คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งนายประสิทธิ์ สืบชนะ เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ แทนนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ที่ขอลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ (๒๒ เมษายน ๒๕๕๗) เป็นต้นไป และให้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับกำหนดเวลาของผู้ซึ่งตนแทน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ครั้งที่ ๑๓ ณ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
               ๑. ความสำเร็จของการดำเนินโครงการตามขั้นตอนที่กำหนด การส่งมอบงานได้รับการขยายเวลาการส่งมอบงานตามสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม (ครั้งที่ ๙ และครั้งที่ ๑๐) จากวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ขยายไปสิ้นสุด ณ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ โดยผลการดำเนินงานเป็นไปตามเงื่อนไขในการส่งมอบตามรูปแบบรายละเอียดและสัญญา (As-Built Drawing, Building User Manual & Training) แล้วเสร็จร้อยละ ๑๐๐ เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖
               ๒. จำนวนเงินงบประมาณที่เบิกจ่าย ระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๗ รวม ๖,๑๔๘,๗๕๕,๐๐๐.๐๐ บาท ประกอบด้วย งบประมาณแผ่นดิน จำนวน ๒,๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐.๐๐ บาท และเงินนอกงบประมาณแผ่นดิน จำนวน ๓,๖๔๘,๗๕๕,๐๐๐.๐๐ บาท

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายดราเซ็น มาร์เกตา (Mr. Drazen Margeta) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐโครเอเชียประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สืบแทนนายเจลโค ซิมบูร์ (Mr. Zeljko Cimbur) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งให้ความเห็นชอบตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๘๑ (๑) แล้ว ดังนี้
               ๑. นายมานิต นิธิประทีป          ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกรรมทางการเงินการธนาคาร)
                                                     (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร ตั้งแต่วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๖
               ๒. นายทวี ไอศูรย์พิศาลศิริ       ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
                                                    ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์ภาพรวมของปัญหาไฟป่าและหมอกควันของภาคเหนือ ๑๐ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ พะเยา ตาก และอุตรดิตถ์ ครั้งที่ ๓ ณ วันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๗ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
               ๑. คุณภาพอากาศ ตั้งแต่วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๗ รวม ๗ วัน ทุกจังหวัดมีคุณภาพอากาศโดยรวมอยู่ในระดับปานกลางถึงระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ค่าปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า ๑๐ ไมครอน สูงเกินค่ามาตรฐาน ๑๒๐ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
               ๒. จุดความร้อน (Hot Spots) ในช่วงตั้งแต่วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๗ มีจำนวนจุดความร้อน (Hot Spots) รวม ๑,๕๙๔ จุด จังหวัดที่พบจุดความร้อน (Hot Spots) มากที่สุด คือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวน ๓๖๔ จุด รองลงมา คือ จังหวัดตาก จำนวน ๓๓๒ จุด ส่วนสถานการณ์การเกิดไฟป่า มีจำนวนการเกิดไฟป่า ๑๓๖ ครั้ง รวมพื้นที่ ๑,๒๔๓ ไร่
               ๓. เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์ไฟป่ายังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และตาก จึงเห็นควรให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามนโยบายและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) และรองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ที่ได้ให้ไว้เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๖ และเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ โดยเคร่งครัด เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันให้ได้ผลอย่างจริงจังต่อไป

คณะรัฐมนตรีมีมติ
               ๑. เห็นชอบในหลักการให้แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหากรรมการกำกับกิจการพลังงาน จำนวน ๙ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ เมษายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
                   ๑.๑ นายเชิดพงษ์ สิริวิชช์          ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงพลังงาน
                   ๑.๒ นายศุภชัย พิศิษฐวานิช       ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง
                   ๑.๓ นายดำริ สุโขธนัง              ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
                   ๑.๔ นายอำพน กิตติอำพน         ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
                   ๑.๕ นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล    ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
                   ๑.๖ นายอมร พิมานมาศ           ผู้แทนสภาวิศวกร
                   ๑.๗ นายกิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย   ผู้แทนของอธิการบดีของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ
                   ๑.๘ นายกิตติรัตน์ มังคละคีรี      ผู้แทนสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
                   ๑.๙ นายสุนทร ทรัพย์ตันติกุล      ผู้แทนองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหากำไรในทางธุรกิจ
               ๒. ในส่วนของผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้กระทรวงพลังงานรับไปประสานงานกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเพื่อยืนยันชื่อผู้แทนให้เป็นปัจจุบันอีกครั้งหนึ่งก่อนดำเนินการต่อไปได้ สำหรับการกำหนดค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการดังกล่าว ให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า การดำเนินการในกรณีนี้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๗ (เรื่อง การเสนอเรื่องเกี่ยวกับการแต่งตั้งกรรมการในช่วงการยุบสภาผู้แทนราษฎร) และไม่เป็นการกระทำอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา ๑๘๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการโอนงบประมาณรายจ่ายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๖๙ วรรคสาม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (๑ ตุลาคม ๒๕๕๕-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป ดังนี้
               ๑. การโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ในช่วง ๖ เดือนแรก (๑ ตุลาคม ๒๕๕๕-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖) มีการโอนงบประมาณของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นจำนวน ๔,๗๓๗.๒๖๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๑๙๗ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวนทั้งสิ้น ๒,๔๐๐,๐๐๐.๐๐๐ ล้านบาท โดยการโอนงบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจครั้งนี้ จำแนกเป็น ๒ กรณี ซึ่งเป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม คือ
                   ๑.๑ เป็นการโอนงบประมาณรายจ่ายโดยใช้อำนาจของหัวหน้าส่วนราชการ (ระเบียบฯ ข้อ ๒๔-๒๖) จำนวน ๙๑๗,๗๓๐,๖๓๕ บาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๓๘ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖
                   ๑.๒ เป็นการโอนงบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการที่ต้องขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ (ระเบียบฯ ข้อ ๒๗) จำนวน ๓,๘๑๙,๕๓๘,๕๔๔ บาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๑๕๙ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖
               ๒. ลักษณะในการโอนงบประมาณรายจ่าย
                   ๒.๑ เป็นการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล หรือตามมติคณะรัฐมนตรี และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน หรือเป้าหมายการดำเนินงานของส่วนราชการ จำนวน ๔,๑๓๘,๒๗๙,๓๗๑ บาท
                   ๒.๒ เป็นการโอนงบประมาณรายการผูกพันเพื่อสมทบรายการที่ดำเนินการได้เร็วกว่าแผน และโอนงบประมาณเพื่อชดใช้คืนรายการผูกพันที่ยืมจากปีที่ผ่านมา จำนวน ๕๙๘,๘๔๗,๓๕๙ บาท
                   ๒.๓ เป็นการโอนเป็นค่าสาธารณูปโภค จำนวน ๑๔๒,๔๔๙ บาท

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้ว

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ฉบับที่ ๔) ลงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยประกาศคณะกรรมการค่าจ้างฯ มีสาระสำคัญคือ ให้กำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ รวม ๕ กลุ่มอาชีพ ๑๓ สาขาอาชีพ ดังนี้
               ๑. กลุ่มสาขาอาชีพช่างอุตสาหการ ได้แก่ ช่างเชื่อมท่อพอลิเอทีลีนความหนาแน่นสูง อัตราค่าจ้าง ระดับ ๑ วันละ ๔๖๐ บาท ช่างประกอบท่อ อัตราค่าจ้าง ระดับ ๑ วันละ ๔๐๐ บาท ช่างทำแม่พิมพ์ฉีดโลหะ อัตราค่าจ้าง ระดับ ๑ วันละ ๔๘๐ บาท
               ๒. กลุ่มสาขาอาชีพช่างอุตสาหกรรมศิลป์ ได้แก่ ช่างสีเครื่องเรือน อัตราค่าจ้าง ระดับ ๑ วันละ ๓๕๐ บาท ระดับ ๒ วันละ ๔๕๐ บาท
               ๓. กลุ่มสาขาอาชีพช่างก่อสร้าง ได้แก่ ช่างหินขัด อัตราค่าจ้าง ระดับ ๑ วันละ ๔๐๐ บาท ช่างฉาบยิปซัม อัตราค่าจ้าง ระดับ ๑ วันละ ๔๐๐ บาท ช่างมุงหลังคากระเบื้องคอนกรีต อัตราค่าจ้าง ระดับ ๑ วันละ ๔๐๐ บาท ระดับ ๒ วันละ ๕๑๐ บาท ระดับ ๓ วันละ ๖๒๐ บาท
               ๔. กลุ่มสาขาอาชีพช่างเครื่องกล ได้แก่ ช่างบำรุงรักษารถยนต์ อัตราค่าจ้าง ระดับ ๑ วันละ ๓๔๐ บาท ระดับ ๒ วันละ ๔๐๐ บาท ช่างซ่อมเครื่องยนต์ดีเซล อัตราค่าจ้าง ระดับ ๑ วันละ ๓๖๐ บาท ระดับ ๒ วันละ ๔๔๕ บาท ระดับ ๓ วันละ ๕๓๐ บาท ช่างเครื่องปรับอากาศรถยนต์ขนาดเล็ก อัตราค่าจ้าง ระดับ ๑ วันละ ๓๖๐ บาท ระดับ ๒ วันละ ๔๔๕ บาท ระดับ ๓ วันละ ๕๓๐ บาท
               ๕. กลุ่มสาขาอาชีพภาคบริการ ได้แก่ นักส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวมสปาตะวันตก (สุคนธบำบัด) อัตราค่าจ้าง ระดับ ๑ วันละ ๕๔๐ บาท ระดับ ๒ วันละ ๗๑๕ บาท นักส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวมสปาตะวันตก (วารีบำบัด) อัตราค่าจ้าง ระดับ ๑ วันละ ๕๖๕ บาท ระดับ ๒ วันละ ๗๕๐ บาท นักส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวมสปาตะวันตก (โภชนบำบัด) อัตราค่าจ้าง ระดับ ๑ วันละ ๖๑๕ บาท ระดับ ๒ วันละ ๘๑๕ บาท

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้แต่งตั้งนางสาวอุรวี เงารุ่งเรือง รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นกรรมการผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ แทนนายบุญนริศร์ สุวรรณพูล (ซึ่งเกษียณอายุราชการ) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า การดำเนินการในกรณีนี้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๗ (เรื่อง การเสนอเรื่องเกี่ยวกับการแต่งตั้งกรรมการในช่วงการยุบสภาผู้แทนราษฎร) และไม่เป็นการกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา ๑๘๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งให้ความเห็นชอบตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๘๑ (๑) แล้ว ดังนี้
               ๑. นายมานิต นิธิประทีป          ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกรรมทางการเงินการธนาคาร)
                                                     (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร ตั้งแต่วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๖
               ๒. นายทวี ไอศูรย์พิศาลศิริ       ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
                                                     ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายตาริก บุกวิช (Mr. Tarik Bukvic) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย สืบแทนนายเอนซาร์ เอมิโนวิช (Mr. Ensar Eminovic) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๗ คน และผู้แทนสถาบัน องค์การอิสระและบุคคลอื่น จำนวน ๗ คน เพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการในคณะกรรมการผังเมือง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ เมษายน ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า การดำเนินการในกรณีนี้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๗ (เรื่อง การเสนอเรื่องเกี่ยวกับการแต่งตั้งกรรมการในช่วงการยุบสภาผู้แทนราษฎร) และมิใช่การดำเนินการอันต้องห้ามตามมาตรา ๑๘๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนี้
               ๑. ผู้ทรงคุณวุฒิ
                   ๑.๑ หม่อมหลวงปาณสาร หัสดินทร
                   ๑.๒ นายปรีชา รณรงค์
                   ๑.๓ นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์
                   ๑.๔ นายวัฒนา เชาวสกู
                   ๑.๕ นายสง่า โภคบุตร
                   ๑.๖ นายสมพล ยุติธรรม
                   ๑.๗ นายสุธรรม ศิริทิพย์สาคร
               ๒. ผู้แทนสถาบัน องค์การอิสระและบุคคลอื่น
                   ๒.๑ นายกิตติชัย รักตะกนิษฐ์
                   ๒.๒ นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล
                   ๒.๓ นายจิรายุ ศวิตชาต
                   ๒.๔ นายธีระพันธุ์ ทองประวัติ
                   ๒.๕ นายประเสริฐ ศรีอุฬารพงศ์
                   ๒.๖ นายสมศักดิ์ จุฑานันท์
                   ๒.๗ นายสมศักดิ์ ตั้งทรงศิริศักดิ์

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน ๑๒ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๗ (เรื่อง การเสนอเรื่องเกี่ยวกับการแต่งตั้งกรรมการในช่วงการยุบสภาผู้แทนราษฎร) ที่กระทำได้ โดยไม่ต้องห้ามตามมาตรา ๑๘๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนี้
               ๑. ด้านการเงิน
                   ๑.๑ นางทองอุไร ลิ้มปิติ
                   ๑.๒ นายสุรชัย โฆษิตเสรีวงศ์
               ๒. ด้านการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
                   ๒.๑ นายชัยณรงค์ โชไชย
                   ๒.๒ นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ
               ๓. ด้านนิติศาสตร์
                   ๓.๑ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ
                   ๓.๒ ศาสตราจารย์พิเศษสุชาติ ธรรมาพิทักษ์กุล
               ๔. ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์
                   ๔.๑ นายไตรรัตน์ ฉัตรแก้ว
                   ๔.๒ นายอังสุมาล ศุนาลัย
               ๕. ด้านวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรรมศาสตร์
                   ๕.๑ นายพันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์
                   ๕.๒ นายชัยธวัช เสาวพนธ์
               ๖. ด้านสังคมศาสตร์
                   ๖.๑ นางสุรางคณา วายุภาพ
                   ๖.๒ ศาสตราจารย์พิเศษกมลชัย รัตนสกาววงศ์

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการกองทัพอากาศ กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการกองทัพอากาศ กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๒ เพื่อกำหนดชื่อโรงเรียนนายเรืออากาศใหม่ว่า “โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช” ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้

คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
               ๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง ออกไปอีก ๑ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑-๓๐ เมษายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
               ๒. อนุมัติในหลักการให้ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ได้รับการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ในกรอบวงเงินจำนวน ๓๕๕ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้มีผลการดำเนินการต่อไปได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม (องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย) ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อเบิกค่าใช้จ่ายชดเชยตามที่จ่ายจริงต่อไป

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร) เกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะกรรมการ จากเดิมว่า “การแต่งตั้งคณะกรรมการตามกฎหมายซึ่งอาจมีตำแหน่งว่างลงในระหว่างการยุบสภาจะกระทำมิได้ เนื่องจากการแต่งตั้งบุคคลใดเป็นกรรมการย่อมมีผลเป็นการผูกผันต่อเนื่องไปถึงคณะรัฐมนตรีชุดใหม่” เป็น “การสรรหาและแต่งตั้งคณะกรรมการตามกฎหมายเป็นการดำเนินการเพื่อให้มีคณะกรรมการตามกฎหมายอันจำเป็นต่อการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย สามารถดำเนินการสรรหาและแต่งตั้งคณะกรรมการตามกฎหมายได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข หรือกระบวนการที่กฎหมายบัญญัติและเมื่อได้แต่งตั้งแล้ว คณะกรรมการตามกฎหมายดังกล่าวสามารถปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแต่ละฉบับอันเป็นงานประจำตามปกติได้” และให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติต่อไป โดยการเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวในระหว่างการยุบสภาผู้แทนราษฎร ให้พิจารณาดำเนินการเท่าที่จำเป็น และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วยทุกเรื่อง

คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
               ๑. รับทราบว่าสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๒ (2nd MRC Summit) ระหว่างวันที่ ๔-๕ เมษายน ๒๕๕๗ ณ นครโฮจิมินห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
               ๒. โดยที่ปัจจุบันคณะรัฐมนตรีอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ตามนัยมาตรา ๑๘๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนั้น ในการเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว จึงให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณามอบหมายข้าราชการประจำที่เกี่ยวข้องไปร่วมการประชุมตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ผู้ที่จะเข้าร่วมการประชุมต้องไม่ดำเนินการใด ๆ ที่จะก่อให้เกิดผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไปอันเป็นข้อห้ามตามมาตรา ๑๘๑ (๓) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา

คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
               ๑. เห็นชอบให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กู้เงินต่อจากกระทรวงการคลังในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๗๕ (๓) ตามรายการและกรอบวงเงินตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ วงเงินรวม ๑๗,๑๑๗ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ จำนวน ๑๐,๙๑๘ ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ จำนวน ๔,๕๔๕ ล้านบาท และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ จำนวน ๑,๖๕๔ ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟม. เพื่อใช้ชำระหนี้ทั้งในส่วนของเงินต้นดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟม. ต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
               ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่า โครงการฯ ดังกล่าวเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง จึงมีความจำเป็นต้องเบิกจ่ายเงินกู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง และให้ รฟม. ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน รวมทั้งเร่งพิจารณารูปแบบการบริหารจัดการเดินรถที่เหมาะสมและคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้า (M&E) ที่อยู่ภายในความรับผิดชอบของ รฟม. เพื่อให้สามารถเปิดให้บริการได้ทันกับแผนการก่อสร้างงานโยธาของโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า การพิจารณาให้ความเห็นชอบให้ รฟม. กู้เงินต่อจากกระทรวงการคลังดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนที่มาตรา ๗๕ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๓ กำหนด และเป็นไปตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้แล้ว มิใช่กรณีที่อยู่ภายใต้บังคับมาตรา ๑๘๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแต่อย่างใด จึงสามารถนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไปได้