ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1074 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 21461 - 21480 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21461 | โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง วงเงินสินเชื่อ 15,000 ล้านบาท | กษ | 26/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบ ๑.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมมีความเห็นว่า โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยางพารา กรอบวงเงิน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ขออนุมัติให้ดำเนินการตามแนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบ) มีประเด็นที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการ คือ เงื่อนไขที่กำหนดให้เป็นการให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการเพื่อใช้ในการขยายกำลังการผลิต หรือการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรการผลิตเท่านั้น ซึ่งไม่ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการรายใหม่ที่จะต้องซื้อที่ดินและก่อสร้างโรงงาน ดังนั้น จึงควรขยายขอบเขตและเงื่อนไขการให้สินเชื่อดังกล่าวให้ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการรายใหม่ รวมถึงการใช้จ่ายในส่วนของค่าที่ดินและค่าก่อสร้างอาคารด้วย ๑.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีความเห็นว่า เงื่อนไขของโครงการฯ ที่ระบุว่า ผู้ประกอบการจะได้รับสินเชื่อสำหรับขยายกำลังการผลิตหรือปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเท่านั้น อาจมีข้อจำกัด เนื่องจากการขยายการผลิตอาจจำเป็นต้องก่อสร้างโรงงานหรือซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติม ดังนั้น จึงควรพิจารณาปรับเงื่อนไขโครงการให้ครอบคลุมกรณีนี้ด้วย ๑.๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ชี้แจงเพิ่มเติมว่า โครงการฯ ในครั้งนี้มีกรอบวงเงินให้สินเชื่อจำนวนไม่มาก ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการรายใหม่ ๒. รับทราบแนวทางการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีดำเนินการใหม่ของโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง วงเงินสินเชื่อ ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท และอนุมัติเปลี่ยนแปลงระยะเวลาในการดำเนินการโครงการฯ จากตั้งแต่ปี ๒๕๕๗-๒๕๖๗ เป็นตั้งแต่ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๙ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๓. อนุมัติในหลักการโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง วงเงินสินเชื่อ ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับการชดเชยภาระดอกเบี้ยและการขอรับจัดสรรงบประมาณ ภาครัฐจะชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี ซึ่งรัฐตั้งชดเชยภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจริงผ่านธนาคารออมสิน/กระทรวงการคลัง โดยให้ธนาคารออมสิน/กระทรวงการคลังขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายจ่ายจริงที่จะเกิดขึ้นต่อไป โดยไม่รวมรายจ่ายชำระต้นเงินกู้และไม่รวมถึงการชดเชยความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไปพิจารณาเพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้สินเชื่อให้ครอบคลุมอุปกรณ์และสิ่งปลูกสร้างอันเนื่องมาจากการขยายกำลังการผลิต โดยคำนึงถึงการบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ เป็นสำคัญ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการตรวจสอบแผนการลงทุนของผู้ประกอบการยางพาราที่จะเข้าร่วมโครงการฯ ให้มีความสอดคล้องและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ โดยเคร่งครัด และต้องวางกลไกและระบบการติดตามและรายงานผลที่มีความคล่องตัว โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ตลอดจนสามารถสะท้อนปัญหาอุปสรรคเพื่อนำมาสู่การแก้ไขปรับปรุงหรือขยายผลการดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๕. ในระยะต่อไป หากจะมีการขยายขอบเขตการดำเนินโครงการฯ ให้ครอบคลุมผู้ประกอบการรายใหม่ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
21462 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - อินโดนีเซีย | คค | 26/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-อินโดนีเซีย และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทยและอินโดนีเซีย โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการหารือเพื่อจัดทำร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศฉบับใหม่ การขยายสิทธิความจุความถี่สำหรับเที่ยวบินผู้โดยสารผสมสินค้าของสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๓ และ ๔ การคงจำนวนความจุความถี่ของสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ และการเพิ่มข้อบทเกี่ยวกับการใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกันกับประเทศที่สาม ๒. มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
21463 | โครงการไฟฟ้าพลังน้ำบ้านจันเดย์ | พน | 26/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการไฟฟ้าพลังน้ำบ้านจันเดย์ ในวงเงินลงทุนรวม ๓,๕๔๒ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี ๒๕๕๙ สำหรับโครงการฯ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๗๒๘ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. รับความเห็นของประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์โครงการฯ อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ให้เกิดการยอมรับเพื่อลดความกังวลและการต่อต้าน การให้ความสำคัญกับการสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาในด้านการเปลี่ยนแปลงของความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในพื้นที่ การทบทวนปรับปรุงกระบวนการคัดเลือกผู้รับจ้างเพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำในอนาคต การส่งเสริมสนับสนุนให้ชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันวางแผนและกำหนดทิศทางการใช้จ่ายเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้าในโครงการหรือกิจกรรมที่มุ่งส่งเสริมการพัฒนาชุมชนในระยะยาว และดำเนินกิจกรรมชุมชนสัมพันธ์เชิงรุกในพื้นที่โดยเน้นกิจกรรมการสร้างอาชีพและการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับชุมชนควบคู่กับการดำเนินโครงการฯ การศึกษาพื้นที่ที่มีศักยภาพในการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังน้ำ การเปลี่ยนแปลงสายส่งจากแบบวงจรคู่ (Double Circuit) เป็นแบบวงจรเดี่ยว (Single Circuit) เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและลดค่าใช้จ่ายของโครงการฯ การพิจารณาขอบเขตการดำเนินโครงการฯ และกรอบวงเงินลงทุนให้เหมาะสม การพิจารณาเรื่องคุณภาพและมาตรฐานของอุปกรณ์ตามมาตรฐานสากล ผู้เสนอราคา อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างค่าเงินบาทกับเงินสกุลต่างประเทศ ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ การกำกับดูแลให้การลงทุนเป็นไปตามที่ได้รับอนุมัติไว้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งการดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ ต้องให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และประกาศที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
21464 | ขออนุมัติการดำเนินงานโครงการกองทุนการศึกษาระดับอุดมศึกษา | ศธ | 26/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาดำเนินงานโครงการกองทุนการศึกษาระดับอุดมศึกษา โดยขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นเงินทุนการศึกษาและเงินทุนค่าครองชีพของนักศึกษาระดับอุดมศึกษาแทนเงินส่วนพระองค์ระหว่างปีการศึกษา ๒๕๕๙-๒๕๗๒ วงเงิน ๗๕,๕๖๐,๐๐๐ บาท (อัตราทุนละ ๕๕,๐๐๐ บาท/คน/ปีการศึกษา) โดยเป็นงบประมาณที่ต้องใช้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๓,๑๑๗,๕๐๐ บาท สำหรับนักเรียนทุนรุ่นแรกที่จะเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีกลไกการติดตามผลการเรียนและดูแลช่วยเหลือนักเรียนทุนอย่างต่อเนื่อง โดยมีการติดตามรายงานผลในทุกปีการศึกษา พร้อมทั้งจัดเก็บข้อมูลนักเรียนทุนอย่างเป็นระบบตั้งแต่เริ่มศึกษาจนถึงการทำงานหลังสำเร็จการศึกษา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
21465 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การเข้าร่วมงาน Universal Exhibition Milano 2015 พร้อมวีดีทัศน์เพื่อใช้ประกอบนิทรรศการอาคารแสดงประเทศไทย | กษ | 26/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การเข้าร่วมงาน Universal Exhibition Milano 2015 (Expo Milano 2015) ครั้งที่ ๔ (วันที่ ๑ พฤษภาคม-๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๘) ณ เมืองมิลาน สาธารณรัฐอิตาลี สรุปได้ ดังนี้
๑. การบริหารจัดการนิทรรศการอาคารแสดงประเทศไทย แบ่งเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ นิทรรศการภายนอกอาคาร มีการจัดแสดงในรูปแบบตลาดน้ำจำลอง แปลงนาสาธิต และแสดงตัวอย่างพันธุ์ข้าวของไทย ส่วนนิทรรศการภายในอาคาร แบ่งเป็น ๓ ห้อง คือ ห้องสุวรรณภูมิ ห้องครัวไทยสู่ครัวโลก และห้องกษัตริย์แห่งเกษตร ๒. การบริหารจัดการผู้เข้าชมอาคารแสดงประเทศไทย มีจำนวนผู้เข้าชมตลอดระยะเวลาจัดแสดง ๖ เดือน จำนวน ๒,๓๐๑,๔๑๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๐.๗ ของจำนวนผู้เข้าชมงานทั้งหมด ๒๑,๐๐๐,๐๐๐ คน ๓. การบริหารจัดการพื้นที่ บริเวณทางออกจากอาคารเป็นพื้นที่ซึ่งมีการจัดแสดงในรูปแบบห้องอาหารแห่งอนาคต เพื่อแสดงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นแหล่งอาหารที่มีคุณภาพของโลก โดยมีมูลค่าการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารและของที่ระลึกตลอดระยะเวลา ๖ เดือนจำนวน ๑,๓๒๗,๖๕๒ ยูโร ๔. การบริหารจัดการงานวันชาติและกิจกรรมพิเศษ จำนวน ๕ กิจกรรม ได้แก่ งานวันชาติไทย เทศกาลวันสงกรานต์ กิจกรรมวันแม่ เทศกาลวันลอยกระทง และกิจกรรมความสัมพันธ์ไทย-อิตาลี ๕. การประชาสัมพันธ์ ได้มีการประชาสัมพันธ์อาคารแสดงประเทศไทยผ่านสื่อต่าง ๆ จำนวน ๗๔๘ ครั้ง โดยผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ และสื่อออนไลน์ ๖. การควบคุม กำกับการดำเนินงานอาคารแสดงประเทศไทย ได้จัดส่งบุคลากรไปปฏิบัติงานแบ่งเป็น ๒ รุ่น รุ่นละ ๕ คน ประกอบด้วย ผู้อำนวยการอาคารแสดงประเทศไทย และเจ้าหน้าที่ประจำอาคารแสดงประเทศไทย ๗. การประเมินผลการดำเนินงาน เช่น สามารถทำให้ผู้เข้าชมรู้จักประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ทั้งในแง่ที่เป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านการเกษตร การผลิตอาหาร ประเพณี วัฒนธรรม การท่องเที่ยว และความสำคัญของสถาบันกษัตริย์ในการพัฒนาการเกษตรของประเทศ ๘. การดำเนินการจัดแสดงนิทรรศการ ได้มีการบริหารจัดการเป็นไปด้วยดี ไม่มีปัญหา
|
||||||||||||||||||||||||||||||
21466 | การพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน | กค | 26/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน โดยยังคงเรียกเก็บในอัตราเดิม ที่ร้อยละ ๐.๔๖ ต่อปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
21467 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2559 เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง และกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 4/2559 เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม สำหรับการประกอบกิจการบางประเภท | สลธ.คสช. | 26/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวม ๒ ฉบับ ดังนี้
๑. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓/๒๕๕๙ เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง และกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ สั่ง ณ วันที่ ๒๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ๒. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔/๒๕๕๙ เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม สำหรับการประกอบกิจการบางประเภท สั่ง ณ วันที่ ๒๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
|
||||||||||||||||||||||||||||||
21468 | ร่างข้อตกลงร่วมโครงการ Technical Assistance of Sewage Technology in Collaboration with Public and Private Sectors in Thailand ระหว่างองค์การจัดการน้ำเสียกับหน่วยงานระบายน้ำของประเทศญี่ปุ่น | ทส | 26/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างข้อตกลงร่วมโครงการ Technical Assistance of Sewage Technology in Collaboration with Public and Private Sectors in Thailand ระหว่างองค์การจัดการน้ำเสียกับ Saitama Prefectural Government Bureau of Public Sewerage works (SAITAMA) ภายใต้โครงการความร่วมมือขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านเทคนิคขององค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) ในลักษณะต่อยอดจากโครงการเดิมที่เป็นผู้ปฏิบัติงานที่มีความเชี่ยวชาญไปสู่การเป็นผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการบำบัดน้ำเสีย และ SAITAMA จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องตลอดระยะเวลาดำเนินงาน ๑.๒ ให้ผู้แทน อจน. เป็นผู้ลงนามในร่างข้อตกลงร่วมฯ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ อจน. รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับปีที่จะมีการจัดทำและลงนามในร่างข้อตกลงร่วมฯ รวมทั้งระยะเวลาโครงการตามข้อตกลงร่วมฯ ในร่างข้อ ๑.๒ ของ Attachment และร่างข้อ ๖ ของ Annex ควรแก้ไขให้สอดคล้องกับเวลาในปัจจุบัน และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้ อจน. ควรพิจารณาติดตามและรายงานผลการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอเมื่อมีความก้าวหน้าที่ชัดเจนตลอดระยะเวลาของโครงการฯ และจัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินงานโครงการฯ เพื่อเผยแพร่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบถึงการพัฒนาศักยภาพของ อจน. ในด้านการบริหารจัดการและบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสีย นอกจากนี้ อจน. และกรมควบคุมมลพิษควรมีบทบาทในการพิจารณาและให้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อข้อเสนอความร่วมมือกับภาคเอกชนญี่ปุ่นด้านระบบท่อรวบรวมน้ำเสีย รวมถึงเทคโนโลยีระดับสูงในการบำบัดน้ำเสียให้แก่ภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของไทย ซึ่งปรากฏอยู่ภายใต้กิจกรรมที่ ๘.๔ และ ๘.๕ ภายใต้ข้อ ๘ กิจกรรมของโครงการ ในภาคผนวกของร่างข้อตกลงร่วมฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
21469 | หลักเกณฑ์และแนวทางการปฏิบัติในการพิจารณาการเปิด - ระงับหรือปิดจุดผ่านแดนประเภทต่าง ๆ | นร08 | 26/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และแนวทางการปฏิบัติในการพิจารณาการเปิด-ระงับหรือปิดจุดผ่านแดนถาวร จุดผ่านแดนชั่วคราว และจุดผ่อนปรนพิเศษ เพื่อนำมาเป็นหลักในการพิจารณาของส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้มีความละเอียดรอบคอบและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้นอันจะสามารถรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศควบคู่ไปกับการรักษาความมั่นคงของชาติได้อย่างเหมาะสม ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ สำหรับหลักเกณฑ์และแนวทางการปฏิบัติในการพิจารณาการเปิด-ระงับหรือปิดจุดผ่อนปรนทางการค้า ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับไปพิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์ฯ เกี่ยวกับผู้มีอำนาจในการพิจารณาการเปิด-ระงับหรือปิดจุดผ่อนปรนทางการค้าให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการเตรียมแผนการดำเนินการฉุกเฉินเพื่อรองรับความเสี่ยงและผลกระทบต่อการค้า การลงทุนในพื้นที่ชายแดน ในกรณีที่มีการระงับหรือปิดจุดผ่านแดน โดยเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนร่วมในพื้นที่ (ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ นักลงทุน ประชาสังคม) ร่วมประชุมให้ความเห็นเพื่อกำหนดทิศทางดำเนินการตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงระดับปฏิบัติการในพื้นที่ให้สอดรับกัน และควรผลักดันแผนรองรับความเสี่ยงกรณีมีการระงับหรือปิดจุดผ่านแดนไว้ในแผนเตรียมพร้อมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการแจ้งหลักเกณฑ์ดังกล่าวให้จังหวัดชายแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ เพื่อให้เกิดการสร้างความเข้าใจและกำชับให้หน่วยงานยึดถือปฏิบัติให้ถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๓. มอบหมายให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักบูรณาการร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนและวางระบบการตรวจคนเข้าเมืองตามด่านตรวจคนเข้าเมืองต่าง ๆ ซึ่งแผนและระบบดังกล่าวจะต้องจัดลำดับความสำคัญของด่านและการดำเนินงานให้มีความชัดเจน โดยคำนึงถึงการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี ความมั่นคง การสาธารณสุข และการเคลื่อนย้ายสินค้าที่มีความเสี่ยงในการลักลอบนำเข้าประเทศ รวมถึงให้มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาเสริมสร้างขีดความสามารถในการดำเนินการด้วย เช่น การใช้ระบบ Biometrics หรือการใช้ข้อมูลทางชีวภาพ เพื่อสามารถเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องได้ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ [เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการพัฒนาระบบ CCTV และเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมทางศุลกากรรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)] แล้วนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ เดือน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ |
||||||||||||||||||||||||||||||
21470 | ผลการประชุมหารือร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการ กรอ. ส่วนกลาง และคณะกรรมการ กรอ. กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2558 | นร11 | 26/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมหารือร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการ กรอ. ส่วนกลาง และคณะกรรมการ กรอ. กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ ซึ่งที่ประชุมรับทราบประเด็นการนำเสนอเพื่อเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจ และการดำเนินงานตามนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล ของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ได้แก่ การดำเนินการด้านยางพารา การดำเนินการด้านปาล์มน้ำมัน การส่งเสริมการท่องเที่ยว และการดำเนินงานตามนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล ๑.๒ เห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย และการพัฒนาอุตสาหกรรมโคเนื้อ/โคขุนอย่างครบวงจร พื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย (โคขุนศรีวิชัย) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับพื้นที่และส่วนกลางประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนและภาคประชาชนในการดำเนินแผนงาน/โครงการให้เห็นผลเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะแผนงาน/โครงการในระยะที่ ๑ ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการจัดทำฐานข้อมูลการบริการท่องเที่ยวในระดับชุมชนที่มีการให้บริการด้านการท่องเที่ยวทุกรูปแบบในพื้นที่กลุ่มจังหวัดเป้าหมาย และจัดตั้งเป็นกลุ่มเครือข่ายชุมชนบริการท่องเที่ยว รวมทั้งการตรวจสอบพื้นที่ที่ต้องการส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมันอย่างเคร่งครัดเพื่อเป็นการป้องกันการส่งเสริมเกษตรกรที่บุกรุกใช้ประโยชน์พื้นที่ป่า สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเห็นควรให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอและมีความจำเป็นเร่งด่วน ก็ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน และเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายตามความจำเป็นและเหมาะสมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
21471 | รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2557 | ทส | 26/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมรายสาขา ประกอบด้วย ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรพลังงาน สิ่งแวดล้อมชุมชน สิ่งแวดล้อมธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมศิลปกรรม ภาวะมลพิษ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่ดินและป่าไม้ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พลังงาน ภาวะมลพิษ และการแปรปรวนของสภาพอากาศ ๒. สถานการณ์สิ่งแวดล้อมประเด็นพิเศษ ประกอบด้วย ๔ เรื่อง ได้แก่ ภัยแล้งกับความมั่นคงด้านน้ำ อาหารและพลังงาน การใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าไม้ ขยะมูลฝอยชุมชนและของเสียอันตราย และการใช้พลังงานหมุนเวียน ๓. ข้อสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย ข้อเสนอการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านต่าง ๆ และข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาระบบการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมโดยรวมของประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
21472 | แผนปฏิบัติการของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย | คค | 26/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนปฏิบัติการของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการจัดการบุคลากร ได้ปรับปรุงโครงสร้างองค์กรโดยคำนึงถึงขนาดและความซับซ้อนของอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทยในปัจจุบัน และเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินในอนาคต ประกอบด้วย หน่วยงาน ๕ กลุ่ม และ ๑๔ ฝ่าย และมีอัตรากำลัง สำหรับปี พ.ศ.๒๕๕๙-๒๕๖๑ จำนวน ๕๑๔ อัตรา ๒. ด้านทรัพย์สินและงบประมาณ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการตัดโอนทรัพย์สิน งบประมาณ หนี้และภาระผูกพัน โครงสร้างและอัตรากำลังของกรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม มีปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานกรรมการ โดยด้านทรัพย์สินให้ตัดโอนทรัพย์สินในภารกิจการกำกับดูแลของกองมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือน กองมาตรฐานสนามบิน สำนักกำกับกิจการขนส่งทางอากาศ สำนักมาตรฐานการบิน และสำนักส่งเสริมและพัฒนากิจการขนส่งทางอากาศ กรมการบินพลเรือน (เดิม) สำหรับด้านงบประมาณให้กรมท่าอากาศยานดำเนินการตัดโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๙ ให้กับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย จำนวน ๑๓๓,๗๙๖,๕๐๐ บาท ๓. การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการกำกับดูแลความปลอดภัยด้านการบิน โดยดำเนินการ ๓.๑ เข้าสู่กระบวนการออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศใหม่ (Re-certification) ให้กับผู้ดำเนินการเดินอากาศ โดยเริ่มดำเนินการกับผู้ดำเนินการเดินอากาศที่ทำการบินระหว่างประเทศก่อน ๓.๒ ดำเนินการร่วมกับศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือน วางแผนการตรวจสอบการทดสอบภาคอากาศของผู้ถือใบอนุญาตผู้ประจำหน้าที่นักการบินพาณิชย์เอกที่มีคุณสมบัติไม่ครบถ้วน รวมทั้งตรวจสอบคุณสมบัติของเจ้าหน้าที่ฝ่ายมาตรฐานปฏิบัติการบิน เพื่อดำเนินการจัดหาหลักสูตรในการฝึกอบรมให้ครบถ้วนสมบูรณ์ รวมทั้งประมาณค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการฝึกอบรม ๓.๓ ร่วมมือกับ European Aviation Safety Agency : EASA โดยลงนามใน Cooperation Framework Arrangement on Aviation Safety between the Civil Aviation Authority of Thailand and the European Aviation Safety Agency เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ เพื่อส่งเสริมและยกระดับความปลอดภัยด้านการบินพลเรือนของไทย ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้จะมุ่งเน้นประเด็นการจัดทำกฎระเบียบ และการแลกเปลี่ยนบุคลากรด้านวิชาการเป็นหลัก ๓.๔ ร่วมมือกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) โดยลงนามใน Minutes of Meetings (MM) on the Detailed Planning Survey on the Japanese Technical Cooperation for the Project for Civil Aviation Safety Oversight Improvement in the Kingdom of Thailand เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๘ ซึ่งจะนำไปสู่การลงนาม Record of Discussion (ROD) โดยจะกำหนดรายละเอียดการดำเนินงานในเรื่องดังกล่าวระหว่างสองหน่วยงานต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
21473 | การแต่งตั้งผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของสำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ | นร05 | 26/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายชื่อผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของสำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ นางกิตติยา คัมภีร์ ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. สำนักงาน ก.พ.ร. ๑.๒ พลตำรวจโท จิตติ รอดบางยาง ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ๑.๓ นางสาวกนกวลี ชูขัยยะ ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๒. ให้ ปคร. ของทุกหน่วยงานจัดทำแผนการดำเนินการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีล่วงหน้า พร้อมรายงานสรุปผลการดำเนินการดังกล่าวเพื่อรายงานนายกรัฐมนตรีทราบก่อนวันที่ ๕ ของทุกเดือนต่อไป ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ แผนการปฏิบัติงานที่จะจัดทำควรมีรายละเอียด ประกอบด้วย การวางแผนการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีและการวางแผนเสนอร่างกฎหมายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ การประสานและติดตามผลการดำเนินงานให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี การรวบรวมมติคณะรัฐมนตรีของส่วนราชการ รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ ในภารกิจของคณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามที่รัฐมนตรีมอบหมาย โดยแสดงให้เห็นถึงความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ นโยบายรัฐบาล หรือโครงการสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล แล้วส่งแผนดังกล่าวและรายงานสรุปผลการดำเนินการตามแผนให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายในวันที่ ๓๐ ของทุกเดือน เพื่อสรุปผลการดำเนินการในภาพรวมเสนอนายกรัฐมนตรีตามกำหนดเวลาข้างต้นต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
21474 | สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี 2558/2559 ครั้งที่ 9 | กษ | 26/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ครั้งที่ ๙ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์น้ำ ณ วันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๙ เช่น อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งประเทศ จำนวน ๓๓ แห่ง มีปริมาณน้ำรวม ๓๘,๙๙๖ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๕ ของปริมาตรน้ำกักเก็บทั้งหมด เป็นน้ำใช้การได้ ๑๕,๔๙๓ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๓๓ ของปริมาตรน้ำใช้การทั้งหมด ๒. การจัดสรรน้ำ ช่วงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘-๑๔ มกราคม ๒๕๕๙ อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และอ่างเก็บน้ำขนาดกลางทั้งประเทศ ใช้น้ำไปแล้ว ๒,๓๗๕ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๒๑ ของแผนการจัดสรรน้ำ ส่วนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และผันน้ำจากแม่กลอง) ใช้น้ำไปแล้ว ๑,๑๖๔ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๒๐ ของแผนการจัดสรรน้ำ คิดเป็นระบายน้ำเฉลี่ยวันละ ๑๕.๗๓ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓. การบริหารจัดการน้ำและอาคารชลประทานในลุ่มน้ำเจ้าพระยาช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ช่วงวันที่ ๑๑-๑๗ มกราคม ๒๕๕๙ กำหนดแผนการระบายน้ำจากเขื่อน ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เฉลี่ยวันละ ๑๕.๖๗ ล้านลูกบาศก์เมตร ๔. สถานการณ์การเพาะปลูกข้าวในเขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๙ พื้นที่ปลูกข้าวนาปี ปี ๒๕๕๘ แผนเพาะปลูก ๗.๔๕ ล้านไร่ ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ ไม่ปลูก ๑.๐๕ ล้านไร่ โดยในพื้นที่ที่ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ แบ่งเป็น เก็บเกี่ยวแล้ว ๖.๓๐ ล้านไร่ เสียหาย ๐.๐๒ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว ๐.๐๘ ล้านไร่ คาดว่าจะเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ พื้นที่ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๑.๗๕ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว ๑.๒๔ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว ๐.๕๑ ล้านไร่ คาดว่าจะเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ และพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง ปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ผลการเพาะปลูกข้าวนาปรัง จำนวน ๑.๗๕ ล้านไร่
|
||||||||||||||||||||||||||||||
21475 | โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ | กค | 26/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในชุมชน และเพื่อดำเนินกิจกรรมอื่น ๆ ที่ชุมชนเห็นว่าเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมศักยภาพในการประกอบอาชีพและความเป็นอยู่ในชุมชนให้ดีขึ้น โดยมีเป้าหมายสนับสนุนเงินทุนให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จำนวน ๗๙,๕๕๖ กองทุน กองทุนละไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ภายในวงเงิน ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนแห่งชาติ (สทบ.) ใช้จ่ายจากเงินของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองก่อน หากไม่เพียงพอ ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้ สทบ. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณพร้อมรายละเอียดค่าใช้จ่ายเงินงบกลาง ผ่านสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณภายในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลัง และ สทบ. รับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ ควรคำนึงถึงหลักการของประชารัฐที่มีส่วนร่วมทั้งจากภาคประชาชน ภาคเอกชน และภาคราชการ โดยมุ่งเน้นภาคการผลิต การแปรรูป และการตลาดอย่างครบวงจร รวมทั้งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และการบริหารจัดการพื้นที่การผลิตที่เหมาะสม และให้ สทบ. จัดทำระเบียบที่เกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ และแผนการจัดทำบัญชีไว้เป็นการเฉพาะ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบริหารจัดการกองทุนและการติดตามประเมินผลโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง และ สทบ. ดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้ดำเนินโครงการฯ อย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ รวดเร็ว และสอดคล้องกับแผนงาน/กิจกรรมในพื้นที่ด้วย ๔. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเสนอโครงการที่ต้องขออนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี) |
||||||||||||||||||||||||||||||
21476 | แผนพัฒนาคุณสมบัติผู้ตรวจสอบความปลอดภัยการบิน | อื่นๆ | 26/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนการแก้ปัญหาการกำกับดูแลและพัฒนาการบินพลเรือนของประเทศไทยในระยะสั้นของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือน ได้แก่ แผนการพัฒนาคุณสมบัติผู้ตรวจสอบความปลอดภัยการบินระยะที่ ๑ (Flight Operation Inspector Development Plan Phase 1) และผู้ตรวจสอบความปลอดภัย โดยใช้งบประมาณฝึกอบรมเป็นเงิน ๘๖,๐๗๘,๘๕๒ บาท และการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศร่วมดำเนินการตรวจสอบให้คำปรึกษาและเสนอแนะแนวทางในการตรวจสอบเพื่อออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศตามข้อกำหนดขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) เป็นเงิน ๑๘๕,๕๑๔,๗๙๕ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒๗๑,๕๙๓,๖๔๗ บาท และเมื่อผู้ตรวจสอบความปลอดภัยที่ผ่านการอบรมฯ มีคุณสมบัติครบถ้วนแล้วจะเริ่มทำการตรวจสอบและประเมินค่าผู้ถือใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศได้ภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ โดยมีกำหนดแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม ๒๕๖๐ สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน และขอรับการจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๒๗๑,๕๙๓,๖๔๗ บาท โดยจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินงบกลาง และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. มอบหมายให้ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนและสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อตกลงของสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหภาพยุโรป (European Aviation Safety Agency : EASA) และผลการตรวจสอบขององค์กรกำกับการบินระหว่างประเทศอื่นให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อไปด้วย ๓. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
||||||||||||||||||||||||||||||
21477 | การลงนามความตกลงทางการค้าระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย (Trade Agreement between the Government of the Islamic Republic of Iran and the Government of the Kingdom of Thailand) | พณ | 26/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงทางการค้าระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย (Trade Agreement between the Government of the Islamic Republic of Iran and the Government of the Kingdom of Thailand) มีสาระสำคัญครอบคลุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย การส่งเสริมให้มีการพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกันภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย และระเบียบข้อบังคับของแต่ละประเทศ การอำนวยความสะดวกในเรื่องต่าง ๆ ให้แก่กัน อาทิ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า การจัดตั้งสำนักงานการค้าหรือศูนย์เพื่อการค้า ความร่วมมือระหว่างสภาหอการค้าและการแลกเปลี่ยนผู้แทนการค้า การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee) ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างความตกลงฯ ฉบับภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาฟาร์ซี ๒. หากมีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงถ้อยคำหรือสาระสำคัญของร่างความตกลงฯ โดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์สามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศ) และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ที่ผ่านมาอิหร่านถูกมาตรการคว่ำบาตรจากองค์การสหประชาชาติหลายครั้งด้วยกัน จึงมีความเสี่ยงที่อิหร่านอาจถูกดำเนินมาตรการคว่ำบาตรอีกในอนาคต ดังนั้น การดำเนินการตามข้อตกลงทางการค้าไทย-อิหร่าน จึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันปัญหาในทางปฏิบัติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการเดินทางเยือนโอมานและอิหร่านระหว่างวันที่ ๓๑ มกราคม-๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดติดตามการดำเนินการในประเด็นต่าง ๆ ที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) ได้หารือกับฝ่ายอิหร่านในช่วงการเยือนสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
21478 | การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งรัฐสุลต่านโอมานว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข | สธ | 26/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งรัฐสุลต่านโอมานว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข มีสาระสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือด้านสาธารณสุขและแลกเปลี่ยนทางวิชาการระหว่างกัน ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขถ้อยคำหรือประเด็นที่มิใช่สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ทั้งนี้ หากผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ มิใช่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย และให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
||||||||||||||||||||||||||||||
21479 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงยุติธรรม) (นายวิทยา สุริยะวงค์) | ยธ | 26/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายวิทยา สุริยะวงค์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
21480 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการสนับสนุนการวิจัยชุดใหม่ (จำนวน 10 คน 1. ศาสตราจารย์ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ฯลฯ) | วช | 26/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการสนับสนุนการวิจัยชุดใหม่ แทนชุดเดิมที่ครบวาระ ตามนัยมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการวิจัย พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๖ มกราคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป จำนวน ๑๐ คน ตามที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยเสนอ
๑. ศาสตราจารย์ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ประธานกรรมการ ๒. ศาสตราจารย์สุทัศน์ ยกล้าน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๓. นายบุญชู ปโกฏิประภา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๔. ศาสตราจารย์สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๕. ศาสตราจารย์ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๖. นายสัมพันธ์ ศิลปะนาฏ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๗. ศาสตราจารย์โมไนย ไกรฤกษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๘. นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมศาสตร์ ๙. นางสาวอรศรี งามวิทยาพงศ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมศาสตร์ ๑๐. นางปริตรตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านมนุษยศาสตร์
|
.....