ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1072 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 21421 - 21440 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21421 | วงเงินงบประมาณและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร07 | 02/02/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑.๒ ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑.๓ แนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑.๔ การจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๒. ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้จัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ แบบบูรณาการและเชื่อมโยงกันทุกมิติ ทั้งในส่วนของมิติยุทธศาสตร์ (Agenda base) มิติส่วนราชการ (Function base) และมิติพื้นที่ (Area base) เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
||||||||||||||||||||||||
21422 | ร่างรัฐธรรมนูญ | นร | 02/02/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รายงานว่า คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญเบื้องต้นและได้ขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อแจ้งให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญทราบ ภายในวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ โดยมีสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย ๑๕ หมวด และบทเฉพาะกาล รวม ๒๗๐ มาตรา ๒. ในกรณีที่ต้องสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับการออกเสียงประชามติและการดำเนินการให้เกิดความเรียบร้อย ก็ให้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๓. ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของแต่ละส่วนราชการและภาพรวมของรัฐธรรมนูญ แล้วส่งผลการพิจารณาให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายในวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เพื่อรวบรวมเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนส่งให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21423 | รายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร07 | 02/02/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบรายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ จากข้อมูลการก่อหนี้รายจ่ายลงทุนที่มีวงเงินไม่เกิน ๕๐๐ ล้านบาท พบว่ามีหลายหน่วยงานไม่สามารถดำเนินการก่อหนี้ได้ทันภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ เนื่องจากไม่สามารถจัดหาผู้รับจ้างได้ หรือมีการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างหลายครั้ง ซึ่งหากยกเลิกการดำเนินการในขณะนี้จะส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๘ ที่กำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายในภาพรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๖ และเป้าหมายการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๗ และทำให้เม็ดเงินที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในปี ๒๕๕๙ ลดลงได้ ทั้งนี้ จากการรวบรวมข้อมูลเบื้องต้น มีรายการดำเนินการเองที่เริ่มดำเนินการแล้วและรายการที่มีการลงนามในสัญญาแล้วแต่ยังไม่ได้บันทึกข้อมูลในระบบ จำนวน ๙๒,๘๕๗ ล้านบาท รายการที่คาดว่าจะลงนามในสัญญาเพิ่มเติมได้ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ จำนวน ๔๙,๒๗๔ ล้านบาท และเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ จำนวน ๒๙,๖๘๓ ล้านบาท รวมทั้งสิ้นประมาณ ๑๗๐,๕๔๔ ล้านบาท ซึ่งหากขยายระยะเวลาก่อหนี้ออกไปจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ คาดว่าจะทำให้มีผลการก่อหนี้รวมประมาณ ๔๑๔,๑๕๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๐.๖๑ ๑.๒ เพื่อให้การใช้จ่ายภาครัฐเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ สนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ สามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง และบรรลุเป้าหมายการเบิกจ่ายตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๘ จึงเห็นสมควรขยายระยะเวลาการก่อหนี้รายจ่ายลงทุนออกไปจนสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ โดยให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบและกำกับดูแลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่น และจังหวัด ให้ดำเนินการก่อหนี้ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่เห็นว่า หากหน่วยงานใดไม่สามารถดำเนินการก่อหนี้ได้ทันภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ ให้ส่งคืนงบประมาณ ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
||||||||||||||||||||||||
21424 | รายงานผลการลงนามความร่วมมือทวิภาคี Joint Crediting Mechanism (JCM) กับประเทศญี่ปุ่น | ทส | 02/02/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการลงนามความร่วมมือทวิภาคี Joint Crediting Mechanism (JCM) โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ร่วมลงนามความร่วมมือฯ กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ กระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศญี่ปุ่น กรุงโตเกียว ซึ่งในการลงนามความร่วมมือทวิภาคี JCM กับประเทศญี่ปุ่น ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์เกี่ยวกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีระดับสูงมาสู่ประเทศไทย และสร้างโอกาสในการเป็นฐานการผลิตเทคโนโลยีระดับสูงต่อไปในอนาคต การกระตุ้นการลงทุนในประเทศไทยและเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัน การดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงิน รวมถึงการเสริมสร้างศักยภาพด้านการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกจากประเทศญี่ปุ่น ตลอดจนผลประโยชน์ร่วมต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจก อาทิ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดต้นทุนการผลิต ลดมลภาวะและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจ สังคมคาร์บอนต่ำ ตามนโยบายรัฐบาลและแผนระดับชาติ นอกจากนี้ ภายใต้กลไก JCM ประเทศญี่ปุ่นจะให้การสนับสนุนความรู้ทางเทคโนโลยีและงบประมาณไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าโครงการ โดยโครงการของประเทศไทยที่ได้รับคัดเลือกในปี ๒๕๕๘ มีจำนวนทั้งสิ้น ๕ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการลดก๊าซเรือนกระจกในโรงงานทอผ้า (๒) โครงการผลิตไฟฟ้าด้วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์ติดตั้งบนหลังคาโรงงาน (๓) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานของเครื่องปรับอากาศและตู้แช่เย็นในร้านสะดวกซื้อ (๔) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานของระบบโครงสร้างพื้นฐานภายในโรงงานผลิตอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำ และ (๕) โครงการติดตั้งระบบผลิตพลังงานร่วม (ไฟฟ้าและความร้อน) สำหรับโรงงานผลิตรถมอเตอร์ไซต์ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการดำเนินการเพื่อสนับสนุนการพัฒนากลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM) เพื่อส่งเสริมการลงทุนและการใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำในภาคอุตสาหกรรม
|
||||||||||||||||||||||||
21425 | ขยายระยะเวลาการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวในกิจการประมงทะเลและกิจการแปรรูปสัตว์น้ำ | รง | 02/02/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การขยายระยะเวลาการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ๑.๑.๑ กิจการประมงทะเล (เดิมสิ้นสุดวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๙ ขยายเวลาเป็น ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ดำเนินการถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙) โดยให้อยู่ในประเทศและทำงานได้ถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๐ ๑.๑.๒ กิจการแปรรูปสัตว์น้ำ (เดิมสิ้นสุดวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ขยายเวลาเป็น ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ดำเนินการถึงวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๙) โดยให้อยู่ในประเทศและทำงานได้ถึงวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ๑.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีออกประกาศกำหนดรายละเอียดให้ครอบคลุมการดำเนินการดังกล่าว ๑.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยแก้ไขประกาศกระทรวงมหาดไทยที่เกี่ยวข้องกับแรงงานต่างด้าวในกิจการประมงทะเลและกิจการแปรรูปสัตว์น้ำที่ยังมีผลใช้บังคับอยู่และที่จะออกประกาศใหม่ ให้แรงงานต่างด้าวที่อายุต่ำกว่า ๑๘ ปี อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อรอการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักรในฐานะผู้ติดตาม และให้สามารถเปลี่ยนนายจ้างไปทำงานอื่น ๆ ได้ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎกระทรวงของกระทรวงแรงงาน เนื่องจากกระทรวงแรงงานได้ออกกฎกระทรวงกำหนดสถานที่ที่ห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดปีทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๙ และกฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเล พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึ่งกำหนดให้แรงงานต่างด้าวที่อายุต่ำกว่า ๑๘ ปี ไม่สามารถทำงานในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่ประกอบกิจการเกี่ยวกับการแปรรูปสัตว์น้ำและทำงานในเรือประมงทะเล ๒. ยกเว้นกรณีที่ขอให้กระทรวงแรงงานพิจารณาระยะเวลาการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักร รวมทั้งปรับเปลี่ยนรายละเอียดการดำเนินการต่าง ๆ ในกรณีการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) ได้ตามความเหมาะสม นั้น ให้กระทรวงแรงงานนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ๔. ให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายที่ได้รับการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศในการประสานขอความร่วมมือประเทศต้นทางให้เร่งรัดการรับรองสัญชาติแรงงานต่างด้าวดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21426 | ขอสนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาอาชีพเกษตรกรตามความต้องการของชุมชนเพื่อบรรเทาภัยแล้งปี 2558/59 ระยะที่ 2 ครั้งที่ 1 | กษ | 02/02/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการตามแผนพัฒนาอาชีพเกษตรกรตามความต้องการของชุมชนเพื่อบรรเทาภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ระยะที่ ๒ ครั้งที่ ๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้ดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการฯ ภายในวงเงิน ๑,๘๑๔,๗๑๗,๘๗๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑,๖๕๙,๕๘๒,๔๗๐ บาท และปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ในวงเงิน ๑๕๕,๑๓๕,๔๐๐ บาท จำแนกเป็นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๖๖,๐๐๗,๕๐๐ บาท และกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๘๙,๑๒๗,๙๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายบริหารจัดการและส่งเสริมให้ความรู้เกษตรกรของโครงการตามแผนพัฒนาอาชีพเกษตรกรตามความต้องการของชุมชนเพื่อบรรเทาภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรรายงานผลสำเร็จของแต่ละกิจกรรมภายใต้โครงการฯ เป็นรายพื้นที่ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเป็นระยะ ๆ และควรติดตามดูแลและให้ความช่วยเหลือเกษตรกรอย่างใกล้ชิดในการจัดหาน้ำเพื่อการผลิตทางการเกษตร การจัดการด้านการผลิตที่เชื่อมโยงกับทางด้านการตลาดโดยใช้แนวทางการทำงานแบบประชารัฐมาบริหารจัดการ เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมในพื้นที่ รวมทั้งควรมีการรายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการอำนวยการบูรณาการแก้ไขปัญหาวิกฤตภัยแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ และเสนอคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการฯ จัดทำรายละเอียดแผนการดำเนินโครงการฯ โดยระบุกิจกรรม พื้นที่ดำเนินโครงการฯ และผลสัมฤทธิ์ให้มีความชัดเจน เป็นรูปธรรม สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนตามแนวทางประชารัฐ รวมทั้งให้ตรวจสอบและกลั่นกรองโครงการฯ ไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับโครงการตามมาตรการอื่น ๆ ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไปแล้ว เพื่อประกอบการขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๔. ให้ยกเว้นการดำเนินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง แนวทางการเสนอเรื่องงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรี) |
||||||||||||||||||||||||
21427 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้) (นายจำนัล เหมือนดำ) | นร52 | 02/02/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอน นายจำนัล เหมือนดำ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
21428 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) (จำนวน 3 ราย 1. นางสาวพัชนี กิจถาวร ฯลฯ) | กต | 02/02/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือน สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ในจำนวนนี้เป็นการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ จำนวน ๑ ราย ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับแล้ว ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวพัชนี กิจถาวร ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงดิลี สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ๒. นายสิงห์ทอง ลาภพิเศษพันธุ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก ๓. นายทรงพล สุขจันทร์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมยุโรป
|
||||||||||||||||||||||||
21429 | การขอปรับปรุงแก้ไของค์ประกอบของคณะกรรมการแห่งชาติในการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย (รวม 28 คน) | คค | 02/02/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการแห่งชาติในการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย ให้มีความถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ และเป็นปัจจุบัน โดยมีองค์ประกอบ รวม ๒๘ คน สำหรับอำนาจหน้าที่คงเดิม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยมีรายละเอียดการแก้ไของค์ประกอบ ดังนี้
๑. เปลี่ยน รองปลัดกระทรวงคมนาคม (หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านการขนส่ง) ประธานกรรมการ เป็น รองปลัดกระทรวงคมนาคม (ด้านอำนวยการ) ประธานกรรมการ ๒. เปลี่ยน อธิบดีกรมการบินพลเรือน รองประธานกรรมการ เป็น อธิบดีกรมท่าอากาศยาน รองประธานกรรมการ ๓. เพิ่ม ผู้แทนบริษัท ทีไอที จำกัด (มหาชน) เป็น กรรมการ ๔. เพิ่ม ผู้แทนสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เป็น กรรมการ ๕. เปลี่ยน ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการบิน กรมการบินพลเรือน กรรมการและเลขานุการ เป็น หัวหน้ากลุ่มงานค้นหาและช่วยเหลืออากาศยาน สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม กรรมการและเลขานุการ ๖. เปลี่ยน ผู้แทนสำนักกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ เป็น ผู้แทนสำนักกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม กรรมการ ๗. ยกเลิก นักวิชาการขนส่งชำนาญการพิเศษ กลุ่มค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือประสบภัย กรมการบินพลเรือน กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
|
||||||||||||||||||||||||
21430 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งพ้นจาก ตำแหน่งก่อนครบวาระ (นายธงรบ ด่านอำไพ) | ทก | 02/02/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายธงรบ ด่านอำไพ ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
21431 | การว่าจ้างองค์กรให้ดำเนินการเพื่อออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศใหม่ (AOC Re-certification) | คค | 02/02/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางการดำเนินการว่าจ้างบริษัท CAA International Limited (CAAi) สหราชอาณาจักร เพื่อออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศใหม่ (AOC Re-certification) โดยสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) จะดำเนินการจัดจ้างบริษัท CAAi เพื่อดำเนินการตามขอบเขตการดำเนินงานในระยะที่ ๑ (Phase 1-Full scale assistance for AOC re-certification) ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างผู้ตรวจสอบของบริษัท CAAi และผู้ตรวจสอบของ กพท. ที่มีคุณสมบัติและประสบการณ์ที่เหมาะสม และในขณะเดียวกัน จะมีการฝึกอบรมระหว่างปฏิบัติงาน (On-Job-Training) สำหรับผู้ตรวจสอบของ กพท. ที่ต้องการฝึกอบรมเพิ่มเติม ในกรอบวงเงิน ๓,๑๐๒,๔๙๓ ปอนด์ (ราคาไม่รวมภาษีทุกประเภท) โดยค่าจ้างจะจ่ายตามจำนวนวันทำงานที่เกิดขึ้นจริง และในการจัดจ้าง กพท. จะดำเนินการว่าจ้างโดยวิธีการพิเศษตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ แต่การทำสัญญาจะดำเนินการตาม Framework Agreement ซึ่ง กพท. จะประสานขอให้สำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการตรวจร่างเอกสารอีกครั้งก่อนลงนาม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการตามข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ดังนี้ ๒.๑ การบรรจุและการฝึกอบรมบุคลากร เพื่อทำหน้าที่ผู้ตรวจสอบความปลอดภัย (Inspector) ด้านการบินและด้านอื่น ๆ ให้กระทรวงคมนาคม โดย กพท. เร่งคัดสรร จัดจ้าง ฝึกอบรมบุคลากร (ทั้งพลเรือน ทหาร และผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ) เพื่อทำหน้าที่ผู้ตรวจสอบความปลอดภัยให้เพียงพอทุกด้าน ตามคำแนะนำขององค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศ เช่น International Civil Aviation Organization (ICAO) European Aviation Safety Agency (EASA) และ Federal Aviation Administration (FAA) เป็นต้น ๒.๒ การตรวจสอบ ประเมิน และออกใบรับรองให้สายการบิน (Re-certification) ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการทำ TOR ในการว่าจ้างที่ปรึกษา เพื่อดำเนินการตรวจสอบและออกใบรับรองใหม่ให้กับสายการบิน (Re-certification) รวมทั้งฝึกอบรมผู้ตรวจสอบของ กพท. ให้มีคุณสมบัติพร้อมที่จะดำเนินการในระยะต่อไป ๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการร่วมกับศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนและสำนักงบประมาณในการจัดทำแผนงาน และรายละเอียดการใช้งบประมาณเพื่อดำเนินการตามข้อ ๒.๑ และ ๒.๒ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในสัปดาห์หน้า
|
||||||||||||||||||||||||
21432 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 5/2559 เรื่อง มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ | สลธ.คสช. | 02/02/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๕/๒๕๕๙ เรื่อง มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการว่าให้นำคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าวใช้ประกอบการปรับย้าย และแต่งตั้งของทุกส่วนราชการในเดือนเมษายน ๒๕๕๙ สำหรับข้าราชการทหารและข้าราชการตำรวจให้กระทรวงกลาโหมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการตามกฎหมายของกระทรวงกลาโหมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนการดำเนินการของสำนักพระราชวังให้ดำเนินการตามธรรมเนียมปฏิบัติ
|
||||||||||||||||||||||||
21433 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | นร05 | 02/02/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป และให้เสนอข้อบทของความตกลงว่าด้วยธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย และร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจปฏิบัติการเกี่ยวกับธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||
21434 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 02/02/2559 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ดังนี้
๑. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีโดยเร็วในการนำแรงงานจากต่างประเทศในสาขาที่ไทยขาดแคลนมาทำงานในประเทศ เช่น แรงงานประมงจากประเทศเวียดนามและกัมพูชา ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการจัดให้มีระบบติดตามตรวจสอบมิให้ผู้ขับขี่รถโดยสารสาธารณะขับขี่เกินระยะเวลาที่กำหนด ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการติดตั้งระบบดังกล่าวในรถโดยสารสาธารณะที่จดทะเบียนใหม่ สำหรับรถโดยสารสาธารณะที่จดทะเบียนก่อนหน้าที่จะมีการบังคับใช้กฎหมายให้ทยอยติดตั้งต่อไป รวมทั้งพิจารณาความเป็นไปได้ในการสนับสนุนแหล่งเงินกู้ให้แก่ผู้ประกอบการสำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวในรถโดยสารสาธารณะที่จดทะเบียนก่อนหน้าที่จะมีการบังคับใช้กฎหมายด้วย และให้รายงานความคืบหน้าต่อนายกรัฐมนตรีภายใน ๑ เดือน ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณาปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐให้เหมาะสมและสามารถสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานให้บรรลุเป้าหมายของนโยบายรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และโปร่งใส ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๔.๑ จัดทำรายงานภาพรวมการให้ทุนการศึกษาและทุนวิจัยของประเทศทั้งหมดในช่วงที่ผ่านมา ในทุกระดับการศึกษา ทั้งในส่วนทุนภายในประเทศและทุนจากต่างประเทศ ๔.๒ จัดทำแผนการให้ทุนการศึกษาและทุนวิจัยของประเทศในระยะต่อไปในทุกระดับการศึกษาให้สอดคล้องกับกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี รวมทั้งความต้องการบุคลากร องค์ความรู้ และทักษะที่จำเป็นของภาคราชการและภาคเอกชน โดยให้จัดทำแผนดังกล่าวเป็น ๒ ระยะ ให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล และตามกรอบระยะเวลายุทธศาสตร์ชาติ เพื่อนำไปบรรจุไว้ในแผนปฏิรูปประเทศเพื่อให้รัฐบาลชุดต่อไปที่จะเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๕. ให้กระทรวงการคลังชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนถึงกระบวนการการแก้ไขปัญหาหนี้สินที่ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินของรัฐได้ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน เช่น การเจรจาประนอมหนี้ และการปรับโครงสร้างหนี้ เป็นต้น ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นหนึ่งในช่องทางการแก้ไขปัญหาตามแนวทางประชารัฐ
|
||||||||||||||||||||||||
21435 | ภารกิจการเข้าร่วมงานส่งเสริมการขายการท่องเที่ยวตลาดยุโรปและการประชุมการท่องเที่ยวอาเซียนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา | กก | 02/02/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานผลการเข้าร่วมงานส่งเสริมการขายการท่องเที่ยวตลาดยุโรป ในวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ ณ กรุงมาดริด ราชอาณาจักรสเปน และการประชุมการท่องเที่ยวอาเซียน (ASEAN Tourism Forum : ATF 2016) ในวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ การเข้าร่วมงานส่งเสริมการขายการท่องเที่ยวตลาดยุโรป ได้สร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการในงาน Networking Lunch เพื่อให้ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับหนึ่งในเอเชียของชาวสเปน และได้นำเสนอสินค้าทางการท่องเที่ยวใหม่ ๆ ซึ่งเป็นตลาดนักท่องเที่ยว Hi-End เช่น ๑๒ เมืองต้องห้าม...พลาด “พลัส” และประชุมร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการท่องเที่ยวใหญ่ของประเทศสเปน (Confederation Espanola de Agencias de Viajes : CEAV) เกี่ยวกับการเตรียมการจัดประชุมประจำปีสมาชิกผู้ประกอบการท่องเที่ยวและผู้นำทางความคิดของสเปน (CEAV Congress 2016) ณ จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณการท่องเที่ยวทางภาคเหนือของประเทศไทย ๑.๒ การประชุมการท่องเที่ยวอาเซียน มีประเด็นสำคัญ ได้แก่ (๑) ยุทธศาสตร์การพัฒนาการท่องเที่ยวอาเซียน ฉบับที่ ๒ (ปี ๒๐๑๖-๒๐๒๕) เพื่อสร้างการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพบนอัตลักษณ์และตัวตนของแต่ละประเทศ สร้างการท่องเที่ยวที่มีความรับผิดชอบยั่งยืนและกระจายรายได้บนความสมดุลของรายได้ประชาคมและสิ่งแวดล้อม (๒) โครงการอาเซียน ๕๐ ปี ได้ใช้โอกาสในการฉลอง ๕๐ ปีอาเซียนในปี ๒๐๑๗ โดยเปิดตัวการท่องเที่ยวเชื่อมโยงในอาเซียน Single Tourism Destination เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน สร้างมาตรฐานการท่องเที่ยวอาเซียน โดยการมอบรางวัลสถานประกอบการมาตรฐานอาเซียน และอาเซียนโฮมสเตย์อาวอร์ด (๓) การลงนามบันทึกความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างอาเซียนกับจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ และเจรจาความร่วมมือระหว่างอาเซียนและประเทศอินเดีย และ (๔) การประชุมทวิภาคีกับ ๔ ประเทศ ได้แก่ ราชอาณาจักรกัมพูชาเกี่ยวกับการพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวเชื่อมโยง ไทย-กัมพูชา ทั้งทางบกและทางน้ำ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาเกี่ยวกับการจัดทำความตกลงด้านการท่องเที่ยวและการลงทุนสร้างโรงแรมและพัฒนาการท่องเที่ยวร่วมกันที่หมู่เกาะในเมืองมะริด และแหล่งท่องเที่ยวภูเขาที่มีหิมะในรัฐว้า สาธารณรัฐประชาชนจีนเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนในช่วงเทศกาลตรุษจีน และสาธารณรัฐฟิลิปปินส์เกี่ยวกับการพัฒนาการท่องเที่ยวเชื่อมโยงทางเรือสำราญและการท่องเที่ยวเพื่อแลกเปลี่ยนของกลุ่มเยาวชนร่วมกัน ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดทำแผนการส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยระยะสั้น ให้จัดทำข้อมูลพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวจำแนกตามภูมิภาคในลักษณะของภาพหรือกราฟิกเพื่อการสื่อสาร (Infographics) โดยมีรายละเอียดต่าง ๆ เช่น แหล่งท่องเที่ยว สถานที่พัก ข้อควรระวังเกี่ยวกับการเดินทาง เป็นต้น และให้เสนอคณะรัฐมนตรีทราบก่อนประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนต่อไป สำหรับระยะยาว ให้จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อใช้เป็นแนวทางการดำเนินการของหน่วยงาน พร้อมทั้งจัดทำสรุปผลการดำเนินงานที่ผ่านมาเพื่อเตรียมส่งต่อให้รัฐบาลชุดต่อไป ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และภาคเอกชนในการบูรณาการทำงานร่วมกัน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในแต่ละภูมิภาคให้เกิดการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมและมีความยั่งยืนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21436 | ข้อคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี | นร04 | 02/02/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรายงานข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนี้
๑. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รายงานว่า กรุงเทพมหานครได้ดำเนินการลงนามในสัญญาโครงการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กและประตูระบายน้ำ คลองลาดพร้าว คลองบางบัว คลองถนน คลองสอง และคลองบางซื่อ เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยจะเริ่มก่อสร้างประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ และรัฐบาลจะพัฒนาพื้นที่ตามแนวริมเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กดังกล่าวเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยต่อไป สำหรับโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ระหว่างการออกแบบก่อสร้าง โดยกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินการโครงการฯ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการดำเนินการก่อสร้างอย่างต่อเนื่องต่อไป ๒. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รายงานผลการติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนว่า การจัดซื้อจัดจ้างของส่วนราชการและจังหวัดในพื้นที่พบว่าการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์โดยวิธี e-Bidding ในหลายกรณีมีปัญหาดำเนินงานไม่แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา ดังนั้น จึงควรมีการประเมินความเหมาะสมและความคุ้มค่าของการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยวิธีดังกล่าว และผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนได้เสนอโครงการเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community : AC) ได้แก่ (๑) การพัฒนาท่าอากาศยานจังหวัดเลยเป็นสนามบินศุลกากร (๒) การพัฒนา/ขยายขีดความสามารถของท่าอากาศยานจังหวัดขอนแก่น (๓) การพัฒนาระบบขนส่งทางถนนเพื่อเชื่อมโยงจังหวัดนครพนม สกลนคร และมุกดาหาร รวมทั้งเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านด้วย ๓. รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) รายงานว่า เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับพร้อมคณะได้เข้าพบและหารือเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้การดำเนินมาตรการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนไม่บรรลุผลอย่างเต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากขาดความจริงจังในการบังคับใช้กฎหมายและขาดความร่วมมือจากผู้ขับขี่ ในปัจจุบันสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนของไทยสูงเป็นอันดับ ๒ ของโลก จึงควรดำเนินมาตรการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด โดยเฉพาะมาตรการยึดรถของผู้ขับขี่ที่เมาแล้วขับ ซึ่งเป็นมาตรการที่นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนและนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ได้ผลอย่างชัดเจนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๔. รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานผลการติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างว่า ข้าราชการและประชาชนในพื้นที่มีความเข้าใจและให้ความร่วมมือในการดำเนินการตามมาตรการบรรเทาปัญหาภัยแล้งของรัฐบาลเป็นอย่างดี เช่น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกพืชโดยใช้น้ำน้อย การขุดลอกคูคลอง เป็นต้น ๕. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรายงานว่า เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานที่มีงบประมาณของตนเองจำนวนหนึ่งที่สามารถนำมาใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในบางเรื่องได้ เช่น การเพิ่มความต้องการของส่วนราชการในการใช้ยางพารา เป็นต้น ดังนั้น รัฐบาลจึงควรขอความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการพิจารณาใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลที่มีการใช้ส่วนประกอบจากยางพารา เช่น การก่อสร้างสนามกีฬาหรือสนามเด็กเล่น เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
21437 | การประชุมคณะรัฐมนตรี (วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559) | นร | 02/02/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีรายงานว่า นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำสหรัฐอเมริกา-อาเซียน (The US-ASEAN Leaders Summit) ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ดังนั้น
๑. ในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) จะทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมแทน ทั้งนี้ ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๑๙/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๘ เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนกัน ๒. กรณีที่ส่วนราชการมีเรื่องเร่งด่วนที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีให้ส่งเรื่องให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายในวันพุธที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
|
||||||||||||||||||||||||
21438 | การอนุมัติวงเงินลงทุนในการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเซียในส่วนของประเทศไทย | กษ | 02/02/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ และให้เสนอข้อบทของความตกลงว่าด้วยธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย และร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจปฏิบัติการเกี่ยวกับธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||
21439 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ | นร08 | 02/02/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายวีระ อุไรรัตน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
21440 | รายงานการศึกษาผลกระทบของการกำหนดมาตรฐานเวลาอาเซียนต่อประเทศไทย | วท | 26/01/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการศึกษาผลกระทบของการกำหนดมาตรฐานเวลาอาเซียนต่อประเทศไทย ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาผลกระทบเกี่ยวกับการกำหนดมาตรฐานเวลาอาเซียน โดยมีปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธาน ผู้แทนจากภาครัฐและภาคเอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผลกระทบของการกำหนดมาตรฐานเวลาอาเซียนต่อประเทศไทย เป็นคณะทำงาน ทำหน้าที่จัดทำรายงานการศึกษาผลกระทบที่ประเทศไทยจะได้รับจากการกำหนดมาตรฐานเวลาอาเซียนและจัดทำข้อเสนอแนวทางที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศและสอดคล้องกับหลักสากล ๒. คณะทำงานพิจารณาผลกระทบเกี่ยวกับการกำหนดมาตรฐานเวลาอาเซียนได้มีการประชุมและมีมติกเห็นชอบรายงานการศึกษาผลกระทบของการกำหนดมาตรฐานเวลาอาเซียนต่อประเทศไทย ครอบคลุมผลกระทบ ๕ ด้าน ได้แก่ สังคม เศรษฐกิจ เทคนิค สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงปลอดภัย ไม่ปรากฏผลกระทบเชิงบวกที่ชัดเจน แต่พบข้อมูลเชิงประจักษ์เกี่ยวกับผลกระทบในเชิงลบที่ชัดเจนในทุกมิติ จากการส่งแบบสอบถามไปยังหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผลกระทบของการปรับเวลามาตรฐานของประเทศไทย และจากการสุ่มตัวอย่างของประชาชนในกลุ่มอาชีพต่าง ๆ สรุปได้ว่า การปรับเวลามาตรฐานจะส่งผลกระทบต่อประเด็นความปลอดภัยและอาชญากรรมในช่วงเวลาที่ยังไม่มีแสงสว่างในช่วงเช้ามากที่สุด การปรับเวลามาตรฐานจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย ความปลอดภัยในการเดินทางในช่วงเช้าที่ยังไม่มีแสงอาทิตย์ และส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงาน นอกจากนี้ จากกรณีศึกษาผลกระทบของมาตรฐานเวลาในกรณีการรวมกลุ่มในสหภาพยุโรปแสดงให้เห็นว่า แม้ว่าสหภาพยุโรปจะประกอบไปด้วยเขตเวลาที่แตกต่างกัน แต่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของภูมิภาคสามารถดำเนินการไปได้ด้วยดี โดยไม่จำเป็นต้องมีกำหนดมาตรฐานเวลาร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก ๓. หากจะมีการเปลี่ยนแปลงภาคเวลาของเวลามาตรฐานประเทศไทยต้องดำเนินการผ่านกระบวนการทางรัฐสภา เนื่องจากการใช้เวลามาตรฐานประเทศไทยที่กำหนดให้เร็วกว่าเวลาที่เมืองกรีนิช ๗ ชั่วโมง เป็นเวลาที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ พระราชทานให้แก่ปวงชนชาวไทย ตามพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ออกเป็นพระราชกฤษฎีกาตั้งแต่วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๔๖๒
|
.....