ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 119 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2361 - 2380 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2361 | การแก้ไขปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง | กค | 23/09/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง) มอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รับไปดำเนินการแก้ไขปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้างในกระบวนการ e-Auction การประกาศราคากลางสำหรับกรณีเฉพาะที่ไม่สามารถกำหนดราคากลางได้ รวมทั้งการตรวจสอบเทียบเคียงอำนาจในการจัดซื้อจัดจ้างของผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการเหล่าทัพ นั้น เพื่อให้การดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของส่วนราชการต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เร่งรัดการดำเนินการตามมติข้างต้นให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2362 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 7 ราย) (1. นายประสิทธิ์ สืบชนะฯ) | กค | 23/09/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๗ ราย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการและตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายประสิทธิ์ สืบชนะ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายอำนวย ปรีมนวงศ์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายจุมพล ริมสาคร ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายนรินทร์ กัลยาณมิตร ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๕. นายสุวิชญ โรจนวานิช ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๖. นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๗. นายกฤษฎา อุทยานิน ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ |
||||||||||||||||||||||||
2363 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (รวม 2 ตำแหน่ง) (นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ นายสรร วิเทศพงษ์) | กค | 18/09/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๒ ราย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๖ กันยายน ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ๒. นายสรร วิเทศพงษ์ ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
|
||||||||||||||||||||||||
2364 | การปรับอัตราค่าตอบแทนรายเดือนผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวง | กค | 16/09/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับลดอัตราค่าตอบแทนรายเดือนผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวง จากอัตราเดือนละ ๖๓,๘๐๐ บาท เป็นอัตราเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติในหลักการให้แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๖ เกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี เพื่อให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ และข้าราชการสามารถดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีได้เป็นการเฉพาะคราว โดยให้ยกเว้นการปฏิบัติตามข้อ ๑๑ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ และมอบหมายให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ดังกล่าว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ในกรณีที่รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีมีความประสงค์จะแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งที่ปรึกษาเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้พิจารณาดำเนินการได้เท่าที่จำเป็น โดยให้ใช้ชื่อตำแหน่งว่า “คณะทำงานรัฐมนตรี”
|
||||||||||||||||||||||||
2365 | ขอความเห็นชอบหลักการเกี่ยวกับการเสนอร่างพระราชบัญญัติไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ร่างพระราชบัญญัติ รวม 5 ฉบับ) (นร 0503/12768) | กค | 16/09/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้เสนอร่างพระราชบัญญัติ รวม ๕ ฉบับ ของกระทรวงการคลัง ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีมติเห็นชอบให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว และให้เสนอคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ. .... ๒. ร่างพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๓. ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๐ พ.ศ. .... ๔. ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๖๓) ๕. ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กำหนดหลักเกณฑ์ในการดำเนินพิธีการศุลกากรในพื้นที่อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง)
|
||||||||||||||||||||||||
2366 | การให้ความเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีมติเห็นชอบแล้ว รวม 2 ฉบับ | กค | 16/09/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา รวม ๒ ฉบับ ของกระทรวงการคลัง ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีมติเห็นชอบแล้ว ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยไม่ต้องส่งคืนกระทรวงการคลัง ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กรณีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา) ๒. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กรณีภาษีเงินได้นิติบุคคล)
|
||||||||||||||||||||||||
2367 | ร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 02/09/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของกระทรวงการคลัง มีสาระสำคัญคือ ให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้กับผู้กระทำความผิดควบคู่กับมาตรการลงโทษทางอาญา และปรับปรุงบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดฐานความผิดในส่วนของการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ ตลอดจนปรับปรุงบทบัญญัติเพื่อรองรับการเชื่อมโยงตลาดทุนไทยกับตลาดทุนโลก ตามที่ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2368 | ขออนุมัติหลักการในการขอใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 [ค่าชดใช้เงินให้แก่บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน)] | กค | 02/09/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. รับทราบความจำเป็นเร่งด่วนที่กระทรวงการคลังจะต้องจ่ายเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขแดงที่ ๔๙๔๘/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๗ ให้แก่บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) เป็นเงินจำนวน ๒๒๔,๗๗๔,๑๙๓ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันมีคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จ จำนวน ๒๔๗ วัน (คำนวณจากวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗) เป็นเงินจำนวน ๑๑,๔๐๘,๐๖๐.๐๖ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒๓๖,๑๘๒,๒๕๓.๐๖ บาท ซึ่งกระทรวงการคลังจะต้องปฏิบัติตามชำระหนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เนื่องจากมีภาระดอกเบี้ยที่จะต้องรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้นตามช่วงระยะเวลา แต่กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง มิได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อการดังกล่าวไว้ จึงมีความจำเป็นต้องขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาให้แก่บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) และจะดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดตามระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไปเมื่อชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้ว ๒. อนุมัติในหลักการการขอใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ในกรอบวงเงิน ๒๓๖,๑๘๒,๒๕๓.๐๖ บาท เพื่อชำระหนี้ดังกล่าวพร้อมค่าดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันมีคำพิพากษาจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการเจรจากับบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อขอผ่อนปรนและลดภาระค่าใช้จ่ายในการชำระหนี้ตามคำพิพากษาและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นดังกล่าวให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว เพื่อมิให้เป็นภาระทางด้านงบประมาณของราชการ |
||||||||||||||||||||||||
2369 | การคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (จำนวน 7 คน 1. นางธาริษา วัฒนเกส ฯลฯ) | กค | 02/09/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย จำนวน ๗ คน แทนชุดเดิมที่ครบวาระการดำรงตำแหน่ง ๓ ปี ตามที่ปลัดกระทรวงการคลัง ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีมติ (๒ กันยายน ๒๕๕๗) เป็นต้นไป
๑. นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ ๒. นายอัชพร จารุจินดา ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๓. นางโชติกา สวนานนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน ๔. นายสมพล เกียรติไพบูลย์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการประกันภัย ๕. นายประสัณห์ เชื้อพานิช ผู้ทรงคุณวุฒิด้านบัญชี ๖. นายปราโมทย์ พรประภา ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน ๗. นายไพบูลย์ ศิริภาณุเสถียร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหารธุรกิจ
|
||||||||||||||||||||||||
2370 | มาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | กค | 02/09/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และให้ทุกหน่วยงานถือปฏิบัติในการเร่งรัดการดำเนินงานให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์และเบิกจ่ายเงินได้ตามกรอบระยะเวลาและแผนที่กำหนดไว้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การเร่งรัดการก่อหนี้และการเบิกจ่ายเงิน ๑.๑.๑ ให้เร่งรัดการก่อหนี้ให้ได้ภายในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๑.๒ ให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการฝึกอบรม ประชุมสัมมนา และเบิกจ่ายงบอบรมและประชุมสัมมนาในประเทศให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรภายในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๑.๓ ให้หน่วยงานที่มีเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีเร่งรัดการเบิกจ่าย เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี โดยเฉพาะในส่วนของรายจ่ายประจำที่ก่อหนี้ผูกพันแล้ว ๑.๒ การเตรียมความพร้อมในการจัดหาพัสดุ ด้วยขณะนี้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ อยู่ระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ดังนั้น ให้หน่วยงานที่จะจัดหาพัสดุเตรียมการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนที่เป็นเรื่องภายในของหน่วยงานให้พร้อมไว้ก่อน เช่น การกำหนดรายละเอียดหรือคุณลักษณะเฉพาะ (Specification) คุณสมบัติผู้เสนอราคา เงื่อนไขในการจัดซื้อจัดจ้าง รูปแบบและเนื้อหาของสัญญาที่จะลงนาม เป็นต้น เพื่อให้สามารถก่อหนี้ได้ตามระยะเวลาที่กำหนด ๑.๓ การติดตามเร่งรัดการดำเนินงาน ๑.๓.๑ ให้หน่วยงานรายงานผลการก่อหนี้ให้กระทรวงการคลังทราบภายในวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๓.๒ ให้หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และผู้ว่าราชการจังหวัดติดตามและกำกับดูแลหน่วยงานในสังกัดให้ปฏิบัติตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินโดยเคร่งครัด ๑.๓.๓ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดติดตามเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายงบจังหวัดและกลุ่มจังหวัดในลักษณะเดียวกับข้อ ๑.๑ และ ๑.๒ โดยมอบหมายให้คลังจังหวัดทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการหรือคณะทำงานในการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณในภาพรวมของจังหวัดทั้งมิติส่วนราชการ (Function) และมิติพื้นที่ (Area) ๑.๓.๔ ให้กรมบัญชีกลางรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายไตรมาส ๒. คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีความเห็นเพิ่มเติม ดังนี้ ๒.๑ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยให้เร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐเพื่อก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้เพื่อให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนไปในทุก ๆ ไตรมาส ทั้งนี้ ให้จัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการ หากแผนงาน/โครงการใดสามารถดำเนินการได้ทันที ก็ให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรก ส่วนโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินงาน ก็ให้เตรียมการดำเนินงานคู่ขนานกันไปในเวลาเดียวกัน เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ทั้งนี้ หากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐไม่สามารถดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามแผนที่กำหนดไว้จะถือเป็นเหตุหนึ่งในการพิจารณาปรับลดงบประมาณของหน่วยงานในปีงบประมาณต่อไป ๒.๒ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเร่งรัดการก่อหนี้ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ยกเว้นกรณีที่ต้องมีการจัดซื้อจัดหาพัสดุเพื่อใช้ในราชการลับ พัสดุที่จำเป็นต้องซื้อโดยตรงจากต่างประเทศหรือดำเนินการโดยผ่านองค์การระหว่างประเทศ พัสดุที่โดยลักษณะของการใช้งานหรือมีข้อจำกัดทางเทคนิคที่จำเป็นต้องระบุยี่ห้อเป็นการเฉพาะ ๒.๓ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเร่งรัดการจัดฝึกอบรมประชุมสัมมนา และเบิกจ่ายงบอบรมและประชุมสัมมนาในประเทศโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้หน่วยงานต่าง ๆ พิจารณาการให้ประชาชนในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นในการจัดฝึกอบรมประชุมสัมมนาด้วย ๒.๔ ในกรณีส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐมีปัญหาไม่สามารถดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่เสนอขอตั้งงบประมาณไว้ได้ และมีความประสงค์จะขอโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐจัดทำคำขอไปยังสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ การโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณดังกล่าวจะต้องอยู่ในหมวดหมู่หรือรายการเดียวกัน และห้ามโอนเปลี่ยนแปลงแผนงาน/โครงการข้ามวัตถุประสงค์ของแผนงาน/โครงการเดิม |
||||||||||||||||||||||||
2371 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2558 | กค | 02/09/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบตามที่รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) ประธานกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำรายงานว่า เงินกู้สำหรับการดำเนินโครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ วงเงิน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท นั้น ที่ผ่านมาได้มีการนำไปใช้เฉพาะโครงการเร่งด่วนประมาณ ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท จึงยังคงเหลือวงเงินกู้กว่า ๓๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ดังนั้น จึงอาจพิจารณานำเงินกู้ดังกล่าวมาใช้สำหรับการดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อการบริหารจัดการน้ำในปัจจุบันเพิ่มเติมจากเงินกู้ตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ทั้งนี้ หากจำเป็นที่จะต้องใช้วงเงินดังกล่าว ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๒.๑ อนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ประกอบด้วย ๓ แผนย่อย ได้แก่ แผนการก่อหนี้ใหม่วงเงิน ๓๘๑,๘๙๔.๓๒ ล้านบาท แผนการปรับโครงสร้างหนี้วงเงิน ๗๙๗,๑๗๓.๖๖ ล้านบาท และแผนการบริหารความเสี่ยงวงเงิน ๗๖,๐๔๘.๑๐ ล้านบาท และรับทราบแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติภายใต้กรอบแผนฯ วงเงิน ๑๔๑,๓๒๐.๙๗ ล้านบาท และแผนการบริหารหนี้ของหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติภายใต้กรอบแผนฯ วงเงิน ๓๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ๒.๒ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งขออนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุน และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ๒.๓ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๒.๔ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒.๕ อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการกำหนดวงเงินดำเนินโครงการรับจำนำผลผลิตทางการเกษตรคงค้างทั้งหมดให้อยู่ภายใต้กรอบ ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยแยกเป็นวงเงินกู้ ๔๑๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท และเงินทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ๙๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท จากเดิมภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ เป็นภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ๓. เมื่อแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ได้รับการอนุมัติแล้ว หากปรากฏว่าโครงการใดภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวเกิดปัญหาข้อขัดข้องหรือมีความล่าช้าทำให้ไม่สามารถเริ่มดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบเวลาของแผนการบริหารหนี้สาธารณะที่กำหนดไว้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้ ให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะพิจารณาปรับโครงการดังกล่าวออกจากแผนบริหารหนี้สาธารณะและบรรจุโครงการใหม่ที่มีความพร้อมดำเนินการ โดยให้พิจารณาโครงการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภค สาธารณูปการ โครงการบริหารจัดการน้ำ โครงการด้านการสื่อสารโทรคมนาคม และโครงการด้านพลังงาน เป็นลำดับแรก ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดของโครงการ รวมทั้งแหล่งเงินและแผนการใช้จ่ายส่งให้กระทรวงการคลังโดยด่วน เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดทำแผนงานเกี่ยวกับการดำเนินโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการขนส่งทางราง การบริหารจัดการน้ำและชลประทาน รวมทั้งโครงการที่เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเชื่อมโยงกับการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service) เพื่อให้สอดคล้องกับการวางแผนด้านการเงินและระดับการก่อหนี้สาธารณะของประเทศ รวมทั้งแผนการบริหารความเสี่ยงด้วย ๕. ให้กระทรวงการคลังรับไปประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดการดำเนินการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว และการใช้เงินกู้สำหรับการดำเนินการโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว |
||||||||||||||||||||||||
2372 | การแก้ไขปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง | กค | 02/09/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นว่า ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีนโยบายให้ส่วนราชการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ในทางปฏิบัติพบว่าส่วนราชการประสบปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง ได้แก่ การจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ที่ใช้ระยะเวลานาน การจัดซื้ออุปกรณ์ทางเทคนิคจากภายนอกประเทศที่ผลิตเพื่อใช้งานเป็นการเฉพาะสำหรับกรณีไม่สามารถประกาศราคากลางได้เนื่องจากไม่มีราคาเทียบเคียงและกรอบวงเงินในอำนาจการสั่งซื้อหรือจัดจ้างของผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการเหล่าทัพไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในปัจจุบันที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการเหล่าทัพต้องรับผิดชอบการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ที่มีมูลค่าสูงมาก จึงมอบหมายให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ดังนี้
๑. ปรับปรุงระยะเวลาในขั้นตอนต่าง ๆ ในกระบวนการ e-Auction ให้มีความกระชับและสอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริง ๒. พิจารณาปรับปรุงเกี่ยวกับการประกาศราคากลางสำหรับกรณีเฉพาะข้างต้นที่ไม่สามารถกำหนดราคากลางได้ โดยให้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติด้วย ๓. ตรวจสอบการเทียบเคียงอำนาจในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างของผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการเหล่าทัพ และเสนอแนวทางการปรับปรุงให้มีความเหมาะสมแก่ระดับความรับผิดชอบและสภาพข้อเท็จจริง ทั้งนี้ ให้การดำเนินการโดยยึดหลักความโปร่งใส เป็นธรรม และประสิทธิภาพ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และรายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
2373 | การเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจระหว่างปีงบประมาณ 2557 | กค | 26/08/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๗ ตามที่ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับกรอบวงเงินดำเนินการและเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ๑๐ แห่ง โดยเพิ่มกรอบวงเงินดำเนินการจาก ๑๒๔,๒๔๗ ล้านบาท เป็น ๑๒๙,๔๑๗ ล้านบาท หรือปรับเพิ่ม จำนวน ๕,๑๗๐ ล้านบาท และปรับลดวงเงินเบิกจ่ายจาก ๕๔,๑๔๓ ล้านบาท เป็น ๔๖,๓๓๓ ล้านบาท หรือปรับลด จำนวน ๗,๘๑๐ ล้านบาท ๒. เห็นชอบหลักการในการดำเนินการเรื่องการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนระหว่างปีงบประมาณในครั้งต่อไป โดยให้รัฐวิสาหกิจนำเสนอเรื่องการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนระหว่างปีงบประมาณที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจและกระทรวงเจ้าสังกัดแล้วให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาอนุมัติต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2374 | ร่างพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. .... | กค | 26/08/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการให้อำนาจกระทรวงการคลังรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน ตามที่ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เพื่อให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณากำหนดนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนด้วย แล้วให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2375 | ร่างพิธีสาร 7 ระบบศุลกากรผ่านแดน และภาคผนวกทางเทคนิค : กฎเกณฑ์และพีธีการว่าด้วยศุลกากรผ่านแดนอาเซียน ภายใต้กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าผ่านแดน (ASEAN Framework Agreement on the Facilitation of Goods in Transit : AFAFGT) | กค | 26/08/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างพิธีสาร ๗ ระบบศุลกากรผ่านแดน และภาคผนวกทางเทคนิค : กฎเกณฑ์และพิธีการว่าด้วยศุลกากรผ่านแดนอาเซียน ภายใต้กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าผ่านแดน (ASEAN Framework Agreement on the Facilitation of Goods in Transit : AFAFGT) ๑.๒ เห็นชอบในการรับรองความถูกต้องของเนื้อหาร่างพิธีสาร ๗ ระบบศุลกากรผ่านแดน และภาคผนวกทางเทคนิค : กฎเกณฑ์และพิธีการว่าด้วยศุลกากรผ่านแดนอาเซียน ภายใต้กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าผ่านแดน โดยมอบหมายให้อธิบดีกรมศุลกากรมีหนังสือถึงสำนักเลขาธิการอาเซียนเพื่อแจ้งการรับรองความถูกต้องของเนื้อหาของร่างพิธีสารดังกล่าว ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ลงนามร่างพิธีสาร ๗ ระบบศุลกากรผ่านแดน และภาคผนวกทางเทคนิค : กฎเกณฑ์และพิธีการว่าด้วยศุลกากรผ่านแดนอาเซียน ภายใต้กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าผ่านแดนและอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full powers) ในการลงนามร่างพิธีสารดังกล่าว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างพิธีสาร ๗ ระบบศุลกากรผ่านแดน และภาคผนวกทางเทคนิค : กฎเกณฑ์และพิธีการว่าด้วยศุลกากรผ่านแดนอาเซียน ภายใต้กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าผ่านแดน ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยก่อนมีการลงนาม ให้กระทรวงการคลังสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ลงนามในพิธีสาร ๗ ระบบศุลกากรผ่านแดน และภาคผนวกทางเทคนิค : กฎเกณฑ์และพิธีการว่าด้วยศุลกากรผ่านแดนอาเซียน ภายใต้กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าผ่านแดนแล้ว ให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ มาตรา ๒๓ วรรคสอง ก่อนให้สัตยาบันต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2376 | เป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2557 | กค | 26/08/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี ๒๕๕๗ ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ทำความตกลงร่วมกับคณะกรรมการนโยบายการเงินแล้ว โดยกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๗ ไว้ที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสระหว่างร้อยละ ๐.๕-๓.๐ ต่อปี เช่นเดียวกับเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
2377 | ขออนุมัติยุบเลิกทุนหมุนเวียน | กค | 26/08/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ (ร้อยเอก สุวิพันธุ์ ดิษยมณฑล รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) ชี้แจงว่า ตามที่ได้มีลูกจ้างประจำเงินทุนหมุนเวียนข่าวสารการพาณิชย์ร้องเรียนต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติกรณีที่จะถูกเลิกจ้างเนื่องจากการยุบเลิกเงินทุนหมุนเวียนข่าวสารการพาณิชย์และมีความประสงค์จะขอโอนไปปฏิบัติงานในสังกัดกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ นั้น กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้สอบถามไปยังสำนักงาน ก.พ. แล้ว ได้รับการชี้แจงว่ากรณีดังกล่าวไม่สามารถกระทำได้ เนื่องจากเป็นลูกจ้างประจำที่จ้างโดยเงินนอกงบประมาณ แต่สามารถที่จะจ้างเป็นลูกจ้างชั่วคราวได้ และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้ชี้แจงทำความเข้าใจแก่ลูกจ้างประจำทุกคนแล้ว ๒. อนุมัติให้ยุบเลิกเงินทุนหมุนเวียนโรงงานฟอกหนัง เงินทุนหมุนเวียนข่าวสารการพาณิชย์ และเงินทุนหมุนเวียนดำเนินการโครงการผลิตถ่านหินเป็นพลังงานทดแทน ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และอนุมัติให้มีการช่วยเหลือเยียวยาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่บุคลากรของเงินทุนหมุนเวียนที่ได้รับผลกระทบจากการยุบเลิกทุนหมุนเวียนดังกล่าวเป็นกรณีพิเศษ ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และอัตรา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงกลาโหมรับไปพิจารณาการใช้ประโยชน์ของโรงงานฟอกหนังเมื่อได้มีการยุบเลิกเงินทุนหมุนเวียนแล้วให้เหมาะสมต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2378 | แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน | กค | 26/08/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการและแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน โดยการให้ชุมชนเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของสมาชิกในชุมชนผ่านองค์กรการเงินชุมชนที่เข้มแข็งและมีศักยภาพควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ นอกจากนี้ แนวทางดังกล่าวจะสร้างกลไกในการเจรจาประนอมหนี้ระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้ง ๒ ฝ่าย ซึ่งรวมถึงการสร้างกลไกในการพัฒนาและฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้มีศักยภาพในการหารายได้และสามารถชำระหนี้ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้กลับไปเป็นหนี้นอกระบบอีก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อกระทรวงการคลังจะได้ดำเนินการต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืนในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๓ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กรมสรรพากร กรมบัญชีกลาง สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ให้ความร่วมมือในการดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบดังกล่าว เพื่อให้การดำเนินงานตามแนวทางดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๒. เพื่อให้การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสามารถดำเนินการได้อย่างบูรณาการและยั่งยืน ให้กระทรวงการคลังประสานการดำเนินงานโดยให้เชื่อมโยงกับศูนย์ดำรงธรรมของกระทรวงมหาดไทยที่จัดตั้งขึ้นในทุกจังหวัดทั่วประเทศ และให้กระทรวงมหาดไทยรวบรวมข้อมูลหนี้นอกระบบในพื้นที่จัดส่งให้กระทรวงการคลังด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังคัดเลือกสถาบันการเงินเฉพาะกิจและองค์กรการเงินชุมชนที่จะเข้าร่วมโครงการ โดยคำนึงถึงสถานะการเงิน ความสามารถในการบริหารจัดการหนี้สิน รวมทั้งความสามารถในการฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้ ของสถาบันการเงินฯ ดังกล่าว เพื่อให้การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป ๔. ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยกำกับดูแลการให้บริการบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์และการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในภาพรวมของประชาชนให้เหมาะสมเพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้จ่ายเงินเกินความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งเป็นสาเหตุประการหนึ่งของการก่อหนี้นอกระบบ |
||||||||||||||||||||||||
2379 | รายงานการตรวจสอบสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 และ 2554 | กค | 26/08/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการตรวจสอบสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๔ โดยกรมบัญชีกลางได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๔ แบ่งการตรวจสอบเป็น ๒ ลักษณะ คือ การตรวจสอบทางการเงิน และการตรวจสอบพัสดุ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การตรวจสอบทางการเงิน ผลการตรวจสอบงบการเงินแสดงฐานะการเงินของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๔ ผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันโดยถูกต้องตามที่ควร มีสาระสำคัญตามมาตรฐานรายงานการเงินสำหรับหน่วยงานภาครัฐ และมีข้อตรวจพบที่มีสาระสำคัญคือ การบันทึกรายได้ค่าธรรมเนียมตรวจสอบบัญชีไม่สอดคล้องตามระเบียบคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินว่าด้วยการรับ การจ่าย และการเก็บรักษาเงิน พ.ศ. ๒๕๔๓ หมวด ๑ ส่วนที่ ๑ ข้อ ๑๒ และขาดการควบคุมภายในที่เหมาะสมเกี่ยวกับลูกหนี้ค่าธรรมเนียมตรวจสอบบัญชี ๑.๒ การตรวจสอบพัสดุ ผลการตรวจสอบ มีการปฏิบัติถูกต้องตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และมีข้อตรวจพบที่มีสาระสำคัญคือ ๑.๒.๑ การจัดจ้างออกแบบ จำนวน ๒ สัญญา ราคารวม ๓๘.๐๗๕ ล้านบาท มีการดำเนินการที่อาจทำให้ไม่ได้ผู้รับจ้างออกแบบที่เหมาะสมที่สุด โดยมีการปฏิบัติไม่เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๐๖ (๓) ๑.๒.๒ การดำเนินการควบคุมพัสดุ ยังไม่ถูกต้องรัดกุม รอบคอบ และหรือเหมาะสมเท่าที่ควร โดยมีการขายทอดตลาดรถยนต์ประจำตำแหน่ง จำนวน ๘ คัน เนื่องจากมีสภาพเสียหายไม่คุ้มค่าซ่อมแซม โดยขาดข้อมูลที่ชัดเจนเชื่อถือได้เกี่ยวกับสภาพรถยนต์ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปประสานสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเพื่อเร่งรัดการนำเสนอรายงานการตรวจสอบสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และปีต่อ ๆ ไปให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ๓. ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินพัฒนาระบบการตรวจสอบให้มีความครอบคลุมถึงการตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้าง และจัดหาพัสดุที่ไม่มีการจำหน่ายในช่องทางการตลาดปกติ ให้มีมาตรฐานที่ชัดเจน เช่น วัสดุและยุทโธปกรณ์ทางด้านความมั่นคง เป็นต้น รวมทั้งควรมีการพัฒนาบุคลากรของสำนักงานให้มีความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวเป็นการเฉพาะเพื่อดำเนินการตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานเจ้าของเรื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2380 | รายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ 12 เดือน ปี พ.ศ. 2556 | กค | 26/08/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ ๑๒ เดือน ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ภาพรวมธุรกิจประกันภัยของไทย รอบ ๑๒ เดือน ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๐๔ จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีเบี้ยประกันภัยรวมทั้งสิ้น ๖๔๔,๓๖๒ ล้านบาท ประกอบด้วย เบี้ยประกันภัยรับโดยตรงจากธุรกิจประกันชีวิต ๔๔๑,๓๔๙ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๐๒ และเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงจากธุรกิจประกันวินาศภัย ๒๐๓,๐๑๓ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๐๘ สำหรับอัตราการเติบโตของธุรกิจประกันภัยของปี ๒๕๕๗ จะมีอัตราการเติบโตแต่ในอัตราที่ชะลอตัว ประมาณร้อยละ ๗.๔๐ โดยมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม ๖๙๒,๐๖๘ ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ร้อยละ ๕.๖๐ ๒. ผลการดำเนินการตามกรอบแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗) ตามมาตรการหลักทั้ง ๔ ประการของแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ ๒ ๒.๑ มาตรการที่ ๑ เสริมสร้างความเชื่อมั่นและเข้าถึงระบบประกันภัย ได้แก่ การบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการสร้างความรู้ความเข้าใจและสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยแก่ประชาชน การจัดกิจกรรมส่งเสริมการประกันภัยทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค การจัดตั้งโครงการอาสาสมัครประกันภัย และโครงการยุวชนประกันภัยในสถานศึกษา การส่งเสริมภาพลักษณ์ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย การปรับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยในที่ไม่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล การปรับปรุงหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและอัตราเบี้ยประกันภัยของกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น การพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายให้เข้าถึงประชาชนทุกระดับ รวมทั้งการส่งเสริมการประกันภัยรายย่อย (Micro Insurance) โดยจัดให้มีรูปแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยรายย่อยแบบพื้นฐาน ๒.๒ มาตรการที่ ๒ เสริมสร้างเสถียรภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ การพัฒนาแนวทางการกำกับโดยการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) ซึ่งเป็นเครื่องมือการจัดการความเสี่ยงที่มีความจำเป็นต่อหน่วยงานกำกับดูแลและบริษัทประกันภัย การปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการลงทุนประกอบธุรกิจอื่นให้เหมาะสม สอดคล้องต่อธุรกิจหลักของบริษัทประกันภัย การปรับปรุงระบบสัญญาณเตือนภัย (Early Warning System : EWS) รวมทั้งการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ๒.๓ มาตรการที่ ๓ การพัฒนาการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านการประกันภัย ได้แก่ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านประกันภัย การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์อุทกภัย การเพิ่มประสิทธิภาพการจ่ายค่าสินไหมทดแทนผ่านระบบสินไหมอัตโนมัติ (E-Claim) การจัดให้มีการประกันภัยรถผ่านระบบออนไลน์ (Online-Real Time) ๒.๔ มาตรการที่ ๔ ส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัย ได้แก่ การพัฒนากฎหมายแม่บทด้านการประกันภัยเพื่อเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงกฎหมายแม่บทด้านการประกันชีวิตและวินาศภัยให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น รวมทั้งผลักดันการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว การจัดทำโครงสร้างฐานข้อมูลการประกันภัย (Insurance Bureau System) เพื่อเป็นศูนย์กลางข้อมูลด้านการประกันภัย การนำหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีมาใช้โดยเป็นไปตามกรอบแนวทางธรรมาภิบาลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และการพัฒนายุทธศาสตร์ด้านการประกันภัย โดยจัดทำโครงการศึกษาสภาพแวดล้อม ศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจประกันภัยไทย การพัฒนาระบบทรัพยากรบุคคล การพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมและความรู้ให้กับบุคลากรประกันภัยทั้งภายนอกและภายในด้านการประกันภัย การเงินและการลงทุน การบริหารความเสี่ยง และสาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
|
.....