ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 116 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2301 - 2320 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2301 | รายงานผลการลงนามในบันทึกความเข้าใจในการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย | กค | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการลงนามในบันทึกความเข้าใจในการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank : AIIB) โดยเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ณ เรือนรับรองรัฐบาลเตียวหยู่ไถ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นการลงนามล่วงหน้าร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมาเลเซียและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังฟิลิปปินส์ ส่วนพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ อย่างเป็นทางการ จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ ณ หอประชุม The Great Hall of People กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน มีประเทศสมาชิกส่งผู้แทนเข้าร่วมพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ จำนวน ๒๑ ประเทศ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้มอบหมายให้อัครราชทูตไทยประจำกรุงปักกิ่ง (นางอุรีรัชต์ รัตนพฤกษ์) เป็นผู้แทนประเทศไทยในพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ อย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ ภายหลังจากพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ อย่างเป็นทางการ ได้มีการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศที่สนใจเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง AIIB โดยที่ประชุมได้หารือกลไกและแผนการก่อตั้ง AIIB ซึ่งจะดำเนินการผ่านการประชุมหารือระหว่างผู้เจรจาหลัก (Chief Negotiator) ที่ได้รับการแต่งตั้งจากประเทศสมาชิก รวมทั้งได้เห็นชอบให้จีนเป็นผู้นำในการจัดตั้งคณะทำงานระหว่างประเทศเพื่อทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการของที่ประชุมผู้เจรจาหลัก และเห็นชอบให้นาย Jin Liqun อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของจีนทำหน้าที่เลขาธิการคณะทำงานระหว่างประเทศดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||
2302 | ยุทธศาสตร์ความเป็นหุ้นส่วนระดับประเทศ ฉบับที่ 2 ระหว่างประเทศไทยและธนาคารพัฒนาเอเชีย สำหรับปี 2556 - 2559 | กค | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบยุทธศาสตร์ความเป็นหุ้นส่วนระดับประเทศ (Country Partnership Strategy : CPS) ฉบับที่ ๒ ระหว่างประเทศไทยและธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) สำหรับปี ๒๕๕๖-๒๕๕๙ จัดทำขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อให้ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและ ADB นำไปสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและรายได้ต่อหัวที่เพิ่มขึ้น (การเติบโตและขีดความสามารถในการแข่งขัน) ลดความยากจน ปรับปรุงการกระจายรายได้ และลดช่องว่างทางเศรษฐกิจ (การเติบโตแบบองค์รวม) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (การเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม) บริการภาครัฐที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใส (หลักธรรมาภิบาลที่ดี) และปรับปรุงการเชื่อมโยงภายในอาเซียน (ความร่วมมือระดับภูมิภาค) ซึ่งจะเน้นความร่วมมือ ๓ ด้านหลัก ได้แก่ (๑) การพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรม (Knowledge Advancement and Innovation) (๒) การพัฒนาภาคเอกชน (Private Sector Development) และ (๓) ความร่วมมือและการรวมตัวในระดับภูมิภาค (Regional Cooperation and Integration : RCI) โดยผ่านแผนงานที่ ADB จะให้การสนับสนุนใน ๔ แนวสาขา ได้แก่ สาขาการขนส่งและเทคโนโลยีสารสนเทศ สาขาการเงิน สาขาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และสาขาพลังงาน ทั้งนี้ มีการผนวกการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ หลักธรรมาภิบาลที่ดี และความเท่าเทียมกันระหว่างชาย-หญิง ให้เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติการและกิจกรรมของ ADB ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
2303 | รายงานผลการดำเนินงาน เรื่อง การแก้ไขปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง | กค | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงาน เรื่อง การแก้ไขปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ประเด็นการปรับปรุงระยะเวลาในขั้นตอนต่าง ๆ ในกระบวนการ e-Auction ให้มีความกระชับและสอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริง ๑.๑.๑ การอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ กรณีที่ปรากฏว่ามีผู้มีสิทธิเสนอราคาเพียงรายเดียว หรือมีผู้เสนอราคาเพียงรายเดียว เมื่อถึงเวลาเริ่มการเสนอราคา โดยปกติให้หัวหน้าหน่วยงานยกเลิกการประกวดราคาในครั้งนั้น แต่ถ้าคณะกรรมการประกวดราคาเห็นว่ามีเหตุผลสมควรที่จะดำเนินการต่อไป โดยไม่ต้องยกเลิกการประกวดราคา ก็ให้คณะกรรมการฯ ต่อรองราคากับผู้มีสิทธิเสนอราคารายนั้นแล้วเสนอหัวหน้าหน่วยงานพิจารณาต่อไป โดยไม่ต้องเริ่มดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างใหม่ ๑.๑.๒ ซักซ้อมความเข้าใจการปฏิบัติตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๔๙ และอนุมัติการดำเนินการจัดหาพัสดุด้วยวิธีการอื่นได้ โดยหากการจัดหาพัสดุครั้งนั้น เป็นการจัดหาในเรื่องการจ้างที่ปรึกษา การจ้างออกแบบและควบคุมงาน การซื้อการจ้างโดยวิธีพิเศษและวิธีกรณีพิเศษ หรือหากพัสดุที่จัดหาครั้งนั้นมีการแข่งขันน้อยราย มีความซับซ้อนหรือเทคนิคเฉพาะ เป็นสินค้าและบริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีประเภทระบบ IT ที่มีลักษณะเฉพาะ เป็นสินค้าที่มีความผันผวนทางด้านราคา หากหน่วยงานได้ดำเนินการจัดหาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ไปแล้ว ไม่ว่าอยู่ในขั้นตอนใด ต่อมายกเลิกการดำเนินการทั้งหมด หรือบางรายการ แล้วจัดหาใหม่ หน่วยงานสามารถดำเนินการจัดหาด้วยวิธีการอื่นได้โดยไม่ต้องขออนุมัติต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพ.อ.) แต่อย่างใด ๑.๑.๓ การเพิ่มความคล่องตัวในการปฏิบัติตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๔๙ หน่วยงานภาครัฐที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์ผลการพิจารณาคัดเลือกเบื้องต้นตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๔๙ ข้อ ๙ (๓) หรือการพิจารณาผู้มีสิทธิเสนอราคาอุทธรณ์ผลการพิจารณาการเสนอราคาตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๔๙ ข้อ ๑๐ (๕) หน่วยงานสามารถดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปได้โดยไม่ต้องระงับการดำเนินการ ๑.๒ ประเด็นการพิจารณาปรับปรุงเกี่ยวกับการประกวดราคากลางสำหรับกรณีการจัดซื้ออุปกรณ์ทางเทคนิคจากภายนอกประเทศที่ผลิตเพื่อใช้งานเป็นการเฉพาะ หากสินค้าหรือบริการใดสามารถกำหนดราคากลางได้ ก็ให้นำราคานั้นมาเป็นราคากลางของสินค้าหรือบริการดังกล่าว แต่หากสินค้าหรือบริการใดไม่สามารถกำหนดราคากลางได้ก็ให้พิจารณาราคากลางที่นำมาอ้างอิงนั้น อาจเป็นราคาที่ได้จากการคำนวณราคาของพัสดุให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง พร้อมทั้งเหตุผลที่สามารถอธิบายถึงที่มาของราคานั้นได้ ก็ย่อมถือว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาที่สามารถกำหนดเป็นราคากลางได้ สำหรับกรณีที่หน่วยงานสืบราคาจากท้องตลาดมากได้มากกว่า ๑ ราย จะต้องใช้ราคาต่ำ ราคาสูง หรือราคาที่เฉลี่ยเพื่อประกาศเป็นราคากลางนั้น อยู่ที่เหตุผลของหน่วยงานที่จะนำมาประกอบการใช้ดุลยพินิจในการตัดสินใจว่าจะใช้ราคาใดเป็นราคากลาง ๑.๓ ประเด็นกรณีการตรวจสอบการเทียบเคียงอำนาจในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างของผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการเหล่าทัพ และเสนอแนวทางการปรับปรุงให้มีความเหมาะสมแก่ระดับความรับผิดชอบและสภาพข้อเท็จจริง ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๙ กำหนดให้ผู้มีอำนาจดำเนินการตามระเบียบนี้จะมอบอำนาจเป็นหนังสือให้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งใดก็ได้ โดยให้คำนึงถึงระดับ ตำแหน่ง หน้าที่ และความรับผิดชอบของผู้ที่จะได้รับมอบอำนาจเป็นสำคัญ กระทรวงกลาโหมจึงสามารถพิจารณามอบอำนาจได้ตามนัยหลักการดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.) อยู่ระหว่างดำเนินการแก้ไขระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งมีการแก้ไขในส่วนที่เกี่ยวข้องกับวงเงินในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบันด้วยแล้ว ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย (นายวิษณุ เครืองาม) กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงแนวปฏิบัติในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้ได้มาซึ่งพัสดุหรืองานจ้างที่ตรงตามวัตถุประสงค์ของการจัดซื้อจัดจ้างและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการ และเป็นไปตามหลักการประหยัด โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยไม่เกิดการทุจริต รวมทั้งสอดคล้องกับความต้องการ ความจำเป็น ในระยะยาวของหน่วยงานนั้น ๆ ด้วย ทั้งนี้ ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างควรมีคณะกรรมการของหน่วยงานที่ทำหน้าที่พิจารณากำหนดความต้องการในการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานในระยะยาวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
2304 | รายงานความเห็นเกี่ยวกับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดยบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ | กค | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความเห็นเกี่ยวกับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดยบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือบริษัท Moody’s Investors Service (Moody’s) และบริษัท Standard and Poor’s (S&P’s) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความเห็นเกี่ยวกับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย Moody’s เห็นว่าปัจจุบันประเทศไทยมีอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวสกุลเงินตราต่างประเทศที่ระดับ Baa1 อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะสั้นสกุลเงินตราต่างประเทศที่ระดับ P-2 และมีแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับมีเสถียรภาพ ส่วน S&P’s ยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวสกุลเงินตราต่างประเทศที่ระดับ BBB+ และยืนยันมุมมองอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) ตามเดิม ๒. ปัจจัยสนับสนุนต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย Moody’s และ S&P’s เห็นว่า เกิดจากภาคต่างประเทศของประเทศไทยที่แข็งแกร่งโดยการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศอยู่ในระดับสูง มีสภาพคล่องที่เป็นเงินตราต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ความแข็งแกร่งขององค์กรภาครัฐที่อยู่ในระดับสูง ภาคการคลังที่แข็งแกร่งโดยมีหนี้ของรัฐบาลอยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมทั้งนโยบายการเงินที่เชื่อถือได้ ๓. ปัจจัยที่อาจมีผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของไทยในระยะต่อไป Moody’s และ S&P’s เห็นว่า เกิดจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจและเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล การเป็นประเทศที่มีระดับรายได้ต่อหัวต่ำ การเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะและภาระการคลังซ่อนเร้น ความอ่อนแอด้านธรรมาภิบาล โดยเฉพาะปัญหาการคอร์รัปชัน ๔. ประเด็นที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือติดตามอย่างใกล้ชิด โดยประเด็นที่ Moody’s ติดตามอย่างใกล้ชิด คือ ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ และการพัฒนาการทางด้านการคลังที่สำคัญ ส่วนประเด็นที่ S&P’s ติดตามอย่างใกล้ชิด คือ หากตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจหรือการคลังถดถอยลงเกินกว่าที่ S&P’s ประมาณการไว้ในช่วง ๗ ปีที่ผ่านมา อาจส่งผลให้ S&P’s ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย หรือปรับมุมมองความน่าเชื่อถือจากมีเสถียรภาพเป็นลบได้ รวมทั้งหากผู้นำทางการเมืองทุกกลุ่มสามารถสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นได้จะช่วยส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในที่สุด
|
||||||||||||||||||||||||
2305 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 2 ราย 1. นายนริศ ชัยสูตร 2. จักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล) | กค | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายนริศ ชัยสูตร ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมธนารักษ์
|
||||||||||||||||||||||||
2306 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗) เป็นต้นไป และให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งแทนอยู่ในตำแหน่งตามวาระของผู้ซึ่งตนแทน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายโอภาส กลั่นบุศย์ กรรมการ ผู้แทนกรมส่งเสริมสหกรณ์ แทนนายจุมพล สงวนสิน ๒. นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ กรรมการ แทนนายธนรัชต์ วิเชียรรัตน์ ที่ขอลาออก
|
||||||||||||||||||||||||
2307 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (แทนตำแหน่งที่ว่างลง รวม 3 ตำแหน่ง) | กค | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ รวม ๓ คน แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระเนื่องจากมีอายุครบ ๗๐ ปีบริบูรณ์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รองศาสตราจารย์วรากรณ์ สามโกเศศ เป็นประธานกรรมการ ๒. รองศาสตราจารย์ปาริชาติ วลัยเสถียร เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการประเมินผล ๓. รองศาสตราจารย์นภาภรณ์ หะวานนท์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการประเมินผล
|
||||||||||||||||||||||||
2308 | มาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม | กค | 23/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายเพื่อปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) ๑.๒ ขอแก้ไขหนังสือกระทรวงการคลัง ลับ ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๗๒๖/ล ๒๕๑๓ ลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ หน้า ๓ ข้อ ๖.๑ จาก “... และการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน ๓๐ ล้านบาท จากอัตราร้อยละ ๒๐ ของกำไรสุทธิ เป็นร้อยละ ๑๕ ของกำไรสุทธิ” เป็น “... และการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน ๓๐ ล้านบาท สำหรับช่วงกำไรสุทธิเกิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท จากอัตราร้อยละ ๒๐ ของกำไรสุทธิ เป็นร้อยละ ๑๕ ของกำไรสุทธิ” ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้กำหนดให้ใช้บังคับตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไป แต่โดยที่ขณะนี้ใกล้สิ้นปี ๒๕๕๗ แล้ว หากดำเนินการเพื่อให้ร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้มีผลใช้บังคับไม่ทันตามที่กำหนดดังกล่าว อาจต้องกำหนดให้มีผลใช้บังคับย้อนหลังซึ่งเรื่องในลักษณะนี้เคยดำเนินการมาแล้วกับมาตรการทางภาษีในเรื่องอื่น ๆ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
2309 | การแต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียน (จำนวน 12 คน) | กค | 23/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. ให้ยกเลิกคณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียนชุดเดิมที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ๒. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ ดังนี้ ๒.๑ องค์ประกอบของคณะกรรมการฯ จำนวน ๑๒ คน ประกอบด้วยปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการ ก.พ. เลขาธิการ ก.พ.ร. เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา อธิบดีกรมบัญชีกลาง นายวิสุทธิ์ มนตริวัต นายศานิต ร่างน้อย นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ เป็นกรรมการ ผู้อำนวยการกองกำกับและพัฒนาระบบเงินนอกงบประมาณ เป็นกรรมการและเลขานุการ และเจ้าหน้าที่กองกำกับและพัฒนาระบบเงินนอกงบประมาณ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ ๒.๒ อำนาจหน้าที่ ๒.๒.๑ พิจารณากลั่นกรองการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียน โดยรวมถึงทุนหมุนเวียนที่จัดตั้งขึ้นโดยบทบัญญัติของกฎหมายเฉพาะเพื่อการนั้นด้วย ๒.๒.๒ พิจารณาให้ความเห็นชอบหลักเกณฑ์การจัดตั้งทุนหมุนเวียนตามที่กระทรวงการคลังกำหนด ๒.๒.๓ นำเสนอความเห็นการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียน ประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ๒.๒.๔ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานสนับสนุนการดำเนินการของคณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียน ๒.๒.๕ ดำเนินการอื่นใดตามที่ได้รับมอบหมาย
|
||||||||||||||||||||||||
2310 | รายงานการรับเงินปันผลจากการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชียของรัฐบาลไทย | กค | 23/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการรับเงินปันผลจากการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชียของรัฐบาลไทย โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. ประเทศไทยได้ลงนามในความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชียระหว่างประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอกชนเพื่อร่วมเป็นสมาชิก เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๒๐ และบรรษัทได้มีการก่อตั้งเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๒๒ แต่เนื่องจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยของประเทศไทยปี ๒๕๕๔ ทำให้บรรษัทประสบภาวะขาดทุนอย่างมากในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัทประกันวินาศภัยไทย จึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนเพื่อรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนจากเหตุการณ์ดังกล่าว ๒. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ อนุมัติในหลักการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชียโดยรัฐบาลไทย จำนวน ๓.๑๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (ประมาณ ๑๐๒ ล้านบาท) และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๖ เห็นชอบในหลักการซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพิ่มเติมของบรรษัท จำนวน ๖.๘๒๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้ครบ ๑๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามเจตนารมณ์ในการเพิ่มทุนของรัฐบาลไทย ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้โอนให้แก่บรรษัทแล้ว และเนื่องจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในการเพิ่มทุนครั้งที่ ๑ การเพิ่มทุนจำนวน ๖.๘๒๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต้องใช้เงินทั้งสิ้น ๒๒๔,๙๘๙,๕๖๐ บาท จึงยังคงค้างเงินที่ต้องชำระให้แก่บรรษัท จำนวน ๕,๙๘๙,๕๖๐ บาท โดยเงินจำนวนดังกล่าวได้รับการอนุมัติเงินจากงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อชำระเงินให้แก่บรรษัทแล้ว ๓. ต่อมาบรรษัทได้มีหนังสือมายังกระทรวงการคลังเพื่อให้ยืนยันการรับเงินปันผลของรัฐบาลไทย อัตราร้อยละ ๓ ของจำนวนหุ้น Class B ซึ่งกระทรวงการคลังได้รับเงินปันผลจากการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบรรษัทสำหรับการถือหุ้นในปี ๒๕๕๖ แล้วในรูปแบบเงินสด จำนวน ๙๕,๓๔๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ๓,๐๘๘,๐๖๒ บาท และจะนำส่งเงินดังกล่าวเป็นรายได้แผ่นดิน ทั้งนี้ จำนวนการถือหุ้นไม่มีผลต่อสิทธิในการออกเสียงของประเทศสมาชิก ซึ่งทุกประเทศจะมีเพียง ๑ สิทธิเท่านั้น ไม่ว่าจะมีจำนวนหุ้นเท่าใด
|
||||||||||||||||||||||||
2311 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2558 ครั้งที่ 1 | กค | 23/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ครั้งที่ ๑ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้น ๙๖,๕๕๗.๗๒ ล้านบาท จากเดิม ๑,๒๕๕,๑๑๖.๐๘ ล้านบาท เป็น ๑,๓๕๑,๖๗๓.๘๐ ล้านบาท ๑.๒ การกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุน และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ๒. รับทราบการปรับปรุงแผนบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ครั้งที่ ๑ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้น ๑๔,๑๘๖.๓๔ ล้านบาท จากเดิม ๑๔๑,๓๒๐.๙๗ ล้านบาท เป็น ๑๕๕,๕๐๗.๓๑ ล้านบาท |
||||||||||||||||||||||||
2312 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดความเสียหายที่จะให้ได้รับค่าเสียหายเบื้องต้น จำนวนเงินค่าเสียหายเบื้องต้น การร้องขอรับและการจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 23/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดความเสียหายที่จะให้ได้รับค่าเสียหายเบื้องต้น จำนวนเงินค่าเสียหายเบื้องต้น การร้องขอรับและการจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่กระทรวงการคลังได้แก้ไขปรับปรุงจากร่างที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปรับปรุงวงเงินค่ารักษาพยาบาลของผู้ประสบภัยจากรถในส่วนของค่าเสียหายเบื้องต้นกรณีความเสียหายต่อร่างกายตามกฎกระทรวงกำหนดความเสียหายที่จะให้ได้รับค่าเสียหายเบื้องต้น จำนวนเงินค่าเสียหายเบื้องต้น การร้องขอรับ และการจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้น พ.ศ. ๒๕๕๒ เพิ่มจากจำนวนเงินไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ บาทต่อคน เป็นจำนวนเงินไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาทต่อคน โดยให้ได้รับเงินค่าเสียหายเบื้องต้นรวมกันแล้วต้องไม่เกิน ๖๕,๐๐๐ บาท และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
2313 | มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศและมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งบริษัทการค้าระหว่างประเทศ | กค | 23/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ) และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งบริษัทการค้าระหว่างประเทศ) เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายในการปรับปรุงอัตราภาษี เพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศและมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งบริษัทการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ [เรื่อง แนวทางการส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ (International Headquarter : IHQ) และบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (International Trading Centers : ITC)] ๑.๒ ขอแก้ไขหนังสือกระทรวงการคลัง ลับ ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๗๒๖/ล ๒๕๐๙ ลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ หน้า ๖ โดยตัดข้อความในส่วนของผลกระทบตามข้อ ๕.๑ และข้อ ๕.๖ ออก ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ) และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งบริษัทการค้าระหว่างประเทศ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
2314 | ขอขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อส่งเสริมผู้ประกอบอาชีพให้บริการรถสาธารณะในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย | กค | 16/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อส่งเสริมผู้ประกอบอาชีพให้บริการรถสาธารณะในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ออกไปถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ เป็นครั้งสุดท้าย และให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยรายงานความคืบหน้าของการดำเนินโครงการฯ เป็นรายไตรมาสให้กระทรวงการคลังได้รับทราบและใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดนโยบายและมาตรการในการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. สำหรับเรื่องงบประมาณให้กระทรวงการคลัง โดยธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณในการขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและประธานกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เห็นควรติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการฯ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาทบทวนมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลให้สามารถครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2315 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2557 ณ วันที่ 30 กันยายน 2557 | กค | 16/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ยอดหนี้สาธารณะคงค้างของประเทศ จำนวน ๕,๖๙๐,๘๑๔.๑๕ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๗.๑๘ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ๑.๒ ผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะในช่วง ๖ เดือนหลังของปีงบประมาณ ๒๕๕๗ (เมษายน-กันยายน ๒๕๕๗) กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะตามกรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๖๘๐,๒๑๐.๕๐ ล้านบาท มีความก้าวหน้าคิดเป็นร้อยละ ๕๑.๙๒ ของแผนการบริหารหนี้สาธารณะทั้งปี ส่วนผลการกู้เงินและบริหารจัดการหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ในช่วง ๖ เดือนหลังของปีงบประมาณ ๒๕๕๗ รัฐวิสาหกิจได้กู้เงินและบริหารหนี้รวมทั้งสิ้น ๒๔,๗๕๗.๒๔ ล้านบาท ทั้งนี้ จากผลการบริหารจัดการหนี้ทั้งในส่วนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ มีวงเงินรวมทั้งสิ้น ๔๑๖,๑๘๕.๓๘ ล้านบาท ลดยอดหนี้ได้ ๔๗,๙๓๐.๗๑ ล้านบาท ประหยัดดอกเบี้ยได้ ๕,๘๗๔.๑๗ ล้านบาท ๒. เนื่องจากกระทรวงการคลังต้องรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยการรายงานในรอบ ๑ ปี ตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และการรายงานในรอบ ๖ เดือนหลังของปีงบประมาณตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ มีข้อมูลที่ตรงกัน ดังนั้น เพื่อให้คณะรัฐมนตรีได้รับทราบสถานะทางการเงินและหนี้สาธารณะในภาพรวมที่ชัดเจน จึงให้กระทรวงการคลังนำรายงานดังกล่าวทั้งสองรายการรวมเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในคราวเดียวกัน |
||||||||||||||||||||||||
2316 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้เพื่อให้กู้ต่อแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | กค | 16/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้เพื่อให้กู้ต่อแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้เพื่อให้กู้ต่อแก่ รฟม. สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ โดยการชำระหนี้คืนก่อนกำหนดจากสัญญาเงินกู้ยืม (Term Loan) ที่จะครบกำหนดในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ทั้งหมด และที่จะครบกำหนดในปีงบประมาณ ๒๕๕๙ บางส่วน รวมจำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยได้ดำเนินการออกจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ให้กู้ต่อในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ครั้งที่ ๑ (LB21DA) อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๖๕ ต่อปี อายุคงเหลือ ๗.๑๕ ปี จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ประมูลในวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ และได้รับเงินจากการประมูลพันธบัตรรัฐบาล เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ ซึ่งได้นำเงินดังกล่าวไปชำระคืนต้นเงินกู้ Term Loan ให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารออมสิน จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ส่วนดอกเบี้ยของต้นเงินกู้ที่ชำระคืนก่อนกำหนดดังกล่าว รฟม. ได้ดำเนินการเบิกจ่ายจากงบประมาณไปชำระโดยตรงให้แก่ธนาคารผู้ให้กู้ทั้ง ๒ แห่งในวันเดียวกัน ๒. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ผลการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ให้กู้ต่อ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ครั้งที่ ๑ โดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาฉบับประกาศและงานทั่วไป เล่ม ๑๓๑ ตอนพิเศษ ๒๒๕ ง วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
2317 | การจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (SMEs Private Equity Trust Fund) | กค | 16/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) เสนอเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ เพื่อให้การบริหารงานของกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (SMEs Private Equity Trust Fund) มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น จึงขอปรับปรุงสัดส่วนที่ภาครัฐจะเข้าร่วมลงทุนในกิจการ SMEs จากเดิมร้อยละ ๑๐-๒๕ เป็นร้อยละ ๑๐-๕๐ ๑.๒ ให้มีคณะกรรมการกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง จำนวนไม่เกิน ๗ คน เป็นผู้กำหนดนโยบายในการบริหารงานของกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs และให้คณะกรรมการกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อบริหารกองทุน จำนวน ๒ ชุด ได้แก่ คณะกรรมการพิจารณานโยบายการลงทุน (Investment Committee) และคณะกรรมการผู้ให้คำปรึกษาวิสาหกิจร่วมทุน (Advisory Committee) ๑.๓ ให้มีสำนักงานคณะกรรมการกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs ทำหน้าที่ดำเนินงานของกองทุน ๒. เห็นชอบการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs มีลักษณะเป็นกองทุนเปิดและเป็นการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน ขนาดของกองทุน ๑๐,๐๐๐-๒๕,๐๐๐ ล้านบาท มีสัดส่วนการร่วมลงทุนจากภาครัฐร้อยละ ๑๐-๕๐ ส่วนที่เหลือจะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนไทยเข้าร่วมลงทุน โดยจะแบ่งการลงทุนเป็นกองทุนย่อย ๆ และเรียกระดมทุนครั้งละไม่เกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาทต่อกองทุนย่อย และกองทุนย่อยแต่ละกองทุนจะมีนโยบายในการลงทุนตามแต่ละประเภท/กลุ่ม SMEs ที่มีศักยภาพในการเติบโตทั้งขนาดเล็กและขนาดกลางเป็นหลัก ๓. เห็นชอบแหล่งเงินลงทุนในส่วนของภาครัฐ โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ในฐานะภาครัฐจะลงทุนเริ่มแรก เป็นจำนวน ๕๐๐ ล้านบาท และส่วนที่เกินกว่านี้จะขอจัดสรรจากงบประมาณประจำปีหรือจากแหล่งอื่นตามความจำเป็นในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาถึงความพร้อมในการใช้แหล่งเงินทุนของ ธพว. รวมถึงรูปแบบการบริหารจัดการและการติดตามการดำเนินงานของกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs สำหรับกรณีการใช้แหล่งเงินทุนอื่นที่นอกเหนือจาก ธพว. เห็นควรที่จะพิจารณาจากหน่วยงานหรือกองทุนของรัฐอื่น ๆ ที่มีภารกิจในการสนับสนุนและส่งเสริมกิจการ SMEs เป็นลำดับแรกก่อน ส่วนการใช้แหล่งเงินทุนจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีต้องดำเนินการเท่าที่จำเป็น โดยขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายผ่านหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องตามที่กฎหมายกำหนด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดกลุ่ม/ประเภท SMEs ที่จะให้การสนับสนุนทางการเงินให้ตรงกับกลุ่มธุรกิจและสอดคล้องกับห่วงโซ่การผลิตในภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งเน้นการพัฒนา SMEs ให้มีความเข้มแข็งและมีศักยภาพในการแข่งขันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนา SMEs ที่มีการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ ภูมิปัญญาชุมชนที่มีเอกลักษณ์ แต่มีเงินทุนไม่เพียงพอ เช่น เครื่องสำอาง สปา น้ำหอม เป็นต้น ทั้งนี้ ให้นำกลุ่ม SMEs ที่ได้รับรางวัลจากกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมมาเป็นกลุ่มเป้าหมายแรกในการร่วมทุนภายในปีนี้ ๕. มอบรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) พิจารณาแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา (The Research & Development) เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2318 | โครงการความร่วมมือระหว่างกรมธนารักษ์ กับโรงกษาปณ์ The Royal Mint แห่งสหราชอาณาจักร | กค | 16/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กรมธนารักษ์ดำเนินการลงนามในร่าง Technical Cooperation Agreement กับโรงกษาปณ์ The Royal Mint แห่งสหราชอาณาจักร เนื่องจากความร่วมมือทางวิชาการของกรมธนารักษ์ และโรงกษาปณ์ The Royal Mint แห่งสหราชอาณาจักร จะส่งผลให้กรมธนารักษ์สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันใน AEC และสามารถพัฒนาทักษะของบุคลากรด้านการผลิตเหรียญยิ่งขึ้น รวมทั้งในอนาคตศักยภาพของโรงกษาปณ์ไทยจะเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญในการเพิ่มมูลค่าและประโยชน์เชิงพาณิชย์ให้แก่ประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
2319 | การบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : เงินกู้ DPL) | กค | 09/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : เงินกู้ DPL) ให้กับสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการแก้ไขปัญหาจำนวนลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ SAP (SAP Software License) ที่ใช้งานในระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) วงเงิน ๘๖๐ ล้านบาท และ (๒) โครงการปรับปรุงและพัฒนาระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ให้รองรับซอฟต์แวร์ SAP ECC 6.0 วงเงิน ๘๒๓ ล้านบาท โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงการคลังดำเนินการตามหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐที่มีงบประมาณเกินกว่า ๑๐๐ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ให้กับกรมศุลกากรสำหรับโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมทางศุลกากรด้วยระบบเอ็กซเรย์ตู้คอนเทนเนอร์สินค้าสัมภาระและหีบห่อสินค้าของผู้เดินทาง รองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) วงเงิน ๑,๓๑๘ ล้านบาท โดยให้กรมศุลกากรนำสัญญาคุณธรรม (Integrity Pact) มาพิจารณาดำเนินการด้วย ๑.๓ อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ให้กับกรมสรรพากร สำหรับโครงการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จำนวน ๖ โครงการ วงเงิน ๓๙๓.๘๖๒๗ ล้านบาท โดยให้กรมสรรพากรดำเนินการตามหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐที่มีงบประมาณเกินกว่า ๑๐๐ ล้านบาท ๑.๔ ให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นผู้พิจารณารายละเอียดค่าใช้จ่ายโครงการฯ ต่อไป ทั้งนี้ ในกรณีโครงการใดต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่เห็นควรให้ความสำคัญในประเด็นเกี่ยวกับการจัดทำแบบพิมพ์เขียวของสถาปัตยกรรมองค์กร (Enterprise Architecture) ทั้งภายในและภายนอกเพื่อแสดงให้เห็นการเชื่อมโยง (Interoperability) ของแต่ละระบบเพื่อประโยชน์ในการขยายระบบในอนาคต รวมถึงพิจารณาการบูรณาการการใช้ทรัพยากรร่วมกันของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการลงทุน มีการวิเคราะห์สภาพปัจจุบันของการดำเนินงาน ปัญหาและอุปสรรคพร้อมกำหนดแนวทางแก้ไข และวางแผนการดำเนินงานในระยะสั้นและระยะยาวให้ชัดเจน ให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลโครงการเพื่อให้การดำเนินโครงการสามารถวัดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายได้อย่างเป็นรูปธรรม มีกระบวนการบริหารจัดหา License Management ที่ดี และคำนึงถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าบำรุงรักษาในระยะยาว ตลอดจนเตรียมการพัฒนาบุคลากรภาครัฐที่เกี่ยวข้องให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ สามารถรองรับการปฏิบัติงานตามภารกิจและให้สามารถดูแลรักษาระบบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2320 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 09/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการและเบิกจ่ายเงินกู้จนถึงไม่เกินเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ สำหรับโครงการของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๖ โครงการ วงเงิน ๒๓๕,๗๐๖,๗๓๖.๒๔ ล้านบาท ได้แก่ ๑.๑.๑ จ้างก่อสร้างระบบส่งน้ำฝายปากจาบ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพัฒนาลุ่มน้ำชีตอนบน จังหวัดชัยภูมิ ๑ แห่ง วงเงินที่ขอขยายระยะเวลาเบิกจ่าย ๓,๓๙๘,๘๐๘.๙๙ บาท ๑.๑.๒ จ้างก่อสร้างทำนบดินหัวงานและอาคารประกอบพร้อมส่วนประกอบอื่น โครงการอ่างเก็บน้ำคลองกระทะ จังหวัดภูเก็ต (รวมค่าควบคุมงาน) วงเงินที่ขอขยายระยะเวลาเบิกจ่าย ๑๕๐,๔๕๒,๓๘๓.๑๕ บาท ๑.๑.๓ จ้างก่อสร้างโครงการสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบส่งน้ำบ้านวังกลมเหนือ จังหวัดพิจิตร วงเงินที่ขอขยายระยะเวลาเบิกจ่าย ๗,๐๓๒,๕๑๓.๑๑ บาท ๑.๑.๔ จ้างก่อสร้างระบบส่งน้ำและอาคารประกอบ โครงการระบบส่งน้ำห้วยพุงใหญ่ จังหวัดร้อยเอ็ด วงเงินที่ขอขยายระยะเวลาเบิกจ่าย ๑๖,๐๖๓,๙๕๖.๕๔ บาท ๑.๑.๕ จ้างก่อสร้างระบบสูบน้ำและระบบส่งน้ำ MC1 พร้อมอาคารประกอบ โครงการพัฒนาลุ่มน้ำตาปี-พุมดวง จังหวัดสุราษฎร์ธานี วงเงินที่ขอขยายระยะเวลาเบิกจ่าย ๕๖,๑๕๘,๙๒๗.๔๕ บาท ๑.๑.๖ จ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างระบบสูบน้ำและระบบส่งน้ำ MC1 พร้อมอาคารประกอบ โครงการพัฒนาลุ่มน้ำตาปี-พุมดวง จังหวัดสุราษฎร์ธานี วงเงินที่ขอขยายระยะเวลาเบิกจ่าย ๒,๖๐๐,๑๔๗.๐๐ บาท ๑.๒ จัดสรรเงินสำรองจ่าย จำนวน ๕ หน่วยงาน วงเงิน ๔๑,๒๐๓,๙๑๙.๙๙ บาท ได้แก่ ๑.๒.๑ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ๑๔,๘๘๕,๖๓๓.๐๗ บาท ๑.๒.๒ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๕,๙๖๘,๒๐๘.๖๑ บาท ๑.๒.๓ กรมทางหลวง ๑๓,๘๗๒,๘๒๗.๐๐ บาท ๑.๒.๔ กรุงเทพมหานคร ๑,๖๗๘,๒๗๒.๕๖ บาท ๑.๒.๕ กรมโยธาธิการและผังเมือง ๔,๗๙๘,๙๗๘.๗๕ บาท ๑.๓ เปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงวงเงินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กระทรวงศึกษาธิการ (โครงการขยายวิทยาเขตราชบุรี) รายการก่อสร้างหอประชุม ๑ หลัง จากวงเงิน ๕๙,๘๒๘,๒๘๒.๐๐ บาท เป็น วงเงิน ๖๘,๘๗๘,๕๐๓.๖๓ บาท โดยให้สัตยาบันการลงนามในสัญญาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีที่ได้ลงนามสัญญาแล้ว ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีเสนอขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการเพิ่มประสิทธิภาพของส่วนราชการกระทรวงศึกษาธิการ (โครงการขยายวิทยาเขตราชบุรี) รายการก่อสร้างหอประชุม ๑ หลัง เนื่องจากดำเนินการไม่ถูกต้องตามขั้นตอนในการขอเพิ่มวงเงินโครงการ โดยไม่ได้ขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนที่จะดำเนินการ ตามความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ แล้วรายงานคณะรัฐมนตรีภายใน ๔๕ วัน |
.....