ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1071 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 21401 - 21420 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21401 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนประกันสังคม สำนักงานประกันสังคม สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2557 | รง | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนประกันสังคม สำนักงานประกันสังคม สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะทางการเงิน งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน และงบกระแสเงินสด ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรับรองแล้ว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
21402 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 5/2558 | กค | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบความก้าวหน้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ มาตรการเร่งรัดการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ๒. มอบหมายกระทรวงคมนาคม ๒.๑ รับไปพิจารณากำหนดแนวทางการขับเคลื่อนโครงการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งตามแนวเส้นทางพัฒนาเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Corridor) โดยเฉพาะโครงข่ายถนนเชื่อมโยงจากจังหวัดกาญจนบุรีไปยังเมียนมา และนำเสนอที่ประชุมในโอกาสต่อไป ๒.๒ จัดลำดับความสำคัญของโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จะต้องนำเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) ต่อคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมพิจารณา เพื่อให้การพิจารณาโครงการสามารถแล้วเสร็จตามกำหนด ๓. มอบหมายสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ๓.๑ หารือกับสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติเกี่ยวกับการประเมินเพื่อจัดระดับกองทุนหมู่บ้านให้สอดคล้องกับสถานการณ์ล่าสุด รวมทั้งพิจารณาแนวทางการประเมินผลเพื่อยกระดับกองทุนที่มีศักยภาพจากระดับ C เป็นระดับ B ด้วย ๓.๒ มีหนังสือถึงธนาคารกรุงไทยเพื่อติดตามความก้าวหน้าในการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุน เพื่อร่วมลงทุนในส่วนของทุนกับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (SMEs) กลุ่มเป้าหมาย ๔. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานครเป็นผู้รับลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางมาตรการใหม่ และมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมประสานกระทรวงมหาดไทยเพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางมาตรการใหม่ได้ภายในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ และในอนาคตเมื่อกระทรวงการคลังจัดทำระบบ E-payment แล้วเสร็จก็จะสามารถรองรับและเชื่อมต่อกับข้อมูลทะเบียนผู้มีรายได้น้อยของกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ๕. ที่ประชุมมีมติให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ได้แก่ มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ มาตรการเร่งรัดการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และโครงการสร้างความข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสสวนยาง ให้ถือเป็นมาตรการที่อยู่ภายใต้การขับเคลื่อนของคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ โดยให้มีการติดตามความคืบหน้า ปัยหาอุปสรรค เพื่อรายงานต่อที่ประชุมทุกเดือน พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบ
|
|||||||||||||||||||||||||||
21403 | ผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 23 การประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 27 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กต | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๓ การประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๗ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ และมอบหมายหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องตามผลการประชุมดังกล่าวดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๓ ประเด็นที่ต้องดำเนินการ ได้แก่ การสนับสนุนการค้าระบบพหุภาคี การดำเนินการตามเป้าหมายโบกอร์ การสร้างเศรษฐกิจที่ครอบคลุม การบ่มเพาะวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย เพื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตลาดภูมิภาคและตลาดโลก การสร้างชุมชนที่ยั่งยืนและยืดหยุ่น การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ การส่งเสริมวาระการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจภูมิภาค และการเสริมสร้างความร่วมมือภายในกรอบเอเปค และระหว่างเอเปคกับองค์กรระหว่างประเทศอื่น ๑.๒ การประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๗ ประเด็นที่ต้องดำเนินการ ได้แก่ การสนับสนุนการค้าระบบพหุภาคี การดำเนินการตามเป้าหมายโบกอร์ ยุทธศาสตร์เอเปคเพื่อเสริมสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพ การต่อต้านการคอร์รัปชัน กรอบความร่วมมือภาคบริการเอเปค การส่งเสริมการบูรณาการของเศรษฐกิจในภูมิภาค การบ่มเพาะวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ การสร้างสังคมที่ยั่งยืนและสามารถปรับตัวต่อความท้าทาย และการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของ APEC ในฐานะองค์กร ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับประเด็นการลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อม ๕๔ รายการ (ที่พิกัดศุลกากร ระดับ ๖ หลัก) ให้เหลือไม่เกินร้อยละ ๕ ภายในปี ๒๕๕๘ มีสินค้าบางรายการที่พิจารณาไม่ปรับลดอัตราภาษีลงเหลือร้อยละ ๕ เนื่องจากสินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของเครื่องจักรที่ครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภท ซึ่งไม่มีความชัดเจนว่าเป็นสินค้าสิ่งแวดล้อมหรือไม่ และเห็นควรปรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ครอบคลุมกับการดำเนินงานในหัวข้อการส่งเสริมการบูรณาการของเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยเพิ่มกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงแรงงาน ในการติดตามและให้ความเห็นต่อการศึกษาเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน-แปซิฟิก เพิ่มหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการค้าบริการในการดำเนินการส่งเสริมการดำเนินการภายใต้กรอบความร่วมมือภาคบริการของเอเปค และติดตามผลการดำเนินการจัดทำแนวทางการแข่งขันภาคบริการเอเปค ๒๐๑๖ (APEC Services Competitiveness Roadmap in 2016) รวมทั้งมอบสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำ TiVA Database ให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๐๑๘ สำหรับหัวข้อการสร้างชุมชนที่ยั่งยืนและยืดหยุ่น ประเด็นการรับมือการขยายตัวของเมืองในข้อ ๗ หน่วยงานหลัก คือ กระทรวงพลังงาน และการแก้ไขตารางสรุปการติดตามผลการหารือของนายกรัฐมนตรีกับผู้นำเขตเศรษฐกิจต่าง ๆ ระหว่างการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๓ ในส่วนของประเทศรัสเซีย ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามข้อ ๑๑ การผลักดันบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติให้เป็นรูปธรรม ให้แก้ไขหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจาก สำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ เป็น สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
21404 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย - เมียนมา เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง (JHC) ครั้งที่ 5 และผลการประชุมสามฝ่ายอย่างเป็นทางการระหว่างไทย - เมียนมา - ญี่ปุ่น เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง | นร11 | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมา เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง (JHC) ครั้งที่ ๕ และผลการประชุมสามฝ่ายอย่างเป็นทางการระหว่างไทย-เมียนมา-ญี่ปุ่น เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงเทพมหานคร และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการตามมติที่ประชุมต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธาน JHC เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สาระสำคัญของการประชุม JHC ครั้งที่ ๕ ได้แก่ (๑) รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานตามเงื่อนไขสัญญาสัมปทานโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายระยะแรก (๒) รับทราบแนวนโยบายการใช้เงินบาทเป็นสกุลเงินในการทำธุรกรรมการค้าการลงทุน และการให้บริการทางการเงินในเขตเศรษฐกิจพิเศษของเมียนมา (๓) รับทราบความก้าวหน้าการเข้ามามีส่วนร่วมของประเทศญี่ปุ่น (๔) เห็นชอบแนวทางการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายในระยะต่อไป (๕) รับทราบความพร้อมของไทยในการสนับสนุนความเชื่อมโยงทางคมนาคม และความประสงค์ของกระทรวงพลังงานในการร่วมพัฒนาระบบไฟฟ้าเชื่อมโยงพื้นที่ชายแดนไทย-เขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย (๖) รับทราบการรวมโครงการสถานีรับก๊าซธรรมชาติ (LNG Terminal) ในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายระยะแรก โดยกระทรวงพาณิชย์จะสนับสนุนโครงการดังกล่าวเพื่อเชื่อมโยงระบบท่อส่งก๊าซสู่ประเทศไทย และ (๗) เห็นชอบในเบื้องต้นให้จัดการประชุม JHC ครั้งต่อไปในปี ๒๕๕๙ ที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ๒. สาระสำคัญของการประชุมสามฝ่ายอย่างเป็นทางการระหว่างไทย-เมียนมา-ญี่ปุ่น เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (๑) รับทราบสรุปประเด็นจากการประชุม JHC ครั้งที่ ๕ (๒) รับทราบการเข้าร่วมทุนในนิติบุคคลเฉพาะกิจ (SPV) ของฝ่ายญี่ปุ่นผ่านธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) (๓) รับทราบความก้าวหน้าโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายระยะแรก (๔) รับทราบแนวทางความร่วมมือเพื่อนำแผนแม่บทการพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายสู่การปฏิบัติ และ (๕) รับทราบให้มีการหารือในรายละเอียดในระยะต่อไป เพื่อพิจารณากรอบความร่วมมือทางเทคนิคจากฝ่ายญี่ปุ่น |
|||||||||||||||||||||||||||
21405 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก ครั้งที่ 3/2558 | นร11 | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก ครั้งที่ ๓/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๘ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกเสนอ โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำดิบสำหรับผลิตประปาระยอง ปี ๒๕๕๙ โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว และมอบหมายให้การประปาส่วนภูมิภาคร่วมกับบริษัท ยูนิเวอร์แซล ยูทีลิตี้ส์ จำกัด (มหาชน) (UU) (ผู้ผลิตน้ำประปาจังหวัดระยอง) กรมชลประทาน และบริษัท East Water พิจารณาความเหมาะสมของทางเลือกแหล่งน้ำดิบสำหรับผลิตประปาภายใน ๓ สัปดาห์ และรายงานความก้าวหน้าให้ฝ่ายเลขานุการ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกพิจารณาต่อไป ๒. มอบหมายการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและกรมโรงงานอุตสาหกรรมจัดส่งรายงานข้อมูลผลตรวจวัดการระบายสารอินทรีย์ระเหยง่ายให้กรมควบคุมมลพิษ และให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและกรมโรงงานอุตสาหกรรมกำกับดูแลตรวจสอบและควบคุมโรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ปล่อยสาร ๑,๒-ไดคลอโรอีเทน อย่างเข้มงวดและรายงานผลการดำเนินงานต่อกรมควบคุมมลพิษและคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก รวมทั้งให้จังหวัดระยองพิจารณาแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อทำหน้าที่ติดตามตรวจสอบการแก้ไขปัญหาสารอินทรีย์ระเหยง่ายในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง ๓. รับทราบผลการดำเนินการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก ได้แก่ แผนงานพัฒนาเส้นทางรถบรรทุกในทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองในพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (ปี ๒๕๕๖-๒๕๗๙) แผนบูรณาการการขนส่งสินค้าในพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๔ เป็นต้นไป) ความก้าวหน้าโครงการเร่งด่วนภายใต้แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร และสถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดระยองและชลบุรี |
|||||||||||||||||||||||||||
21406 | รายงานผลการจัดทำสัญญาซื้อขายผลิตภัณฑ์ยาง | กษ | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้การยางแห่งประเทศไทยนำเรื่อง รายงานผลการจัดทำสัญญาซื้อขายผลิตภัณฑ์ยาง เสนอคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทยก่อนดำเนินการต่อไป โดยการยางแห่งประเทศไทยได้ลงนามในสัญญาซื้อขายผลิตภัณฑ์ยางกับคู่ค้าฝ่ายจีน SINOCHEM เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๘ ณ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพมหานคร สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สินค้าที่ทำการซื้อขาย เป็นยางที่ผลิตไม่เกิน ๓ เดือนนับจากวันที่ได้ทำสัญญา ปริมาณซื้อขาย จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ ตัน เป็นยางแผ่นรมควันชั้น ๓ (RSS 3) จำนวน ๑๕๐,๐๐๐ ตัน ยางแท่ง (STR 20) จำนวน ๕๐,๐๐๐ ตัน ๒. ราคายาง RSS 3 เป็นราคา F.O.B. เฉลี่ยย้อนหลัง ๒ เดือน ๓. ราคายางแท่ง STR 20 เป็นราคา F.O.B. เฉลี่ยย้อนหลัง ๒ เดือน ๔. ท่าเรือส่งมอบ ได้แก่ ท่าเรือแหลมฉบัง ชลบุรี ท่าเรือสงขลา และท่าเรือปีนัง มาเลเซีย ๕. คุณภาพสินค้า ร้อยละ ๙๐ เป็นยางที่ผลิตจากผู้ผลิตชั้นนำของประเทศไทยโดยผู้ซื้อเป็นผู้เลือก และยาง RSS 3 ร้อยละ ๑๐ ผลิตจากสถาบันเกษตรกรที่ผ่านมาตรฐาน GMP ยางแท่ง STR 20 ร้อยละ ๑๐ ผลิตจากโรงงานของการยางแห่งประเทศไทย ๖. การตรวจคุณภาพ ผู้ซื้อผู้ขายร่วมกันตรวจคุณภาพก่อนส่งมอบ ๗. ขั้นตอนการสั่งซื้อ ปริมาณการสั่งซื้อครั้งละ ๑๖,๖๖๗ ตัน บวกลบได้ร้อยละ ๒๐ จำนวน ๑๒ ครั้ง ส่งมอบยางครั้งแรกเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ ๘. การชำระเงิน เงื่อนไขการชำระเงิน L/C ๔๕ วัน ๙. อื่น ๆ กรณีมีข้อโต้แย้ง หากทั้งสองฝ่ายเจรจาตกลงเองไม่ได้ ใช้ Singapore International Arbitration Center เป็นคนกลาง และสัญญานี้อยู่ภายใต้กฎหมาย English law
|
|||||||||||||||||||||||||||
21407 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปีบัญชี 2557 | กค | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปีบัญชี ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประเมินผลฯ ประจำปีบัญชี ๒๕๕๗ ของรัฐวิสาหกิจในระบบประเมินผลฯ ตามระบบปัจจุบัน พบว่า รัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ การกีฬาแห่งประเทศไทย ๓.๗๗๓๕ คะแนน บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ๓.๕๙๖๕ คะแนน และองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ๓.๕๗๑๒ คะแนน สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินต่ำสุด ๓ อันดับสุดท้าย ได้แก่ องค์การตลาด ๑.๙๔๐๗ คะแนน องค์การสะพานปลา ๒.๒๙๘๔ คะแนน และการรถไฟแห่งประเทศไทย ๒.๔๗๐๔ คะแนน โดยมีระดับคะแนนเฉลี่ยในภาพรวมอยู่ที่ ๓.๐๑๕๙ คะแนน ลดลง ๐.๐๑๕๓ คะแนน เมื่อเทียบกับปีบัญชี ๒๕๕๖ ซึ่งมีระดับคะแนนเฉลี่ย ๓.๐๓๑๒ คะแนน เนื่องจากผลการดำเนินการตามนโยบายของรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ๒. การประเมินผลฯ ประจำปีบัญชี ๒๕๕๗ ของรัฐวิสาหกิจในระบบประเมินผลฯ ตามระบบประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Performance Appraisal : SEPA) พบว่า รัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ ธนาคารออมสิน ๔.๘๔๘๓ คะแนน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ๔.๘๒๗๘ คะแนน และการประปานครหลวง ๔.๗๑๙๑ คะแนน สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินต่ำสุด ๓ อันดับสุดท้าย ได้แก่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ๒.๔๕๗๖ คะแนน บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ๒.๗๐๒๒ คะแนน และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ๒.๗๖๗๒ คะแนน โดยมีระดับคะแนนเฉลี่ยในภาพรวมอยู่ที่ ๓.๘๘๔๔ คะแนน ลดลง ๐.๑๘๐๘ คะแนน เมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๖ ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ย ๔.๐๖๕๒ คะแนน เนื่องจากการดำเนินงานด้านผลลัพธ์ของรัฐวิสาหกิจหลายแห่งไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||
21408 | ร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ตช | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ในส่วนขององค์ประกอบคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ และคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ที่ถูกยกเลิกตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๘๘/๒๕๕๗ รวมทั้งแก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัย โดยกำหนดให้อำนาจผู้บังคับบัญชาสามารถดำเนินการวินัยแก่ข้าราชการตำรวจที่ออกจากราชการไปแล้ว ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับประเด็นกรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือคณะกรรมการ ป.ป.ท. ชี้มูลความผิดภายหลังที่ข้าราชการตำรวจผู้นั้นพ้นจากราชการไปแล้ว ผู้บังคับบัญชาไม่อาจดำเนินการตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือคณะกรรมการ ป.ป.ท. ชี้มูลได้ ซึ่งทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันระหว่างกฎหมายขององค์กรตรวจสอบกฎหมายกับกฎหมายของข้าราชการตำรวจ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
21409 | ร่างพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. .... | สธ | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับองค์ประกอบของคณะกรรมการวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท การขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับวัตถุออกฤทธิ์ หน้าที่ของผู้รับอนุญาต หน้าที่ของเภสัชกร การโฆษณาและอำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมทั้งเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับด่านตรวจสอบวัตถุออกฤทธิ์และการให้โอกาสแก่ผู้เสพ เสพและมีไว้ครอบครอง เสพและมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย หรือเสพและขายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ ได้สมัครใจเข้ารับการบำบัดรักษาในสถานพยาบาล ตลอดจนปรับปรุงบทกำหนดโทษและอัตราค่าธรรมเนียมให้เหมาะสมยิ่งขึ้น แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
21410 | ร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... | พณ | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้า ในการดูแลให้มีการแข่งขันทางการค้าที่มีความเป็นอิสระ และปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการดูแล และส่งเสริมการประกอบธุรกิจให้มีการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม เสมอภาคเท่าเทียมกัน ครอบคลุมในทุกประเภทธุรกิจตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าให้มีการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม โดยกระทรวงพาณิชย์ใช้กลไกปกติของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าดำเนินการไปก่อน และทบทวนความเหมาะสมของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าให้มีความสอดคล้องกันด้วย ส่วนการจัดตั้งสำนักงานฯ เป็นหน่วยงานของรัฐที่เป็นอิสระ มีฐานะเป็นนิติบุคคล ให้พิจารณาในระยะต่อไปตามความจำเป็น และให้รับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานอัยการสูงสุด ที่เห็นควรมีกติกาเพื่อกำหนดให้มีการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมและคุ้มครองผู้บริโภคในการบริโภคสินค้าและบริการ รวมทั้งลดการแทรกแซงของรัฐบาล ดังนั้น องค์กรที่กำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าที่ทำหน้าที่เป็นองค์กรผู้ตรวจสอบจึงควรมีอิสระในการดำเนินงาน ไม่อยู่ใต้อำนาจฝ่ายบริหาร การกำหนดบทนิยาม “รัฐวิสาหกิจ” ตามมาตรา ๕ ของพระราชบัญญัติฯ ให้มีความชัดเจน และกำหนดกรอบระยะเวลาเพื่อรองรับการเตรียมการของรัฐวิสาหกิจให้เพียงพอต่อการปฏิบัติตามกฎหมายการกำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหายต่อคณะกรรมการฯ ให้ชัดเจนเพื่อรองรับเฉพาะคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย การกำหนดให้นำกฎหมายว่าด้วยวิธีการปฏิบัติราชการทางปกครองมาใช้บังคับโดยอนุโลมให้ครอบคลุมหน้าที่ของคณะกรรมการในกรณีอื่น ๆ ด้วย อาทิ การออกระเบียบ ประกาศ หลักเกณฑ์ สำหรับกรณีบทเฉพาะกาลของพระราชบัญญัติฯ ว่าสามารถนำข้อบัญญัติในพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์การสั่งให้ข้าราชการไปทำการซึ่งให้นับเวลาระหว่างนั้นเหมือนเต็มเวลาราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ได้ หากประสงค์จะให้คงบทบัญญัติทั้งสองข้อไว้ ก็ควรกำหนดเวลาเฉพาะในช่วงแรกของการจัดตั้งสำนักงานเพื่อมิให้เกิดบทเฉพาะกาลแบบถาวร รวมทั้งการตัดโอนภารกิจด้านการกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าและสำนักส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าซึ่งเป็นส่วนราชการเทียบเท่ากองไปกำหนดไว้ในสำนักงานฯ เพื่อมิให้โครงการการแบ่งส่วนราชการซ้ำซ้อนกัน และเห็นว่าคณะกรรมการฯ เป็นผู้มีอำนาจทางบริหารไม่ควรมีอำนาจในการพิจารณาลดหย่อนโทษปรับ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประสานคณะทำงานร่วม รัฐ-เอกชน-ประชาชน (ประชารัฐ) ฝ่ายกฎหมาย เพื่อรวบรวมความเห็นขององค์กรภาคเอกชนเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ แล้วส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเชิญหน่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมชี้แจงในการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ. อาทิ การมีกติกาเพื่อกำหนดให้มีการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมและคุ้มครองผู้บริโภคในการบริโภคสินค้าและบริการ รวมทั้งลดการแทรกแซงของรัฐบาล ดังนั้น องค์กรที่กำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าที่ทำหน้าที่เป็นองค์กรผู้ตรวจสอบจึงควรมีอิสระในการดำเนินงาน ไม่อยู่ใต้อำนาจฝ่ายบริหาร การให้ความสำคัญกับการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อเป็นกลไกในการช่วยตรวจสอบความโปร่งใสและกำกับดูแลการแข่งขันที่เป็นธรรม การสนับสนุนการสร้างและพัฒนาบุคลากรขององค์กรในด้านทักษะและความรู้ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายและประเด็นการแข่งขันทางการค้าอย่างต่อเนื่อง สำหรับกรณีบทเฉพาะกาลของพระราชบัญญัติฯ ว่าสามารถนำข้อบัญญัติในพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์การสั่งให้ข้าราชการทำการซึ่งให้นับเวลาระหว่างนั้นเหมือนเต็มเวลาราชการ พ.ศ.๒๕๕๐ ได้ อย่างไรก็ตาม หากประสงค์จะให้คงบทบัญญัติทั้งสองข้อไว้ ก็ควรกำหนดเวลาเฉพาะในช่วงแรกของการจัดตั้งสำนักงานเพื่อมิให้เกิดบทเฉพาะกาลแบบถาวร ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
21411 | รายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยภายใต้กลไก Universal Periodic Review รอบที่ 2 | กต | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความคืบหน้าของการจัดทำรายงานประเทศตามกลไก Universal Periodic Review (UPR) รอบที่ ๒ และสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดผลักดันประเด็นคั่งค้างให้แล้วเสร็จก่อนการนำเสนอรายงานในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ โดยกระทรวงการต่างประเทศได้ยกร่างรายงานประเทศฯ โดยประมวลจากข้อมูลที่ได้รับจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจัดการประชุมคณะกรรมการกำกับดูแลการจัดทำรายงานประเทศและติดตามการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะภายใต้กลไก UPR ของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Human Rights Council-HRC) กระบวนการจัดทำรายงานประเทศฯ เน้นการมีส่วนร่วมของส่วนราชการ ผู้ทรงคุณวุฒิ และภาคประชาสังคม ถือเป็นจุดแข็งของไทยตั้งแต่ UPR รอบที่ ๑ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับวิธีการจัดทำรายงานที่เน้นการสร้างความตระหนักรู้และการมีส่วนร่วม การดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชน การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม สิทธิของกลุ่ม (เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ กลุ่มชาติพันธุ์ ผู้หนีภัย และผู้แสวงหาที่พักพิง) สิ่งท้าทาย การแก้ไขปัญหา ทิศทางในอนาคต และการปฏิรูปประเทศเพื่อประชาธิปไตยและการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งการเร่งรัดผลักดันประเด็นที่คั่งค้างให้แล้วเสร็จ ๑.๒ เห็นชอบต่อร่างรายงานประเทศฯ รอบที่ ๒ และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศรายงานให้ HRC ภายในวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ โดยอนุญาตให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาปรับถ้อยคำในร่างรายงานภาษาอังกฤษให้มีจำนวนคำตามที่ HRC กำหนด โดยไม่กระทบต่อสาระสำคัญของร่างรายงานดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงแรงงานที่ขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรายงานประเทศฯ รอบที่ ๒ ในส่วนของการลงนามในบันทึกความเข้าใจกับเวียดนาม ขอให้ใช้ถ้อยคำที่สมบูรณ์ถูกต้องว่า “อีกทั้งได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MOU) และบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงาน (Agreement) กับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ และได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MOU) และบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงาน (Agreement) กับราชอาณาจักรกัมพูชา เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๕๘” ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
21412 | ขออนุมัติร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ พาณิชยกรรม อุตสาหกรรม วิชาการ เกษตรกรรม และวิทยาศาสตร์ ไทย - อิหร่าน ครั้งที่ 9 | กต | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ พาณิชยกรรม อุตสาหกรรม วิชาการ เกษตรกรรม และวิทยาศาสตร์ ไทย-อิหร่าน ครั้งที่ ๙ (Draft Agreed Minutes of the 9th Meeting of the Joint Commission on Economic, Commercial, Industrial, Technical, Agricultural and Scientific Cooperation between the Islamic Republic of Iran and the Kingdom of Thailand) ระหว่างสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านกับราชอาณาจักรไทย มีสาระสำคัญเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือทวิภาคีที่ทั้งสองประเทศได้ดำเนินการร่วมกันไว้ ประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะแก้ไข พัฒนาและ/หรือผลักดันให้เกิดความคืบหน้า เพื่อประโยชน์ของการดำเนินความสัมพันธ์ โดยมีประเด็นหลักที่หยิบยกขึ้นหารือระหว่างการประชุมเตรียมการในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ได้แก่ ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน พลังงาน การท่องเที่ยว วัฒนธรรม การศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในเอกสารผลลัพธ์การประชุมดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ขอปรับข้อความบางประการในร่างเอกสารผลลัพธ์ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
21413 | ความคืบหน้าการสมัครขอรับเป็นเจ้าภาพจัดงาน ITU Telecom World 2016 | ทก | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าการสมัครขอรับเป็นเจ้าภาพจัดงาน ITU Telecom World 2016 กำหนดการและสถานที่ในการจัดงานในวันที่ ๑๔-๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแจ้งว่า สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศได้ตอบรับให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานแล้ว กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจึงได้แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาร่างความตกลงในการเป็นเจ้าภาพจัดงาน ITU Telecom World 2016 ขึ้น เพื่อพิจารณาร่างความตกลงดังกล่าว ส่วนเรื่องงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการ ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติได้มีมติอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี ประจำปี ๒๕๕๘ จำนวน ๓๐๐ ล้านบาท ไปดำเนินการ โดยมีเงื่อนไขว่าเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารขอรับการสนับสนุนงบประมาณแล้ว ให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาตินำเสนอคณะอนุกรรมการพิจารณางบประมาณของสำนักงาน คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนนำเสนอที่ประชุมพิจารณาอีกครั้ง ๒. เห็นชอบการขอรับสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพร่วมจัดงาน ITU Telecom World 2016 โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) และสำนักงบประมาณ เพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐติดตามการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวให้เกิดความโปร่งใสและเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ๓. เห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อเตรียมการจัดงาน ITU Telecom World 2016 โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นรองประธานกรรมการ และประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นรองประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นกรรมการและเลขานุการ และเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม ๔. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรนำนโยบายสำคัญของรัฐบาลในเรื่องการพัฒนางานด้านดิจิทัลของไทยเผยแพร่และชักจูงต่อนักลงทุนต่างประเทศอีกทางหนึ่งด้วย โดยให้คำนึงถึงความประหยัด และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งประโยชน์ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
21414 | ขอความเห็นชอบในการยกเลิกโครงการเงินกู้เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 | ทส | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในการยกเลิกโครงการเงินกู้เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ ๒ จำนวน ๒ รายการ วงเงินรวม ๑๗.๓๖ ล้านบาท ประกอบด้วย รายการอนุรักษ์ฟื้นฟูหนองปลิง บ้านหนองแหน หมู่ที่ ๑ ตำบลนครเดิฐ อำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย วงเงิน ๗.๕๐ ล้านบาท และรายการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำบ้านหัวควน ตำบลน้ำผุด อำเภอละงู จังหวัดสตูล วงเงิน ๙.๘๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นว่าหน่วยงานเจ้าของโครงการควรพิจารณาความจำเป็นและความซ้ำซ้อนในการดำเนินโครงการก่อนเสนอขออนุมัติดำเนินโครงการในโอกาสต่อไป ส่วนวงเงินของรายการดังกล่าวที่ได้รับจัดสรรจากสำนักงบประมาณแล้ว จำนวน ๑๓.๒๙ ล้านบาท เห็นควรให้กรมทรัพยากรน้ำประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินการส่งคืนเงินงวดที่ได้รับจัดสรรแล้วต่อไป และให้กรมทรัพยากรน้ำประสานกับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และกรมบัญชีกลางเกี่ยวกับการส่งคืนเงินกู้ตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ถูกต้องครบถ้วน สำหรับรายการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำบ้านหัวควนฯ จังหวัดสตูล หากยังมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการต่อ เพื่อประโยชน์แก่ทางราชการและประชาชน ก็สมควรเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการขอใช้พื้นที่ราชพัสดุโดยด่วน และขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับรายการดังกล่าวตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
21415 | ขออนุมัติโครงการเพิ่มเติมภายใต้กรอบโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2558 ของกรมทางหลวงชนบท | คค | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติโครงการเพิ่มเติมภายใต้กรอบโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๓๙ รายการ ของกรมทางหลวงชนบท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ภายในกรอบวงเงิน ๔๕๑.๘๒ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการและใช้จ่ายเงินกู้ ให้กรมทางหลวงชนบทปฏิบัติตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ และหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินกู้ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างเคร่งครัด และเร่งดำเนินการขอรับจัดสรรวงเงินกู้กับสำนักงบประมาณโดยเร็ว รวมถึงเร่งรัดดำเนินการโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนการดำเนินงานภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๙ และให้ความสำคัญกับการจ้างงานและการใช้วัสดุภายในพื้นที่ พร้อมทั้งเร่งดำเนินการเบิกจ่ายโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนฯ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาการนำยางพารามาใช้เป็นส่วนผสมในการดำเนินการโครงการดังกล่าวด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
21416 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้และดอกเบี้ยที่จะครบกำหนดในปีงบประมาณ 2559 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อนำไปชำระคืนเงินต้นเงินกู้และดอกเบี้ยที่ถึงกำหนดในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพิ่มเติม จำนวน ๑๐,๔๔๒.๔๐๐ ล้านบาท และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงิน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการเร่งพิจารณาหาแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สินของ ขสมก. ในระยะยาว เพื่อให้ ขสมก. สามารถดำเนินกิจการที่เป็นการให้บริการสาธารณะประโยชน์แก่ประชาชนตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งองค์กรต่อไปได้ การกำกับดูแลให้ ขสมก. ดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้ให้ความเห็นชอบให้แล้วเสร็จตามแผนที่วางไว้และเห็นผลเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการดำเนินการที่สามารถช่วยสร้างรายได้และลดภาระค่าใช้จ่ายองค์กร ได้แก่ การจัดรถโดยสารทดแทน การจำหน่ายทรัพย์สินที่ไม่มีความจำเป็น และการบริหารจัดการลูกหนี้ของ ขสมก. เป็นต้น การดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาระยะสั้น (Quick Win) ในการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายที่สามารถดำเนินการได้เองทันทีที่มีกำหนดเวลาแล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ การเร่งปรับปรุงการบริหารจัดการภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาของ ขสมก. ในระยะยาวอย่างยั่งยืน และไม่ให้เป็นภาระงบประมาณภาครัฐต่อไป รวมทั้งการบรรจุแผนการกู้เงินจำนวนดังกล่าวไว้ในการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามนัยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังดำเนินการเร่งพิจารณาหาแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สินของ ขสมก. ในระยะยาวต่อไป ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
21417 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการโครงการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์เจดีย์วิชาการเฉลิมพระเกียรติฯ ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย | ศธ | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการโครงการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์เจดีย์วิชาการเฉลิมพระเกียรติฯ จากวงเงิน ๑๖๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นเงิน ๑๗๙,๑๕๐,๐๐๐ บาท เป็นกรณีเฉพาะราย ตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยค่าก่อสร้างส่วนที่เหลือ จำนวน ๘๙,๐๕๐,๐๐๐ บาท ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๖ จำนวน ๕๐,๙๖๙,๘๐๐ บาท ซึ่งได้กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีแล้ว ส่วนที่ขาดอีกจำนวน ๓๘,๐๘๐,๒๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้มีการกำกับ ติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งให้พิจารณาใช้สิทธิของผู้ว่าจ้างภายหลังบอกเลิกสัญญาเพื่อเรียกค่าเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากกรณีที่ผู้รับจ้างรายเดิมไม่สามารถก่อสร้างอาคารให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาตามสัญญาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
21418 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2558 (ครั้งที่ 5) | พน | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบนโยบายการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าของประเทศไทย ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๓ ตามที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเสนอ และมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน และมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยไปลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ ร่วมกับผู้ลงทุน เมื่อผ่านการพิจารณาจากอัยการสูงสุดแล้ว และเห็นชอบในหลักการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยสามารถปรับปรุงเงื่อนไขในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในชั้นการจัดทำร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ จะต้องไม่กระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้า ๓. เห็นชอบแนวทางการดำเนินการเพื่อขายไฟฟ้าให้กับประเทศเพื่อนบ้านผ่านการเชื่อมโยงระบบส่งไฟฟ้า ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเสนอ ๔. เห็นชอบตามความเห็นของกระทรวงพลังงานเกี่ยวกับการขยายระยะเวลากำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์สำหรับการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) การประกาศรับข้อเสนอขอขายไฟฟ้า FiT แบบ Competitive Bidding การทบทวนปริมาณรับซื้อไฟฟ้ารายพื้นที่ใหม่ รวมทั้งการปรับปรุงการจัดลำดับความสำคัญการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานร่วมกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานสามารถพิจารณาปรับปรุงแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ตามความเหมาะสม ยกเว้นเฉพาะเรื่องอัตรารับซื้อไฟฟ้า FiT ที่หากจะมีการเปลี่ยนแปลงจะต้องนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ๕. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๔๙ (ครั้งที่ ๑๐๖) เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๔๙ และเห็นชอบตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเสนอเกี่ยวกับการปรับปรุงการมอบอำนาจในการดำเนินคดีทางปกครอง |
|||||||||||||||||||||||||||
21419 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดียว่าด้วยความร่วมมือในการควบคุมยาเสพติด วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ และการใช้ยาในทางที่ผิด | ยธ | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดีย ว่าด้วยความร่วมมือในการควบคุมยาเสพติด วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ และการใช้ยาในทางที่ผิด มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดกรอบความร่วมมือในภาพกว้างระบุขอบเขตความร่วมมือร่วมกันในทุกมาตรการ ทั้งด้านการลดอุปสงค์และอุปทานของยาเสพติด การบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด การตรวจพิสูจน์ยาเสพติด การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางวิชาการ รวมถึงวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดของทั้งสองประเทศ ได้แก่ การควบคุมเคมีภัณฑ์และสารตั้งต้น และการควบคุมการปลูกพืชฝิ่นอย่างถูกกฎหมายจากฝ่ายอินเดีย และความรู้ด้านการพัฒนาทางเลือกจากฝ่ายไทย ๑.๒ อนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในฐานะหัวหน้าหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของไทย เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ฝ่ายไทย ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ นายณรงค์ รัตนานุกูล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของไทย ไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงยุติธรรมสามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
21420 | ขออนุมัติการดำเนินงานและงบประมาณ "โครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2560 - 2579)" | นร62 | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) เพื่อดำเนินการผลิตนักวิจัยระดับปริญญาเอก จำนวน ๑๒,๓๙๐ คน และงบประมาณตลอดโครงการ จำนวน ๓๔,๓๘๐ ล้านบาท ในระยะเวลา ๒๐ ปี เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๖๐-๒๕๗๙ ตามที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยเสนอ ๒. ให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการของโครงการฯ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศทั้ง ๑๐ ประเภท และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๙ (การกำหนดทุนให้ตรงกับความต้องการของประเทศโดยเฉพาะในสาขาวิชาที่ขาดแคลนและจัดสัดส่วนทุนให้เหมาะสมระหว่างทุนการศึกษาปกติและทุนการศึกษาพิเศษ) รวมทั้งให้จัดทำแนวทางติดตามประเมินผลโครงการเป็นรายปี/ภาพรวม แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาพิจารณาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโครงการ ๓. ให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาเกี่ยวกับการพิจารณาให้โครงการมีความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศและตอบสนองต่อโจทย์ปัญหาและทิศทางการพัฒนาของประเทศให้ชัดเจนขึ้น การบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่ให้ทุน ในประเด็นจำนวนทุนและสาขาทุนเพื่อให้เกิดความสอดคล้องของข้อเสนอโครงการของทุกแหล่งทุนของรัฐบาล การมีกลไกผลักดันและสนับสนุนให้บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาสร้างเครือข่ายการทำวิจัยร่วมกันเพื่อนำความรู้ในหลากหลายสาขามาแก้โจทย์ปัญหาของประเทศ และสร้างความสามารถในระยะยาวให้กับภาคการผลิตและบริการ โดยเฉพาะในกลุ่ม ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต การกำหนดยุทธศาสตร์ในการสรรหานักเรียนและนักศึกษาที่มีคุณภาพสูงเข้ารับทุน การนำผลงานการวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม สามารถนำไปต่อยอดเพื่อเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน การนำข้อมูลผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการในระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๓๙-๒๕๕๙) ไปศึกษาวิเคราะห์เพื่อกำหนดจำนวนทุนในการขอรับจัดสรรงบประมาณ ตลอดจนนโยบายและแนวทางการบริหารจัดการทุน โดยเฉพาะควรมีมาตรการในการสรรหาผู้รับทุนให้ครบตามจำนวนทุนที่กำหนด ตลอดจนการดูแลให้ผู้รับทุนสำเร็จการศึกษา/วิจัย ตามโครงการที่กำหนด การผลักดันให้มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่ร่วมโครงการ จัดเตรียม/พัฒนาหลักสูตรรองรับการดำเนินโครงการ การกำหนดมาตรการสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดประเด็นการวิจัยที่สามารถตอบสนองความต้องการทั้งในเชิงพาณิชย์ เชิงสังคม และการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างแท้จริง การติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง และจัดทำข้อมูลโครงการ และผู้รับทุนอย่างเป็นระบบ การสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและภาคีการพัฒนาในการกำหนดโจทย์และการทำวิจัยเพื่อให้สามารถผลิตผลงานวิจัยที่ตอบสนองความต้องการทั้งในเชิงพาณิชย์ เชิงสังคม และการพัฒนาเชิงพื้นที่ รวมทั้งจัดทำคลังข้อมูลนักวิจัยที่ได้รับทุนโดยระบุสาขาเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน สถานที่ทำงานอย่างเป็นระบบ เพื่อสามารถระดมความรู้และศักยภาพในการวิจัยและสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....