ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1078 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 21541 - 21560 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21541 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ฯ ครั้งที่ 2/2559 วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2559 | อื่นๆ | 19/01/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ (ด้านความมั่นคง ลดความเหลื่อมล้ำ การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๙ และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้รับผิดชอบในการบูรณาการความต้องการใช้ยางของทุกส่วนราชการ และเสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ ฯ พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รองประธานกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ ฯ เสนอ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางแก้ไขปัญหาราคายางโดยเร่งด่วน สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กรอบการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรยางพาราในเบื้องต้น โดยรับซื้อยาง ประเภทยางแผ่นดิบชั้น ๓ น้ำยางดิบ และยางก้อนถ้วย ทั้งนี้ กำหนดราคายางแผ่นดิบชั้น ๓ (USS3) สูงสุดไม่เกิน ๔๕ บาท/กิโลกรัม หรือ ๔๕,๐๐๐ บาท/ตัน สำหรับยางประเภทอื่น ได้แก่ น้ำยางดิบ ยางก้อนถ้วย ให้กำหนดราคาตามเกณฑ์มาตรฐานราคายางตามสัดส่วน โดยเป็นการช่วยเหลือเบื้องต้น ภายในกรอบวงเงิน ๔,๕๐๐ ล้านบาท ๑.๒ หน่วยงานที่รับซื้อยางจากเกษตรกรโดยตรง ได้แก่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ การยางแห่งประเทศไทย และองค์การคลังสินค้า ทั้งนี้ ในการขึ้นทะเบียนบัญชีรายชื่อเกษตรกรชาวสวนยาง ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินการตรวจสอบสถานะเกษตรกรและดำเนินการลงทะเบียน เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๓ งบประมาณในการรับซื้อ ใช้งบประมาณจากกองทุนพัฒนายางพารา ตามพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ ก่อน หากไม่เพียงพอจึงให้ใช้จากสินเชื่อของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยรัฐชดเชยต้นทุนในอัตรา FDR+1 ๑.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการบูรณาการความต้องการใช้ยางของทุกส่วนราชการ และเสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ ฯ พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๙ ๒. ให้การยางแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้การยางแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการนำยางพาราไปใช้ในการดำเนินโครงการของส่วนราชการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยยางพาราที่ได้จัดซื้อจากเกษตรกรสามารถส่งผ่านไปยังกระบวนการแปรรูป/การผลิต เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ยางพาราที่ตรงกับปริมาณความต้องการของส่วนราชการต่าง ๆ และให้ภาครัฐเร่งรัดในการควบคุมพื้นที่การปลูกยางพารา โดยเฉพาะพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์หรือกรณีพื้นที่บุกรุกป่าสงวนหรืออุทยานแห่งชาติ รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการส่งเสริมการปลูกพืชอื่นทดแทนการปลูกยางพารา หรือการปลูกพืชอื่นร่วมกับการปลูกยางพารา เพื่อเป็นทางเลือกและเป็นการเสริมสร้างรายได้เช่นเดียวกับโครงการสนับสนุนสินเชื่อเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยเพื่อประกอบอาชีพเสริม และเร่งรัดการดำเนินโครงการสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรชาวสวนยาง เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยางพาราจากภาวะราคาตกต่ำ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
21542 | ขอความเห็นชอบแผนงาน/โครงการและงบประมาณในการดำเนินการภายใต้โครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ | ทก | 19/01/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการ ดังนี้
๑. ขออนุมัติงบประมาณหรืองบลงทุนของรัฐวิสาหกิจตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาให้เกิดความสอดคล้อง เชื่อมโยง และไม่เกิดความซ้ำซ้อนกับแผนงานภายใต้โครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมอื่น ๆ เช่น โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล โครงการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม (USO) ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ๒. จัดทำรายละเอียดการดำเนินโครงการที่ระบุเกี่ยวกับแผนการดำเนินงานและผลสัมฤทธิ์ในแต่ละขั้นตอนพร้อมทั้งงบประมาณเสนอคณะกรรมการเตรียมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเพื่อพิจารณาในรายละเอียด และรายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินการให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๓. รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการพัฒนาระบบฐานข้อมูลภาครัฐให้มีการเชื่อมต่อข้อมูลกันและประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้สะดวก โดยคำนึงถึงความมั่นคงปลอดภัยของระบบเครือข่าย และมีหน่วยงานบริหารโครงการ เพื่อไม่ให้การดำเนินงานไปซ้ำซ้อนกับโครงข่ายที่มีอยู่แล้ว และความซ้ำซ้อนกันของภารกิจของหน่วยงานที่รับผิดชอบ ได้แก่ บริษัท ทีโอที จำกัด(มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) การเตรียมความพร้อมในทุก ๆ ด้าน โดยสำรวจพื้นที่ดำเนินการไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน การพิจารณาความเหมาะสมจากคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ รูปแบบการบริหารจัดการ การวางแผนการดูแลบำรุงรักษา การมีส่วนร่วมจากภาคเอกชน รวมทั้งการพิจารณาถึงความเหมาะสมและความพร้อมของแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของการดำเนินโครงการดังกล่าว นอกจากนี้ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมอบหมายให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็น ASEAN Digital Hub เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศในภูมิภาค ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป ๔. ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเสนอโครงการที่ต้องขออนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี) |
||||||||||||||||||||||||
21543 | การมอบหมายผู้แทนไทยในคณะกรรมการภายใต้กรอบความร่วมมือด้านยางพาราระหว่างไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย | กษ | 19/01/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทยหรือผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทยเป็นผู้แทนไทยในคณะกรรมการยางระหว่างประเทศ (International Tripartite Rubber Council : ITRC) แทนอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ๒. ให้การยางแห่งประเทศไทยเป็นผู้ประสานงานความร่วมมือด้านยางพาราของบริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ จำกัด (International Rubber Consortium Limited : IRCo) แทนกรมวิชาการเกษตร
|
||||||||||||||||||||||||
21544 | โครงการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ | กษ | 19/01/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบกรอบปริมาณและระดับราคาซื้อยาง โดยกำหนดกรอบราคาซื้อยางตามคุณภาพที่เกษตรกรชาวสวนยางนำมาขาย ในราคาที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ตลาด ซึ่งเป็นธรรมแก่เกษตรกรชาวสวนยาง โดยระดับราคาอยู่ในช่วงราคาตลาดแต่ไม่เกินกิโลกรัมละ ๖๐ บาท ปริมาณยางที่ซื้อ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ตัน โดยรับซื้อจากเกษตรกรรายย่อยที่ขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การยางแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับแนวทางของคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการในขั้นตอนการปฏิบัติของโครงการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ โดยเน้นให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การยางแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องกำหนดมาตรการป้องกันและกำกับการดำเนินงานทุกขั้นตอนให้มีความโปร่งใส ไม่ให้เกิดการทุจริต โดยเฉพาะการตรวจสอบขั้นตอนการรับซื้อยางให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย คือ เกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยที่ขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทยเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบการใช้เกษตรกรชาวสวนยางเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ และเพื่อให้เกษตรกรชาวสวนยางได้รับประโยชน์จากโครงการดังกล่าวอย่างแท้จริง บทบาทของการยางแห่งประเทศไทยในขั้นตอนการรับซื้อและแปรรูปยาง รวมถึงแหล่งเงินงบประมาณที่ใช้ดำเนินการต้องถูกต้องตามกฎหมาย การกำหนดผู้รับผิดชอบในการเก็บรักษายางและแนวทางการเก็บรักษายางไม่ให้เสื่อมคุณภาพ การกำหนดผู้รับผิดชอบในการระบายยาง วิธีการและระยะเวลาในการระบายยาง รวมทั้งเร่งรัดการพัฒนาขีดความสามารถอุตสาหกรรมยางพาราเพื่อใช้ประโยชน์จากยางพาราที่รับซื้อในมาตรการนี้มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของส่วนราชการและตลาด และการเปิดโอกาสให้สังคมเข้ามาตรวจสอบกระบวนการได้ทุกขั้นตอน ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การยางแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการส่งเสริมการปลูกพืชชนิดอื่นที่เหมาะสมทดแทน การใช้ประโยชน์จากข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรของการยางแห่งประเทศไทย ในการกำหนดจุดรับซื้อที่เหมาะสม การวางระบบในการคัดกรองและตรวจสอบไม่ให้มีการนำยางที่อยู่ในระบบอยู่แล้วมาหมุนเวียนจำหน่ายให้กับโครงการ การรักษาคุณภาพยางที่ได้จัดซื้อเพื่อนำไปสู่กระบวนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพตามความต้องการของผู้ใช้ และการจัดทำคู่มือหรือวางแนวทางปฏิบัติตามภารกิจในทุกขั้นตอนตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. อนุมัติกรอบวงเงิน ๕,๔๗๙ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ และการยางแห่งประเทศไทยพิจารณาจัดหาแหล่งเงินทุนในการดำเนินการให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องแล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๕. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
||||||||||||||||||||||||
21545 | ความตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารพัฒนาเอเชียโครงการ Community - Based Flood Risk Management and Disaster Response in the Chao Phraya Basin | กค | 19/01/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือความตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) โครงการ Community-Based Flood Risk Management and Disaster Response in the Chao Phraya Basin โดยโครงการฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำแผนการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านอุทกภัยในพื้นที่ชุมชน และส่งเสริมการป้องกันการเกิดอุทกภัยซึ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็กในชุมชนนำร่อง ๕ พื้นที่ มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของหน่วยงานราชการและประชาชนในพื้นที่เพื่อกำหนดความเสี่ยง แผนปฏิบัติการ รวมถึงการวิเคราะห์รูปแบบความเสี่ยงและความรุนแรงที่เกิดจากอุทกภัย และจัดทำมาตรการลดความเสี่ยงของชุมชน สำหรับร่างหนังสือความตกลงรับความช่วยเหลือฯ มีสาระสำคัญคือ โครงการความช่วยเหลือแบบให้เปล่าดังกล่าวมีวงเงินทั้งสิ้น ๒,๐๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ เป็นเงินจากกองทุน Japan Fund for Poverty Reduction (JFPR) ของ ADB มีระยะเวลาดำเนินโครงการ ๒ ปี ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ออกหนังสือมอบอำนาจเต็มให้กระทรวงการคลัง โดยนางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สินเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือความตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจาก ADB ในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ภายในวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) กำกับดูแลมิให้การดำเนินการโครงการ Community-Based Flood Risk Management and Disaster Response in the Chao Phraya Basin ก่อให้เกิดผลผูกมัดหรือพันธสัญญาให้ประเทศไทยต้องกู้เงินจากองค์การระหว่างประเทศเพื่อดำเนินการตามแผนงาน/โครงการตามผลการศึกษาของโครงการดังกล่าว ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
||||||||||||||||||||||||
21546 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) (จำนวน 3 ราย 1. นางบุษยา มาทแล็ง ฯลฯ) | กต | 19/01/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญสังกัดกระทรวงการต่างประเทศ จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นางบุษยา มาทแล็ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต หัวหน้าคณะผู้แทนไทยประจำสหภาพยุโรป อีกตำแหน่งหนึ่ง ๒. นายชยพันธ์ บำรุงพงศ์ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมานามา ราชอาณาจักรบาห์เรน ๓. นายสุนทร ชัยยินดีภูมิ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์
|
||||||||||||||||||||||||
21547 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (นายภักดี โพธิศิริ) | วท | 19/01/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายภักดี โพธิศิริ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ลาออก โดยให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการแต่งตั้งแทนดังกล่าว อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ มกราคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
21548 | การแต่งตั้งโฆษกกระทรวง/หน่วยงาน (รวมทั้งสิ้น 15 หน่วยงาน) | นร05 | 19/01/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการแต่งตั้งโฆษกกระทรวง/หน่วยงาน จำนวน ๑๕ หน่วยงาน ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ พลตรี คงชีพ ตันตระวาณิชย์ หัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรี เป็นโฆษกกระทรวงกลาโหม ๑.๒ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นโฆษกกระทรวงการคลัง ๑.๓ นายชาญวิทย์ ผลชีวิน ผู้ตรวจราชการกระทรวง เป็นโฆษกกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ๑.๔ นายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ เป็นโฆษกกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๑.๕ นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง เป็นโฆษกกระทรวงพาณิชย์ ๑.๖ นายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นโฆษกกระทรวงมหาดไทย ๑.๗ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นโฆษกกระทรวงยุติธรรม ๑.๘ นายณรงค์ ศิริเลิศวรกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นโฆษกกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๑.๙ นายชัยยศ อิ่มสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ ๑.๑๐ นายสุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ๑.๑๑ นายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เป็นโฆษกสำนักงบประมาณ ๑.๑๒ นางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายปกครอง รักษาการในตำแหน่งกรรมการร่างกฎหมายประจำ เป็นโฆษกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๑.๑๓ หม่อมหลวงพัชรภากร เทวกุล รองเลขาธิการ ก.พ. เป็นโฆษกสำนักงาน ก.พ. ๑.๑๔ นางกิตติยา คัมภีร์ ที่ปรึกษาการพัฒนาระบบราชการ (นักพัฒนาระบบราชการทรงคุณวุฒิ เป็นโฆษกสำนักงาน ก.พ.ร. ๑.๑๕ นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นโฆษกสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ๒. ให้กระทรวง/หน่วยงานที่เหลือจำนวน ๑๖ หน่วยงาน เร่งรัดดำเนินการแจ้งชื่อโฆษกกระทรวง/หน่วยงาน ไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยด่วน เพื่อจะได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
21549 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 2/2559 เรื่อง การแก้ไขปัญหาการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเป็นการชั่วคราว | สลธ.คสช. | 19/01/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒/๒๕๕๙ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเป็นการชั่วคราว สั่ง ณ วันที่ ๑๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
21550 | พิธีสารเพื่อแก้ไขกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและความตกลงในส่วนที่เกี่ยวข้องระหว่างประเทศสมาชิกสมาคม ประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และสาธารณรัฐประชาชนจีน | อื่นๆ | 19/01/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๙ และให้เสนอพิธีสารเพื่อแก้ไขกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและความตกลงในส่วนที่เกี่ยวข้องระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และสาธารณรัฐประชาชนจีนต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||
21551 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | เวียน | 19/01/2559 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ประกอบกิจการในอุตสาหกรรมที่สามารถใช้ยางพาราเป็นส่วนประกอบในการผลิตผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมผลิตยางมะตอย เป็นต้น ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานหลักรวบรวมข้อเสนอและความต้องการของทุกส่วนราชการเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนา พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการวิจัยและพัฒนาในภาพรวมของประเทศอย่างเป็นระบบ โดยแบ่งเป็น ๓ ระยะ ได้แก่ ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว และให้มีผลงานวิจัยที่เป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๐ นั้น ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย กระทรวงศึกษาธิการ คำนึงถึงความสอดคล้องกับความต้องการของประเทศ และให้จัดทำฐานข้อมูลจำนวนผู้ที่จบการศึกษาในระดับดุษฎีบัณฑิตในแต่ละสาขาวิชาเพื่อใช้ประโยชน์ในการกำหนดแนวทางการเพิ่มปริมาณบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาในภาพรวมของประเทศด้วย ๒.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดให้มีหลักสูตรภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานเฉพาะตามกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ เช่น ภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานในชีวิตประจำวันสำหรับกลุ่มประชาชนทั่วไป ภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานสำหรับผู้ประกอบการในการทำธุรกิจ ภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานสำหรับข้าราชการในการดำเนินงานภาคราชการ ภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานสำหรับประชาชนหรือผู้ใช้แรงงานในด้านต่าง ๆ นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดทำ application การสอนภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานตามกลุ่มเป้าหมายข้างต้นด้วย ๒.๓ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรวบรวมข้อมูลสถิติการใช้บริการศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน (Government Access Channels : G-Channel) ว่ามีประชาชนได้รับประโยชน์จากการใช้บริการมากน้อยเพียงใด รวมทั้งมีผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินโครงการอย่างไร โดยให้นำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป ๒.๔ มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ร่วมกับเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงทุกกระทรวง และโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จัดทำชุดข้อมูลเพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์การดำเนินนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ใช้กลไกประชารัฐในการขับเคลื่อน โดยจัดทำในลักษณะเป็นภาพหรือกราฟิกเพื่อการสื่อสาร (Infographics) ที่เข้าใจได้ง่าย มีรูปแบบที่ทันสมัย และดึงดูดความสนใจ ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี และความเชื่อมโยงในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา ความมั่นคง การต่างประเทศ กฎหมาย การปฏิรูปประเทศเป็นสำคัญ เพื่อให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติใช้ชุดข้อมูลดังกล่าวในการขับเคลื่อนกลไกประชารัฐในระดับพื้นที่ต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการต่อนายกรัฐมนตรีภายในวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ๒.๕ ให้ทุกส่วนราชการที่ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการในคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะทำงานต่าง ๆ ศึกษาข้อมูลในส่วนที่รับผิดชอบด้วยความละเอียดรอบคอบ ตรวจสอบความถูกต้อง รวมทั้งคำนึงถึงความสอดคล้องกับแนวทางการดำเนินงานของรัฐบาล แนวทางการปฏิรูป ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ข้อกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และหากเรื่องใดคณะรัฐมนตรีได้มีมติหรือนายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการแล้วให้นำไปปฏิบัติโดยเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||
21552 | รายงานความก้าวหน้าโครงการบริหารจัดการไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน | นร | 19/01/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงกลาโหมรายงานความก้าวหน้าโครงการบริหารจัดการไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน สรุปได้ว่า โครงการบริหารจัดการไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน ใช้พื้นที่บริเวณหอประชุมกองทัพบก (เดิม) เทเวศร์ มีพื้นที่รวม ๑๙ ไร่ ๑ งาน ประกอบด้วย ๒ อาคาร โดยจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ ดังนี้ ๑.๑ การก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ มีรูปแบบสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ อาคารจัดวางเป็นลักษณะ ๓ มุขจั่ว มีความสูง ๒ ชั้น ชั้นแรกประกอบด้วย ส่วนพิพิธภัณฑ์ ห้องรับรอง และสำนักงาน ชั้นสองประกอบด้วย ส่วนจัดแสดง ส่วนรับรอง และห้องประชุม ภายในตกแต่งเล่าเรื่องราววรรณคดีเชิงประวัติศาสตร์ จัดวางองค์ประกอบแบบตะวันตก ตกแต่งใช้ลวดลายแบบไทย การประดับใช้เรื่องราวของวรรณคดี คติความเชื่อ ความรู้ในอดีต การเมือง การปกครอง เรื่องราวของประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยการใช้ศิลปะจากช่างสิบหมู่ของกรมศิลปากรและศิลปาชีพ ส่วนประติมากรรมใช้เป็นสัตว์หิมพานต์ ปัจจุบันกรมศิลปากรออกแบบงานสถาปัตยกรรมและโครงสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว คงเหลืองานออกแบบตกแต่งภายใน ๑.๒ การก่อสร้างหอประชุมกองทัพบก มีวัตถุประสงค์เพื่อตอบสนองต่อภารกิจต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย เช่น การรองรับการจัดประชุม การจัดแสดงนิทรรศการและการจัดงานพิธีสำคัญต่าง ๆ จากภายในกองทัพบกและจากส่วนราชการภายนอก รวมทั้งการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรม หอประชุมกองทัพแห่งใหม่นี้มีแนวคิดในการออกแบบมาจากเอกลักษณ์และความโดดเด่นของสถาปัตยกรรมไทย นำมาประยุกต์ให้เข้ากับความทันสมัย ภายในหอประชุมแบ่งพื้นที่ออกเป็น ๓ ส่วนหลัก ได้แก่ พื้นที่ใช้สอยหลักของอาคาร พื้นที่ส่วนบริการ และพื้นที่สนับสนุนการใช้สอย นอกจากนี้ยังมีส่วนให้บริการอื่น ๆ เช่น ร้านอาหาร และห้องโถงรองรับผู้มาใช้บริการ ๒. ให้กระทรวงกลาโหม (กองทัพบก) กำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณโครงการบริหารจัดการไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินให้มีความโปร่งใส ประหยัด และสามารถตรวจสอบได้ รวมทั้งเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และกำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์จากหอประชุมกองทัพบกให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และบุคคลทั่วไปสามารถจัดกิจกรรมในพื้นที่ดังกล่าวได้
|
||||||||||||||||||||||||
21553 | ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปิโตรเลียมของไทย | พน | 19/01/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปิโตรเลียมของไทยว่า
๑. ความหมายของปริมาณสำรองปิโตรเลียม หมายถึงส่วนที่มีข้อมูลจากการสำรวจแล้วว่าอาจพัฒนาเป็นแหล่งผลิตได้ด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งแบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ (๑) ปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถพัฒนาเป็นแหล่งผลิตปิโตรเลียมได้ร้อยละ ๙๐ (๒) ปริมาณสำรองที่คาดว่าจะพบคือ ส่วนที่มีโอกาสพัฒนาเป็นแหล่งผลิตได้ร้อยละ ๕๐-๙๐ และ (๓) ปริมาณสำรองที่น่าจะพบคือ ส่วนที่มีโอกาสพัฒนาเป็นแหล่งผลิตได้เพียงร้อยละ ๑๐-๕๐ โดยเมื่อนำปริมาณสำรองปิโตรเลียมมาเทียบกับปริมาณการใช้ต่อปีจะทำให้ทราบระยะเวลาที่จะสามารถนำปิโตรเลียมสำรองที่มีอยู่มาใช้ได้ ซึ่งหากมีระยะเวลาเหลืออยู่น้อยก็จะต้องเร่งพัฒนาหาแหล่งปิโตรเลียมให้ทันต่อความต้องการใช้งานต่อไป ๒. สถานการณ์ทรัพยากรปิโตรเลียม ปัจจุบันทรัพยากรปิโตรเลียมของไทยที่มีอยู่สามารถตอบสนองต่อความต้องการใช้งานภายในประเทศได้เพียงบางส่วนเท่านั้น จึงยังมีความจำเป็นในการนำเข้าปิโตรเลียม และในระดับโลกประเทศไทยมีปริมาณก๊าซธรรมชาติเพียงร้อยละ ๐.๑ ของปริมาณสำรองทั่วโลก น้ำมันดิบร้อยละ ๐.๐๒ ของปริมาณสำรองทั่วโลก โดยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศมาเลเซีย ประเทศไทยมีประชากรมากกว่าถึง ๒ เท่า แต่มีก๊าซธรรมชาติน้อยกว่า ๘ เท่า และมีน้ำมันดิบน้อยกว่า ๑๓ เท่า ซึ่งเป็นความแตกต่างประการหนึ่งที่ต้องนำมาพิจารณาประกอบเพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ด้านพลังงานของแต่ละประเทศได้ชัดเจนขึ้น ๓. แหล่งปิโตรเลียม ลักษณะที่แตกต่างกันของแหล่งปิโตรเลียมจะทำให้ปิโตรเลียมที่ได้มีคุณสมบัติและต้นทุนที่แตกต่างกันออกไป โดยเมื่อเปรียบเทียบแหล่งก๊าซธรรมชาติจากแหล่งก๊าซยาดานาของเมียนมาในทะเลอันดามันและแหล่งก๊าซบงกชเหนือในอ่าวไทย ซึ่งมีปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติใกล้เคียงกัน แต่แหล่งยาดานาเป็นชั้นหินกักเก็บที่มีลักษณะเป็นกระเปาะขนาดใหญ่ แต่ละกระเปาะกักเก็บก๊าซได้เป็นจำนวนมาก จึงต้องการใช้หลุมผลิตน้อยกว่าแหล่งก๊าซบงกชเหนือ ซึ่งมีชั้นหินกักเก็บที่มีลักษณะเป็นกระเปาะขนาดเล็กกระจายตัวกัน และทำให้การผลิตก๊าซธรรมชาติของประเทศไทยมีต้นทุนที่สูงกว่า
|
||||||||||||||||||||||||
21554 | สรุปผลการจัดงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย ปี 2559 | กก | 19/01/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานผลการจัดงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย ปี ๒๕๕๙ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้จัดงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย ปี ๒๕๕๙ (Thailand Tourism Festival : TTF 2016) ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๗ มกราคม ๒๕๕๙ ณ สวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร โดยเป็นงานส่งเสริมการขายการท่องเที่ยวของประเทศกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดภายใต้แนวคิด “ท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร” การจัดงานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการรับรู้และอนุรักษ์ความเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ในด้านวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่นจากทุกภูมิภาค ปลูกฝังความภาคภูมิใจในความเป็นไทย กระตุ้นและส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยว และการกระจายรายได้ในประเทศให้เพิ่มมากขึ้น และเผยแพร่องค์ความรู้ด้านการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับการตลาดสมัยใหม่ แบ่งพื้นที่การจัดกิจกรรมออกเป็น ๔ โซนหลัก ได้แก่ โซนที่ ๑ เส้นทางการท่องเที่ยวใน “๑๒ เมืองต้องห้ามพลาด Plus” “เขาเล่าว่า” และ “สถานีสุขใจ” เพื่อเป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการเดินทางท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ตามนโยบายประชารัฐ โซนที่ ๒ หมู่บ้าน ๕ ภูมิภาค สร้างการรับรู้ถึงเอกลักษณ์ของพื้นที่ โซนที่ ๓ ของดี ๕๐ ชุมชนในเขตกรุงเทพมหานคร และโซนที่ ๔ การแสดงศิลปวัฒนธรรมและการแสดงร่วมสมัย ๒. ผลการจัดงาน มีผู้เข้าชมงาน ๖๗๑,๔๑๑ คน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๙.๕ เทียบกับปีก่อนหน้า และมียอดเงินกว่า ๓๐๙ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๕ เทียบกับปีก่อนหน้า รวมถึงส่งผลกระทบทางอ้อมในทางเศรษฐกิจแก่ผู้ประกอบการรายย่อยซึ่งอยู่ใกล้บริเวณสถานที่จัดงานสามารถขายสินค้าได้เพิ่มขึ้นอย่างมากด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
21555 | แนวทางการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปด้านต่าง ๆ ของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ | นร | 19/01/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปด้านต่าง ๆ ของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ซึ่งรวมถึงข้อเสนอแนะตามมาตรา ๓๑ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) เสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติต่อไป ดังนี้
๑. เรื่องที่ได้อภิปรายและมีมติเห็นชอบส่งให้รัฐบาลพิจารณาดำเนินการ เมื่อส่งมาถึงรัฐบาล ให้ส่งมายังคณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาให้ข้อคิดเห็นและพิจารณาความเชื่อมโยงด้านต่าง ๆ ทั้งในแง่สารัตถะ การบูรณาการ และข้อกฎหมาย ๒. เมื่อคณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย พิจารณาเสร็จแล้วจะส่งแผนปฏิรูปพร้อมความเห็นไปยังรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลงานกระทรวงและขับเคลื่อนการปฏิรูปทั้ง ๖ ด้าน เพื่อพิจารณาอีกครั้ง ก่อนให้ความเห็นชอบนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ๓. เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว และมีมติให้ความเห็นชอบให้ขับเคลื่อนประเด็นปฏิรูปที่เสนอมา ให้ดำเนินการ ๓.๑ กรณีเกี่ยวกับการขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดิน เห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการ และรายงานให้คณะรัฐมนตรี คณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ทราบต่อไป ๓.๒ กรณีเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายหรือจัดทำร่างกฎหมาย เห็นควรมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21556 | การเสนอโครงการที่ต้องอนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี | นร | 19/01/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและให้ทุกส่วนราชการถือปฏิบัติตามแนวทางที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในกรณีที่ส่วนราชการจะเสนอขออนุมัติงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการหรือขออนุมัติดำเนินโครงการต่อคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี เห็นควรให้มีการชี้แจงข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย
๑. ความสอดคล้องกับแผน ยุทธศาสตร์ นโยบายรัฐบาล หรือข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ๒. การบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีผลการหารือที่ได้ข้อยุติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของความเหมาะสมของโครงการ ข้อกฎหมาย และประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการดำเนินการ ๓. การพิจารณางบประมาณที่จะใช้ในการดำเนินโครงการ โดยคำนึงถึงความประหยัดและให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ๔. การกำหนดระยะเวลาการดำเนินโครงการ และผลที่ได้จากการดำเนินการในแต่ละระยะอย่างชัดเจน เช่น รอบ ๑ เดือน ๓ เดือน หรือ ๖ เดือน หากเรื่องใดเป็นการดำเนินการซึ่งเกินกว่ากรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล (เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐) ให้นำเรื่องดังกล่าวบรรจุไว้ในแผนปฏิรูปเพื่อให้รัฐบาลชุดต่อไปที่จะเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเรื่องที่ส่วนราชการจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้เป็นไปตามเงื่อนไขข้างต้นก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21557 | รายงานผลการเข้าร่วมพิธีรับมอบตำแหน่งประธานกลุ่ม 77 (G77) วาระปี 2559 อย่างเป็นทางการ | กต | 19/01/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการเข้าร่วมพิธีรับมอบตำแหน่งประธานกลุ่ม ๗๗ (G77) วาระปี ๒๕๕๙ อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๓ มกราคม ๒๕๕๙ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การกล่าวสุนทรพจน์แสดงวิสัยทัศน์ แผนงาน (Road Map) และความพร้อมของไทยในการเป็นประธานกลุ่ม ๗๗ โดยมุ่งเน้นการขับเคลื่อนเป้าหมายสำคัญของกลุ่ม ๗๗ และของประชาคมโลกภายใต้หัวข้อหลัก คือ “จากวิสัยทัศน์สู่การปฏิบัติ : ความเป็นหุ้นส่วนที่ครอบคลุมทุกฝ่ายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” (From Vision to Action : Inclusive Partnership for Sustainable Development) โดยประเด็นที่ไทยจะให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก ได้แก่ ๑.๑.๑ การขับเคลื่อนให้มีการนำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐ ของสหประชาชาติ (2030 Agenda for Sustainable Development) ไปสู่การปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการระดมเงินทุนเพื่อการพัฒนา โดยประเทศไทยจะนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นต้นแบบในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้ ซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถช่วยประเทศต่าง ๆ ให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศจะจัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย เพื่อหารือเกี่ยวกับการจัดทำแผนงานการดำเนินการในเรื่องการเผยแพร่หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ๑.๑.๒ การส่งเสริมความร่วมมือใต้-ใต้ (South-South Cooperation) หรือความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนาด้วยกันเอง ๑.๑.๓ การขับเคลื่อนความร่วมมือไปสู่เป้าหมายของการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการลดความเสี่ยงที่เกิดจากภัยพิบัติ ๑.๒ การกล่าวถ้อยแถลงของเลขาธิการสหประชาชาติ โดยเลขาธิการสหประชาชาติได้กล่าวถ้อยแถลงย้ำถึงความสำคัญของกลุ่ม ๗๗ และได้แสดงความยินดีที่ไทยจะทำหน้าที่ประธานกลุ่ม ๗๗ ในปี ๒๕๕๙ ซึ่งถือเป็น “ปีแห่งการปฏิบัติ” เนื่องจากเมื่อปี ๒๕๕๘ ประเทศต่าง ๆ สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันในการประชุมสำคัญ ๆ ของสหประชาชาติได้ถึง ๔ รายการ ได้แก่ (๑) การพัฒนาที่ยั่งยืน (๒) การลดภัยพิบัติ (๓) การระดมทุนเพื่อการพัฒนา และ (๔) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ๑.๓ ท่าทีของประเทศสมาชิก โดยประเทศสมาชิกได้แสดงความพร้อมที่จะร่วมมือกับไทยในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ไปสู่การปฏิบัติให้เป็นผลสำเร็จต่อไป ๑.๔ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและคณะผู้แทนไทยได้จัดการประชุมร่วมกับเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรประจำสหประชาชาติของทั้งประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาแล้วเพื่อแลกเปลี่ยนทรรศนะในประเด็นต่าง ๆ รวมถึงนำเสนอสาระสำคัญตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้เป็นทางเลือกในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วย ๒. ในการประชุมครั้งต่อไปขอให้ฝ่ายไทยในฐานะประธานกลุ่ม ๗๗ นำเสนอประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการลดความเหลื่อมล้ำและการสร้างความเป็นธรรมระหว่างประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาแล้ว รวมถึงให้นำเสนอแนวทางการดำเนินการตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในลักษณะของภาพที่เข้าใจง่าย (Information Graphic) เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
21558 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | นร | 19/01/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๙ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติฯ และพิธีสารฯ รวม ๒ ฉบับ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ดังนี้
๑. ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นการถาวร) ๒. พิธีสารเพื่อแก้ไขกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและความตกลงในส่วนที่เกี่ยวข้องระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และสาธารณรัฐประชาชนจีน
|
||||||||||||||||||||||||
21559 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ.... (มาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นการถาวร) | กค | 19/01/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๙ และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นการถาวร) ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||
21560 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร01 | 12/01/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๘ มีการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทั้งสิ้น ๒๒๙,๔๕๖ ครั้ง รวมจำนวน ๑๔๕,๔๖๐ เรื่อง ทั้งนี้ สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ คิดเป็นร้อยละ ๙๑.๐๗ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง คิดเป็นร้อยละ ๘.๙๓ และพบว่าประชาชนยื่นเรื่องร้องทุกข์เพิ่มมากขึ้น ร้อยละ ๘๙ โดยจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ เป็นช่องทางที่ยื่นเรื่องเพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง ร้อยละ ๒๘๔ และเรื่องร้องทุกข์ในประเด็นการบุกรุกทรัพยากรป่าไม้เพิ่มขึ้นจาก ๓๒๔ เรื่อง เป็น ๑,๘๗๑ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๔๗๗ ส่วนศูนย์ดำรงธรรมมีจำนวนการยื่นเรื่องร้องทุกข์เพิ่มขึ้น จาก ๔๒,๓๑๕ เรื่อง เป็น ๖๘,๗๐๑ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๖๒ โดยมีผลการดำเนินการจนได้ข้อยุติร้อยละ ๗๐ สำหรับในส่วนของศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี มีจำนวนการยื่นเรื่องร้องทุกข์เพิ่มขึ้น จาก ๗๑,๕๐๔ เรื่อง เป็น ๑๖๕,๗๒๙ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๑๓๒ โดยมีผลการดำเนินการจนได้ข้อยุติร้อยละ ๙๒ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรม รวมทั้งให้แต่ละส่วนราชการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์การให้บริการของส่วนราชการในการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อย่างทั่วถึง ต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูลและสามารถใช้บริการได้อย่างถูกต้องรวดเร็ว
|
.....