ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 118 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2341 - 2360 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2341 | การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF1 และ FIDF3 ในปีงบประมาณ 2558 | กค | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้โอนเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Institution Development Fund : FIDF) เข้าบัญชีสะสมเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ จำนวน ๒๑,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้กองทุนฯ ทยอยโอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ ตามปริมาณสภาพคล่องของกองทุนฯ ทั้งนี้ ในระหว่างปีงบประมาณ ๒๕๕๘ หากกองทุนฯ ได้รับเงินที่มีนัยสำคัญให้พิจารณาทบทวนเพื่อขออนุมัตินำส่งเงินเข้าบัญชีสะสมฯ เพิ่มเติมต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยนำข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรร่วมกันพิจารณาแนวทางในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินและบริหารจัดการสภาพคล่องของกองทุนฯ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับบทบาทหน้าที่และภารกิจ และให้ธนาคารแห่งประเทศไทยบริหารจัดการแหล่งเงินที่ใช้ในการชำระต้นเงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อชดเชยความเสียหายของกองทุนฯ ใน (๑) ร้อยละ ๙๐ ของกำไรสุทธิ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องนำส่งรัฐ และ (๒) สินทรัพย์คงเหลือในบัญชีผลประโยชน์ประจำปีตามกฎหมายว่าด้วยเงินตราโดยไม่ต้องเข้าบัญชีสำรองพิเศษ เพื่อให้สามารถนำแหล่งเงินดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ ได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้สามารถชำระหนี้ FIDF 1 และ FIDF 3 ได้เร็วขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2342 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางชนาทิพย์ วีระสืบพงศ์) | กค | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางชนาทิพย์ วีระสืบพงศ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาฐานภาษี (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๗ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2343 | คณะกรรมการต่างๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (จำนวน 5 ส่วนราชการ) (กระทรวงการคลัง) | กค | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ยกเลิกคณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมา ด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และคณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมา ด้านการเงิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอเพิ่มเติม และให้แต่งตั้งคณะกรรมการของกระทรวงการคลัง จำนวน ๑๓ คณะ ดังนี้
๑. คณะกรรมการป้องปรามธุรกิจการเงินนอกระบบ ๒. คณะกรรมการพิจารณากำหนดสำนักงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษ ๓. คณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ ๔. คณะกรรมการเพื่อพิจารณากำหนดขอบเขตที่ดินกำแพงเมือง-คูเมือง ๕. คณะกรรมการพิจารณาการขาย การแลกเปลี่ยน การให้ การจำหน่าย จ่ายโอนหรือจัดหาประโยชน์ เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลไทยในต่างประเทศ ๖. คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร ๗. คณะกรรมการบรรษัทภิบาลแห่งชาติ ๘. คณะกรรมการกลั่นกรองการจัดเอาประกันภัยทรัพย์สินของรัฐ ๙. คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ๑๐. คณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียน ๑๑. คณะกรรมการอำนวยการเพื่อกำหนดนโยบาย หลักเกณฑ์ มาตรการและเงื่อนไขเพื่อนำที่ราชพัสดุมาจัดให้เช่าทำการเกษตร ๑๒. คณะกรรมการบริหารระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ๑๓. คณะกรรมการกำกับหลักเกณฑ์และตรวจสอบราคากลางงานก่อสร้าง
|
|||||||||||||||||||||||||||
2344 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม - มิถุนายน 2557) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 12/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๗) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เศรษฐกิจไทย หดตัวร้อยละ ๐.๑ จากสถานการณ์การเมืองที่ยืดเยื้อทำให้การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนหดตัว ภาครัฐมีบทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยลง อุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอและการส่งออกสินค้าที่ฟื้นตัวช้าทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัว ภาคการท่องเที่ยวที่เคยเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญได้รับผลกระทบอย่างมากทำให้นักท่องเที่ยวลดลง อย่างไรก็ดี สถานการณ์การเมืองที่คลี่คลายในช่วงกลาง ไตรมาสที่ ๒ ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนเริ่มดีขึ้น ๒. ภาวะการเงิน อยู่ในเกณฑ์ผ่อนปรนต่อเนื่องเพื่อลดความเสี่ยงจากสถานการณ์การเมืองและเพิ่มแรงสนับสนุนให้กับเศรษฐกิจ โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ ๐.๒๕ ต่อปี เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๗ ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ร้อยละ ๒.๐๐ ต่อปี ๓. อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๒.๒๓ และ ๑.๔๕ ตามลำดับ โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีตามราคาก๊าซหุงต้มและราคาอาหารสด แต่โดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ราคาพลังงานปรับสูงขึ้นตามราคาก๊าซหุงต้ม ๔. เสถียรภาพของภาคสถาบันการเงิน อยู่ในเกณฑ์ดี สินเชื่อขยายตัวร้อยละ ๗.๓ จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Return on Asset : ROA) ของธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ร้อยละ ๑.๔ เงินกองทุนและเงินสำรองอยู่ในระดับสูง โดยอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ร้อยละ ๑๕.๙ และอัตราส่วนเงินสำรองที่มีต่อเงินสำรองพึงกันอยู่ที่ร้อยละ ๑๖๙.๒ คุณภาพสินเชื่อด้อยลงเล็กน้อย แต่โดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยสัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Gross NPL Ratio) อยู่ที่ร้อยละ ๒.๓ ขณะที่สินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (Special Mention Loan : SM) ทรงตัวที่ร้อยละ ๒.๔ ๕. เสถียรภาพด้านการคลัง โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ ๔๖.๖ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ ๖. เสถียรภาพด้านการต่างประเทศ อยู่ในเกณฑ์ดี ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๘.๘ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการเกินดุลการค้าเป็นสำคัญ ฐานะเงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคงและสูงกว่ามาตรฐานสากล (ไม่ต่ำกว่า ๑ เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น) โดยสัดส่วนเงินสำรองระหว่างประเทศต่อหนี้ระยะสั้นอยู่ ๒.๗ เท่า ขณะที่ดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายขาดดุลสุทธิอยู่ที่ ๗.๓ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามการออกไปลงทุนในต่างประเทศของนักลงทุนไทย ๗. แนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗ และปี ๒๕๕๘ กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัว โดยอุปสงค์ในประเทศจะปรับตัวดีขึ้นจากรายได้และความเชื่อมั่นของภาคเอกชนที่ฟื้นตัว รวมถึงการเบิกจ่ายของภาครัฐ นอกจากนี้ แรงส่งจากภาคการส่งออกจะมีมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว สำหรับอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ การส่งผ่านต้นทุนก๊าซหุงต้มไปยังราคาอาหารสำเร็จรูปเริ่มชะลอลง แรงกดดันเงินเฟ้อจากด้านอุปสงค์ยังอยู่ในระดับต่ำ และต้นทุนการผลิตโดยรวมไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนโยบายตรึงราคาเชื้อเพลิงของภาครัฐ อย่างไรก็ดี ในปี ๒๕๕๘ แรงกดดันเงินเฟ้อจากด้านอุปสงค์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่คาดว่าจะฟื้นตัว
|
|||||||||||||||||||||||||||
2345 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว สำหรับโครงการก่อสร้างถนนจากเมืองหงสา - บ้านเชียงแมน (เมืองจอมเพชร แขวงหลวงพระบาง) สปป.ลาว | กค | 12/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการก่อสร้างถนนจากเมืองหงสา-บ้านเชียงแมน (เมืองจอมเพชร แขวงหลวงพระบาง) สปป.ลาว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ในส่วนแหล่งที่มาของเงินทุน รูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขทางการเงิน จำนวนไม่เกิน ๑,๙๗๗ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินให้เปล่า (ร้อยละ ๒๐) จำนวนไม่เกิน ๓๙๕.๔๐ ล้านบาท และเงินกู้ (ร้อยละ ๘๐) จำนวนไม่เกิน ๑,๕๘๑.๖๐ ล้านบาท ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในการพิจารณาหาแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน โดยในเบื้องต้นอาจร่วมกันเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลในโอกาสการลงทุน และกำหนดมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการในพื้นที่ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. ส่งข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศและสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อใช้ประกอบการเตรียมการเดินทางไปเยือน สปป.ลาว อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ด้านการต่างประเทศด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2346 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์เพิ่มเติม | กค | 12/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์เพิ่มเติม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2347 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ สำหรับงวดครึ่งปีแรก ปี 2557 | กค | 12/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ สำหรับงวดครึ่งปีแรก ปี ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานประจำครึ่งปีแรก ปี ๒๕๕๗ ๑.๑ ศูนย์ข้อมูลฯ รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ๗ ประเภท ได้แก่ ที่อยู่อาศัย อาคาร สำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม-รีสอร์ท นิคมอุตสาหกรรม สนามกอล์ฟ และที่ดินเปล่า โดยนำข้อมูลที่ได้มาประมวลผล ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านอุปสงค์ ด้านอุปทาน ด้านราคา และด้านการเงิน สามารถเผยแพร่ข้อมูลได้ครอบคลุมทั้ง ๗ ประเภท และมีการเผยแพร่ข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๕๗ ๑.๒ ศูนย์ข้อมูลฯ ได้จัดทำวารสารศูนย์ข้อมูลฯ REIC Journal ประจำไตรมาสที่ ๑ และไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๕๗ จัดทำสัมมนาเผยแพร่ข้อมูลผลสำรวจโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยประจำปี ๒๕๕๗ จัดทำ REIC Web Poll รายครึ่งเดือน ผ่านเว็บไซต์ www.reic.or.th จัดทำระบบสืบค้นข้อมูลสถิติ Real Estate Information Center-Executive Information System (REIC-EIS) เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ๑.๓ ศูนย์ข้อมูลฯ ได้รับความร่วมมือจากสื่อสิ่งพิมพ์และนิตยสารต่าง ๆ ในการประชาสัมพันธ์ การออกบูธนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการ และการเผยแพร่ข้อมูลสถิติและตีพิมพ์บทความหรือสัมภาษณ์เกี่ยวกับข้อมูลสถิติและสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ ๒. ศูนย์ข้อมูลฯ ได้จัดทำและเผยแพร่ข้อมูลสถิติอสังหาริมทรัพย์ของไตรมาสที่ ๑ ปี ๒๕๕๗ สามารถสรุปข้อมูลสถิติที่สำคัญ ได้แก่ ห้องชุด บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และที่อยู่อาศัยประเภทอื่น ๆ จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียน (อุปทาน) รวม ๔๒,๖๐๐ หน่วย และจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ (อุปสงค์) รวม ๖๓,๗๐๐ หน่วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2348 | รายงานผลการกู้เงินในรูป Euro Commercial Paper (ECP) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | กค | 12/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินในรูป Euro Commercial Paper (ECP) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดย ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไม่มียอดหนี้คงค้าง และในช่วงไตรมาสที่ ๑-๔ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ กระทรวงการคลังไม่มีการกู้เงินใหม่ ส่งผลให้ ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ กระทรวงการคลังไม่มียอดเงินกู้คงค้างภายใต้ ECP Programme ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และในการรายงานครั้งต่อไปให้กระทรวงการคลังรายงานผลการกู้เงินเฉพาะในปีงบประมาณที่มีการกู้เงินภายใต้ ECP Programme เท่านั้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
2349 | รายงานสถานะหนี้สาธารณะตามมาตรา 35 (1) แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 | กค | 12/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะตามมาตรา ๓๕ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. หนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๗ มีจำนวน ๕,๖๕๐,๑๔๑.๒๔ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๖.๔๖ ของ GDP โดยเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง จำนวน ๓,๙๒๔,๓๗๔.๙๖ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จำนวน ๑,๐๙๕,๐๑๔.๔๗ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) จำนวน ๖๑๕,๓๘๑.๘๕ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๑๕,๓๖๙.๙๖ ล้านบาท ทั้งนี้ แบ่งออกเป็นหนี้ต่างประเทศ จำนวน ๓๖๓,๙๗๓.๔๗ ล้านบาท และหนี้ในประเทศ จำนวน ๕,๒๘๖,๑๖๗.๗๗ ล้านบาท ๒. หนี้สาธารณะแบ่งตามอายุของเครื่องมือการกู้เงิน แบ่งออกเป็นหนี้ระยะยาว ๕,๔๙๔,๑๒๒.๖๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๗.๒๔ และหนี้ระยะสั้น ๑๕๖,๐๑๘.๖๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒.๗๖ ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ๓. หนี้สาธารณะแบ่งตามอายุคงเหลือ แบ่งออกเป็นหนี้ระยะยาว ๔,๘๓๕,๑๕๓.๕๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๕.๕๘ และหนี้ระยะสั้น ๘๑๔,๙๘๗.๗๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๔.๔๒ ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง
|
|||||||||||||||||||||||||||
2350 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงินประจำปีครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2557 | กค | 12/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เป้าหมายนโยบายการเงิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ กนง. ได้กำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสระหว่างร้อยละ ๐.๕-๓.๐ ต่อปี ซึ่งเป็นเป้าหมายเดียวกับที่ใช้ในปี ๒๕๕๖ สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยในไตรมาสที่ ๑ และ ๒ ของปี ๒๕๕๗ อยู่ในช่วงเป้าหมายที่ร้อยละ ๑.๑๙ และ ๑.๗๑ ตามลำดับ เร่งตัวขึ้นเล็กน้อยจากครึ่งหลังของปีก่อน ๒. สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๗ เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๗ หดตัวเล็กน้อยเมื่อเทียบกับครึ่งหลังของปีก่อน โดยในไตรมาสที่ ๑ ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อส่งผลต่อการบริหารราชการแผ่นดินและการเบิกจ่ายการลงทุนของภาครัฐ รวมทั้งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นภาคเอกชนและการท่องเที่ยว ขณะที่การส่งออกสินค้าฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป สำหรับภาวะเงินเฟ้อ ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๗ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๒.๒๓ และอัตราเงินเฟ้อฟื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๑.๔๕ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเร่งขึ้นจากช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๖ ตามอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานและราคาพลังงาน โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเร่งขึ้นจากการส่งผ่านต้นทุนก๊าซหุงต้มและเครื่องประกอบอาหารที่ปรับเพิ่มขึ้นไปยังราคาอาหารสำเร็จรูป ๓. การดำเนินนโยบายการเงิน ที่ประชุม กนง. เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๗ มีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายการเงินลงร้อยละ ๐.๒๕ จากร้อยละ ๒.๒๕ เป็นร้อยละ ๒.๐๐ ต่อปี เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มแรงสนับสนุนให้กับเศรษฐกิจ ภายใต้ภาวะที่แรงส่งเศรษฐกิจแผ่วลงในระยะสั้นและแรงกระตุ้นทางการคลังมีจำกัด และในการประชุม กนง. เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๗ ที่ประชุมได้มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๒.๐๐ ต่อปี โดยประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายการเงินอยู่ในระดับผ่อนคลายเพียงพอที่จะสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป ๔. การดำเนินนโยบายด้านอัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๗ มีเสถียรภาพแม้จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยเงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงต้นปีจากความไม่สงบทางการเมืองและความกังวลของนักลงทุนต่างชาติต่อเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่บางประเทศ อย่างไรก็ดี เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ เนื่องจากเงินทุนจากต่างประเทศเริ่มไหลกลับเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์และตลาดพันธบัตรของไทยตามความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนขึ้นหลังจากสถานการณ์บ้านเมืองคลี่คลาย และการบริหารราชการแผ่นดินสามารถดำเนินการได้ โดยค่าเงินบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ อยู่ที่ ๓๒.๔๕ บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ดัชนีค่าเงินบาท (NEER) และดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริง (REER) ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๗ ปรับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ ๑๐๒.๔๖ และ ๑๐๑.๕๗ ตามลำดับ ๕. แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อปี ๒๕๕๗ กนง. ประเมินเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๗ จะขยายตัวชะลอลงจากปีก่อนอยู่ที่ร้อยละ ๑.๕ เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศหดตัวจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยืดเยื้อในช่วงครึ่งแรกของปี ประกอบกับภาคการส่งออกฟื้นตัวช้า |
|||||||||||||||||||||||||||
2351 | การระงับการชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) | กค | 12/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการระงับการชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาให้ผู้บริหารแผน (กระทรวงการคลัง) คืนเงินส่วนที่เป็นค่าจ้างของบริษัท ซินเนอจี โซลูชั่น จำกัด พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จำนวนทั้งสิ้น ๒๓๖,๑๘๒,๒๕๓.๐๖ บาท ให้แก่บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) เนื่องจากบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) เห็นว่า ผู้บริหารแผน (กระทรวงการคลัง) ได้ปฏิบัติงานในหน้าที่ด้วยความเรียบร้อย ได้ผลสำเร็จเป็นอย่างดี ทำให้บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) สามารถฟื้นฟูกิจการเป็นผลสำเร็จและได้ประกอบกิจการได้เป็นปกติ ทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับแบ่งปันกำไร เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ และพนักงานยังสามารถทำงานอยู่ได้โดยไม่ต้องตกงาน ทั้งกิจการของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ก็กำลังเจริญก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้ แผนฟื้นฟูกิจการยังมีข้อจำกัดความรับผิดชอบซึ่งทำให้ผู้บริหารแผน (กระทรวงการคลัง) ไม่ต้องรับผิดชอบในกรณีดังกล่าวอีก บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) โดยมติคณะกรรมการบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) จึงไม่ประสงค์จะบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวต่อกระทรวงการคลัง ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงได้ระงับการจ่ายเงินและได้มีหนังสือตอบขอบคุณไปยังบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) แล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณดำเนินการในขั้นตอนที่เกี่ยวกับงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๒๓๖,๑๘๒,๒๕๓.๐๖ บาท ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2352 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ พ.ศ. 2558 (ตั้งแต่วันที่ 1 - 31 ตุลาคม 2557) | กค | 04/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตั้งแต่วันที่ ๑-๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ มีการเบิกจ่ายทั้งสิ้น จำนวน ๓๖๗,๗๐๓.๖๗ ล้านบาท ดังนี้
๑. เงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๓๔๔,๘๐๑.๔๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๑.๙๐ ของวงเงินจัดสรร (๑,๕๗๔,๖๙๓.๗๐ ล้านบาท) เป็นรายจ่ายประจำ จำนวน ๓๒๙,๙๗๗.๑๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๖.๔๔ ของวงเงินจัดสรร (๑,๒๔๘,๑๕๓.๑๗ ล้านบาท) และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๑๔,๘๒๔.๒๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔.๕๔ ของวงเงินจัดสรร (๓๒๖,๕๔๐.๕๓ ล้านบาท) ๒. เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๒,๗๙๖.๘๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๒.๖๘ ของวงเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี (๑๗๙,๗๓๖.๖๕ ล้านบาท) ๓. เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ มีการเบิกจ่าย จำนวน ๒.๖๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๐.๐๐๐๘ ของวงเงินจัดสรร (๓๓๗,๐๖๖.๑๑ ล้านบาท) โดยตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เบิกจ่ายแล้วทั้งสิ้น จำนวน ๓๓๒,๒๘๘.๕๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๘.๕๘ ของวงเงินจัดสรร ๔. เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีการเบิกจ่าย จำนวน ๑๐๒.๗๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๐.๐๓ ของวงเงินจัดสรร (๓๔๘,๖๗๑.๘๑ ล้านบาท) โดยตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เบิกจ่ายแล้วทั้งสิ้น จำนวน ๒๒,๓๙๘.๐๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖.๔๒ ของวงเงินจัดสรร
|
|||||||||||||||||||||||||||
2353 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (จำนวน 2 ราย 1. นายชาญณัฏฐ์ แก้วมณี ฯลฯ) | กค | 04/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
๑. นายชาญณัฏฐ์ แก้วมณี ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ ๒. นางปนัสย์สร อริยวงศ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาการประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์
|
|||||||||||||||||||||||||||
2354 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 28/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการรายงานการติดตามและเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ (พ.ร.ก.) และวงเงินกู้เหลือจ่ายภายใต้ พ.ร.ก. ตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ๑.๒ พิจารณาการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ ๓ เดือนแรก) ๑.๒.๑ รับทราบวงเงินเหลือจ่ายภายใต้ พ.ร.ก. ที่ไม่มีภาระผูกพัน วงเงิน ๑๕,๒๐๐ ล้านบาท และอนุมัติให้ใช้วงเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสำหรับเป็นเงินสำรองจ่ายเพื่อจัดสรรให้แก่ แผนงาน/โครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ ๓ เดือนแรก วงเงิน ๑๕,๒๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๒ อนุมัติกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ตาม พ.ร.ก. และนำเสนอกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อทราบก่อนเริ่มดำเนินการ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๓ ของ พ.ร.ก. ๑.๒.๓ เห็นชอบแนวทางการบริหารโครงการ และให้ส่วนราชการที่ได้รับจัดสรรเงินกู้ภายใต้ พ.ร.ก. ดำเนินการตามมาตรการเพิ่มความคล่องตัวในการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ โดยให้ลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ และเบิกจ่ายเงินกู้ให้แล้วเสร็จไม่เกินวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ๑.๒.๔ เห็นชอบแนวทางการติดตาม การประเมินผล และการรายงานผลการดำเนินโครงการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ ๓ เดือนแรก (ระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๗) สำหรับมาตรการเพื่อการสร้างงาน วงเงิน ๒๓,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งในส่วนที่ใช้จากงบกลางที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี (๗,๘๐๐ ล้านบาท) และเงินกู้เหลือจ่ายภายใต้ พ.ร.ก. (๑๕,๒๐๐ ล้านบาท) ๑.๒.๕ อนุมัติโครงการสนับสนุนการวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศโครงการของสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง วงเงิน ๓ ล้านบาท และโครงการติดตามและประเมินผลโครงการของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ วงเงิน ๑๒ ล้านบาท และอนุมัติจัดสรรเงินสำรองจ่ายภายใต้เงินกู้ พ.ร.ก. วงเงิน ๑๕ ล้านบาท ๑.๓ รับทราบการขยายระยะเวลาการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกู้ พ.ร.ก. ภายหลังปีงบประมาณ ๒๕๕๖ โดยขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินให้สามารถดำเนินการเบิกจ่ายเงิน พ.ร.ก. ได้จนกว่าโครงการจะแล้วเสร็จ แต่ต้องไม่เกินปีงบประมาณ ๒๕๕๗ สำหรับโครงการที่ได้มีการผูกพันสัญญาแล้ว และสามารถดำเนินการและเบิกจ่ายเงินกู้ได้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๗ จำนวน ๕ โครงการ วงเงิน ๑๘๖,๔๔๙,๗๙๓.๑๑ บาท ๑.๔ อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการและเบิกจ่ายเงินกู้สำหรับโครงการที่มีการผูกพันสัญญาและอยู่ระหว่างดำเนินโครงการที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมืองในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ทำให้ไม่สามารถดำเนินโครงการได้ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว จนถึงไม่เกินเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ สำหรับโครงการ จำนวน ๑๕ โครงการ วงเงิน ๑,๒๑๑,๔๖๙,๙๑๙.๒๕ บาท ๑.๕ อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายเพื่อเป็นเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) และค่างานในส่วนที่เหลือ จำนวน ๔ หน่วยงาน วงเงิน ๕๕,๓๙๘,๔๒๘.๗๔ บาท ๑.๖ อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ๒. ให้กระทรวงการคลังเสนอกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อทราบก่อนดำเนินการ โดยรายละเอียดของกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ดังกล่าวให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ การใช้จ่ายเงินกู้ในการดำเนินโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะ ๓ เดือนแรก ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป และเร่งดำเนินโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ และรายงานความก้าวหน้าการเบิกจ่ายเงินกู้ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายเดือนด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2355 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้ห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล) | กค | 21/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้ห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป เพื่อให้พระราชบัญญัตินี้มีผลบังคับใช้ก่อน ๑ มกราคม ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||||||||
2356 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | กค | 21/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบรายงานการเงินภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกอบด้วยงบแสดงฐานะทางการเงิน งบรายได้และค่าใช้จ่ายของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ (ส่วนราชการ มหาวิทยาลัยของรัฐ จังหวัด กลุ่มจังหวัด หน่วยงานอิสระ องค์การมหาชน และมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ) กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน ๘,๑๘๘ หน่วยงาน จากทั้งหมด ๘,๓๘๘ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๙๗.๘๐ ซึ่งผลการวิเคราะห์พบว่า กลุ่มรัฐวิสาหกิจมีสินทรัพย์รวมมากที่สุด มูลค่ารวม ๑๑.๘๑ ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นสถาบันการเงินและธุรกิจพลังงาน สำหรับรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐมีสินทรัพย์รวม ๙.๑๒ ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในรูปที่ดินราชพัสดุ เงินกู้ในภาพรวม ๗.๔๓ ล้านล้านบาท เป็นของรัฐบาลกลาง ๓.๗๒ ล้านล้านบาท รองลงมาเป็นของรัฐวิสาหกิจ ๓.๖๗ ล้านล้านบาท รายได้ในภาพรวมเป็นของรัฐวิสาหกิจ ๔.๙๘ ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นรายได้ของธุรกิจพลังงานและการไฟฟ้า รองลงมาเป็นรายได้ของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ๒.๘๐ ล้านล้านบาท ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายต้นทุนขายและบริการในภาครัฐวิสาหกิจและค่าใช้จ่ายบุคลากรของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาปรับปรุงลักษณะการวิเคราะห์ให้สามารถสะท้อนถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการ และความเสี่ยงทางการคลังของภาครัฐในภาพรวม การให้ความรู้ในด้านการบันทึกข้อมูลทางบัญชีให้กับเจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้สามารถจัดทำบัญชีได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐานที่กำหนด รวมทั้งให้มีการแยกการรายงานในส่วนของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินและไม่ใช่สถาบันการเงินออกจากกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. เนื่องจากการรายงานฐานะของกองทุนและทุนหมุนเวียนเป็นองค์ประกอบหนึ่งของรายงานการเงินรวมภาครัฐ ซึ่งที่ผ่านมาหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้เคยมีข้อสั่งการ (๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗) เกี่ยวกับเรื่องกองทุนต่าง ๆ โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมผลการดำเนินงานของกองทุนต่าง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบ และส่งให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) วิเคราะห์ และเสนอแนวทางการปรับปรุงพัฒนา หรือยกเลิกกองทุนเพื่อเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) มอบหมายให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับงบประมาณของกองทุนหมุนเวียนที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลังและกองทุนอื่น ๆ ของทุกหน่วยงานเพื่อนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) พิจารณาประกอบการจัดทำยุทธศาสตร์การวิจัยและการพัฒนาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนั้น จึงให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2357 | การลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจในการตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย | กค | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจในการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย ซึ่งเป็นเอกสารที่ไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย (Non-legal Binding) จัดทำขึ้นเพื่อเป็นกรอบเบื้องต้นของการดำเนินการของธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank : AIIB) และการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ จะยังไม่มีผลผูกพันประเทศนั้น ๆ ในการเข้าร่วมเป็นผู้ถือหุ้นของ AIIB จนกว่าจะมีการลงนามในร่างความตกลงเพื่อการจัดตั้ง AIIB ๑.๒ อนุมัติการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจในการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ให้ผู้ลงนามสามารถใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ ได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรพิจารณาถึงสัดส่วนหุ้นและเงินลงทุนตามขนาดเศรษฐกิจและความพร้อมของประเทศ โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับทั้งทางตรงและทางอ้อมเทียบกับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งเห็นควรผลักดันให้มีการพิจารณาเกณฑ์การกำหนดอำนาจและสิทธิในการออกเสียงที่นอกเหนือจากสัดส่วนเงินร่วมลงทุนที่อิงกับขนาดเศรษฐกิจ (GDP) เท่านั้น ไปพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2358 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว และจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ) | กค | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว และจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ) รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
2359 | การรายงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง | กค | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรายงาน ดังนี้
๑. ได้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยไปร่วมการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี ๒๕๕๗ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๙-๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ ณ สำนักงานใหญ่ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยได้ชี้แจงถึงนโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นผ่านการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และนโยบายในการเตรียมวางรากฐานให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ยั่งยืนในระยะยาว เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การปฏิรูปภาษีให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจให้มีความโปร่งใสตามหลักธรรมาภิบาล แม้เศรษฐกิจไทยจะเผชิญความเสี่ยงหลายด้านแต่ยังมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง และฐานะการคลังของไทยที่เข้มแข็ง ทั้งนี้ พบว่าผู้เข้าร่วมประชุมที่เป็นชาวต่างชาติมีความเข้าใจในสถานการณ์ทางการเมืองของไทยมากขึ้น เนื่องจากพัฒนาการต่าง ๆ ของไทยเป็นไปตาม Roadmap ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติกำหนดไว้ โดยมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาปฏิรูปแห่งชาติ เป็นต้น ๒. ได้ร่วมในพิธีลงนามในความตกลงเพื่อการจัดตั้งสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+๓ (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office : AMRO) มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับ AMRO จากสถานะบริษัทจำกัดขึ้นเป็นองค์การระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในการเป็นหน่วยงานติดตาม ประเมินและเฝ้าระวังทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน+๓ และสนับสนุนการดำเนินงานของมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation : CMIM) ซึ่งเป็นกลไกทางการเงินที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียน+๓ ในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่กันและกันในกรณีที่ประเทศสมาชิกประสบวิกฤตหรือกำลังจะประสบวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นความช่วยเหลือที่เสริมเพิ่มเติมจากความช่วยเหลือทางการเงินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF)
|
|||||||||||||||||||||||||||
2360 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการกำหนดนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... | กค | 01/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการกำหนดนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปปรับแก้ไขร่างระเบียบฯ ตามข้อสังเกตของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างข้อ ๕ เห็นควรเพิ่มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจด้วย เพื่อให้การพิจารณาดำเนินการของคณะกรรมการครอบคลุมในด้านแรงงานรัฐวิสาหกิจ ๒. ร่างข้อ ๑๑ ในการพิจารณากลั่นกรองและเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีในโครงการที่เกี่ยวกับการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ หากเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีวงเงินลงทุนสูง และส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้างของรัฐวิสาหกิจ เห็นควรให้รับฟังความเห็นจากคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจด้วย ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ร่างข้อ ๑๒ กรณีการเสนอชื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ เห็นควรให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเป็นผู้เสนอรายชื่อกรรมการต่อประธานกรรมการ เนื่องจากการให้รัฐวิสาหกิจเสนอรายชื่อกรรมการไปยังกระทรวงเจ้าสังกัดก่อนเสนอประธานกรรมการนั้น อาจเป็นการลักลั่นได้เนื่องจากจะทำให้รัฐวิสาหกิจเป็นผู้เลือกกรรมการรัฐวิสาหกิจนั้นเสียเอง นอกจากนี้ การเสนอรายชื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการดังกล่าวควรยึดโยงกับบทบัญญัติในมาตรา ๑๒/๑ แห่งพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติให้ในการแต่งตั้งกรรมการอื่นที่มิใช่กรรมการโดยตำแหน่งในรัฐวิสาหกิจแห่งใดให้ผู้มีอำนาจพิจารณาแต่งตั้งจากบุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการที่กระทรวงการคลังจัดทำขึ้นไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนกรรมการอื่นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๔. ควรเพิ่มหลักเกณฑ์ในเรื่องการมอบอำนาจให้ประธานกรรมการมีอำนาจพิจารณาแทนคณะกรรมการได้เป็นบางเรื่อง เพื่อให้การดำเนินการของคณะกรรมการมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น |
.....