บริษัทขุดเจาะและสำรวจต่างชาติอย่างไร ๓.๓ การให้สัมปทานสำรวจปิโตรเลียมรอบที่ ๒๑ ให้พิจารณาถึงความเหมาะสมของขนาด จำนวนแปลงของพื้นที่ที่จะเปิดให้สัมปทาน การเปิดพื้นที่ในบริเวณที่เกินต่อความจำเป็นมากน้อยเพียงใด และให้โอกาสแก่เอกชนไทยที่มีขีดความสามารถในการดำเนินการสำรวจขุดเจาะเพียงใด รวมทั้งให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการเพิ่มค่าสัมปทานด้วย ๓.๔ ระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติต้องมีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ไม่ให้เกิดการผูกขาด และประชาชนทุกคนต้องมีส่วนร่วมด้านพลังงาน ๓.๕ ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสัดส่วนกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและของเอกชน และความเพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าของประชาชนในประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ทางภาคใต้ที่ระบบสายส่งไฟฟ้ายังไม่เพียงพอ ๓.๖ กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาน้ำมันเถื่อนและการบริหารจัดการให้ราคาน้ำมันทั่วประเทศมีราคาเท่าเทียมกัน รวมทั้งหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการนำเชื้อเพลิงที่ได้รับการควบคุมราคาในประเทศไปจำหน่ายในประเทศเพื่อนบ้าน ๓.๗ ควรส่งเสริมมาตรการในการใช้พลังงานทดแทนเพื่อทดแทนการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศให้ยั่งยืน
|
|||||||||||||||||||||||||||
26299 | บริษัท การบินไทย (จำกัด) มหาชน ขอดำเนินโครงการจัดหาเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องของบริษัท และการค้ำประกันสำหรับการจัดหาเงินกู้เพื่อชำระค่าเครื่องบินโบอิ้ง 777-300 ER | สลธ.คสช. | 10/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. รับทราบการดำเนินโครงการจัดหาเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งขอเบิกใช้วงเงิน Committed Credit Line หรือ Uncommitted Credit Line เพื่อเป็นสำรองเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ วงเงิน ๘,๐๐๐ ล้านบาท และจัดหาเงินทุนจากธนาคาร LH Bank วงเงิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ การจัดหาเงินกู้เป็นการดำเนินการบริหารการเงินภายใน ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ๒. อนุมัติให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมออกหนังสือรับรอง (Letter of Assurance) ให้แก่ US EX-Im Bank เพื่อประกอบการจัดหาเงินกู้เพื่อชำระค่าเครื่องบินโบอิ้ง 777-300 ER และอนุมัติให้ใช้อนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทในสัญญาเงินกู้ในกรณีดังกล่าว ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วไม่มีข้อขัดข้อง ๓. ให้หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ไปพิจารณาทบทวนสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจทุกแห่งที่ได้รับนอกเหนือจากผลตอบแทนที่เป็นเบี้ยประชุมและเงินปันผลที่กำหนดโดยผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ ให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นรัฐวิสาหกิจแห่งแรกที่ดำเนินการปรับลดสิทธิประโยชน์ของคณะกรรมการโดยการยกเลิกการให้บัตรโดยสารเครื่องบินฟรี |
|||||||||||||||||||||||||||
26300 | การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | สลธ.คสช. | 10/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติรับทราบแนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
.....