ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 113 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2241 - 2260 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2241 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง พิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้ห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล) | กค | 20/04/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง พิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้ห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล) และผลการดำเนินการ ตามข้อสังเกตที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
สรุปได้ ดังนี้ ๑. คณะกรรมาธิการฯ มีข้อสังเกตเกี่ยวกับการให้กรมสรรพากรมีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ตามสื่อต่าง ๆ ด้วยถ้อยคำที่เข้าใจง่าย สื่อสารเกี่ยวกับกฎหมายว่าดวยการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (มาตรการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้ห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล) เพื่อให้ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลได้มีการเตรียมความพร้อมที่จะเข้าสู่การจัดเก็บภาษีตามกฎหมายฉบับนี้ ๒. กระทรวงการคลังแจ้งผลการดำเนินการตามข้อสังเกตฯ ดังกล่าว โดยกรมสรรพากรได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ “มาตรการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้ห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล” ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้แก่ รายการเดินหน้าประเทศไทย บทความ เผยแพร่ผ่านวารสารสรรพากร (e-Magazine) การให้ความรู้ผ่านระบบ Telepresence ให้แก่เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรทั่วประเทศ จัดทำวีดิทัศน์เผยแพร่ผ่าน RD Channel ที่ www.rd.go.th Facebook และ Youtube.com รวมทั้งจัดสัมมนาให้ความรู้แก่ห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ตลอดจนขณะนี้ อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำเอกสารเผยแพร่ ประเภทคู่มือการเสียภาษีห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลให้แก่กลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
2242 | ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 07/04/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. ๒๕๔๕ เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการของสถาบันการเงิน องค์กรและสถาบันที่เกี่ยวข้องกับด้านเศรษฐกิจ ตลาดเงิน และตลาดทุนอื่น ๆ ที่มีลักษณะเดียวกัน เช่น คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพและเป็นมาตรฐานเดียวกัน จึงมอบหมายให้กระทรวงการคลังไปพิจารณาแก้ไขบทบัญญัติกฎหมายในส่วนของกรณีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งตามวาระ ให้กรรมการอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่ากรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่ และกรณีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ หากวาระของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเหลืออยู่ไม่ถึงตามระยะเวลาที่กำหนด หรือมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเหลืออยู่ไม่เกินกึ่งหนึ่ง ให้กรรมการที่เหลืออยู่สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ โดยให้ถือว่าคณะกรรมการประกอบด้วยกรรมการเท่าที่เหลืออยู่ |
||||||||||||||||||||||||
2243 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 07/04/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินการและเบิกจ่ายเงินกู้เกินกรอบระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ โดยให้สัตยาบันการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ สำหรับโครงการเพิ่มทุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ระยะที่ ๒ ของสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติที่ได้ดำเนินการไปแล้ว วงเงิน ๑๑๖.๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย ๑.๑.๑ การเบิกจ่ายเงินให้กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ระยะที่ ๒ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๒ ที่ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๗๓.๖๐ ล้านบาท ๑.๑.๒ การเบิกจ่ายเงินให้กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ระยะที่ ๒ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๖ ที่ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ วงเงิน ๔๒.๔๐ ล้านบาท ๑.๒ การจัดสรรเงินสำรองจ่าย จำนวน ๓ หน่วยงาน วงเงิน ๑๙,๐๒๘,๐๒๔.๖๗ บาท ประกอบด้วย สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๕ รายการ วงเงิน ๑,๐๖๕,๓๕๓.๐๐ บาท กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๓ รายการ วงเงิน ๒,๙๕๐,๖๗๑.๖๗ บาท และมหาวิทยาลัยนเรศวร กระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๑ รายการ วงเงิน ๑๕,๐๑๒,๐๐๐.๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงการคลัง สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ที่เห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และหากมีเงินเหลือ ก็ให้เร่งนำเงินส่งคืนบัญชีแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ต่อไป และให้เร่งรัดดำเนินโครงการและเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งการดำเนินการทุกขั้นตอน การปฏิบัติจะต้องโปร่งใส และตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2244 | การปรับแผนการดำเนินงานโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ ของโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง | กค | 07/04/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๑ อนุมัติในหลักการในการปรับแผนการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับการดำเนินงานของโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง ในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตภายในกรอบวงเงินงบประมาณ ๑๕,๙๕๒.๙๖ ล้านบาท ตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไว้แล้ว โดยมีข้อสังเกต ดังนี้ ๑.๑.๑ เนื่องจากแผนการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยของพนักงานมีวงเงินการดำเนินการที่เปลี่ยนแปลงไปจากวงเงินที่ได้รับอนุมัติไว้เดิมค่อนข้างสูง แม้จะเป็นการเพิ่มสวัสดิการให้กับพนักงานแต่ควรพิจารณาตามความจำเป็นและเหมาะสม ไม่เป็นภาระต่อค่าใช้จ่ายของโรงงานยาสูบฯ ในระยะยาว โดยอาจดำเนินการจัดสวัสดิการรถรับส่งพนักงานตามจุดแวะรับเส้นทางหลัก และอาจมีสวัสดิการจ่ายค่าเช่าบ้าน หรือสวัสดิการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับพนักงานเพื่อซื้อบ้านบริเวณใกล้เคียง ทั้งนี้ ควรมีมาตรการในการกำกับดูแลการเข้าพักอาศัยให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดสวัสดิการและเกิดประโยชน์กับพนักงานที่มีความจำเป็น ๑.๑.๒ จากการทบทวนกระบวนการจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิตบุหรี่ โดยการนำเครื่องจักรที่มีอยู่เดิมมาซ่อมแซมหรือปรับปรุงใหม่มาใช้มากขึ้นและลดค่าใช้จ่ายการจัดหาเครื่องจักรใหม่ลง ทำให้ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องจักรที่มีอยู่เดิมในอนาคต โรงงานยาสูบฯ ควรพิจารณาถึงความคุ้มค่าของการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวด้วย ๑.๑.๓ การนำเครื่องจักรที่มีอยู่เดิมมาใช้มากขึ้นและการจัดหาเครื่องจักรใหม่ทำให้ต้องมีระยะเวลาในการขนย้าย จัดหา และติดตั้งเครื่องจักร โรงงานยาสูบฯ ควรพิจารณาดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ โดยมีค่าใช้จ่ายให้น้อยที่สุดเพื่อมิให้กระทบต่อการผลิตบุหรี่และแผนงานการดำเนินโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ ๑.๒ เนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีนโยบายให้นำหลักการโครงการความร่วมมือป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เรื่อง “ข้อตกลงคุณธรรม” มาจัดทำเพื่อสกัดกั้นการทุจริตคอร์รัปชันโครงการของรัฐ จึงเห็นสมควรนำนโยบายดังกล่าวมาใช้ในการจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิตบุหรี่ของโรงงานยาสูบฯ ในส่วนที่เหมาะสมและสามารถดำเนินการได้ และไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาเห็นสมควร ๒. ในกรณีที่จะลงทุนก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยให้แก่พนักงานเพื่ออำนวยความสะดวกในการย้ายสถานที่ทำการเป็นกรณีเร่งด่วน ให้กระทรวงการคลัง (โรงงานยาสูบ) พิจารณาทบทวนการก่อสร้างในลักษณะที่พอเพียง ประหยัด และคุ้มค่าในระยะยาว ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เกี่ยวกับการเพิ่มสวัสดิการที่พักอาศัยให้พนักงาน รวมถึงการก่อสร้างอาคารที่พักผู้บริหาร หัวหน้างาน และพนักงานที่ไปปฏิบัติงานไม่ประจำด้วย ควรดำเนินการเท่าที่จำเป็นและคำนึงถึงความประหยัดและคุ้มค่าที่โรงงานยาสูบจะได้รับ ตลอดจนมาตรการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการเพื่อให้การจัดการสวัสดิการในภาพรวมมีความเป็นธรรมและยั่งยืนอย่างแท้จริง และเห็นควรเร่งรัดการดำเนินโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่และการคืนพื้นที่ให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อให้สามารถส่งคืนพื้นที่โรงงานในปัจจุบัน เพื่อพัฒนาเป็นพื้นที่สีเขียวตามแนวนโยบายรัฐบาลต่อไป รวมทั้งเร่งรัดและกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกำหนดระยะเวลา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2245 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากรทางอนุมัติ ด่านพรมแดนและด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (บริเวณจุดผ่านแดนถาวรสามเหลี่ยมทองคำบ้านสบรวกไทย - ลาว และบริเวณจุดผ่านแดนสามเหลี่ยมทองคำ ไทย - เมียนมา) | กค | 31/03/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดทางอนุมัติและด่านพรมแดนเพิ่มเติมบริเวณจุดผ่านแดนถาวรสามเหลี่ยมทองคำบ้านสบรวกไทย-ลาว และบริเวณจุดผ่านแดนสามเหลี่ยมทองคำไทย-เมียนมา เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมขนส่งระหว่างประเทศ ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการในการปฏิบัติพิธีการศุลกากรนำเข้า-ส่งออก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
2246 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 1 ปีงบประมาณ 2558 | กค | 31/03/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๑ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๗) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่ม ได้แก่ ผลไม้ น้ำหอมและเครื่องสำอาง นาฬิกาและอุปกรณ์ กระเป๋าและเข็มขัดหนัง สุราต่างประเทศ สูท เสื้อ กระโปรง กางเกง สำหรับบุรุษ สตรี เด็กชาย เด็กหญิง และเนคไท เลนส์ รองเท้าหนังและรองเท้าผ้าใบ แว่นตา ปากกาและอุปกรณ์ ไวน์ เครื่องประดับที่ทำด้วยคริสตัล กล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ ผ้าทอทำด้วยขนสัตว์ ไฟแช็คและอุปกรณ์ ดอกไม้ และเครื่องแก้วชนิดใช้บนโต๊ะอาหาร หรือใช้ตกแต่งภายในที่ทำด้วยคริสตัล มีมูลค่านำเข้า ๙๔๙.๘๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๑.๗๐ ของมูลค่านำเข้ารวม เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๖) ๔๐.๘๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๔.๔๙ โดยสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ ผลไม้ น้ำหอมและเครื่องสำอาง นาฬิกาและอุปกรณ์
|
||||||||||||||||||||||||
2247 | โครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรรายย่อยผ่านระบบธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 31/03/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรรายย่อยผ่านระบบธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. โครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรรายย่อยผ่านระบบ ธ.ก.ส. ประกอบด้วย ๓ โครงการย่อย ได้แก่ ๑.๑ โครงการปลดเปลื้องหนี้ กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรรายย่อยที่ไม่มีศักยภาพหรือมีเหตุผิดปกติ เช่น เสียชีวิต ทุพพลภาพ เจ็บป่วยเรื้อรัง และมีปัญหาสุขภาพจนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ประมาณ ๒๘,๐๐๐ ราย หนี้สินประมาณ ๔,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ โครงการปรับโครงสร้างหนี้ กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรรายย่อยที่มีศักยภาพต่ำที่ผ่านการประเมินศักยภาพแล้วปรากฏว่ายังมีความสามารถในการประกอบอาชีพแต่มีปัญหาในการชำระหนี้จากเหตุสุจริตจำเป็นและเป็นภาระหนัก ประมาณ ๓๔๐,๐๐๐ ราย หนี้สินประมาณ ๔๘,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๓ โครงการขยายเวลาชำระหนี้ กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรรายย่อยที่มีศักยภาพในการประกอบอาชีพ แต่ได้รับผลกระทบจากการงดทำนาปรัง และราคายางพาราตกต่ำ ประมาณ ๔๕๐,๐๐๐ ราย หนี้สินประมาณ ๖๔,๐๐๐ ล้านบาท ๒. ระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๘-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ โดยใช้ข้อมูลลูกหนี้ที่ ธ.ก.ส. สำรวจ ณ วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๘ ๓. งบประมาณโครงการ ธ.ก.ส. รับผิดชอบงบประมาณและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||
2248 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ด่านศุลกากรกันตัง) | กค | 27/03/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เขตศุลกากร ณ ท่ากันตัง ครอบคลุมบริเวณริมฝั่งแม่น้ำกันตัง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง อันเป็นการอำนวยความสะดวกในด้านการค้า การลงทุน การขนส่งระหว่างประเทศ การจัดเก็บอากร การบังคับใช้กฎหมายในการควบคุมทางศุลกากร การตรวจตราป้องกันการกระทำผิดตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรบริเวณแม่น้ำกันตังให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
2249 | การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 1 | กค | 27/03/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรายงาน ดังนี้
๑. ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน (ASEAN Finance Ministers and Central Bank Governors'' Meeting : AFMGM) ครั้งที่ ๑ ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการรายงานผลการดำเนินการตาม AEC Score card และความคืบหน้าของความร่วมมือภาคการเงิน ซึ่งประกอบด้วย (๑) กองทุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอาเซียน (ASEAN Infrastructure Fund : AIF) ขณะนี้มีเงินกองทุนจำนวน ๔๘๕.๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอนุมัติให้กู้ไปแล้ว ๓ โครงการ จำนวน ๑๖๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (๒) ความร่วมมือด้านศุลกากร (Cooperation in ASEAN Customs) มีการลงนามในพิธีสารฉบับที่ ๗ ว่าด้วยระบบศุลกากรผ่านแดน (Customs Transit System) เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ และพิธีสารว่าด้วยกรอบกฎหมายเพื่อดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน (Protocol on the Legal Framework to Implement the ASEAN Single Window) เมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๘ (๓) การเปิดเสรีบริการด้านการเงิน มีการลงนามในพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงินรอบที่ ๖ และให้สิทธิสมาชิก ๒ ประเทศเจรจากำหนดคุณสมบัติมาตรฐานธนาคาร (Qualified ASEAN Banks) ได้โดยสมัครใจ (๔) การพัฒนาตลาดทุนอาเซียน มีการเจรจาเกี่ยวกับการจัดทำกฎเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลเชื่อมโยงระบบการซื้อขาย (ASEAN Exchange Linkage) การจัดทำมาตรฐานการประเมินบรรษัทภิบาลอาเซียน การใช้หนังสือชี้ชวนฉบับเดียวกัน การเปิดให้มีการขายกองทุนรวมข้ามประเทศในอาเซียน (ASEAN Passport) การเข้าถึงบริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว ผ่านการเชื่อมโยงระบบซื้อขาย (trading) และการจัดทำ ASEAN Capital Market Infrastructure Blueprint (ACMI Blueprint) สำหรับระบบบริการหลังการขาย และ (๕) การเข้าถึงบริการด้านการเงินภาคประชาชน มีการจัดตั้งคณะทำงาน (Working Committee) เพื่อให้ภาคประชาชนและ SMEs ในอาเซียนเข้าถึงบริการทางการเงิน นอกจากนี้ ได้หารือทวิภาคีกับนาย David Lipton, First Deputy Managing Director ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ด้วย ๒. จากการเข้าร่วมการประชุมมีข้อมูลที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) นำเสนอต่อที่ประชุมและเห็นว่าน่าสนใจ กล่าวคือ IMF ได้ ปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในปี ๒๐๑๕ เดิม (ประมาณการ ปี ๒๐๑๑) คาดว่าจะ เติบโตที่ระดับร้อยละ ๕ แต่ล่าสุดคาดว่าจะเติบโตเพียงร้อยละ ๓.๕ สาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือ ปริมาณการค้าโลกที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง ๑๕ ปีที่ ผ่านมา ทั้งนี้ เศรษฐกิจที่ขยายตัวมากที่สุด คือ อาเซียน เอเชีย (ไม่รวมอาเซียน) ลาตินอเมริกา และกลุ่มตลาดใหม่ในยุโรป (Emerging Europe) ตาม ลำดับ นอกจากนั้น อัตราส่วนของหนี้ต่อรายได้สุทธิของภาคครัวเรือนไทยได้เติบโตขึ้นมาก จากร้อยละ ๘๐ ในช่วงปี ๒๕๕๐ เป็นร้อยละ ๑๓๐ ในปี ๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||||||||
2250 | รายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 และ 2555 | กค | 17/03/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๕ ซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๑ งบรายได้และค่าใช้จ่าย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ รัฐบาลมีรายได้สุทธิรวมทั้งสิ้น จำนวน ๒,๐๙๕,๔๓๖.๗๐ ล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น จำนวน ๒,๑๖๑,๖๗๓.๑๘ ล้านบาท โดยมีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่าย ๑.๒ งบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ รัฐบาลมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น จำนวน ๕,๘๔๖,๗๒๘.๓๗ ล้านบาท มีหนี้สินและภาระผูกพันรวมทั้งสิ้น จำนวน ๓,๔๗๓,๕๘๘.๓๗ ล้านบาท และมีสินทรัพย์สุทธิหรือส่วนทุน จำนวน ๒,๓๗๓,๑๔๐ ล้านบาท ๒. รายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒.๑ งบรายได้และค่าใช้จ่าย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ รัฐบาลมีรายได้สุทธิรวมทั้งสิ้น จำนวน ๒,๑๘๔,๙๔๙.๑๔ ล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น จำนวน ๒,๓๕๐,๘๗๑.๔๙ ล้านบาท โดยมีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่าย ๒.๒ งบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ รัฐบาลมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น จำนวน ๖,๒๓๙,๐๒๒.๓๓ ล้านบาท มีหนี้สินและภาระผูกพันรวมทั้งสิ้น จำนวน ๓,๘๓๖,๐๙๓.๕๓ บาท และมีสินทรัพย์สุทธิหรือส่วนทุน จำนวน ๒,๔๐๒,๙๒๘.๘๐ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
2251 | การลงนามร่างพิธีสารว่าด้วยกรอบกฎหมายเพื่อดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน (Protocol on the Legal Framework to lmplement the ASEAN Single Window) | กค | 17/03/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างพิธีสารว่าด้วยกรอบกฎหมายเพื่อดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน (Protocol on the Legal Framework to Implement the ASEAN Single Window) มีสาระสำคัญเพื่อเป็นกรอบทางกฎหมายเพื่อการดำเนินการ การติดต่อสื่อสาร และการประมวลผลทางอิเล็กทรอนิกส์ของธุรกรรมระหว่างระบบ National Single Window ของประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหลายภายในสภาพแวดล้อม ASEAN Single Window ๑.๒ เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) เพื่อการลงนามร่างพิธีสารฯ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับร่างพิธีสารฯ เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ หรือไม่ และเพื่อให้ประเทศไทยสามารถดำเนินการตามพันธกรณีของร่างพิธีสารฯ ภายหลังการลงนามแล้ว กระทรวงการคลังควรเร่งประสานหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับระบบ National Single Window ของประเทศไทย เพื่อตรวจสอบกฎหมายที่ประกาศใช้ในปัจจุบันว่ามีความสอดคล้องรองรับพันธกรณีตามร่างพิธีสารฯ หรือต้องแก้ไขและออกกฎหมายใหม่ให้แล้วเสร็จภายใน ๑๘๐ วันตามเงื่อนไข รวมทั้งพิจารณาเตรียมการหน่วยงานที่จะทำหน้าที่ศูนย์กลางการประสานงาน (Focal Point) และรูปแบบการควบคุมดูแล ASW (Governance of ASW) ที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังดำเนินการศึกษาเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกด้านศุลกากรด้วยระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของสาธารณรัฐสิงคโปร์เพื่อนำมาพัฒนาและปรับใช้ในการดำเนินการของประเทศไทยให้มีมาตรฐานสากลต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2252 | ความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างไทยกับสิงคโปร์ ฉบับแก้ไข | กค | 17/03/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างไทยกับสิงคโปร์ ฉบับแก้ไข มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างไทยกับสิงคโปร์ที่มีผลใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันให้มีความเหมาะสมกับข้อกฎหมายและลักษณะการประกอบธุรกิจในปัจจุบัน โดยกำหนดหลักการที่สำคัญเพื่อขจัดการเก็บภาษีซ้ำซ้อนในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้ระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นอันเนื่องจากอำนาจในการจัดเก็บภาษีของทั้งสองประเทศทำให้เกิดการจัดเก็บภาษีซ้ำซ้อนบนฐานรายได้จำนวนเดียวกัน ทั้งนี้ เมื่อผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว หากมีการแก้ไขโดยที่ไม่กระทบต่อสาระสำคัญของความตกลงฯ ดังกล่าว เห็นควรให้กระทรวงการคลังสามารถทำการแก้ไขได้ทันที และเมื่อแก้ไขแล้วเห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการทางการทูต เพื่อให้มีผลใช้บังคับต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการตามแบบพิธีทางการทูตและกฎหมายภายในเพื่อให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในภายหลังจากที่ได้มีการบังคับใช้ความตกลงฯ แล้ว และต่อไปในอนาคตข้างหน้าหากมีความจำเป็นในการปรับปรุงแก้ไขความตกลงฯ อีก ควรมีการพิจารณาให้ครอบคลุมประเด็นการขนส่งทางบกระหว่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2253 | ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2559 ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | กค | 17/03/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน ๒,๙๙๑.๔๖๙ บาท ๑.๒ เห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน ๑,๘๙๘.๖๑๕ บาท ๑.๓ ให้ รฟท. เร่งดำเนินการจัดทำแผนการปิดบัญชีให้เป็นปัจจุบัน ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งพิจารณาแนวทางการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนตามมาตรการใหม่ ทั้งในส่วนของรถโดยสารประจำทางและรถไฟให้เหมาะสมเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นผู้ใช้บริการที่มีรายได้น้อยและเป็นภาระงบประมาณเท่าที่จำเป็น โดยอาจพิจารณาการให้ความช่วยเหลือในรูปแบบอื่น ๆ เช่น การจัดทำบัตรโดยสารให้สิทธิพิเศษเฉพาะกลุ่มเป้าหมายเพื่อใช้บริการรถโดยสารประจำทางและรถไฟโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เป็นต้น ทั้งนี้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ขอโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก ๖ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘) แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในการบริหารจัดการการเดินรถโดยสารสาธารณะ เพื่อแก้ไขปัญหาการดำเนินงานของ ขสมก. และ รฟท. โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2254 | รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | กค | 17/03/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ตามมติคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย มีผลขาดทุนจากการให้บริการสาธารณะ จำนวน ๒,๓๔๘.๗๙๔ ล้านบาท เห็นสมควรให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งวดที่ ๒ จำนวน ๘๘๔.๘๗๕๖ ล้านบาท ๑.๒ ผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ มีผลขาดทุนจากการให้บริการสาธารณะ จำนวน ๙๑๑.๗๖๙ ล้านบาท เห็นสมควรให้การรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งวดที่ ๒ จำนวน ๓๒๘.๗๑๐ ล้านบาท ๒. ให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นควรพิจารณาแนวทางการประเมินผลที่เป็นมาตรการสร้างแรงจูงใจให้รัฐวิสาหกิจปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทางการเงินต่อรัฐวิสาหกิจ และให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) และสำนักงบประมาณรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาหาแนวทางในการดำเนินการเพื่อไม่ให้รัฐวิสาหกิจต้องแบกรับภาระจากการดำเนินการตามนโยบายของภาครัฐ ซึ่งจะมีผลต่อฐานะการเงินและคุณภาพการให้บริการ และเพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของการอุดหนุนการให้บริการสาธารณะที่ต้องการชดเชยภาระทางการเงินให้แก่รัฐวิสาหกิจที่ให้บริการสาธารณะแก่ประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2255 | ร่างพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. .... | กค | 17/03/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการให้อำนาจกระทรวงการคลังรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน เพื่อให้การบริหารทุนหมุนเวียนมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยง เสริมสร้างความโปร่งใส และธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลังของรัฐ โดยกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกำกับและบริหารทุนหมุนเวียนให้มีประสิทธิภาพและบังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2256 | ขออนุมัติโครงการและการกู้เงินสำหรับโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 | กค | 17/03/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน ภายในกรอบวงเงิน ๗๘,๒๙๔.๘๕ ล้านบาท สำหรับโครงการพัฒนาระบบโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) และเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมทางศุลกากร รองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของกรมศุลกากร ให้กระทรวงการคลังนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ [เรื่อง ยืนยันมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง การกำหนดโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ตามมาตรา ๔ (๘) ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘] พร้อมทั้งให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนโดยเคร่งครัดด้วย ทั้งนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการสามารถเริ่มดำเนินกระบวนการจัดหาพัสดุได้ทันทีหลังจากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ดำเนินโครงการ แต่จะลงนามในสัญญาได้ เมื่อได้รับการจัดสรรวงเงินกู้จากสำนักงบประมาณแล้ว ๒. อนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินตราต่างประเทศเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ในกรอบวงเงินไม่เกิน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท และถ้าภาวะตลาดการเงินในประเทศเอื้ออำนวยและจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบการเงิน การคลัง และตลาดทุน ให้กระทรวงการคลังสามารถกู้เป็นเงินบาทแทนการกู้เงินตราต่างประเทศได้ ตามนัยมาตรา ๒๒ และมาตรา ๒๓ ของพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และอนุมัติให้จัดสรรเงินกู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการตามข้อ ๑ ทั้งนี้ ในการกู้เงินและเบิกจ่ายเงินกู้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและคณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่เห็นควรพิจารณากู้เงินให้สอดคล้องกับแผนการเบิกจ่ายของโครงการโดยนำผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริงมาพิจารณาประกอบด้วย รวมทั้งกำหนดกรอบระยะเวลาในการเบิกจ่ายงบประมาณ (เงินกู้) ตามขั้นตอนดำเนินการตามระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นมาตรการเร่งรัดให้ส่วนราชการ/หน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของโครงการสามารถเริ่มดำเนินโครงการได้โดยเร็ว เพื่อให้การขับเคลื่อนแผนงาน/โครงการเป็นไปตามกรอบระยะเวลา และวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อเป็นค่าดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากการกู้เงินเพื่อดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน ตามความเหมาะสม ๔. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินโครงการและการจัดหาเงินกู้ การจัดซื้อจัดจ้าง การโอนหรือเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการ การจัดหาเงินกู้และการเบิกจ่ายเงินกู้ การติดตาม การประเมินผล และการรายงานผลการดำเนินงาน และการใช้เงินสำรองจ่ายและเงินเหลือจ่าย และให้ส่งร่างระเบียบดังกล่าวให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาต่อไป โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการให้สอดคล้องกับภาพรวมของแผนการบริหารจัดการน้ำของประเทศ และแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๕. มอบหมายให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางการใช้ประโยชน์จากระบบโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ของหน่วยงานราชการให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด |
||||||||||||||||||||||||
2257 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2558 ครั้งที่ 2 | กค | 17/03/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ครั้งที่ ๒ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้น ๗๔,๓๘๓.๕๕ ล้านบาท จากเดิม ๑,๓๕๑,๖๗๓.๘๐ ล้านบาท เป็น ๑,๔๒๖,๐๕๗.๓๕ ล้านบาท ๑.๒ การกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ปรับปรุงครั้งที่ ๒ ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ปรับปรุงครั้งที่ ๒ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมาย เป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติมและระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒. รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรี ภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ปรับปรุงครั้งที่ ๒ ที่มีวงเงินปรับลด ๑๓,๙๙๘.๓๖ ล้านบาท จากเดิม ๑๕๕,๕๐๗.๓๑ ล้านบาท เป็น ๑๔๑,๕๐๘.๙๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีแผนการกู้ต่างประเทศมาเพื่อให้กู้ต่อของรัฐบาล สำหรับการกู้เงินของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) นั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและกระทรวงการคลังในฐานะผู้ให้กู้จะต้องคำนึงถึงการจัดทำแผนการบริหารและแผนการชำระคืนหนี้ที่มีกรอบระยะเวลาการชำระคืนที่ชัดเจน เพื่อมิให้มีผลกระทบต่อกรอบวงเงินกู้ในระยะยาว สำหรับโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ที่มีความจำเป็น ให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ในรูปแบบดังกล่าวให้เช่นเดียวกันด้วย นอกจากนี้ ในการจัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีควรยึดตามกรอบแนวทางแผนเงินกู้ ๓ ปี ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อเป็นกรอบวางแผนการบริหารหนี้สาธารณะของประเทศ และเป็นแนวทางในการพิจารณาและจัดลำดับความสำคัญของโครงการที่จะขอใช้เงินกู้ตามแผนในแต่ละปีงบประมาณอย่างเคร่งครัด และควรกำชับให้หน่วยงานที่มีความจำเป็นต้องการก่อหนี้ใหม่หรือปรับโครงสร้างหนี้พิจารณาการกำหนดกรอบวงเงินอย่างรอบคอบ เพื่อให้การดำเนินการโครงการและแผนงานภาครัฐ และการวางแผนบริหารหนี้สาธารณะของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2258 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัยและธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม 2556 | กค | 17/03/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินและได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รายงานกิจการประจำปี ๒๕๕๖ ของ ธพว. สินทรัพย์รวม ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ มีจำนวน ๘๘,๒๘๓.๗๑ ล้านบาท ลดลงจากปี ๒๕๕๕ จำนวน ๑๐,๕๙๙.๐๑ ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ ๑๐.๗๒ มีหนี้สินจำนวน ๘๔,๘๘๘.๔๗ ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี ๒๕๕๕ จำนวน ๑๑,๔๔๐.๙๙ ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ ๑๑.๘๘ รายได้ดอกเบี้ย ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๕,๔๙๘.๘๗ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๕๕ จำนวน ๒๑๑.๓๕ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๙๔ อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง ณ สิ้นปี ๒๕๕๖ อยู่ที่ระดับร้อยละ ๖.๓๘ และในปี ๒๕๕๖ ธพว. ได้อนุมัติสินเชื่อจำนวน ๑๖,๓๙๙.๘๓ ล้านบาท โดยในปี ๒๕๕๕ มีการอนุมัติสินเชื่อจำนวน ๑๓,๗๐๙.๗๖ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน ๒,๖๙๐.๐๗ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๙.๖๒ ๒. รายงานกิจการประจำปี ๒๕๕๖ ของ บตท. สินทรัพย์รวม ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ มีจำนวน ๙,๐๙๒.๙๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๕๕ จำนวน ๓,๖๘๗.๑๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๘.๒๑ มีรายได้รวมจำนวน ๒๙๙.๔๗ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๕๕ จำนวน ๑๖๙.๔๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๓๐.๓๘ มีส่วนของเงินกองทุน ณ สิ้นปี ๒๕๕๖ จำนวน ๗๔๗.๖๕ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๕๕ จำนวน ๑๙.๓๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒.๖๖ ๓. รายงานกิจการประจำปี ๒๕๕๖ ของ ธสน. มีสินทรัพย์รวม ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๗๕,๗๑๕.๙๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๕๕ ร้อยละ ๑.๖๐ มีกำไรสุทธิจำนวน ๑,๓๐๒.๕๑ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๒๐๒.๔๒ ล้านบาท จากปี ๒๕๕๕ คิดเป็นร้อยละ ๑๘.๔๐ มีเงินกองทุนจำนวน ๑๕,๗๗๘.๑๗ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน ๗๑๔.๐๙ ล้านบาท จาก ณ สิ้นปี ๒๕๕๕ ในขณะที่สินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น ๒,๑๔๕.๖๐ ล้านบาท ทำให้อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง ณ สิ้นปี ๒๕๕๖ เท่ากับร้อยละ ๒๑.๔๕ เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี ๒๕๕๕ ที่มีอัตราส่วนดังกล่าวเท่ากับร้อยละ ๒๑.๐๙ วงเงินสินเชื่อและการค้ำประกัน ลดลงในปี ๒๕๕๖ รวม ๖,๙๙๙.๐๐ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๔.๑๓ จากปี ๒๕๕๕ และมีสินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นปี ๒๕๕๖ จำนวน ๖๗,๕๒๗.๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๒๘ จากปี ๒๕๕๕ โดยมียอดคงค้างสินเชื่อขยายกำลังการผลิตระยะกลางและระยะยาวและยอดคงค้างสินเชื่อหมุนเวียนระยะสั้นขยายตัวเพิ่มขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||
2259 | การระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 1 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | กค | 10/03/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ ๑ กฟผ. ตามรูปแบบโครงสร้างภายใต้เงื่อนไขหลักตามรายงานการศึกษาแนวทางการจัดตั้งกองทุนรวมฯ ของ กฟผ. ที่เสนอได้ ๑.๒ เห็นชอบให้ กฟผ. เข้าถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมฯ ของ กฟผ. ในจำนวนร้อยละ ๒๕ ของหน่วยลงทุนทั้งหมดได้ พร้อมทั้งอนุมัติงบประมาณลงทุนเพื่อใช้ในการเข้าถือหน่วยลงทุนดังกล่าวของ กฟผ. ได้ ๑.๓ เห็นชอบการอนุมัติยกเว้นให้การขายคืนหน่วยลงทุนบางส่วนหรือทั้งหมดภายหลังจากหมดระยะเวลาห้ามขายหน่วยลงทุน (Lock-up Period) ของ กฟผ. โดยไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจำหน่ายกิจการหรือหุ้นส่วนที่ราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ พ.ศ. ๒๕๐๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และมอบหมายให้คณะกรรมการ กฟผ. เป็นผู้พิจารณาการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวตามความเหมาะสมต่อไป ๑.๔ กรณีการระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ ของ กฟผ. ไม่ได้เข้าลักษณะเป็นการประกอบกิจการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา ๙๑/๒ แห่งประมวลรัษฎากร จึงไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะให้กับกองทุนรวมฯ ของ กฟผ. ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ ของ กฟผ. โดยมีการจ่ายผลตอบแทนให้กับนักลงทุน ควรคำนึงถึงความเป็นธรรมต่อผู้ใช้ไฟฟ้าด้วย และในการระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ ของ กฟผ. อาจส่งผลกระทบต่อรายได้นำส่งรัฐ และต้นทุนทางการเงินของหน่วยงาน ซึ่งอาจส่งผลผ่านไปยังอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บกับประชาชนได้ จึงควรพิจารณาผลกระทบของการระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ ในระยะยาวด้วย นอกจากนี้ ควรพิจารณาจัดทำแผนแม่บทการระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ ของ กฟผ. ในโครงการลงทุนของภาครัฐ (Master Plan) เพื่อให้การดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในด้านการจัดหาแหล่งทุนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยกำหนดประเภทกิจการหรือโครงการที่มีความเหมาะสมในการระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ ของ กฟผ. ตลอดจนความพร้อมของหน่วยงาน รวมทั้งศึกษาสภาพแวดล้อมที่จะมีผลต่อการดำเนินงานของกองทุนรวมฯ ของ กฟผ. และศึกษาเปรียบเทียบผลประโยชน์สุทธิที่ได้รับจากการจัดหาแหล่งเงินทุนในระบบปกติกับการระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ ของ กฟผ. เพื่อสะท้อนความจำเป็นและประโยชน์ของกองทุนได้อย่างชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2260 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสที่สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ ทูลเกล้าฯ ถวาย "รางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม" พ.ศ. .... | กค | 10/03/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสที่สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ ทูลเกล้าฯ ถวาย “รางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม” พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดชนิด ราคา โลหะ อัตราเนื้อโลหะ น้ำหนัก ขนาด อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ลวดลาย และลักษณะอื่น ๆ ของเหรียญกษาปณ์ทองคำ ราคาหนึ่งหมื่นหกพันบาท หนึ่งชนิด เหรียญกษาปณ์เงินราคาแปดร้อยบาท หนึ่งชนิด และเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ราคายี่สิบบาท หนึ่งชนิด ออกใช้เพื่อเป็นที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสที่สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ ทูลเกล้าฯ ถวาย “รางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม” ในวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
.....