ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1077 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 21521 - 21540 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21521 | การแต่งตั้งกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ เมืองนาโกยา ญี่ปุ่น (กระทรวงการต่างประเทศ) [นายโยะชิฮิโระ มิวะ (Mr. Yoshihiro Miwa)] | กต | 19/01/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายโยะชิฮิโระ มิวะ (Mr. Yoshihiro Miwa) เป็นกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ เมืองนาโกยา ประเทศญี่ปุ่น โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดไอจิ สืบแทน นายทาคายาสุ มิวะ (Mr. Takayasu Miwa) ซึ่งถึงแก่กรรม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||
21522 | ขอความเห็นชอบการเสียภาษีสลากบำรุงกาชาดไทย | สกช | 19/01/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สภากาชาดไทย เหล่ากาชาดจังหวัด หรือกิ่งกาชาดอำเภอ ซึ่งเป็นตัวแทนของสภากาชาดไทยผู้รับใบอนุญาตจัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินแบ่งหรือสลากกาชาด ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ และปีต่อ ๆ ไป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้มอบให้สภากาชาดไทย เหล่ากาชาดจังหวัด หรือกิ่งกาชาดอำเภอ ไปใช้ในกิจการสาธารณกุศล เสียภาษีในอัตราร้อยละ ๐.๕ แห่งยอดราคาสลาก ซึ่งมีผู้รับซื้อก่อนหักรายจ่าย ตามข้อ ๑๒ (๔) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๐๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช ๒๔๗๘ ตามที่สภากาชาดไทยเสนอ เฉพาะการออกสลากบำรุงกาชาดไทยประจำปี ๒๕๕๙ เท่านั้น โดยไม่รวมถึงปีต่อ ๆ ไป
|
||||||||||||||||||
21523 | ของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชนของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค | นร03 | 19/01/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เสนอโครงการที่ สคบ. จะดำเนินการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน ๓ โครงการ โดยสรุป ดังนี้
๑. โครงการ สคบ. สัญจร เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคแก่ประชาชน สามารถใช้เป็นข้อมูลในชีวิตประจำวันด้านการบริโภคได้อย่างปลอดภัยและเป็นธรรม ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการช่วยสอดส่องพฤติกรรมการละเมิดสิทธิผู้บริโภคโดยผู้ประกอบธุรกิจเพื่อแจ้งเบาะแสให้ สคบ. ทราบ และดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ๒. โครงการศูนย์ราชการสะดวกด้านการคุ้มครองผู้บริโภค โดยการปรับเปลี่ยนทัศนคติของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานประจำศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์จากผู้บริโภค ๑๑๖๖ ของ สคบ. ให้มีหัวใจการให้บริการ ยิ้มแย้มแจ่มใสพร้อมให้บริการประชาชน นำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาใช้รับเรื่องร้องทุกข์ รวมทั้งการพัฒนาแอปพลิเคชันรับเรื่องร้องทุกข์ผ่านทางสมาร์ทโฟนเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ๓. โครงการเฝ้าระวังและตรวจสอบสินค้าที่ละเมิดสิทธิผู้บริโภค เพื่อส่งเสริมกลไกการเฝ้าระวังและการทดสอบหรือพิสูจน์สินค้าที่อาจก่อให้เกิดอันตรายหรือความไม่ปลอดภัยได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และการตรวจสอบพฤติการณ์ของผู้ประกอบธุรกิจเพื่อปราบปรามผู้ประกอบธุรกิจที่ดำเนินการผิดกฎหมาย เช่น การตรวจสอบสถานที่ท่องเที่ยว หรือการตรวจกระเช้าของขวัญช่วงเทศกาล
|
||||||||||||||||||
21524 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 13 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2557 - 31 ตุลาคม 2558) | นร | 19/01/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๑๓ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๘) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ มีผลงานที่สำคัญ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น โครงการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกคณะกรรมการหมู่บ้าน โครงการส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ๒. การปฏิรูปประเทศ คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลได้เร่งรัดให้ส่วนราชการนำ ๓๗ วาระการปฏิรูป ๖ วาระการพัฒนาของสภาปฏิรูปแห่งชาติมาจัดทำแผนปฏิบัติการโดยจัดกลุ่มให้อยู่ภายใต้ประเด็นการปฏิรูปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ จำนวน ๑๑ ด้าน แบ่งเป็น ระยะที่ ๑ ระหว่างวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗-๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ระยะที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘-เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ และระยะที่ ๓ เดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ได้แก่ การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน การบริหารเศรษฐกิจ การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม สนับสนุนการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาของประเทศ การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
|
||||||||||||||||||
21525 | กำหนดอัตราค่าตอบแทนและเบี้ยประชุมกรรมการรัฐวิสาหกิจ (คณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย) | กษ | 19/01/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจัดให้การยางแห่งประเทศไทยอยู่ในรัฐวิสาหกิจกลุ่มที่ ๒ หรือรัฐวิสาหกิจขนาดปานกลาง ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ซึ่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจกลุ่มดังกล่าวได้รับค่าตอบแทนตามที่กำหนดไว้ในมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ และหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนมาก ที่ กค ๐๘๐๓.๒/ว ๘๕ ลงวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||
21526 | รายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2558 (ครั้งที่ 10) | มท | 19/01/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (ครั้งที่ ๑๐) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลงานสะสมที่ทำได้ คิดเป็นร้อยละ ๑๕.๔๑ ๒. การส่งมอบพื้นที่ก่อสร้าง ปัจจุบันยังไม่มีการส่งมอบพื้นที่เพิ่มเติม ส่งมอบแล้ว ๑๐๒-๓-๗๖ ไร่ (คิดเป็นร้อยละ ๘๓.๕) โดยส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างอาคารทั้งหมดตั้งแต่วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เหลือพื้นที่ยังไม่ได้ส่งมอบ ๒๐-๐-๘๐ ไร่ ๓. การขนย้ายดินออกจากพื้นที่ก่อสร้าง ปริมาณดินทั้งหมด ๑,๐๓๒,๘๑๘ ลูกบาศก์เมตร ยังเหลือดินในพื้นที่ที่ยังไม่ได้ขุดและต้องขนย้ายออกอีก (เพิ่มเติมจากปริมาณที่ได้คำนวณไว้) ประมาณ ๓๕,๗๐๐ ลูกบาศก์เมตร ซึ่งได้เริ่มขนย้ายเมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ปัจจุบันดำเนินการขนย้ายไปแล้ว ๖,๐๖๙ ลูกบาศก์เมตร ๔. ปัญหา/อุปสรรค ได้แก่ การส่งมอบพื้นที่ที่เหลือยังส่งมอบไม่ได้ตามสัญญาก่อสร้างกระทบกับแผนงานก่อสร้างตามที่ได้รับอนุมัติ และปัญหากรณีชาวบ้านปลูกบ้านรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่การก่อสร้างอาคารรัฐสภา บริเวณก่อสร้างเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นอุปสรรคต่องานก่อสร้างเขื่อนริมแม่น้ำ
|
||||||||||||||||||
21527 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 3 ปี 2558 และภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนตุลาคม 2558 | อก | 19/01/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๓ ปี ๒๕๕๘ และภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนตุลาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๓ ปี ๒๕๕๘ การส่งออกและการนำเข้ามีมูลค่าลดลงร้อยละ ๕.๒๖ และ ๑๕.๒๗ ตามลำดับ ซึ่งเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายปี ๒๕๕๖ โดยการค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น ๑๐๕,๑๒๙.๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๒. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนตุลาคม ๒๕๕๘ ๒.๑ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ ๔.๒ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อุตสาหกรรมสำคัญที่ลดลง อาทิ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก น้ำดื่ม ผลิตภัณฑ์พลาสติก และเครื่องนุ่งห่ม ขณะที่อุตสาหกรรมรถยนต์และอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ขยายตัวได้ดี ๒.๒ การเปิดปิดโรงงาน โรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ มีจำนวน ๓๕๒ ราย ลดลงจากเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ร้อยละ ๒๙.๓๒ มียอดเงินลงทุนรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๐๔.๘๖ และมีจำนวนการจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๗.๒๒ ส่วนโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการ มีจำนวน ๑๗๐ ราย ๒.๓ การขอรับการส่งเสริมการลงทุน เดือนมกราคม-ตุลาคม ๒๕๕๘ มีจำนวนโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก The Board of Investment of Thailand : BOI ทั้งสิ้น ๘๒๘ โครงการ เงินลงทุน ๑๗๙,๖๓๐ ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๒๘.๕ และ ๗๑.๕ ตามลำดับ ๒.๔ การนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย ได้แก่ การนำเข้าเครื่องจักรอุตสาหกรรม และเครื่องมือกล มีมูลค่า ๑,๐๕๒.๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๑๗.๔ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน และการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า ๖,๔๐๐.๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๕.๒ จากการนำเข้าอุปกรณ์ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ รวมถึงผ้าผืนด้ายและเส้นใยที่ลดลง ๒.๕ การใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมการผลิต มีปริมาณทั้งหมดจำนวน ๑๐,๑๙๑.๘ ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ร้อยละ ๐.๙ (๑๐,๑๐๐.๙ ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง) โดยกิจการขนาดเล็กและขนาดกลางมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าลดลงจากเดือนที่ผ่านมา ส่วนกิจการขนาดใหญ่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา
|
||||||||||||||||||
21528 | รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2557 | พม | 19/01/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอเชิงนโยบาย ได้แก่ การสนับสนุนให้ผู้สูงอายุดำรงชีวิตอยู่อย่างมั่นคงและมีศักดิ์ศรี เสริมสร้างสุขภาพอนามัยของผู้สูงอายุ ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีหลักประกันรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน และจัดทำแผนช่วยเหลือผู้สูงอายุเมื่อเกิดภัยพิบัติ ๑.๒ รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. ๒๕๕๗ (๑) การสูงวัยของประชากรไทย จากข้อมูลสำรวจประชากรสูงอายุปี ๒๕๕๗ พบว่า มีผู้สูงอายุมากถึงหนึ่งในสามของผู้สูงอายุทั้งหมดมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน บุตรยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักที่สำคัญของผู้สูงอายุ รองลงมาได้มาจากการทำงาน อย่างไรก็ตาม แหล่งรายได้หลักของผู้สูงอายุจากบุตรมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากผู้สูงอายุมีแนวโน้มจะทำงานมากขึ้น (๒) ผู้สูงอายุกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ พบว่า ภัยพิบัติทางธรรมชาติสร้างความเสียหายอันมหาศาล และผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางมีแนวโน้มที่จะตกอยู่ในความเสี่ยงสูงกว่าประชากรกลุ่มอื่น นโยบายการจัดการและป้องกันผลกระทบอันเกิดจากภัยพิบัติจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงกลุ่มที่มีความเสี่ยงเป็นพิเศษ และให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุตั้งแต่ระดับการกำหนดนโยบายจนถึงระดับการปฏิบัติ การมีส่วนร่วมในการดำเนินการของทุกภาคส่วนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต (๓) สถานการณ์เด่นปี ๒๕๕๗ ได้แก่ การประกาศเกียรติคุณให้นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา เป็นผู้สูงอายุแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๕๗ การเตรียมตัวของสังคมเพื่อรองรับสังคมสูงวัยของประเทศไทย รวมทั้งการหาแนวทางที่เหมาะสมเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนทักษะในการรับมือภัยพิบัติให้กับผู้สูงอายุไทย รวมทั้งการสร้างหลักประกันและการออมของผู้สูงอายุไทย และ (๔) งานวิจัยเพื่อสังคมสูงวัยปี ๒๕๕๗ อาทิ การวิจัยเพื่อการวางรากฐานและพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตในสังคมผู้สูงอายุ การออม ความมั่นคง และบำนาญผู้สูงอายุของครัวเรือนไทย เป็นต้น ๒. มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดให้ตรงตามกำหนดเวลาและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||
21529 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามบันทึกความร่วมมือว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี | กก | 19/01/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำและลงนามบันทึกความร่วมมือว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี (Memorandum of Cooperation between the Governments of the Member States of the Association of Southeast Asian Nations and the Governments of the People’s Republic of China, Japan and the Republic of Korea on Strengthening Tourism Cooperation) มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันอำนวยความสะดวกในการเดินทางและการเยี่ยมเยือนของนักท่องเที่ยว ประชาสัมพันธ์การพัฒนาคุณภาพการท่องเที่ยวตามความเหมาะสม ประชาสัมพันธ์มาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อม และการรับรองแผนงานการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน การสร้างความร่วมมือด้านต่าง ๆ เป็นต้น ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นผู้ลงนามในบันทึกความร่วมมือฯ โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่กระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการพิจารณาถึงผลกระทบทางลบที่อาจเกิดขึ้นกับทรัพยากรการท่องเที่ยวให้รอบด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งกำหนดแนวทางและมาตรการเพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการส่งเสริมการท่องเที่ยว และการเพิ่มเติมข้อความในบันทึกความร่วมมือฯ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ในส่วนของการจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามในบันทึกความร่วมมือฯ ให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยไม่จำเป็นต้องมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็มให้แก่ผู้ลงนาม เนื่องจากไม่เข้าหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการออกหนังสือมอบอำนาจเต็มตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full powers)] |
||||||||||||||||||
21530 | ขอความเห็นชอบในหลักการสรุปสาระสำคัญแผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวอาเซียน พ.ศ. 2559 - 2568 | กก | 19/01/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวอาเซียน พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘ (ASEAN Tourism Strategic Plan : ATSP 2016-2025) ก่อนที่จะให้การรับรองในการประชุมระดับรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ช่วงเดือนมกราคม ๒๕๕๙ โดยแผนยุทธศาสตร์ ATSP 2016-2025 มีสาระสำคัญคือ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๘ อาเซียนจะเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวอาเซียนที่มีคุณภาพ โดยนำเสนอความหลากหลายผ่านประสบการณ์อาเซียนอันจะนำไปสู่การท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบและยั่งยืน มีความครอบคลุมในทุกมิติอย่างมีสมดุล เพื่อนำไปสู่การกินดีอยู่ดีและความเป็นอยู่ที่ดีทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนอาเซียน ประกอบด้วยกลยุทธ์การพัฒนาอาเซียน ๒ กลยุทธ์ ได้แก่ (๑) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอาเซียนให้เป็นหนึ่งจุดหมายปลายทางเดียวกัน และ (๒) การสร้างความเชื่อมั่นต่อการเติบโตด้านการท่องเที่ยวของอาเซียนอย่างยั่งยืนและครอบคลุมในทุกมิติ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและสร้างความเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวภายในกลุ่มประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกัมพูชา-ลาว-เมียนมา-เวียดนาม-ไทย (CLMVT) เพื่อยกระดับและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของอาเซียนร่วมกันต่อไป |
||||||||||||||||||
21531 | การกำหนดมาตรฐานการออกแบบและก่อสร้างทางจักรยานในประเทศไทย | คค | 19/01/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานก่อสร้างเส้นทางจักรยานของกระทรวงคมนาคม และผลการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งปัจจุบันมีเส้นทางจักรยานที่ใช้งานได้ ๕๖๖.๑๒ กิโลเมตร อยู่ระหว่างการดำเนินการ ๗๑๕.๓๙ กิโลเมตร และจะพัฒนาเพิ่มในอนาคต ๑,๐๗๑.๑๐ กิโลเมตร รวมทั้งสิ้น ๒,๓๕๒.๖๑ กิโลเมตร ๑.๒ เห็นชอบการกำหนดมาตรฐานการออกแบบ และการก่อสร้างทางจักรยานในประเทศไทย เพื่อให้ทุกหน่วยงานนำไปอ้างอิงในการก่อสร้างเส้นทางจักรยานให้มีรูปแบบและมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการคลัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ให้ความร่วมมือและสนับสนุนในการพัฒนาและส่งเสริมการเดินทางของประชาชนด้วยจักรยานตามภารกิจหน้าที่ที่รับผิดชอบต่อไป โดยให้นำคู่มือมาตรฐานการออกแบบและการก่อสร้างทางจักรยานสำหรับประเทศไทยเพื่อสำหรับอ้างอิงการก่อสร้างช่องทางจักรยานให้เป็นรูปแบบและมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ ๑.๔ เห็นชอบให้หน่วยงานตามข้อ ๑.๓ ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีในการดำเนินมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการเดินทางของประชาชนด้วยจักรยานตามขั้นตอนของกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้รับจัดสรร หากไม่เพียงพอและมีความจำเป็นเร่งด่วนต้องดำเนินการ ให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีของหน่วยงานในโอกาสแรก และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาเส้นทางจักรยานเป็นรายพื้นที่ โดยให้ความสำคัญกับแนวเส้นทางตามความต้องการเดินทางของประชาชน การเชื่อมต่อระหว่างทางจักรยานกับระบบขนส่งสาธารณะรูปแบบต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาทางจักรยานของแต่ละหน่วยงานที่ชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้เกิดการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพและลดการซ้ำซ้อนของการพัฒนาทางจักรยานของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. การก่อสร้างทางจักรยานตามคู่มือมาตรฐานการออกแบบและการก่อสร้างทางจักรยานควรนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในแต่ละพื้นที่ โดยให้คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้จักรยานและผู้ใช้เส้นทางร่วมกับจักรยานเป็นหลัก ส่วนการดำเนินการอื่น ๆ ตามมาตรฐานดังกล่าว ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการพิจารณาตามความเหมาะสมและความจำเป็นโดยคำนึงถึงความประหยัด เหมาะสม คงทน และมีประสิทธิภาพในการใช้งานด้วย ๔. ให้กระทรวงคมนาคมเพิ่มเติมรายละเอียดในคู่มือมาตรฐานการออกแบบและการก่อสร้างทางจักรยานสำหรับประเทศไทยเกี่ยวกับการนำยางพารามาใช้เป็นส่วนผสมในการก่อสร้างทางจักรยานและอุปกรณ์จราจรต่าง ๆ เพื่อเป็นการส่งเสริมและเพิ่มปริมาณการใช้ยางพารา รวมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ยางพาราแปรรูปของประเทศไทยตามนโยบายรัฐบาล ๕. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจความต้องการของผู้ใช้จักรยานในแต่ละพื้นที่ และบูรณาการแนวทางการพัฒนาระบบทางจักรยานให้เชื่อมโยงกับระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาวางแผนดำเนินการก่อสร้างทางจักรยานและจัดลำดับความสำคัญของโครงการตามแผนงาน เพื่อให้การก่อสร้างทางจักรยานในประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถส่งเสริมให้การเดินทางในทุกระบบขนส่งสามารถเชื่อมโยงอย่างครบวงจร รวมทั้งพิจารณาปรับปรุงข้อกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ของระบบขนส่งสาธารณะต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการเดินทางด้วยจักรยาน ๖. ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายสำหรับผู้ใช้จักรยานและผู้ใช้ถนนร่วมกับเส้นทางจักรยานอย่างเข้มงวดและจริงจังเพื่อความปลอดภัยและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน |
||||||||||||||||||
21532 | ขออนุมัติหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K (Price Adjustment) โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ | คค | 19/01/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K (Price Adjustment) โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่อนุมัติเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การคำนวณค่า K งานก่อสร้างสัญญาที่ ๓ และ ๔ งานก่อสร้างตามแบบรายละเอียดงานโยธาได้เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ส่วนสัญญาที่ ๑ และ ๒ งานออกแบบรายละเอียดและก่อสร้างงานโยธา (Design and Build) เป็นการจ้างออกแบบและก่อสร้างโดยผู้รับจ้างรายเดียวกัน ผู้รับจ้างเสนอราคาค่าก่อสร้างเป็นราคาเหมารวม (Lump Sum) ไม่มีรายการแสดงปริมาณวัสดุและราคา (Bill of Quantities : B.O.Q) ที่ชัดเจน ไม่สามารถนำสัญญาแบบปรับราคาได้มาใช้ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ (เรื่อง การพิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพงานก่อสร้าง) แต่เนื่องจากเป็นข้อผูกพันตามสัญญาที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้ลงนามกับผู้รับจ้างแล้ว จึงเห็นควรอนุมัติเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การคำนวณค่า K ได้เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย โดยให้สำนักงบประมาณเป็นผู้พิจารณาและวินิจฉัยการคำนวณเงินเพิ่มหรือเรียกเงินคืนจากผู้รับจ้างตามเงื่อนไขของสัญญาดังกล่าว และหากการจ่ายเงินเพิ่มค่างานก่อสร้างดังกล่าวทำให้เกินกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีก็ให้ถือว่าได้รับอนุมัติขยายกรอบวงเงินโครงการจากคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ด้วย ส่วนการจัดหาแหล่งเงินที่เหมาะสมเพื่อเบิกจ่ายค่า K ให้แก่ผู้รับจ้างให้ใช้จ่ายจากเงินสำรองจ่าย (Provisional Sum) ของแต่ละสัญญา หรือจ่ายตามแหล่งที่มาของเงินค่าก่อสร้าง หรือที่สำนักงบประมาณวินิจฉัยแล้วแต่กรณี โดยให้ รฟม. ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง สำหรับสัญญาที่ ๕ งานออกแบบจัดซื้อ ทดสอบและประกอบงานระบบราง หากมิใช่งานก่อสร้างก็ไม่สมควรนำเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การคำนวณค่า K มาใช้ ในชั้นนี้ เห็นสมควรที่กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. จะพิจารณาแก้ไขสัญญาที่ ๕ ตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการใช้สัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น หน่วยงานอื่นที่มีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐ จะต้องถือปฏิบัติตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ที่กำหนดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ ซึ่งกำหนดให้ใช้กับงานจ้างก่อสร้างเท่านั้น กรณีสัญญาใดที่ไม่เกี่ยวกับงานจ้างก่อสร้างก็ไม่อยู่ในข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ที่จะใช้สัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) และในกรณีที่พิจารณาแล้วเห็นว่าการก่อสร้างโครงการระบบขนส่งมวลชนทางราง ซึ่งเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ และมีรายละเอียดของปริมาณงานจำนวนมาก และมีขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานการก่อสร้างที่อาจทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขระยะเวลาในการเรียกร้องขอเพิ่มวงเงินชดเชยค่างานก่อสร้างค่า K ได้นั้น เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมหารือกับสำนักงบประมาณเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ระยะเวลาการเรียกร้องขอเพิ่มเงินชดเชยค่างานก่อสร้างค่า K สำหรับสัญญาก่อสร้างโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางเป็นกรณีเฉพาะและนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลหน่วยงานในสังกัดให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้างค่า K (Price Adjustment) รวมทั้งข้อกำหนดต่าง ๆ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ อย่างเคร่งครัด ๔.ให้สำนักงบประมาณร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมของเงื่อนไข หลักเกณฑ์ ประเภทงานก่อสร้าง สูตรและวิธีการคำนวณที่ใช้กับสัญญาแบบปรับราคาได้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ ดังกล่าว ให้สอดคล้องกับหลักสากล รวมทั้งลักษณะและวิธีการดำเนินโครงการลงทุนภาครัฐในปัจจุบัน |
||||||||||||||||||
21533 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาการชำระคืนหนี้เงินกู้ค่าออกแบบ ค่าก่อสร้างและค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2553 ออกไปอีก 7 ปี | คค | 19/01/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขยายเวลาให้รัฐบาลรับภาระหนี้แทนการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จากเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ให้รัฐบาลรับภาระจ่ายชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยของเงินกู้ค่าออกแบบ ค่าก่อสร้าง และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) ต่อไปอีก ๗ ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ทั้งนี้ หากประมาณการรายได้แตกต่างไปจากที่คาดการณ์ไว้มากทั้งกรณีที่สูงและต่ำกว่าประมาณการ กระทรวงคมนาคมจะพิจารณานำเสนอการรับภาระหนี้ของรัฐบาลให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งตามความเหมาะสมต่อไป ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้แก่ รฟม. เป็นรายปี หรือจนกระทั่งมีการโอนภาระการชำระหนี้คืนเงินต้นและดอกเบี้ยเงินกู้ดังกล่าวออกจาก รฟม. หรือ รฟม. มีความสามารถในการชำระคืนได้เองก่อนปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนของหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศเมื่อภาวะตลาดเอื้ออำนวย การพิจารณาแนวทางที่จะเพิ่มความสามารถในการจัดหารายได้เชิงพาณิชย์โครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล และสายใหม่ที่กำลังจะเปิดให้บริการเพื่อนำรายได้ดังกล่าวมาชำระคืนหนี้ค่าก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษาแนวทางการจัดตั้งกองทุนเพื่อการชำระหนี้ (Sinking Fund) ในกรณีเมื่อรายได้ที่รับจากการดำเนินงานสูงกว่ารายจ่ายเพื่อนำรายได้ดังกล่าวมาบริหารและชำระคืนหนี้ได้อีกช่องทางหนึ่ง การดำเนินมาตรการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการกิจการโดยเฉพาะในการจัดทำแผนการหารายได้เชิงพาณิชย์ และการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ทั้งในปัจจุบันและอนาคตให้เต็มศักยภาพโดยไม่ขัดกับกฎหมายเพื่อให้ รฟม. สามารถพึ่งพาตนเองได้โดยเร็ว รวมทั้งการจัดทำประมาณการจำนวนผู้โดยสารให้สอดคล้องกับความเป็นจริงเพื่อที่จะสามารถวางแผนทางการเงินขององค์กรได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ตลอดจนกำกับดูแลให้ รฟม. เร่งสร้างรายได้เชิงพาณิชย์ให้มีเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายขององค์กร และสามารถแบ่งเบาภาระงบประมาณในการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยของเงินกู้โดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
21534 | ร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพทันตกรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สธ | 19/01/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพทันตกรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขึ้นทะเบียน การออกใบอนุญาต การกำหนดอายุใบอนุญาต และการต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทันตกรรม ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||
21535 | การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลกว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน ครั้งที่ 11 ของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ (11th IOI World Conference 2016) | ผผ | 19/01/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบในหลักการการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลกว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน ครั้งที่ ๑๑ ของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินระหว่างประเทศ (11th IOI World Conference 2016) ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการประชุม ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ จำนวน ๓๐,๔๒๒,๕๐๐ บาท ให้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า และประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประชาชนที่จะได้รับด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. มอบหมายให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนในการจัดงานดังกล่าว ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ |
||||||||||||||||||
21536 | แผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย 6 ประเทศ ระยะเวลา 3 ปี (2559 - 2561) ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ประเทศไทย ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม พร้อมวีดิทัศน์สรุปแผนปฏิบัติการ ฯ และผลการประชุมระดับรัฐมนตรี เรื่อง แผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย 6 ประเทศ ระยะเวลา 3 ปี (2559 - 2561) ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ประเทศไทย ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม | ยธ | 19/01/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรี เรื่อง แผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย ๖ ประเทศ ระยะเวลา ๓ ปี (๒๕๕๙-๒๕๖๑) ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ประเทศไทย ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๘ ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยที่ประชุมมีมติ (๑) เห็นชอบให้รับราชอาณาจักรกัมพูชาและสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเข้าเป็นสมาชิกในแผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย ๖ ประเทศ ระยะเวลา ๓ ปีฯ (๒) รับรองแผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย ๖ ประเทศ ระยะเวลา ๓ ปีฯ (๓) ประเทศสมาชิกเห็นพ้องที่จะดำเนินการโดยทันทีเพื่อพัฒนาระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและเครือข่ายการประสานงานระหว่างศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัยและประเทศสมาชิก (๔) แสดงความชื่นชมต่อการที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการปฏิบัติการตามแผน ๓ ปีฯ ในห้วงหกเดือนแรกของปี ๒๕๕๙ และสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเป็นเจ้าภาพในห้วงหกเดือนหลังของปี ๒๕๕๙ (๕) เห็นพ้องว่าการสนับสนุนงบประมาณจากภายนอกจะสามารถสนับสนุนและสร้างความเข้มแข็งให้กับความร่วมมือภายใต้โครงการฯ และ (๖) เห็นชอบต่อข้อเสนอของประเทศไทยในการที่จะนำโครงการแม่น้ำโขงปลอดภัย ระยะที่ ๑ และระยะที่ ๒ ไปจัดนิทรรศการในที่ประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติดแห่งสหประชาชาติ (CND) สมัยที่ ๕๙ ในเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย และในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยพิเศษว่าด้วยยาเสพติด (UNGASS) ในเดือนเมษายน ๒๕๕๙ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ๑.๒ เห็นชอบแผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย ๖ ประเทศ ระยะเวลา ๓ ปีฯ เพื่อใช้เป็นกรอบในการทำงานร่วมกัน ประกอบด้วยแผนงานและกิจกรรมสำคัญ ได้แก่ (๑) การสกัดกั้นสารตั้งต้น เคมีภัณฑ์ และอุปกรณ์ผลิตยาเสพติดมิให้เข้าไปยังแหล่งผลิตในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ รวมถึงการลักลอบลำเลียงอาวุธปืนและเครื่องกระสุน (๒) การสกัดกั้นการค้ายาเสพติดตามลำน้ำโขงและเส้นทางบก (๓) การกำหนดกลุ่มเป้าหมายนักค้ายาเสพติดและพื้นที่เป้าหมายสำคัญเพื่อการสืบสวนสอบสวนและปราบปราม (๔) การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกความร่วมมือในการปฏิบัติในระดับพื้นที่ (๕) การสนับสนุนการพัฒนาทางเลือก สำนักงานประสานงานปราบปรามยาเสพติดชายแดน (BLO) และการสร้างภาคีพันธมิตรร่วม และ (๖) การพัฒนาโครงสร้าง กลไกและการจัดการ การพัฒนางานการข่าวและฐานข้อมูล ๑.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) จัดทำคำของบประมาณในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย ๖ ประเทศ ระยะเวลา ๓ ปีฯ ๒. ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เห็นสมควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี รายการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของสำนักงาน ป.ป.ส. ซึ่งสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรองรับภารกิจดังกล่าวไว้แล้ว สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ให้สำนักงาน ป.ป.ส. จัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามภารกิจตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ไปพิจารณาและดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
21537 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 13 (13th ASEAN Ministerial Meeting on the Environment : 13th AMME) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | ทส | 19/01/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ ๑๓ (13th ASEAN Ministerial Meeting on the Environment : 13th AMME) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การประชุมประเทศภาคีต่อข้อตกลงอาเซียนเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ครั้งที่ ๑๑ (11th Meeting of the Conference of the Parties to Haze Agreement : 11th COP HAZE) และการประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียน+๓ ครั้งที่ ๑๔ (14th ASEAN Plus Three Environment Ministers Meeting : 14th EMM+3) ระหว่างวันที่ ๒๘-๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม และร่วมกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุม 13th AMME โดยเห็นว่า วิสัยทัศน์อาเซียนภายหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๒๗ นั้น สนับสนุนการยกระดับความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพและมีความใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น และเรียกร้องให้อาเซียนสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาคเพื่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน อีกทั้งยืนยันความมุ่งมั่นของประเทศไทยว่าพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกประเทศสมาชิกอาเซียน ดำเนินการต่อประเด็นท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมลพิษหมอกควันข้ามแดนที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการทำลายระบบนิเวศ ๒. การแก้ไขปฏิญญาอาเซียนภายหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ว่าด้วยวาระความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และยุทธศาสตร์อาเซียน-จีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓ ฉบับสมบูรณ์ ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ความเห็นชอบในการประชุม 13th AMME ซึ่งประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมกันปรับแก้ไขในระหว่างการประชุม 13th AMME และการประชุมที่เกี่ยวข้อง โดยการแก้ไขดังกล่าวเป็นการปรับปรุงแก้ไขในรูปประโยคและขยายความเพื่อเพิ่มความเข้าใจของประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมกันซึ่งไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย
|
||||||||||||||||||
21538 | สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี 2558/2559 ครั้งที่ 7 | กษ | 19/01/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ครั้งที่ ๗ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์น้ำ ณ วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๘ เช่น อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งประเทศ จำนวน ๓๓ แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม ๔๐,๐๒๖ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๗ ของปริมาตรน้ำกักเก็บทั้งหมด เป็นน้ำใช้การได้ ๑๖,๕๒๓ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๓๕ ของปริมาตรน้ำใช้การทั้งหมด ๒. การจัดสรรน้ำ ช่วงวันที่ ๑ พฤศจิกายน - ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๘ อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และอ่างเก็บน้ำขนาดกลางทั้งประเทศ ใช้น้ำไปแล้ว ๑,๐๓๐ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๙ ของแผนการจัดสรรน้ำ ส่วนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และผันน้ำจากแม่กลอง) ใช้น้ำไปแล้ว ๘๑๓ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๒๘ ของแผนการจัดสรรน้ำ คิดเป็นระบายน้ำเฉลี่ยวันละ ๑๕.๓๔ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓. การบริหารจัดการน้ำและอาคารชลประทานในลุ่มน้ำเจ้าพระยาช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ช่วงวันที่ ๒๑-๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๘ กำหนดแผนการระบายน้ำจากเขื่อน จำนวน ๖ เขื่อน ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนนเรศวร และเขื่อนเจ้าพระยา เฉลี่ยวันละ ๑๕.๖๘ ล้านลูกบาศก์เมตร ๔. สถานการณ์การเพาะปลูกข้าวในเขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๘ พื้นที่ปลูกข้าวนาปี ปี ๒๕๕๘ แผนเพาะปลูก ๗.๔๕ ล้านไร่ ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ ไม่ปลูก ๑.๐๕ ล้านไร่ โดยในพื้นที่ที่ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ แบ่งเป็น เก็บเกี่ยวแล้ว ๖.๐๘ ล้านไร่ เสียหาย ๐.๐๒ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว ๐.๓๐ ล้านไร่ คาดว่าจะเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ พื้นที่ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๑.๗๕ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว ๐.๗๖ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว ๐.๙๙ ล้านไร่ คาดว่าจะเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ และพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง ปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ผลการเพาะปลูกข้าวนาปรัง จำนวน ๑.๕๘ ล้านไร่
|
||||||||||||||||||
21539 | แนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร07 | 19/01/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๕๖,๐๐๐ ล้านบาท และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณปรับเปลี่ยนชื่อรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น เป็น รายการค่าใช้จ่ายเสริมสร้างความเข้มแข็งและก้าวหน้าของประเทศตามแนวทางปฏิรูป ภายในกรอบวงเงิน ๓๒,๖๖๑ ล้านบาท ๒. เห็นชอบปฏิทินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ โดยให้ปรับขั้นตอนและระยะเวลาในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ พ.ศ. .... ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในวาระที่ ๑ ๒ และ ๓ ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ภายในวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ๓. อนุมัติให้คำของบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติราชการประจำปี ๔. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ พ.ศ. .... เป็นเรื่องเร่งด่วน และแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงบประมาณทราบโดยตรง ๕. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
||||||||||||||||||
21540 | สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี 2558/2559 ครั้งที่ 8 | กษ | 19/01/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ครั้งที่ ๘ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์น้ำ ณ วันที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๙ เช่น อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งประเทศ จำนวน ๓๓ แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม ๓๙,๔๐๙ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๖ ของปริมาตรน้ำกักเก็บทั้งหมด เป็นน้ำใช้การได้ ๑๕,๙๐๖ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๓๔ ของปริมาตรน้ำใช้การทั้งหมด ๒. การจัดสรรน้ำ ช่วงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ - ๗ มกราคม ๒๕๕๙ อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และอ่างเก็บน้ำขนาดกลางทั้งประเทศ ใช้น้ำไปแล้ว ๑,๗๔๓ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๑๖ ของแผนการจัดสรรน้ำ ส่วนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และผันน้ำจากแม่กลอง) ใช้น้ำไปแล้ว ๑,๐๔๖ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๓๖ ของแผนการจัดสรรน้ำ คิดเป็นระบายน้ำเฉลี่ยวันละ ๑๕.๖๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓. การบริหารจัดการน้ำและอาคารชลประทานในลุ่มน้ำเจ้าพระยาช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ช่วงวันที่ ๕-๑๐ มกราคม ๒๕๕๙ กำหนดแผนการระบายน้ำจากเขื่อน จำนวน ๖ เขื่อน ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนนเรศวร และเขื่อนเจ้าพระยา เฉลี่ยวันละ ๑๗.๖๗ ล้านลูกบาศก์เมตร ๔. สถานการณ์การเพาะปลูกข้าวในเขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๙ พื้นที่ปลูกข้าวนาปี ปี ๒๕๕๘ แผนเพาะปลูก ๗.๔๕ ล้านไร่ ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ ไม่ปลูก ๑.๐๕ ล้านไร่ โดยในพื้นที่ที่ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ แบ่งเป็น เก็บเกี่ยวแล้ว ๖.๒๒ ล้านไร่ เสียหาย ๐.๐๒ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว ๐.๑๖ ล้านไร่ คาดว่าจะเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ พื้นที่ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๑.๗๕ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว ๑.๐๖ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว ๐.๖๙ ล้านไร่ คาดว่าจะเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ และพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง ปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ผลการเพาะปลูกข้าวนาปรัง จำนวน ๑.๖๖ ล้านไร่
|
.....