ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1317 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 26321 - 26340 จากข้อมูลทั้งหมด 124012 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26321 | รายงานผลการสอบบัญชีของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สำหรับปีบัญชี 2556 | อก | 06/05/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการสอบบัญชีของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สำหรับปีบัญชี ๒๕๕๖ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยฐานะการเงิน ณ วันสิ้นสุดงวดปีบัญชี ๒๕๕๖ กนอ. มีสินทรัพย์รวม จำนวน ๒๒,๒๔๙ ล้านบาท หนี้สินรวม จำนวน ๑๑,๐๗๓ ล้านบาท และส่วนของทุน จำนวน ๑๑,๑๗๖ ล้านบาท ผลประกอบการในปี ๒๕๕๖ มีกำไรสุทธิ จำนวน ๑,๙๔๔ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
26322 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานวิเคราะห์ดัชนีเศรษฐกิจการค้าและภาวะเศรษฐกิจไทย เดือนมีนาคม 2557 | พณ | 06/05/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ และรายงานวิเคราะห์ดัชนีเศรษฐกิจการค้าและภาวะเศรษฐกิจไทย เดือนมีนาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนมีนาคม ๒๕๕๗ เท่ากับ ๑๐๖.๙๔ เทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ (เท่ากับ ๑๐๖.๗๑) สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๒ (เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๓) เป็นอัตราการสูงขึ้นที่ชะลอลง จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๐.๔๕ (เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๕๔) สินค้าที่ปรับราคาสูงขึ้น ได้แก่ เนื้อสุกร ผักกาดขาว ผักคะน้า มะเขือเจ้าพระยา มะนาว ผักกาดหอม ส้มเขียวหวาน กับข้าวสำเร็จรูป ก๋วยเตี๋ยว อาหารกลางวัน (ข้าวราดแกง) และดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๐ (เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๐) สินค้าและบริการที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ค่าเช่าบ้าน ก๊าซหุงต้ม สบู่ถูตัว ยาสีฟัน แชมพูสระผม น้ำมันเบนซิน ๙๕ แก๊สโซฮอล์ ๙๑ แก๊สโซฮอล์ ๙๕ วารสารรายสัปดาห์ เบียร์ สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนมีนาคม ๒๕๕๗ เท่ากับ ๑๐๔.๒๒ เทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๘ ๒. ภาพรวมเศรษฐกิจไทยเดือนมีนาคม ๒๕๕๗ ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง จากการใช้จ่ายในประเทศและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลง รวมทั้งการท่องเที่ยวที่หดตัวเนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์ด้านการเมือง โดยสอดคล้องกับการนำเข้าสินค้าที่หดตัว ขณะที่การส่งออกสินค้าปรับดีขึ้นตามแนวโน้มอุปสงค์จากต่างประเทศ ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนมีนาคม ๒๕๕๗ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๑๑ (เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ อยู่ที่ร้อยละ ๑.๙๖) ตามการสูงขึ้นของราคาอาหารสำเร็จรูปที่ได้รับผลกระทบจากราคาอาหารสดที่ปรับตัวสูงขึ้น เช่น เนื้อสุกร ผักและผลไม้ สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ ๑.๓๑
|
|||||||||||||||||||||||||||
26323 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 06/05/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
26324 | ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 8 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายอินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT-GT) | นร11 | 06/05/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) รัฐมนตรีประจำแผนงาน IMT-GT เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๘ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Draft Joint Statement of the Eighth Summit of Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle) มีสาระสำคัญเป็นการชื่นชมการดำเนินงานนโยบายความร่วมมือ และการตกลงเจตนารมณ์ทางการเมืองของประเทศสมาชิกในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสามารถปรับปรุงถ้อยคำในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ได้ในกรณีที่มิใช่การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบอีก ๑.๒ ให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรี (Special Envoy) เพื่อปฏิบัติหน้าที่ประธานที่ประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๘ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) ในวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ๑.๓ เห็นชอบการกำหนดองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยในการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๘ แผนงาน IMT-GT ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ประกอบด้วยเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรี) ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงานของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานสภาธุรกิจ IMT-GT ประเทศไทย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายฯ ควรพัฒนาการเชื่อมโยงอย่างสอดคล้องกับความร่วมมือระดับภูมิภาคอื่น ๆ ด้วย และควรเร่งดำเนินการโครงการความร่วมมือภายใต้แผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายฯ โดยเฉพาะด้านการคมนาคมขนส่ง การค้าการลงทุน การเกษตร การท่องเที่ยว อุตสาหกรรมฮาลาล และทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อประชาชนในท้องถิ่น ไปพิจารณาด้วย ๓. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย การให้ความเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมฯ จึงไม่มีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป อันเป็นข้อห้ามตามมาตรา ๑๘๑ (๓) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และสามารถเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
26325 | สรุปสถานการณ์แผ่นดินไหวที่จังหวัดเชียงราย | มท | 06/05/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปสถานการณ์แผ่นดินไหวที่จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.๐๘ น. จุดศูนย์กลางอยู่บริเวณตำบลทรายขาว อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ขนาด ๖.๓ ริกเตอร์ ความลึก ๗ กิโลเมตร รู้สึกสั่นไหวในหลายพื้นที่ของประเทศไทย และได้เกิดแผ่นดินไหวตามมา (Aftershock) อีกหลายครั้ง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติเสนอ และที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เสนอเพิ่มเติมว่า สถานการณ์แผ่นดินไหวเกิดจากรอยเลื่อนพะเยา ซึ่งเป็นการเลื่อนตามแนวนอน ความรุนแรงของสถานการณ์แผ่นดินไหวขนาด ๖.๑-๖.๓ ริกเตอร์ ถือได้ว่าเป็นความรุนแรงสูงสุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย โดยในปี ๒๕๓๗ ได้เกิดสถานการณ์แผ่นดินไหวที่อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ขนาด ๕.๓ ริกเตอร์ การเกิดแผ่นดินไหวตามมา (Aftershock) จะเกิดขึ้นประมาณ ๓-๔ วัน โดยมีความรุนแรงไม่เกิน ๕ ริกเตอร์ สำหรับผลจากการเกิดสถานการณ์แผ่นดินไหวจะทำให้เกิดหลุมยุบจำนวนมากโดยเฉพาะบริเวณถ้ำหินปูน จึงควรเร่งสำรวจพื้นที่ที่อาจเกิดหลุมยุบ บ้านเรือนที่ปลูกสร้างในพื้นที่สูง สถานที่ราชการ และเส้นทางคมนาคม ซึ่งอาจเกิดปัญหาดินถล่มได้ ๒. ให้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เป็นประธาน และมีรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง/หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และสำนักงบประมาณ เป็นกรรมการ โดยมีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นกรรมการและเลขานุการ เพื่อพิจารณาแนวทางการดำเนินการสำรวจความเสียหาย การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย และการแก้ไขปัญหาหรือผลกระทบจากสถานการณ์แผ่นดินไหวดังกล่าวทั้งในระยะเร่งด่วนและในระยะยาว ทั้งนี้ การใช้งบประมาณเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากสถานการณ์แผ่นดินไหวในระยะเร่งด่วน ให้พิจารณาใช้จ่ายจากเงินทดรองราชการ ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ ก่อน
|
|||||||||||||||||||||||||||
26326 | การหารือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว | นร09 | 30/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีการับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามมาตรา ๑๘๒ วรรคหนึ่ง (๗) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไปพิจารณาในประเด็นข้อกฎหมาย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
26327 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนมกราคม 2557 | พณ | 28/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ และรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนมกราคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนมกราคม ๒๕๕๗ เท่ากับ ๑๐๖.๔๖ เทียบกับเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ (เท่ากับ ๑๐๖.๐๑) สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๒ (เดือนธันวาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๔) จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๐.๖๗ (เดือนธันวาคม ๒๕๕๖ ไม่เปลี่ยนแปลง) สินค้าที่ปรับราคาสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวสารเจ้า เนื้อสุกร ไก่สด เนื้อโค ไข่ไก่ นมสด กับข้าวสำเร็จรูป ก๋วยเตี๋ยว อาหารเช้า อาหารกลางวัน (ข้าวราดแกง) อาหารเย็น (อาหารตามสั่ง) และดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๐ (เดือนธันวาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๒) สินค้าที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ค่ากระแสไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม ผ้าอนามัย แชมพูสระผม น้ำยาปรับผ้านุ่ม ผงซักฟอก น้ำมันเชื้อเพลิง บุหรี่ เบียร์ สุรา สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนมกราคม ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๓.๘๖ เทียบกับเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๑ ๒. ภาพรวมเศรษฐกิจเดือนมกราคม ๒๕๕๗ ชะลอตัวลงตามภาวะการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการใช้จ่ายภาคเอกชน เนื่องจากภาคธุรกิจและครัวเรือนยังกังวลต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมือง อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป จีน และอาเซียน ปรับตัวดีขึ้นส่งผลให้การส่งออกสินค้าฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าลงในทิศทางเดียวกับภูมิภาค และมีภาวะเงินไหลออก ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนมกราคม ๒๕๕๗ อยู่ที่ร้อยละ ๑.๙๓ (เดือนธันวาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๑.๖๗) ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศ สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ ๑.๐๔
|
|||||||||||||||||||||||||||
26328 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม-ธันวาคม 2556) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 28/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปีหลังของปี ๒๕๕๖ (กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๕๖) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เศรษฐกิจกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมหลักโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ฟื้นตัวชัดเจนขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียและจีนขยายตัวชะลอลง ซึ่งการคาดการณ์เกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกอบกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคมีผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดการเงินโลก ทำให้เงินทุนต่างประเทศไหลออกจากภูมิภาคและไทย ส่งผลให้เงินในภูมิภาคและเงินบาทโน้มอ่อนค่าลง อย่างไรก็ตาม ไทยไม่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างเต็มที่ เนื่องจากยังเผชิญกับข้อจำกัดด้านอุปทาน เมื่อรวมกับอุปสงค์ในประเทศที่หดตัว และผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมือง โดยรวมเศรษฐกิจไทยจึงขยายตัวชะลอลง ๒. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนหดตัวหลังจากที่เร่งไปมากตามการใช้จ่ายในสินค้าคงทน โดยเฉพาะในภาคธุรกิจยานยนต์ ขณะที่การใช้จ่ายในสินค้าไม่คงทนขยายตัวชะลอลงจากหนี้ครัวเรือนที่เร่งตัวขึ้น สถาบันการเงินที่เพิ่มความเข้มงวดในการให้สินเชื่อแก่ครัวเรือน และสถานการณ์ทางการเมืองที่ส่งผลกระทบเพิ่มเติมต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค มูลค่าการส่งออกสินค้าหดตัวเนื่องจากไทยเผชิญกับข้อจำกัดด้านอุปทานและด้านเทคโนโลยีที่ไม่สามารถตอบสนองต่อรสนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป จึงไม่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเท่าที่ควร ๓. การบริโภคและการส่งออกสินค้าที่หดตัว ทำให้การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมลดลง ผู้ประกอบการบางส่วนชะลอการลงทุนออกไปเพื่อรอประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมือง ภาคการท่องเที่ยวยังขยายตัวดีจึงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ ๔. อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ฐานะการเงินของสถาบันการเงินยังเข้มแข็ง สินเชื่อของทั้งภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนขยายตัวดีแต่ชะลอลงบ้างตามภาวะเศรษฐกิจ และสถาบันการเงินที่เริ่มเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เงินบาทโน้มอ่อนค่าลง ฐานะการคลังยังอยู่ในเกณฑ์ดีแต่อาจมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในระยะต่อไป เสถียรภาพด้านต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์มั่นคง ๕. แนวโน้มเศรษฐกิจในปี ๒๕๕๗ คาดว่าจะยังชะลอตัวต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปีจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองที่กระทบต่อความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายของภาคเอกชน โดยภาระหนี้ที่สูงขึ้นจะจำกัดกำลังซื้อของครัวเรือนไปอีกระยะหนึ่ง การส่งออกมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจโลก ขณะที่ภาครัฐมีบทบาทกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่แต่น้อยลง ทั้งนี้ อุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่ขยายตัวดีขึ้นจะช่วยให้ผู้ประกอบการหันมาลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขยายกำลังการผลิตมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
26329 | สรุปสถานการณ์ภาพรวมของปัญหาไฟป่าและหมอกควันของภาคเหนือ 10 จังหวัด ครั้งที่ 5 | นร04 | 28/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์ภาพรวมของปัญหาไฟป่าและหมอกควันของภาคเหนือ ๑๐ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ พะเยา ตาก และอุตรดิตถ์ ครั้งที่ ๕ ณ วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๗ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. คุณภาพอากาศ ตั้งแต่วันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๗ รวม ๔ วัน ทุกจังหวัดมีคุณภาพอากาศโดยรวมอยู่ในระดับดีถึงปานกลาง ไม่มีค่าปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า ๑๐ ไมครอน สูงเกินค่ามาตรฐาน ๑๒๐ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ๒. จุดความร้อน (Hot Spots) ในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๗ มีจำนวนจุดความร้อน (Hot Spots) รวม ๑๒๘ จุด จังหวัดที่พบจุดความร้อน (Hot Spots) มากที่สุด คือ จังหวัดน่าน จำนวน ๔๖ จุด รองลงมา คือ จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน ๒๓ จุด และจังหวัดแพร่ จำนวน ๑๔ จุด ส่วนสถานการณ์การเกิดไฟป่า มีจำนวนการเกิดไฟป่า ๓๗ ครั้ง รวมพื้นที่ ๒๕๑ ไร่ ๓. นโยบายการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันที่รัฐบาลกำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจังหวัดนำไปดำเนินการโดยเฉพาะมาตรการ ๑๐๐ วันอันตราย ยังมีความจำเป็นที่จะต้องนำไปปฏิบัติในการลดผลกระทบจากปัญหาไฟป่าและหมอกควันในปีต่อไป โดยให้เน้นจังหวัดที่เป็นพื้นที่เสี่ยงซึ่งประสบปัญหาในปีนี้เป็นพิเศษ ทั้งนี้ ผลกระทบจากหมอกควันจะลดลงมากน้อยเพียงใด จะขึ้นอยู่กับการให้ความสำคัญและความใส่ใจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ว่าราชการจังหวัดที่รับผิดชอบในพื้นที่
|
|||||||||||||||||||||||||||
26330 | รายงานผลการศึกษาโครงการจัดซื้อรถโดยสารสาธารณะใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน 3,183 คัน ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก) | ปช | 28/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการศึกษาโครงการจัดซื้อรถโดยสารสาธารณะใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน ๓,๑๘๓ คัน ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ส่วนที่ ๑ รายงานข้อคิดเห็นที่คณะทำงานเพื่อทำการศึกษา เฝ้าระวัง และติดตามการจัดหารถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) ของ ขสมก. มีต่อร่างข้อกำหนดและขอบเขตของงาน (TOR) และร่างเอกสารประกาศประกวดราคาโครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน ๓,๑๘๓ คัน ของ ขสมก. ซึ่งมีประเด็นสำคัญ คือ กระบวนการจัดซื้อควรหลีกเลี่ยงระบบการจัดซื้อแบบวิธีพิเศษที่อาจทำให้เกิดความไม่โปร่งใส ระบบการประมูลต้องเป็นระบบที่ตรวจสอบได้ มีความเป็นธรรม เปิดกว้างให้มีการแข่งขันอย่างเสรีจากผู้ประกอบการทั่วโลก ไม่ควรจำกัดให้ผู้เข้าประมูลต้องเป็นผู้ที่เคยหรือมีประสบการณ์การทำธุรกิจในด้านนี้มาแล้วในประเทศไทยเท่านั้น คุณสมบัติของรถไม่ควรกำหนดที่มีลักษณะจำกัดจนมีผู้ประกอบการเพียงบางรายเท่านั้นที่จะเสนอราคาได้ ๑.๒ ส่วนที่ ๒ วิเคราะห์ปัญหาข้อเสนอการซื้อรถโดยสารที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ จำนวน ๓,๑๘๓ คัน รวมทั้งวิเคราะห์ปัญหาระบบและการบริหารจัดการในการกำกับดูแลระบบการขนส่งทางบก ตลอดจนกฎ ระเบียบ ด้านความปลอดภัยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรถโดยสารสาธารณะ ซึ่งมีประเด็นสำคัญ อาทิ ระบบการกำกับดูแลควรเปลี่ยนจากการให้สัมปทานหรือให้อำนาจผูกขาดแก่ ขสมก. เป็นการให้ใบอนุญาตในการเดินรถ ซึ่ง ขสมก. จะเป็นผู้ประกอบการรายหนึ่งเช่นเดียวกับเอกชน โดยรัฐบาลไม่ควรจำกัดหรือบังคับให้เอกชนหรือรถร่วมเอกชนต้องใช้ก๊าซธรรมชาติ แต่ควรเปิดทางเลือกให้กับทุก ๆ เชื้อเพลิง และปรับปรุงการตรวจสภาพทั้งรถใหม่และรถเก่าทุกประเภท รวมทั้งให้ความสำคัญกับความปลอดภัยให้มากขึ้น แผนปฏิรูปหรือฟื้นฟู ขสมก. จะต้องสะท้อนออกมาในเชิงปริมาณต่อรายได้และรายจ่าย สามารถได้รับการวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ อย่างเป็นระบบได้ เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงคมนาคม ขสมก. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำรายงานผลการศึกษาดังกล่าวไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน เป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า กรณีนี้มิได้เป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีกระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการหรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป ตามมาตรา ๑๘๑ (๓) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย คณะรัฐมนตรีจึงสามารถรับทราบรายงานดังกล่าวได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
26331 | ผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในปีงบประมาณ 2556 นโยบายของคณะกรรมการ และโครงการและแผนงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในอนาคต | คค | 28/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ๑.๑ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ การจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้วเสร็จ งานก่อสร้างงานโยธามีความก้าวหน้ารวมร้อยละ ๗๑.๔๒ งานระบบรถไฟฟ้า ช่วงบางใหญ่-เตาปูน รฟม. ได้ลงนามในสัญญากับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BMCL) เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๖ ส่วนช่วงเตาปูน-บางซื่อ อยู่ระหว่างการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมงาน ๑.๒ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ การจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความก้าวหน้าร้อยละ ๙๘.๖๔ งานก่อสร้างงานโยธามีความก้าวหน้าร้อยละ ๔๒.๓๗ งานระบบรถไฟฟ้าอยู่ระหว่างการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมงาน ๑.๓ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ การจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความก้าวหน้าร้อยละ ๙๙.๔๒ งานก่อสร้างงานโยธามีความก้าวหน้าร้อยละ ๑๔.๙๒ งานศึกษาวิเคราะห์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ อยู่ระหว่างการพิจารณารูปแบบการดำเนินงานที่เหมาะสม ๑.๔ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ อยู่ระหว่างขั้นตอนการประกวดราคา ส่วนงานศึกษาวิเคราะห์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ดำเนินการพร้อมกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ๑.๕ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี เนื่องจากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้มีผลบังคับใช้แล้ว จึงต้องนำเสนอการอนุมัติโครงการให้คณะรัฐมนตรีชุดต่อไปพิจารณา ๑.๖ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงตลิ่งชัน-มีนบุรี งานศึกษาความเหมาะสม ได้ศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ออกแบบ จัดเตรียมเอกสารประกวดราคาและดำเนินการของตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ แล้วเสร็จ งานขออนุมัติโครงการ เนื่องจากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้มีผลบังคับใช้แล้ว สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจึงได้คืนเรื่องเพื่อให้กระทรวงคมนาคมพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป ๑.๗ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม โดยมีความก้าวหน้าร้อยละ ๗๗.๒๓ ๑.๘ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม โดยมีความก้าวหน้าร้อยละ ๘๖.๑๕ ๒. ด้านการให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ได้ปรับปรุงการให้บริการในด้านต่าง ๆ เช่น การอนุญาตให้เอกชนใช้พื้นที่บริเวณลานจอดรถของ รฟม. เป็นที่จอดรถรับส่งผู้โดยสาร การร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทยในการพัฒนาทางเดินเชื่อมต่อระหว่างสถานีเพชรบุรีกับสถานีมักกะสันของบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด การสร้างที่จอดรถเพิ่มเติมบริเวณสถานีพระราม ๙ และสถานีศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ การกำกับดูแลการเดินรถของผู้รับสัมปทานให้เป็นไปตามมาตรฐานบริการคุณภาพ ISO 9001 : 2008 และมาตรฐานการเดินรถ และการอนุญาตให้เอกชนเชื่อมต่ออาคารกับสถานีรถไฟฟ้า เป็นต้น ๓. ด้านการเงิน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รฟม. มีผลประกอบการกำไรสุทธิ ๑๕,๑๒๒.๕๘ ล้านบาท โดยมีรายได้รวม ๑๘,๕๐๔.๘๗ ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวม ๒,๕๗๔.๕๔ ล้านบาท และมีค่าดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการก่อสร้าง งานโยธา (สายเฉลิมรัชมงคล) ๘๐๗.๗๖ ล้านบาท ๔. ด้านการพัฒนาองค์กรและทรัพยากรบุคคล ได้แก่ การดำเนินการตามแผนการดำเนินงานด้านการพัฒนาบุคลากร การบริหารจัดการภายใน และระบบสารสนเทศ การลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อการวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีและวิชาการที่เกี่ยวข้องกับงานพัฒนาวิศวกรรมระบบรางเพื่อรองรับการเติบโตในอุตสาหกรรมระบบรางที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และการปรับปรุงอัตราเงินเดือนของพนักงานให้สามารถแข่งขันได้กับหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ การจ่ายโบนัสตามผลการประเมินการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งการสร้างแรงจูงใจที่มิใช่ตัวเงิน เช่น การมอบโล่รางวัล และของที่ระลึกต่าง ๆ เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ ๕. ด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี ได้แก่ การกำหนดนโยบาย เป้าประสงค์ กลยุทธ์ และแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน และมีการดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ครบถ้วน การดำเนินกิจกรรมด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Corporate Social Responsibility) เช่น การมอบทุนการศึกษา มอบอุปกรณ์กีฬาแก่ศูนย์เด็กผู้ด้อยโอกาส การดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดผลกระทบและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า รวมทั้งการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเพื่อนำมาใช้ในการบริหารจัดการข้อร้องเรียน และจัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นต่อการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ของ รฟม. อย่างต่อเนื่อง |
|||||||||||||||||||||||||||
26332 | ขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (โครงการมาตรการรถยนต์คันแรก) | กค | 28/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพสามิต จ่ายเงินคืนตามมาตรการรถยนต์คันแรก ในส่วนที่ยังขาดอยู่ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๓,๑๐๒,๗๖๓,๑๗๓ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายคืนเงินตามสิทธิ์ในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม ๒๕๕๗ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับค่าใช้จ่ายมาตรการรถยนต์คันแรกในเดือนสิงหาคมและกันยายน ๒๕๕๗ หากกรมสรรพสามิตมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติม ก็ให้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมตามขั้นตอนอีกครั้งหนึ่ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ การใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวให้มีผลดำเนินการต่อไปได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
26333 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ สำหรับงวดครึ่งปีหลัง ปี 2556 | กค | 28/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ สำหรับงวดครึ่งปีหลัง ปี ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ศูนย์ข้อมูลฯ ได้รวบรวมและจัดเก็บอสังหาริมทรัพย์ ๗ ประเภท (ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม-รีสอร์ท นิคมอุตสาหกรรม สนามกอล์ฟ และที่ดินเปล่า) โดยนำข้อมูลที่ได้มาประมวลผล ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านอุปสงค์ ด้านอุปทาน ด้านราคา และด้านการเงิน ซึ่งสามารถเผยแพร่ข้อมูลได้ครอบคลุมทั้ง ๗ ประเภท และมีการเผยแพร่ข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๕๖ ๒. ศูนย์ข้อมูลฯ ได้จัดทำวารสาร ๒ ฉบับ ได้แก่ ฉบับที่ ๒๘ ประจำเดือนกรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๖ นำเสนอบทสรุปวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยกลางปี ๒๕๕๖ ข้อมูลล่าสุดของโครงการระบบขนส่งมวลชน รวมทั้งยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งของประเทศ และฉบับที่ ๒๙ ประจำเดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๖ นำเสนอบทวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยปี ๒๕๕๖ และแนวโน้มปี ๒๕๕๗ บทวิเคราะห์ความต้องการที่อยู่อาศัยปี ๒๕๕๗ บทความพิเศษเรื่องโครงข่ายระบบราง ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดภูมิภาค และรายงานผลการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในแนวถนนบางนา-ตราด นอกจากนี้ ได้จัดทำสรุปและวิเคราะห์สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ประจำสัปดาห์เผยแพร่บนเว็บไซต์ www.reic.or.th ๓. ศูนย์ข้อมูลฯ ได้จัดทำและเผยแพร่ข้อมูลสถิติอสังหาริมทรัพย์ที่สำคัญของไตรมาสที่ ๓ ปี ๒๕๕๖ สามารถสรุปข้อมูลสถิติที่สำคัญ ได้แก่ จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนและจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
|
|||||||||||||||||||||||||||
26334 | รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2555 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | กค | 28/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ของ ขสมก. ซึ่งมีผลการขาดทุนจากการให้บริการสาธารณะ จำนวน ๗๙๗.๙๙๕ ล้านบาท เพื่อนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ ข้อ ๑๔ ๑.๒ ให้หักกลบเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปี ๒๕๕๓ ของ ขสมก. ที่จ่ายเกินจำนวน ๑๒๘.๒๕๐ ล้านบาท กับวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปี ๒๕๕๕ ของ ขสมก. ๑.๓ ให้ ขสมก. เบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งวดที่ ๒ จำนวน ๑๙๖.๑๕๐ ล้านบาท ๑.๔ ให้ ขสมก. รับความเห็นของคณะอนุกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ สาขาขนส่งทางบกเกี่ยวกับการเร่งรัดการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) เพื่อทดแทนรถโดยสารที่จะปลดระวางหรือยกเลิกสัญญาไปให้สามารถใช้ก๊าซธรรมชาติเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและให้มีจำนวนรถโดยสารเพียงพอกับการให้บริการอย่างมีคุณภาพ การบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนค่าซ่อมแซมและค่าใช้จ่ายพนักงาน การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ ได้แก่ ระบบ E-Ticket เป็นต้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานและยกระดับคุณภาพการให้บริการแก่ประชาชนให้มีมาตรฐานยิ่งขึ้น รวมทั้งการศึกษาปรับปรุงต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) ในการให้บริการที่เป็นปัจจุบันเพื่อประกอบการพิจารณาข้อเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของ ขสมก. ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานดังกล่าวให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะทราบต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามนัยข้อ ๗ (๓) และ (๕) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. ในส่วนของเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปี ๒๕๕๓ ที่จ่ายเกินจำนวน ๑๒๘.๒๕๐ ล้านบาท ให้ ขสมก. ขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า เรื่องนี้เป็นการดำเนินการให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด และมิได้เป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีกระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไปอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา ๑๘๑ (๓) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงสามารถเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
26335 | ขออนุมัติกู้เงินประจำปีงบประมาณ 2557 เพิ่มเติม ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 28/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกู้เงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพิ่มเติม ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน ๘๘๗.๐๘ ล้านบาท ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ที่เกิดจากการกู้เงินเพื่อใช้ในโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗ โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยในส่วนของการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันให้ รฟท. นำเสนอขอความเห็นชอบต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า การพิจารณาเรื่องนี้ของคณะรัฐมนตรีเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดและเป็นไปตามการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ครั้งที่ ๑ ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบแล้ว มิใช่กรณีที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่อันมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๘๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||
26336 | รายงานความคืบหน้าในการยุบเลิกบริษัท ส่งเสริมธุรกิจเกษตรกรไทย จำกัด (เสร็จการชำระบัญชี) | กษ | 28/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานความคืบหน้าในการยุบเลิกบริษัท ส่งเสริมธุรกิจเกษตรกรไทย จำกัด (บริษัท สธท. จำกัด) (เสร็จการชำระบัญชี) โดยเป็นการสรุปผลการชำระบัญชีในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อล้านครอบครัว ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ดังนี้
๑. จำนวนโคทั้งหมด ๒๑,๖๘๔ ตัว จำแนกเป็นโคปกติ จำนวน ๙,๕๓๕ ตัว (จำหน่ายเสร็จสิ้นแล้ว) โคผิดปกติ (ตาย เจ็บป่วยรักษาไม่หาย หรือนำไปแลกเปลี่ยน) จำนวน ๔๓๙ ตัว และโคลักลอบขาย จำนวน ๑๑,๗๑๐ ตัว ๒. ที่ประชุมคณะกรรมการผู้ชำระบัญชีและจำหน่ายกิจการบริษัท สธท. จำกัด ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ได้มีมติเห็นชอบในหลักการจำหน่ายหนี้เกษตรกรโคลักลอบขายออกจากบัญชีเป็นสูญ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ จำนวนเกษตรกร ๑๔๘ ราย จำนวนโค ๒๙๐ ตัว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓.๐๕ ล้านบาท ๓. ที่ประชุมผู้ถือหุ้นบริษัท สธท. จำกัด ในการประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ได้มีมติอนุมัติงบการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองงบการเงินแล้ว และอนุมัติเสร็จการชำระบัญชีบริษัท สธท. จำกัด ตั้งแต่วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ โดยที่ประชุมได้อนุมัติให้จ่ายคืนทุนแก่ผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนที่ได้ชำระทุนให้แก่บริษัท สธท. จำกัด ซึ่งเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๖ กระทรวงการคลังได้รับเงินคืนดังกล่าวไปแล้ว จำนวน ๓๓๑.๙๕ ล้านบาท และได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีต่อกระทรวงพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ |
|||||||||||||||||||||||||||
26337 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อผู้บริโภคจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบโทรทัศน์ดิจิตอล" | 28/04/2557 | |||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อผู้บริโภคจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบโทรทัศน์ดิจิตอล” ตามที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้รัฐบาลดำเนินการ ดังนี้
๑. ด้านการบริหารจัดการ ๑.๑ สร้างความชัดเจนเกี่ยวกับความคมชัดทั้งภาพและเสียงของระบบโทรทัศน์ดิจิตอลว่ามีความแตกต่างกับระบบโทรทัศน์อนาล็อกจนมีผลจำเป็นให้ประชาชนต้องปรับเปลี่ยนระบบ ๑.๒ มีมาตรการให้ทุกช่องสถานีโทรทัศน์รายเดิมที่ออกอากาศในระบบอนาล็อกเข้าสู่โทรทัศน์ระบบดิจิตอลพร้อมกัน ๑.๓ ให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับการประมูลระบบโทรทัศน์ดิจิตอล ตลอดจนเป็นผู้สนับสนุนการเยียวยาให้กับผู้บริโภคและผู้ประกอบการธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ๑.๔ มีมาตรการเยียวยาผู้บริโภคผู้มีรายได้น้อยที่ต้องรับภาระเกี่ยวกับเครื่องแปลงสัญญาณ (set-top box) และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ๑.๕ มีมาตรการในการควบคุมดูแลผู้ให้บริการเคเบิ้ลโทรทัศน์ท้องถิ่นให้สามารถบริการแก่ผู้บริโภคอย่างมีคุณภาพและเป็นธรรม โดยสามารถแพร่ภาพจากช่องโทรทัศน์สาธารณะหรือฟรีทีวีจากระบบดิจิตอลได้โดยผู้บริโภคต้องไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ๒. ด้านเทคนิคและเทคโนโลยี ๒.๑ มีมาตรการป้องกันหรือกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่อาจถูกทิ้งให้เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม หากมีการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีการออกอากาศโทรทัศน์จากระบบอนาล็อกไปสู่ระบบดิจิตอล ๒.๒ มีมาตรการช่วยเหลือในกรณีที่เกี่ยวกับประสิทธิภาพของแผงรับสัญญาณเดิมของผู้บริโภคไม่สามารถรับชมการแพร่ภาพในระบบดิจิตอลได้ ๒.๓ ให้ความรู้และความเข้าใจแก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับเทคโนโลยีระบบดิจิตอลอย่างทั่วถึง ๓. ด้านกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ ๓.๑ เร่งรัดให้ กสทช. ออกกฎ ระเบียบและข้อบังคับต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องระบบสัญญาณโทรทัศน์ดิจิตอลให้มีความรวดเร็วขึ้น ๓.๒ ให้นโยบายกับองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการ การควบคุม และการอนุญาตคลื่นความถี่วิทยุและโทรทัศน์ให้ออกกฎ ระเบียบและข้อบังคับ ตลอดจนการบังคับใช้กฎ ระเบียบและข้อบังคับดังกล่าวอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในเรื่องของเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ๔. ด้านการประชาสัมพันธ์ ๔.๑ เร่งรัดให้ กสทช. จัดทำแผนและดำเนินการประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจกับผู้บริโภคให้รับทราบถึงความจำเป็นและผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบโทรทัศน์ดิจิตอล ๔.๒ ให้ความรู้และทำความเข้าใจทั้งในแง่ของประโยชน์และผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านจากโทรทัศน์ระบบอนาล็อกไปสู่โทรทัศน์ระบบดิจิตอลแก่ผู้บริโภค ๔.๓ เร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญในการเปลี่ยนผ่านระบบโทรทัศน์อนาล็อกไปสู่โทรทัศน์ดิจิตอล
|
|||||||||||||||||||||||||||
26338 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 28/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลังถอนเรื่อง การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ คืนไปก่อนตามความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อพิจารณาทบทวนให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับเรื่อง ร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ก่อนดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
26339 | ขออนุมัติใช้งบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายการจัดการพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก | นร04 | 28/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้กรมศิลปากรใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ซึ่งกระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ในกรอบวงเงิน ๓,๙๙๗,๓๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และให้จัดทำแผนการใช้จ่ายเงินงบกลาง ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริงเพื่อประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ โดยให้กรมศิลปากรขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายจากสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้มีผลดำเนินการต่อไปได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
26340 | ขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหริอจำเป็น สำหรับการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2557 เพิ่มเติม | นร04 | 28/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้กระทรวงแรงงาน (กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน) ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๑,๔๐๕,๒๐๐ บาท สมทบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔,๙๐๕,๒๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และให้จัดทำแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามนัยระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้มีผลดำเนินการต่อไปได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว
|
.....