ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1314 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 26261 - 26280 จากข้อมูลทั้งหมด 124012 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26261 | ขออนุมัติจัดจ้างก่อสร้างเรือนจำจังหวัดภูเก็ต ตามแผนการจัดจ้างของกรมราชทัณฑ์1.2 | ยธ | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) ดำเนินการก่อสร้างเรือนจำจังหวัดภูเก็ต พร้อมส่วนประกอบ ๑ แห่ง ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๖๐ ในวงเงิน ๑,๐๕๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมวงเงินเผื่อเหลือเผื่อขาด จำนวน ๕๒,๖๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๑,๑๐๔,๖๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้ดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และเมื่อกรมราชทัณฑ์ได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวครบถ้วนและต่อรองราคาจนถึงที่สุดแล้ว ให้ขอทำความตกลงกับคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาความเหมาะสมของราคาค่าก่อสร้างตามนัยระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป ทั้งนี้ ให้กรมราชทัณฑ์ดำเนินการตามประกาศหรือคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการด้วย ๒. ในส่วนของการใช้ประโยชน์พื้นที่เรือนจำจังหวัดภูเก็ตเดิมเมื่อย้ายไปแล้ว ให้กรมราชทัณฑ์รับไปประสานกับจังหวัดภูเก็ตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการจัดทำเป็นสวนสาธารณะเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนโดยรวม และสอดคล้องกับมติของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๗ [เรื่อง การชี้แจงของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.)] เกี่ยวกับโครงการลงทุนที่มีวงเงินเกินรวม ๑,๐๐๐ ล้านบาท ที่ให้ดำเนินการต่อไปได้ ซึ่งรวมถึงโครงการก่อสร้างเรือนจำจังหวัดภูเก็ต ทั้งนี้ ให้กรมราชทัณฑ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้กรมราชทัณฑ์จัดเตรียมแผนอัตรากำลังบุคลากรเพื่อรองรับภารกิจงานที่เพิ่มมากขึ้นของเรือนจำแห่งใหม่ และสำหรับพื้นที่เรือนจำเดิมเมื่อย้ายไปแล้ว ควรมีการจัดทำแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินของเรือนจำเดิมให้เกิดประโยชน์สูงสุด และควรให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาจัดทำมาตรการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยรอบเรือนจำแห่งใหม่อย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26262 | การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2557/58 | กค | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์โครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการผลิตแก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗/๕๘ และอนุมัติในหลักการงบประมาณในการดำเนินการตามโครงการภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๒,๒๙๒ ล้านบาท ๒. เห็นชอบหลักเกณฑ์โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร โดยให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ขอชดเชยจากภาครัฐ จากเดิมร้อยละ ๔ เป็นร้อยละ ๓ และอนุมัติในหลักการงบประมาณในการดำเนินการตามโครงการฯ ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๗๐๐ ล้านบาท ๓. เห็นชอบหลักเกณฑ์โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗/๕๘ โดยให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยค่าบริหารสินเชื่อของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จากเดิมร้อยละ ๒.๕๐ เป็นร้อยละ ๒.๒๕ และอนุมัติในหลักการงบประมาณในการดำเนินการตามโครงการฯ ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๑,๑๒๐.๘ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ ธ.ก.ส. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และปีต่อ ๆ ไป ตามความจำเป็นและเหมาะสมและขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังติดตามและตรวจสอบการดำเนินการโครงการดังกล่าวให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ และให้รายงานผลการดำเนินโครงการต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ทุก ๆ สัปดาห์ เพื่อรวบรวมรายงานต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป ๕. ให้กระทรวงการคลัง ธ.ก.ส. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาให้สินเชื่อแก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร กระทรวงการคลังควรคำนึงถึงศักยภาพและความพร้อมในการดำเนินงาน เช่น ยุ้งฉางของเกษตรกร การบริหารจัดการแปรรูปและจำหน่ายข้าวของสหกรณ์ และความพร้อมของบุคลากรในการติดตามตรวจสอบปริมาณข้าวของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ และในระยะต่อไป กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรวางแผนการเพาะปลูกข้าวให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ตลอดจนการพัฒนาผลิตภาพการผลิตข้าวของไทยในด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและอุตสาหกรรมข้าวไทยทั้งระบบ ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต การวิจัยพัฒนา และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น แหล่งน้ำ ระบบขนส่ง ยุ้งฉาง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26263 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 1 ปี 2557 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤษภาคม 2557 | อก | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๑ ปี ๒๕๕๗ และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๑ ปี ๒๕๕๗ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมไตรมาสที่ ๑ ปี ๒๕๕๗ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาร้อยละ ๐.๗ แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๖ ร้อยละ ๗.๐ อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ น้ำตาล เครื่องปรับอากาศ เม็ดพลาสติก เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ปูนซีเมนต์ ปูนขาวและปูนปลาสเตอร์ เป็นต้น สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๖ ได้แก่ ยานยนต์ Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เป็นต้น ๑.๒ สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗ ๑.๒.๑ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนเมษายน ๒๕๕๗ ลดลงจากเดือนมีนาคม ๒๕๕๗ ร้อยละ ๑๒.๓ และลดลงร้อยละ ๓.๙ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน การผลิตลดลงในหลายอุตสาหกรรมที่สำคัญ คือ ยานยนต์ เบียร์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน Hard Disk Drive ๑.๒.๒ การผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มสิ่งทอคาดว่าอาจจะชะลอตัวตามความต้องการใช้ในประเทศที่อ่อนตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ในส่วนของการส่งออกเครื่องนุ่งห่ม เสื้อผ้าแฟชั่นที่สวมใส่สบาย และชุดกีฬา คาดว่าจะกระเตื้องในทิศทางบวกจากตลาดสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปที่เริ่มฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ๑.๒.๓ อุตสาหกรรมไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๒๗ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการขยายตัวของเครื่องปรับอากาศที่สามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๗๗ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากกลุ่ม Semiconductor และ IC ที่เริ่มมีความต้องการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอาเซียนและญี่ปุ่น ๒. คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสังเกตว่า รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมดังกล่าวควรมีการชี้แจงทำความเข้าใจให้ถูกต้องตรงกันด้วยว่าเป็นสภาวการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นก่อนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติจะเข้ามาบริหารประเทศ สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจของไทยในช่วงปลายไตรมาสที่สองเป็นต้นมามีแนวโน้มว่าเริ่มจะปรับตัวดีขึ้น อันเป็นผลจากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการส่งออกในเรื่องต่าง ๆ เช่น การส่งออกยานยนต์ ชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง เป็นต้น และหากการดำเนินการระบายข้าวในสต็อกรัฐบาลเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ก็จะทำให้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศดียิ่งขึ้น โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อาจปรับตัวสูงขึ้นอีกประมาณร้อยละ ๑-๑.๕
|
||||||||||||||||||||||||
26264 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2557 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2557 | กค | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติรับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗ มีจำนวน ๕,๕๕๐,๓๙๐.๘๗ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๖.๐๗ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) โดยเป็นหนี้ของรัฐบาลกู้โดยตรง จำนวน ๓,๙๑๙,๓๙๘.๒๘ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จำนวน ๑,๐๙๑,๘๙๔.๙๑ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) จำนวน ๕๓๒,๑๘๓.๔๗ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๖,๙๑๔.๒๑ ล้านบาท ส่วนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินไม่มีหนี้คงค้าง ๒. คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ ประกอบด้วย ๔ แผนย่อย และปรับปรุงแผนฯ ในระหว่างปี เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เงินกู้และบริหารหนี้ ซึ่งหลังการปรับปรุงแผนฯ ครั้งที่ ๑ ทำให้วงเงินรวมในแผนฯ ที่จะบริหารจัดการมีจำนวนทั้งสิ้น ๑,๓๑๖,๓๓๐.๘๔ ล้านบาท โดยในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๗ กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้ เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๕๔๘,๖๕๖.๙๙ ล้านบาท ๓. ผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะในช่วง ๖ เดือนแรก ของปีงบประมาณ ๒๕๕๗ (ตุลาคม ๒๕๕๖-มีนาคม ๒๕๕๗) กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะตามกรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๕๑๑,๘๑๑.๖๕ ล้านบาท โดยมีความก้าวหน้าคิดเป็นร้อยละ ๔๑.๐๑ ของแผนการบริหารหนี้สาธารณะทั้งปี ส่วนผลการกู้เงินและบริหารจัดการหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะในช่วง ๖ เดือนแรก ของปีงบประมาณ ๒๕๕๗ รัฐวิสาหกิจได้กู้เงินและบริหารหนี้รวมทั้งสิ้น ๓๖,๘๔๕.๓๔ ล้านบาท ทั้งนี้ จากการดำเนินการดังกล่าว กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้กู้เงินและบริหารหนี้รวมทั้งสิ้น ๕๔๘,๖๕๖.๙๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๑.๖๘ ของแผนการบริหารหนี้สาธารณะทั้งปี โดยแบ่งเป็น หนี้ของรัฐบาล จำนวน ๓๗๔,๔๙๐.๐๐ ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน จำนวน ๔๕,๙๒๔.๗๙ ล้านบาท และหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน จำนวน ๑๒๘,๒๔๒.๒๐ ล้านบาท ๔. ผลการบริหารหนี้ที่ได้ดำเนินการทั้งในส่วนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๗๓,๙๖๔.๒๗ ล้านบาท (๒๓๖,๖๓๐+๑๓๑,๗๖๘.๕๘+๒,๒๘๘.๙๐+๓,๒๗๖.๗๙) สามารถลดยอดหนี้ได้ทั้งสิ้น ๖๕,๐๓๑.๗๔ ล้านบาท รวมทั้งประหยัดดอกเบี้ยได้ทั้งสิ้น จำนวน ๑๗๓.๕๑ ล้านบาท (๑๑.๔๕+๐.๑๘+๗๕.๔๗+๓๓.๙๙+๕๒.๔๒)
|
||||||||||||||||||||||||
26265 | ขอต่ออายุเงินกู้ระยะสั้น | พน | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต่ออายุเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line ในวงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ระยะเวลา ๑ ปี นับตั้งแต่วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ภายใต้เงื่อนไขเดิม ประกอบด้วย กู้เบิกเกินบัญชี ตั๋วสัญญาใช้เงิน การทำ Trust Receipt (T/R) และการทำสัญญากู้เงินเมื่อทวงถาม (Call Loan) โดยให้พิจารณาทำสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจและ/หรือ ธนาคารพาณิชย์อื่นตามที่ธนาคารแต่ละแห่งเสนอ ในรูปแบบที่มีต้นทุนต่ำที่สุดตามอัตราดอกเบี้ยตลาด โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ยจากการกู้เงินดังกล่าว ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ทั้งนี้ ให้ กฟผ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาตลาดเงินในประเทศที่มีต้นทุนต่ำที่สุด เพื่อให้ กฟผ. มีกรอบวงเงินกู้ระยะสั้นสำรองไว้เป็นทุนหมุนเวียนสำหรับเสริมสภาพคล่องในการดำเนินงานและกรณีจำเป็นเร่งด่วน และบรรเทาผลกระทบต่อการดำเนินงานตามภารกิจ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
26266 | รายงานประจำปีและรายงานงบการเงินขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย ประจำปี 2556 | พน | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติรับทราบรายงานประจำปีและรายงานงบการเงินขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ประจำปี ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กิจกรรมที่สำคัญประกอบด้วยกิจกรรมด้านการสำรวจ การประเมินผลปิโตรเลียม การประเมินปริมาณสำรอง การพัฒนา การผลิตปิโตรเลียม และการกำกับดูแลด้านชีวอนามัย ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซียแปลง A-18 แปลง B-17 & C-19 และแปลง B-17-01 โดยในปี ๒๕๕๖ มีการผลิตก๊าซธรรมชาติจากแปลง A-18 รวมทั้งสิ้น ๓๒๑ พันล้านลูกบาศก์ฟุต ในอัตราเฉลี่ยวันละ ๘๗๘ ล้านลูกบาศก์ฟุต และจากแปลง B-17 & C-19 รวมทั้งสิ้น ๑๑๗ พันล้านลูกบาศก์ฟุต ในอัตราเฉลี่ยวันละ ๓๒๐ ล้านลูกบาศก์ฟุต โดยในปี ๒๕๕๖ มีก๊าซธรรมชาติจากพื้นที่พัฒนาร่วมฯ ส่งให้แก่ประเทศไทย จำนวน ๒๙๓ พันล้านลูกบาศก์ฟุต โดยผ่านท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย ไปยังโรงไฟฟ้าจะนะที่จังหวัดสงขลาและผ่านท่อประธานเส้นที่ ๓ ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ขึ้นไปที่จังหวัดระยอง ๒. ผลประกอบการในปี ๒๕๕๖ ขององค์กรร่วมฯ ได้จากการขายปิโตรเลียม โดยการผลิตปิโตรเลียมจากแปลง A-18 และแปลง B-17 & C-19 ก่อให้เกิดรายได้ขององค์กรร่วมฯ ในรูปของค่าภาคหลวง ๓๒๐,๑๙๙,๓๗๓ ดอลลาร์สหรัฐ ปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไร ๘๗๗,๕๑๓,๒๒๖ ดอลลาร์สหรัฐ และรายได้อื่น ๓๖๕,๖๙๒ ดอลลาร์สหรัฐ สถานะของกองทุนองค์กรร่วมฯ ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ มียอดรวม ๒๗๘,๕๑๖,๔๖๙ ดอลลาร์สหรัฐ ๓. ปี ๒๕๕๖ องค์กรร่วมฯ ได้นำส่งรายได้จากการผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วมฯ ให้แก่รัฐบาลไทย ๖๒๒,๖๘๖,๘๐๓.๙๘ ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๑๙,๐๗๖,๘๖๓,๙๑๖.๖๑ บาท) ซึ่งเท่ากับรายได้ที่ส่งให้รัฐบาลมาเลเซีย
|
||||||||||||||||||||||||
26267 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายบุญสนอง สุชาติพงศ์) | กษ | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์เป็นต้นไป จำนวน ๒ ราย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ เมื่อมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการดังกล่าวให้ดำรงตำแหน่งเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ดังนี้
๑. นางสาววารินทร์ ธนาสมหวัง ดำรงตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการประมง (นักวิชาการประมงทรงคุณวุฒิ) กรมประมง ตั้งแต่วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๖ ๒. นายบุญสนอง สุชาติพงศ์ ดำรงตำแหน่งวิศวกรใหญ่ที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านวางแผนและโครงการ) (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมชลประทาน ตั้งแต่วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||||||||
26268 | ขออนุมัติดำเนินการก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า | กห | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงกลาโหม (กองทัพบก) ดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า ภายในกรอบวงเงินทั้งสิ้น ๒,๔๕๕,๙๗๓,๐๔๔ บาท ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๔๙๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท และให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๑,๙๖๓,๙๗๓,๐๔๔ บาท ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๖๐ รองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป สำหรับค่าสาธารณูปโภคและการดูแลรักษาอาคารพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่ารายปี ปีละจำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี เมื่อการก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่าแล้วเสร็จ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. อนุญาตให้การก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่าซึ่งมีความสูงเกินข้อกำหนดของกรุงเทพมหานครได้รับการยกเว้นการดำเนินการตามกฎกระทรวงว่าด้วยการยกเว้น ผ่อนผัน หรือกำหนดเงื่อนไขในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๕๐ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กองทัพบกรับไปประสานงานกับกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการขอนำผลงานศิลปาชีพ งานจิตรกรรม และประติมากรรมไทยที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของไทยมาจัดแสดงในเชิงวิชาการเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ให้เกิดความภูมิใจในความเป็นไทย และให้พิจารณารวมถึงการนำทรัพย์สินอันมีค่าอื่น ๆ ที่อยู่ในความครอบครองดูแลของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น งาช้างที่ตรวจยึดได้ เป็นต้น มาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26269 | ขออนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 งบกลาง [โครงการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเพื่อควบคุมและลดความสูญเสียของสินค้ากุ้งทะเลจากกลุ่มอาการตายด่วน (Early Mortality Syndrome : EMS)] | กษ | 27/06/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) ดำเนินการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเพื่อควบคุมและลดความสูญเสียของสินค้ากุ้งทะเลจากกลุ่มอาการตายด่วน (Early Mortality Syndrome : EMS) ภายในกรอบวงเงิน ๙๖,๐๙๕,๐๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ภายใต้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ มาดำเนินการก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป และให้กรมประมงดำเนินการตามประกาศ หรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ที่เห็นควรพัฒนาระบบคัดกรองพ่อแม่พันธุ์กุ้งที่ปลอดโรคเพื่อการผลิตลูกกุ้งปลอดโรคที่มีประสิทธิภาพ การจัดตั้งเครือข่ายวิจัย เฝ้าระวัง และกักกันโรคกุ้งในประเทศไทยดำเนินการในลักษณะบูรณาการระหว่างหน่วยงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศและมีความร่วมมือกับหน่วยงานวิจัยในต่างประเทศ การพัฒนาระบบควบคุมและตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพ รวมถึงการพัฒนาเกษตรกรผู้ตรวจสอบคุณภาพ การกำหนดเขตเหมาะสมสำหรับการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การวางแนวทางในการบริหารจัดการโครงการฯ ให้มีความชัดเจน โดยเฉพาะในการกระจายพันธุ์กุ้งที่ผลิตได้ให้กับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยง โดยให้เกษตรกรเข้ามามีส่วนร่วมรับภาระค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสมกับสถานภาพของเกษตรกร การให้ความสำคัญในการร่วมมือและกำกับดูแลและตรวจสอบพันธุ์กุ้งที่ผลิตจากภาคเอกชนให้มีคุณภาพ ปลอดจากกลุ่มอาการตายด่วน (EMS) นอกจากนี้ การอบรมสัมมนาให้กับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งและผู้ประกอบการโรงเพาะฟักในทุกพื้นที่ ควรคำนึงถึงความพร้อมของกลุ่มเป้าหมายและเจ้าหน้าที่โครงการ รวมทั้งการจัดหาครุภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์และการซ่อมแซมโรงเพาะฟัก ควรมีการตรวจสอบความพร้อมทุกด้านเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ อย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) เร่งรัดการเพาะพันธุ์ลูกกุ้งทะเลในประเทศเพื่อรองรับการผลิตในปีต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26270 | ขอยกเว้นการนำหลักเกณฑ์ แนวทางและวิธีการจัดสรรเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการสังกัดฝ่ายบริหารตามมติคณะรัฐมนตรีมาจัดสรรเงินรางวัลให้แก่ข้าราชการธุรการและลูกจ้างประจำของสำนักงานอัยการสูงสุด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | อส | 24/06/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้สำนักงานอัยการสูงสุดอนุโลมตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และรูปแบบการจัดสรรเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการสังกัดฝ่ายบริหารตามที่ ก.พ.ร. กำหนด (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๖ เรื่อง แนวทางการจัดสรรเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ สำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา) มาจัดสรรเงินรางวัลให้แก่ข้าราชการธุรการและลูกจ้างประจำของสำนักงานอัยการสูงสุด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยในส่วนของหลักเกณฑ์ที่ไม่สามารถดำเนินการได้ ให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะกรรมการจัดสรรเงินรางวัลประจำปีงบประมาณของสำนักงานอัยการสูงสุด ๒. ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ รับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการจัดสรรเงินรางวัลประจำปีสำหรับองค์กรอิสระและองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ รวมทั้งหน่วยงานต่าง ๆ ในกระบวนการยุติธรรมให้เกิดความเหมาะสม เป็นธรรม เท่าเทียม และเป็นมาตรฐานเดียวกัน สามารถเทียบเคียงกับส่วนราชการได้อย่างสมเหตุผลและเป็นที่ยอมรับได้ของทุกฝ่าย แล้วดำเนินการตามแนวทางปฏิรูปประเทศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในระยะที่ ๒ ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
26271 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงการดำเนินโครงการ "ก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 แห่ง "เป็นดำเนินโครงการ "ก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 โครงการ" | ตช | 24/06/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. อนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปลี่ยนแปลงรายการและเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันจากเดิมโครงการ “ก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน ๓๙๖ แห่ง” ภายในวงเงิน ๖,๖๗๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๒-พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นดำเนินโครงการ “ก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน ๓๙๖ โครงการ” วงเงินรวมทั้งสิ้น ๘,๓๕๗,๓๕๕,๑๗๐ บาท (ซึ่งเป็นวงเงินที่ได้รวมเงินที่ได้มีการใช้จ่ายไปแล้ว จำนวน ๑,๕๐๔,๖๗๙,๒๐๔ บาท) โดยดำเนินการในลักษณะแยกการจัดจ้างและแยกสัญญาเป็นรายการ ในวงเงิน ๖,๘๕๒,๖๗๕,๙๖๖ บาท โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องดำเนินการเพื่อประโยชน์ของทางราชการด้วยการต่อรองราคาให้ต่ำที่สุด ดังนี้ ๑.๑ อาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน ๑๘๑ โครงการ วงเงิน ๒,๔๕๙,๐๙๓,๑๖๖ บาท ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องก่อสร้างเนื่องจากอาคารที่ทำการเดิมถูกรื้อถอนไปแล้ว และได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารทดแทนไปแล้วบางส่วน แต่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องใช้บริการสถานีตำรวจและข้าราชการตำรวจที่ไม่มีอาคารถาวรสำหรับปฏิบัติงาน โดยใช้จ่ายจากเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๙๒,๐๙๒,๖๐๔ บาท เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๑๗๕,๓๔๓,๘๘๕ บาท เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑,๙๑๕,๐๔๙,๕๗๕ บาท และเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒๗๖,๖๐๗,๑๐๒ บาท ๑.๒ อาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) อีกจำนวน ๒๑๕ โครงการ วงเงิน ๔,๓๙๓,๕๘๒,๘๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๘๗๘,๗๑๖,๖๐๐ บาท และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๓,๕๑๔,๘๖๖,๒๐๐ บาท ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ หากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของรายการ ให้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ โดยให้ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน และให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดทำแผนบริหารจัดการโครงการฯ รวมทั้งให้มีการติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานตามแผน เสนอคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำกับดูแลการจัดทำขอบเขตของงาน (TOR) ของโครงการให้ถูกต้อง ชัดเจน รัดกุม และคำนึงถึงประเด็นความน่าเชื่อถือของผู้รับจ้างที่จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญาได้ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องดำเนินโครงการอย่างโปร่งใส และมีการประชาสัมพันธ์เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินโครงการที่ถูกต้องให้ประชาชนผู้สนใจได้ทราบ รวมตลอดถึงการเปิดเผยราคากลางของโครงการตามแนวทางปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำและแสดงบัญชีรายการรับจ่ายของโครงการที่บุคคลหรือนิติบุคคลเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ด้วย ๓. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมาว่ามีข้อผิดพลาดประการใดและคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาให้สามารถดำเนินโครงการต่อไปได้เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีสถานที่ทำการสำหรับให้บริการและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้ประชาชนได้รับทราบ รวมทั้งเร่งรัดดำเนินการเพื่อรักษาประโยชน์ของทางราชการในการติดตามความคืบหน้าของการดำเนินคดี และการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่าง ๆ จากผู้รับจ้างเดิมที่ได้บอกเลิกสัญญารวมถึงการดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องที่ต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อการดำเนินการโครงการเดิมดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26272 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้ายฤดูการผลิตปี 2555/2556 | อก | 24/06/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๕/๒๕๕๖ เฉลี่ยทั่วประเทศในอัตราตันอ้อยละ ๙๙๙.๒๐ บาท ณ ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส. และกำหนดราคาขึ้น/ลงของราคาอ้อยเท่ากับ ๕๙.๙๕ บาท ต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส. ต่อเมตริกตัน และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย เท่ากับ ๔๒๘.๒๓ บาทต่อตันอ้อย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายพิจารณากำหนดแนวทางปฏิบัติในการหักเงินราคาอ้อยขั้นสุดท้าย กรณีที่ฤดูการผลิตใด ราคาอ้อยขั้นสุดท้ายมีผลต่างที่สูงกว่าราคาอ้อยขั้นต้นรวมกับเงินช่วยเหลือและคุ้มต้นทุนการผลิตแล้ว เพื่อนำส่งเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเป็นรายได้สำหรับนำไปชำระหนี้ หรือลดภาระการกู้เงิน หรือใช้ในการให้ความช่วยเหลือชาวไร่อ้อยต่อไป ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เกี่ยวกับแนวทางในการปรับลดต้นทุนการผลิต การกำหนดแนวทางปฏิบัติในการหักเงินราคาอ้อยขั้นสุดท้าย การดำเนินมาตรการควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแล และติดตามผลการชำระหนี้ของกองทุนฯ การพิจารณาหาข้อยุติเรื่องการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของประเทศ การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน มีความเหมาะสมและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการทบทวนโครงสร้างการคำนวณต้นทุนการผลิตอ้อยเพื่อให้เป็นราคาที่เหมาะสมสะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริง และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย สามารถนำไปใช้ในการวางแผน/ประมาณการได้อย่างเป็นปัจจุบัน ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการประชาสัมพันธ์ชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้าย และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิต ปี ๒๕๕๕/๒๕๕๖ ให้ประชาชนผู้สนใจได้ทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึง ทั้งนี้ การกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้าย และผลตอบแทนการผลิตฯ ดังกล่าวเป็นมาตรการระยะสั้นเท่านั้น และจะมีการพิจารณากำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาราคาอ้อย และผลตอบแทนการผลิตฯ ในระยะยาวต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
26273 | ข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกโครงการลดและเลิกใช้สารไฮโดรคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน (HCFC Phase Out Project) | กค | 24/06/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกโครงการลดและเลิกใช้สารไฮโดรคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน (HCFC Phase Out Project) และอนุมัติให้ใช้วิธีการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีอนุญาโตตุลาการตามที่ธนาคารโลกกำหนดมาตรฐานไว้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) แก่ผู้แทนไทยที่จะลงนามยืนยันความช่วยเหลือฯ สำหรับโครงการดังกล่าว ๓. ให้หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาตินำความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการส่งเสริมให้มีการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสารทดแทนการใช้สารไฮโดรคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน และการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น เพื่อจัดลำดับความสำคัญ (priority) ในการส่งเสริมการลงทุนของผู้ประกอบการในการผลิตสารทดแทนการใช้สารไฮโดรคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน การกำหนดแนวทางและมาตรการในการจูงใจผู้ประกอบการ รวมตลอดถึงการให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเสนอคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนโดยด่วนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
26274 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2557 | กค | 24/06/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗ ภายในกรอบวงเงิน ๔๙๔,๙๐๖,๒๒๑.๕๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่มีเหลือจ่ายจากโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๖ จำนวน ๑๑๘,๖๐๒,๓๗๕.๕๐ บาท และเงินทุนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน ๓๗๖,๓๐๓,๘๔๖ บาท โดยให้ ธ.ก.ส. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อชดเชยเงินต้นและดอกเบี้ยในอัตรา FDR+๑% ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาทบทวนอัตราเบี้ยประกันภัย ให้เหมาะสมและเป็นที่จูงใจให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการประกันภัยข้าวนาปีให้มากยิ่งขึ้นด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมการเกษตร) ประสานงานกับ ธ.ก.ส. และกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรจัดให้มีกลไกการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน และรายงานผลฯ ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบข้อมูลเพื่อนำมาพิจารณาปรับปรุงรูปแบบและวิธีการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งอาจขยายการดำเนินโครงการประกันภัยพืชผลไปสู่สินค้าเกษตรชนิดอื่น ๆ เช่น ข้าวนาปรัง มันสำปะหลัง เป็นต้น รวมทั้งให้ฝ่ายกำกับดูแล กำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน การรักษาวินัยการเงินการคลัง การให้ความรู้และมาตรการสร้างแรงจูงใจ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกิดประโยชน์และคุ้มค่าสูงสุด ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น รวมทั้งให้นำเรื่องดังกล่าวหารือรองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการเชิงรุกในการดำเนินการแก้ไขปัญหาพืชผลทางการเกษตรในระยะยาวได้อย่างยั่งยืนต่อไป และให้มีความเชื่อมโยงกับโครงการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การกำหนดเขตพื้นที่ปลูกข้าว (zoning) การปลูกพืชทดแทน และการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ เป็นต้น แล้วนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยเร็วต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
26275 | การลงนามในภาคผนวกของร่างหนังสือผลการเจรจาปรับแก้ตารางข้อผูกพันภาษีสินค้าของกาบองภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ภายใต้กระบวนการเจรจาขอปรับแก้ตารางข้อผูกพันของประเทศสมาชิก WTO ตามมาตรา XXVIII ของ GATT 1994 | พณ | 24/06/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในสารัตถะของร่างหนังสือผลการเจรจาปรับแก้ตารางข้อผูกพันภาษีสินค้าของกาบองภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) พร้อมภาคผนวก ภายใต้กระบวนการเจรจาขอปรับแก้ตารางข้อผูกพันของประเทศสมาชิก WTO ตามมาตรา XXVIII ของ GATT 1994 โดยสาธารณรัฐกาบองขอปรับแก้ตารางข้อผูกพันอัตราภาษีสินค้าที่ไม่ใช่สินค้าเกษตรภายใต้ WTO ให้สอดคล้องกับอัตราภาษีที่เก็บจริงตาม Economic and Monetary Community of Central Africa หรือ CEMAC ส่งผลให้ตารางข้อผูกพันอัตราภาษีนำเข้า (bound rate) ของสินค้าเพิ่มขึ้นจากเฉลี่ยที่ร้อยละ ๑๕.๓๘ เป็นเฉลี่ยที่ร้อยละ ๑๘.๐๘ โดยปรับขึ้น bound rate สินค้าจำนวน ๒,๑๕๙ รายการ เพิ่มจากร้อยละ ๑๕ เป็นร้อยละ ๒๐-๓๐ และปรับลด bound rate สินค้าจำนวน ๒,๕๐๐ รายการ จากร้อยละ ๑๕ มาเป็นร้อยละ ๕-๑๐ ๑.๒ ให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำ WTO หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในภาคผนวกผลการเจรจาระหว่างไทย-กาบอง เพื่อผนวกเข้ากับร่างหนังสือผลการเจรจาปรับแก้ตารางข้อผูกพันภาษีสินค้าของกาบองภายใต้ WTO ภายใต้กระบวนการเจรจาขอปรับแก้ตารางข้อผูกพันของประเทศสมาชิก WTO ตามมาตรา XXVIII ของ GATT 1994 ๑.๓ ให้ผู้แทนไทย ตามข้อ ๑.๒ พิจารณาใช้ดุลพินิจตามสถานการณ์ ตามความเหมาะสมในเรื่องอื่นใดที่จะเป็นประโยชน์ต่อไทย หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญ หรือแก้ไขสาระสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในกรอบร่างหนังสือผลการเจรจาฯ และภาคผนวกดังกล่าว ๒. การใช้ดุลพินิจของผู้แทนไทย ให้ระมัดระวัง เพราะจะต้องรับผิดชอบ และให้ยึดผลประโยชน์และศักดิ์ศรีของประเทศไทยในเวทีโลกเป็นหลัก ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าของสินค้าข้าวและการประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชน ผู้ประกอบการทราบข้อมูลอย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ประเมินถึงผลประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการเป็นสมาชิก WTO โดยเฉพาะพันธกรณีข้อกำหนดเกี่ยวกับการลดหย่อนอัตราภาษีว่าที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับผลประโยชน์อย่างไรและได้รับการลดหย่อนภาษีจากประเทศคู่ค้าแล้วเท่าใด ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์กำหนดยุทธศาสตร์ในเชิงรุกเพื่อเจรจากับคู่ค้าทั้งในระบบทวิภาคีและพหุภาคีด้วย โดยจะต้องจัดทำรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
26276 | การให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี 2556/2557 | อก | 24/06/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในอัตราตันละ ๑๖๐ บาท ตามมติคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ๑.๒ อนุมัติให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้เงิน (Straight loan) จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ตามนัยมาตรา ๒๗ (๖) แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ในอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนเพื่อนำมาช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ ในอัตราตันอ้อยละ ๑๖๐ บาท โดยให้จ่ายตรงให้กับชาวไร่อ้อยในทุกตันอ้อยที่ส่งเข้าหีบในโรงงานน้ำตาลทรายในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ จากผลผลิตอ้อยทั้งสิ้น ๑๐๓.๗๐ ล้านตัน รวมเป็นเงินประมาณ ๑๖,๕๙๒ ล้านบาท หรือจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายตามปริมาณอ้อยเข้าหีบจริงฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ ตามแผนชำระหนี้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ใช้ระยะเวลาประมาณ ๑๗ เดือน โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแล การจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยให้ถึงมือชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิ์ให้ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ มีการบันทึกบัญชีให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเป็นลูกหนี้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย และให้มีข้อมูลลูกหนี้แยกเป็นรายให้ชัดเจน อีกทั้งจัดระบบควบคุม ตรวจสอบ และกำกับดูแล โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการด้วย ๑.๓ เห็นชอบให้คงการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายภายในประเทศกิโลกรัมละ ๕ บาท เพื่อนำไปเป็นรายได้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายสำหรับนำไปชำระหนี้เฉพาะเงินกู้ที่นำมาช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ จนกว่าจะใช้หนี้หมดเท่านั้น ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เกี่ยวกับการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งในด้านปริมาณผลผลิตต่อไร่และค่าความหวาน การส่งเสริมให้มีการเพิ่มมูลค่าในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายตลอดห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) เพื่อลดภาระการอุดหนุนจากกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายลง การเพิ่มความสามารถในการพึ่งตนเองของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายอย่างยั่งยืน การควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแล และติดตามการใช้เงินจากการจัดเก็บรายได้จากการจำหน่ายน้ำตาลทรายเพื่อนำไปชำระหนี้เฉพาะเงินกู้ที่นำมาช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อย การเร่งรัดการทบทวนสูตรการคำนวณต้นทุนการผลิตอ้อย และการกำหนดราคาอ้อยและน้ำตาลทรายให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและสอดคล้องกับสถานการณ์ประเทศ การเร่งนำผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) มาประกอบการพิจารณาปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายในระยะยาวโดยเร็ว การเพิ่มองค์ประกอบของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของอุตสาหกรรม การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป การเพิ่มองค์ประกอบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายให้ครอบคลุมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดในอุตสาหกรรม การเร่งรัดให้เกิดการส่งเสริมการพัฒนาด้านอ้อยตามระเบียบวาระอ้อยแห่งชาติ ระยะ ๕ ปี (ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๙) และเร่งปรับปรุงร่างแผนพัฒนาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๓ ให้มีรายละเอียดชัดเจนมากขึ้น การกำกับดูแลและตรวจสอบให้การช่วยเหลือบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนด การควบคุมดูแลการเบิกจ่ายเงินโดยเคร่งครัด รวมทั้งร่วมกับส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งรัดพิจารณากำหนดแนวทางในการลดต้นทุนการผลิต และปรับปรุงประสิทธิภาพผลผลิตอ้อยแทนการให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ลดภาระการใช้จ่ายเงินในการช่วยเหลือเยียวยา และเพื่อให้อุตสาหกรรมสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการประชาสัมพันธ์ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการเรื่องนี้ให้ประชาชนผู้สนใจได้ทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดอัตราเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยดังกล่าว คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายได้มีมติเห็นชอบแล้วตั้งแต่วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๗ แต่เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองและได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ไม่สามารถพิจารณาเรื่องนี้ได้ ๔. ให้รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการในการแก้ไขปัญหาอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบในระยะยาว แล้วนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
26277 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2556 เพื่อเปลี่ยนแปลงวันที่และสถานที่จัดการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 20 | ทส | 24/06/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติเห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๖ (เรื่อง ผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๙ และการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๐) เพื่อเปลี่ยนแปลงวันเวลา และสถานที่จัดการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๐ จากเดิม “ช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ณ ศูนย์การประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่” เป็น “วันที่ ๒๕-๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๗ ณ โรงแรมรอยัล ออร์คิด เชอราตัน โฮเต็ล แอนด์ ทาวเวอร์ กรุงเทพมหานคร” ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
26278 | ขออนุมัติองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 20 | ทส | 24/06/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๐ ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒. นายสุรพล ปัตตานี รองหัวหน้าคณะผู้แทนไทย รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้แทนไทยสำรองในคณะกรรมการร่วม คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ๓. นายชัยพร ศิริพรไพบูลย์ ผู้แทนไทย รองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ ผู้แทนไทยสำรองในคณะกรรมการร่วม คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ๔. นายชัยยุทธ สุขศรี ผู้แทนไทย กรรมการในคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ๕. ผู้แทนกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ผู้แทนไทย กระทรวงการต่างประเทศ ๖. ผู้แทนกรมองค์การระหว่างประเทศ ผู้แทนไทย กระทรวงการต่างประเทศ |
||||||||||||||||||||||||
26279 | รายงานการชดใช้คืนเงินทดรองราชการ ตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2556/57 | กค | 24/06/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการชดใช้คืนเงินทดรองราชการตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ โดยกรมการค้าต่างประเทศได้เบิกเงินทดรองราชการที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลัง จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อโอนให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรนำไปจ่ายให้แก่ชาวนาตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ โดยขณะนี้กรมบัญชีกลางได้รับคืนเงินทดรองราชการที่กรมการค้าต่างประเทศได้นำส่งชดใช้คืนเงินทดรองราชการดังกล่าวครบถ้วนแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพัฒนาสินค้าข้าวในระยะต่อไป หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น ควรบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายเดียวกันที่จะพัฒนาคุณภาพข้าวให้ได้มาตรฐาน ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และเพิ่มมูลค่าสินค้าข้าว เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเปิดประชาคมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) กำกับให้กระทรวงพาณิชย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรมการค้าต่างประเทศและกรมการค้าภายในชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนและภาคเอกชนว่ามาตรการต่าง ๆ ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ดำเนินการเกี่ยวกับการระบายข้าวและการทำสัญญาซื้อขายข้าวของรัฐ เป็นเพียงการดำเนินการตรวจสอบเพื่อให้เกิดความโปร่งใสเท่านั้น มิได้มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจตามปกติของภาคเอกชนแต่อย่างใด |
||||||||||||||||||||||||
26280 | แนวทางบรรเทาความเดือดร้อนและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านสินเชื่อผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ | กค | 24/06/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบการดำเนินการของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ที่เกี่ยวข้องตามมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบทางการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจ มาตรการสินเชื่อเพื่อภาคการเกษตร และมาตรการสินเชื่อเพื่อ SMEs ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบทางการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจ ได้แก่ ๑.๑.๑ มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการเมือง เศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติ โดยธนาคารออมสิน มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับลูกค้าของธนาคารที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติ โดยการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้เป็นเวลา ๖ เดือน โดยสามารถชำระเงินต้นบางส่วนพร้อมดอกเบี้ยปกติ หรือพักชำระเงินต้นแต่ให้ชำระเฉพาะดอกเบี้ยปกติเต็มจำนวน และการให้กู้เพิ่มเติมกรณีฉุกเฉิน หรือเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัยเฉพาะในกรณีภัยพิบัติ วงเงินรวม ๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีมติเห็นชอบจนถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ๑.๑.๒ มาตรการพักชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับลูกค้าของ บสย. โดยกำหนดให้สามารถพักชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันได้เป็นระยะเวลา ๖ เดือน สำหรับลูกค้าของ บสย. ที่ถึงกำหนดชำระค่าธรรมเนียมต่ออายุการค้ำประกัน ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๒ มาตรการสินเชื่อเพื่อภาคการเกษตร ประกอบด้วย ๔ โครงการ ดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วงเงินสินเชื่อรวม ๖๕,๙๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ โครงการสินเชื่อสำหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน โครงการเพิ่มสินเชื่อตลอดห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตร และโครงการสินเชื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก (บัตรสินเชื่อเกษตรกร) ๑.๓ มาตรการสินเชื่อเพื่อ SMEs วงเงินสินเชื่อรวม ๔๕,๖๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการสินเชื่อ SMEs สุขใจ โดยธนาคารออมสิน โครงการสินเชื่อสนับสนุนผู้ประกอบการตามยุทธศาสตร์กระทรวงอุตสาหกรรม โครงการขยายสินเชื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต ๒ (Productivity Improvement Loan-2) โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) โครงการขยายสินเชื่อแก่ SMEs โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) โครงการสินเชื่อเพิ่มสุข โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โครงการ SMEs Halal Trade โครงการสินเชื่อมาตรฐาน SMEs Flexi & Sure และแคมเปญ Happy Together โดยธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ๒. เห็นชอบหลักเกณฑ์มาตรการรับภาระค่าธรรมเนียมค้ำประกันแทนผู้ประกอบการในโครงการ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๕ ในปีแรก หลักเกณฑ์โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ PGS สำหรับผู้ประกอบการ OTOP และวิสาหกิจชุมชน และหลักเกณฑ์โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Package Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ทั้งนี้ ให้ดำเนินโครงการตามหลักเกณฑ์มาตรการดังกล่าวในระยะสั้นและเสร็จสิ้นภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ก่อน ๓. อนุมัติงบประมาณในการดำเนินโครงการตามข้อ ๒ ภายในกรอบวงเงิน ๓,๗๑๒.๕๐ ล้านบาท โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังกำกับดูแลการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจต่าง ๆ ภายใต้หลักเกณฑ์มาตรการฯ ข้างต้นอย่างใกล้ชิด ให้สามารถติดตามและตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการ/โครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ |
.....