ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 115 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2281 - 2300 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2281 | แนวทางการดำเนินงานโครงการความร่วมมือป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ | กค | 03/02/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการดำเนินงานโครงการความร่วมมือป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งเน้นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และทุกภาคส่วนของสังคมไทยเพื่อสร้างเครือข่ายที่จะร่วมกันสร้างมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้าง ส่งเสริมให้ภาคเอกชนที่เข้าร่วมเป็นผู้เสนอราคาต่อหน่วยงานภาครัฐ มีการป้องกันและต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน และมีความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งให้ภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ทำให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณของประเทศมีความคุ้มค่ามากที่สุด โดยมีขั้นตอนการดำเนินงานโครงการฯ ได้แก่ การแต่งตั้งคณะกรรมการความร่วมมือป้องกันการทุจริต (Anti-Corruption Cooperation Committee) การคัดเลือกโครงการจัดซื้อจัดจ้าง การคัดเลือกผู้สังเกตการณ์ (Observers) ตามข้อตกลงคุณธรรม การจัดทำข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) เงื่อนไขการดำเนินงานที่กำหนดเพิ่มเติม ข้อยกเว้น และการประเมินผลโครงการจัดซื้อจัดจ้างตามข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ๑.๒ อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการความร่วมมือป้องกันการทุจริต (Anti-Corruption Cooperation Committee) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และปลัดกระทรวงการคลัง เป็นรองประธาน และอธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดแนวทางและวิธีการในการดำเนินโครงการความร่วมมือป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ กำหนดรูปแบบ ปรับปรุง เนื้อหาของข้อตกลงคุณธรรม พิจารณาคัดเลือกโครงการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อเข้าร่วมโครงการความร่วมมือป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พิจารณาคัดเลือกผู้สังเกตการณ์เพื่อเข้าร่วมโครงการฯ ทบทวน ปรับปรุง และกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินโครงการฯ กำหนดแนวทางการดำเนินงานให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายหรือระเบียบใด ๆ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการที่กำหนด รวมทั้งพิจารณารายงานผลการประเมินผลโครงการจัดซื้อจัดจ้างที่เข้าร่วมโครงการฯ และเสนอแนะแนวทางการดำเนินงานตามโครงการฯ ตลอดจนพิจารณาหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอันเนื่องมาจากการเป็นผู้สังเกตการณ์ตามโครงการฯ ๒. ในส่วนขององค์ประกอบของคณะกรรมการ ให้ตัดเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติออก เนื่องจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเป็นองค์กรกลางที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานและโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐอยู่แล้ว |
||||||||||||||||||||||||||||||
2282 | การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและอากรแสตมป์ สำหรับกรณีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เป็นที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย | กค | 03/02/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและอากรแสตมป์ สำหรับกรณีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เป็นที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2283 | การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินราชพัสดุคืนให้แก่ผู้ยกให้ราย บริษัท เขตอุตสาหกรรมสุรนารี จำกัด | กค | 03/02/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ นม.๒๖๒๑ ตำบลหนองบัวศาลา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ประมาณ ๖-๐-๐๐ ไร่ คืนให้แก่บริษัท เขตอุตสาหกรรมสุรนารี จำกัด ผู้ยกให้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2284 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรา และยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การกำหนดรายชื่อบริษัทสำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด ให้เป็นผู้ยืมหรือผู้ให้ยืมหลักทรัพย์] | กค | 27/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การกำหนดรายชื่อบริษัทสำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด ให้เป็นผู้ยืมหรือผู้ให้ยืมหลักทรัพย์] ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2285 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานและให้อำนาจปฏิบัติการเกี่ยวกับสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 พ.ศ. .... | กค | 27/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานและให้อำนาจปฏิบัติการเกี่ยวกับสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+๓ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามความตกลงเพื่อการจัดตั้งสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+๓ (Agreement Establishing ASEAN+3 Macroeconomic Research Office : AMRO) ซึ่งมีสถานะเป็นองค์การระหว่างประเทศและประเทศไทยได้ลงนามไปแล้วเมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๗ โดยร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ AMRO และบุคลากรของ AMRO ตามพันธกรณีตามความตกลงดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรให้เปลี่ยนชื่อร่างพระราชบัญญัติฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. อนุมัติการให้สัตยาบันความตกลงเพื่อการจัดตั้งสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+๓ ภายหลังที่ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานและให้อำนาจปฏิบัติการเกี่ยวกับสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+๓ พ.ศ. .... ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว ๓. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำสัตยาบันสาร ภายหลังที่ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานและให้อำนาจปฏิบัติการเกี่ยวกับสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+๓ พ.ศ. .... ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว และให้กระทรวงการคลังดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
2286 | การดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | กค | 27/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการปรับปรุง พัฒนา หรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน ข้อมูลกรอบวงเงินงบประมาณดำเนินงานวิจัยของทุนหมุนเวียน กลุ่ม ๑ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ๖ ทุน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ วงเงินรวม ๓,๕๐๙.๔๐ ล้านบาท และสภาพคล่องของทุนหมุนเวียนทั้งหมด ซึ่งมีทุนหมุนเวียนที่มีสภาพคล่องส่วนที่เกินความจำเป็น จำนวน ๓๐ ทุน เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นประมาณ ๓๒,๗๐๘ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงการคลังวิเคราะห์และเสนอแนวทางในการปฏิรูปทุนหมุนเวียนในกรณีที่จะต้องดำเนินการปรับปรุง พัฒนา ยุบรวม หรือยุบเลิกกองทุนตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) และวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) เช่น ๒.๑ เสนอแนวทางในการยุบรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียนที่มีผลการประเมินต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานซึ่งต้องปรับปรุงและพัฒนา รวม ๔๓ ทุน และทุนหมุนเวียนที่ได้รับผลการประเมินต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานซึ่งต้องพิจารณาปรับปรุงการดำเนินงานโดยด่วน รวม ๕ ทุน ให้ชัดเจนและยุบทุนหมุนเวียนที่มีวัตถุประสงค์ใกล้เคียงกันมารวมกันเป็นทุนหมุนเวียนเดียวเพื่อมิให้เกิดปัญหาความซ้ำซ้อนต่อไป ทั้งนี้ ในการยุบรวมหรือยุบเลิกดังกล่าวให้พิจารณาดำเนินการอย่างรอบคอบและระมัดระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน ๒.๒ การแบ่งกลุ่มทุนหมุนเวียนต้องให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลเพื่อให้เห็นถึงความเชื่อมโยงในการนำทุนหมุนเวียนดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ ๒.๓ จัดทำแผนปฏิบัติการที่จะนำทุนหมุนเวียนที่มีสภาพคล่อง ส่วนที่เกินความจำเป็น จำนวน ๓๐ ทุน เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นประมาณ ๓๒,๗๐๘ ล้านบาท ไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินการสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศในช่วงระยะเวลา ๑ ปี แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
2287 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการจัดหาพัสดุด้วยวิธีตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Market : e-market) และ ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Bidding : e-bidding) | กค | 27/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการจัดหาพัสดุด้วยวิธีตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Market : e-market) และด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Bidding : e-bidding) มีสาระสำคัญเพื่อให้แนวทางปฏิบัติในการจัดหาพัสดุด้วยวิธีตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Market : e-market) และด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Bidding : e-bidding) เป็นที่รับรู้ของประชาชนโดยทั่วกัน เนื่องจากแนวทางปฏิบัติในการจัดหาพัสดุฯ ดังกล่าว มีผลกระทบต่อบุคคลภายนอกที่ประสงค์จะทำธุรกรรมกับส่วนราชการด้วย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2288 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2558 - 31 กรกฎาคม 2558 | กค | 27/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก ๖ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม (องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย) จัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินตามมาตรการฯ ที่เกิดขึ้นจริงโดยผ่านคณะกรรมการตรวจสอบที่เกี่ยวข้อง และขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินตามมาตรการฯ ดังกล่าวตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งพิจารณาแนวทางการดำเนินมาตรการฯ ให้มีความชัดเจนโดยเร็ว โดยในการพิจารณาควรได้มีการศึกษาความคุ้มค่าและความเหมาะสมในการดำเนินการเปรียบเทียบกับวิธีการที่ดำเนินการในปัจจุบันโดยเฉพาะประเด็นความครอบคลุมประชาชนที่รับบริการและภาระทางการเงินของภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งพิจารณาแนวทางการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนตามมาตรการใหม่ ทั้งในส่วนของรถโดยสารประจำทางและรถไฟให้เหมาะสมเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นผู้ใช้บริการที่มีรายได้น้อย และเป็นภาระงบประมาณเท่าที่จำเป็น โดยอาจพิจารณาการให้ความช่วยเหลือในรูปแบบอื่น ๆ เช่น การจัดทำบัตรโดยสารให้สิทธิพิเศษเฉพาะกลุ่มเป้าหมายเพื่อใช้บริการรถโดยสารประจำทางและรถไฟโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เป็นต้น ทั้งนี้ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ขอโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ) แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
2289 | ขออนุมัติจ่ายชดเชยราษฎรผู้ได้รับผลกระทบโครงการก่อสร้างด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) และการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ | กค | 20/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐและสำนักงบประมาณเสนอความเห็นเกี่ยวกับการจ่ายชดเชยราษฎรผู้ได้รับผลกระทบโครงการก่อสร้างด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ ว่า ทางกระทรวงการคลังควรจะดำเนินการเจรจาต่อรองให้ค่าชดเชยในอัตราที่เหมาะสม ซึ่งกระทรวงการคลังชี้แจงว่า ข้อเสนอของกระทรวงการคลังในครั้งนี้เป็นผลการเจรจากับประชาชนในพื้นที่มาเป็นระยะเวลาอันยาวนานแล้ว และโดยคำนวณค่าชดเชยซึ่งเทียบเคียงกับการชดเชยในโครงการอื่น ๆ ของรัฐ และได้พยายามเจรจาต่อรองจนถึงที่สุดแล้ว ประกอบกับการดำเนินการโครงการดังกล่าวเพื่อรองรับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ๒. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบหลักเกณฑ์และวงเงินการจ่ายค่าชดเชยเพื่อเยียวยาให้แก่ราษฎรผู้ครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่โครงการก่อสร้างด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ ในวงเงินทั้งสิ้น ๗๕๘,๔๑๓,๓๑๗ บาท โดยภาพรวมของอัตราค่าชดเชยหลัก ได้แก่ ค่าตอบแทนจากการสูญเสียที่ดินไร่ละ ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท (ราษฎรลดข้อเรียกร้องลงจากเดิมไร่ละ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท) และเมื่อรวมค่าผลอาสินสำหรับต้นไม้หลัก คือ ต้นยางตามหลักเกณฑ์แล้ว เป็นค่าชดเชยไร่ละ ๑,๓๑๒,๕๐๐ บาท (ไม่รวมผลอาสินต้นไม้ผลอื่นและสิ่งปลูกสร้างซึ่งมีเพียงบางราย) รวมเป็นเงินค่าชดเชยทั้งสิ้น ๗๕๘,๔๑๓,๓๑๗ บาท ราษฎรในพื้นที่โครงการเดิมยินดีเข้าร่วมโครงการ จำนวน ๒๘ ราย เป็นพื้นที่โครงการทั้งสิ้น ๕๗๔-๐-๐๓ ไร่ จำนวน ๔๑ แปลง ๒.๒ อนุมัติในหลักการให้ใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขปัญหาการจัดหาพื้นที่ดำเนินโครงการก่อสร้างด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่เพื่อการจ่ายเงินชดเชยตามหลักเกณฑ์และวงเงินดังกล่าว |
||||||||||||||||||||||||||||||
2290 | ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประชาชนรายย่อย (สินเชื่อ Nano-Finance) | กค | 20/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประชาชนรายย่อย (สินเชื่อ Nano-Finance) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้ปรับปรุงประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง กิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ ๕ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ (เรื่อง สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ) ตามข้อเสนอของธนาคารแห่งประเทศไทย คือ (๑) ไม่ขัดข้องที่ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง สินเชื่อรายย่อยเพื่อประกอบอาชีพ (Nano-Finance) จะกำหนดให้มีวัตถุประสงค์ให้สินเชื่อเพื่อใช้ในการประกอบอาชีพ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำกับและตรวจสอบผู้ประกอบธุรกิจ Nano-Finance เฉพาะด้าน Market Conduct เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้ใช้บริการ (Consumer Protection) (๒) ปรับปรุงขยายกรอบการกำกับดูแลเดิมของ P-Loan ให้ครอบคลุมถึงการให้สินเชื่อโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้ประกอบอาชีพได้ เพื่อให้เปิดช่องทางให้ประชาชนที่สามารถพิสูจน์แหล่งที่มาของรายได้ชัดเจน (Proven record) สามารถใช้สินเชื่อเพื่อประกอบอาชีพด้วยอัตราดอกเบี้ยเดียวกับการใช้เพื่ออุปโภคบริโภค (ไม่เกินร้อยละ ๒๘ ต่อปี) และ (๓) ปรับปรุงหลักเกณฑ์ด้านการปฏิบัติอื่น ๆ เช่น การเปิด ปิดสำนักงานสาขา และการรายงาน เป็นต้น ทั้งนี้ ยกเว้นในส่วนของการคงวัตถุประสงค์ของการให้สินเชื่อเพื่อการประกอบอาชีพไว้ให้ชัดเจน ซึ่งเป็นไปตามการหารือระหว่างสำนักงานเศรษฐกิจการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๒. สำหรับข้อเสนอของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ขอให้กระทรวงการคลังปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับให้มีความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อ Nano-Finance และประกาศให้ผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวเป็นสถาบันการเงินตามพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. ๒๕๒๓ นั้น กระทรวงการคลังได้มีหนังสือแจ้งธนาคารแห่งประเทศไทยว่าไม่ขัดข้องกับข้อเสนอของธนาคารแห่งประเทศไทย และได้ประชุมร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อร่วมกันพิจารณาปรับปรุงประกาศกระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๘ ซึ่งจะได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรกต่อไป ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ลงนามในประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง กิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ ๕ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ (เรื่อง สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ) และประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนดสถาบันการเงินและอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินอาจคิดได้จากผู้กู้ยืม (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ได้ปรับปรุงแล้ว เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2291 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 2 ไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ปีงบประมาณ 2557 | กค | 20/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๒ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๕๗) ไตรมาสที่ ๓ (เมษายน-มิถุนายน ๒๕๕๗) และไตรมาสที่ ๔ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๗) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๒ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่ม ได้แก่ ผลไม้ น้ำหอมและเครื่องสำอาง กระเป๋าและเข็มขัดหนัง นาฬิกาและอุปกรณ์ สูท เสื้อ กระโปรง กางเกง สำหรับบุรุษ สตรี สุราต่างประเทศ รองเท้าหนังและรองเท้าผ้าใบ เลนส์ แว่นตา ปากกาและอุปกรณ์ ไวน์ เครื่องประดับที่ทำด้วยคริสตัล กล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ ผ้าทอทำด้วยขนสัตว์ ไฟแช็คและอุปกรณ์ ดอกไม้ และเครื่องแก้วชนิดใช้บนโต๊ะอาหาร หรือใช้ตกแต่งภายใน ที่ทำด้วยคริสตัล มีมูลค่านำเข้า ๘๐๔.๔๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๑.๔๕ ของมูลค่านำเข้ารวม ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๕๖) ๒๕.๔๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๓.๐๖ โดยสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ ผลไม้ มีมูลค่านำเข้า ๑๕๒.๑๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มีมูลค่านำเข้า ๑๓๐.๘๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ กระเป๋าหนังและเข็มขัด มีมูลค่านำเข้า ๑๐๖.๘๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๒. การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๓ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มดังกล่าว มีมูลค่านำเข้า ๗๓๗.๑๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๑.๒๙ ของมูลค่านำเข้ารวม เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (เมษายน-มิถุนายน ๒๕๕๖) ๕.๑๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๐.๗๑ โดยสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มีมูลค่านำเข้า ๑๕๒.๗๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ กระเป๋าและเข็มขัดหนัง มีมูลค่านำเข้า ๙๗.๑๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ นาฬิกาและอุปกรณ์ มีมูลค่านำเข้า ๙๕.๓๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๓. การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มดังกล่าว มีมูลค่านำเข้า ๘๑๗.๒๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๑.๓๙ ของมูลค่านำเข้ารวม เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๖) ๒๓.๐๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒.๙๑ โดยสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มีมูลค่านำเข้า ๑๔๔.๙๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ กระเป๋าและเข็มขัดหนัง มีมูลค่านำเข้า ๑๑๔.๒๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ นาฬิกาและอุปกรณ์ มีมูลค่านำเข้า ๑๑๑.๙๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2292 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 20/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ด่านศุลกากรวังประจันสามารถปฏิบัติพิธีการส่งออกซึ่งของที่ขอคืนอากรขาเข้าหรือของที่มีทัณฑ์บนตามกฎหมายศุลกากรและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2293 | ร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 13/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมลักษณะต้องห้ามของผู้บริหารรัฐวิสาหกิจกรณีต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษา และกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้รักษาการตามกฎหมาย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่ว่า ร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมลักษณะต้องห้ามของผู้บริหารและพนักงานรัฐวิสาหกิจเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันกับลักษณะต้องห้ามของข้าราชการพลเรือนนั้น ในร่างมาตรา ๓ การกำหนดลักษณะต้องห้ามของผู้บริหารรัฐวิสาหกิจยังมีความไม่สอดคล้องกับมาตรา ๓๖ ข. (๗) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งกำหนดให้การได้รับโทษจำคุกต้องเป็นการกระทำที่เกิดจากความผิดทางอาญา และในร่างมาตรา ๔ การกำหนดลักษณะต้องห้ามของพนักงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งกำหนดให้พนักงานรัฐวิสาหกิจเมื่อพ้นโทษเกินห้าปีแล้ว สามารถกลับเข้าทำงานได้นั้น ควรกำหนดหลักการของผู้บริหารและพนักงานรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของข้าราชการพลเรือน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
2294 | ขออนุมัติยกเลิกการก่อสร้างอาคารคลังเก็บใบยาต่างประเทศ (B05) และอาคารศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ (B19) โครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ ณ สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง | กค | 13/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติยกเลิกการก่อสร้างอาคารคลังเก็บใบยาต่างประเทศ (B05) และอาคารศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ (B19) โครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ ณ สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของโรงงานยาสูบ และปรับลดวงเงินก่อสร้างรวมประมาณ ๒๔๗,๐๔๔,๒๕๗.๙๐ บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เนื่องจากโครงการมีความล่าช้าไปจากกรอบระยะเวลาเดิมที่กำหนดไว้ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และในการเบิกจ่ายงบประมาณให้กระทำด้วยความถูกต้องเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการและสามารถตรวจสอบได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางเพื่อบริหารจัดการยาสูบในภาพรวม เช่น การแก้ไขปัญหาราคาใบยาสูบตกต่ำในภาคเหนือ การพัฒนาคุณภาพใบยาสูบไทยเพื่อลดการนำเข้าใบยาสูบจากต่างประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2295 | เป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2558 | กค | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี ๒๕๕๘ ไว้ที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี ๒๕๕๘ ที่ร้อยละ ๒.๕?๑.๕ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินได้ทำความตกลงร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้ว ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาต่อไปด้วย ดังนี้ ๒.๑ ในระยะต่อไป เห็นควรให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกันศึกษาถึงอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายที่สอดคล้องกับศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว รวมทั้งการกำหนดค่าความยืดหยุ่นของเป้าหมายทางการเงินให้มีความเหมาะสมเพื่อใช้เป็นกรอบเป้าหมายของการดำเนินนโยบายการเงิน เพื่อให้การดำเนินนโยบายการเงินมีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ๒.๒ การกำหนดค่ากลางของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อจะช่วยให้สาธารณชนสามารถคาดการณ์เป้าหมายเงินเฟ้อได้อย่างถูกต้องและใช้ค่ากลางดังกล่าวประกอบการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งเป็นการสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของนโยบายการเงิน จึงควรดำเนินนโยบายการเงินที่จะรักษาอัตราเงินเฟ้อให้ใกล้เคียงกับเป้าหมายของค่ากลางด้วย ๒.๓ ในการดำเนินนโยบายการเงิน ควรพิจารณาถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ เช่น การขยายตัวทางเศรษฐกิจ เสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน ระดับการจ้างงาน ควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพของระดับราคา เพื่อให้เศรษฐกิจโดยรวมสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2296 | มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม | กค | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการเพิ่มการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับค่าใช้จ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม จาก ๒ เท่า เป็น ๓ เท่า และให้กระทรวงการคลังหารือกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อกำหนดเพดานค่าใช้จ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสูงสุดตามมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการกำหนดเพดานค่าใช้จ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสูงสุด จะต้องคำนึงถึงเงื่อนไขที่เหมาะสมที่ผู้ประกอบการภาคเอกชนทั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาต่อรายได้เฉลี่ยในระดับที่แตกต่างกัน ให้ได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้เพียงพอในระดับที่จะสามารถสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้น และในการตรวจสอบและรับรองโครงการวิจัยและพัฒนาที่จะได้รับการยกเว้นภาษี ควรมีการบูรณาการหน่วยงานซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา เพื่อให้การดำเนินมาตรการได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้ โดยหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและรับรอง ควรมีกลไกและกระบวนการตรวจสอบและรับรองโครงการที่ไม่ซับซ้อนและยุ่งยาก เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการขอใช้สิทธิของภาคเอกชน นอกจากนี้ การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่โครงการวิจัยและพัฒนาเป็นระยะเวลา ๕ ปี ควรมีการทบทวนตรวจสอบเพื่อประเมินผลความคืบหน้าจากการใช้สิทธิประโยชน์ทุก ๆ ปี เพื่อให้นิติบุคคลที่เข้าร่วมโครงการมีความใส่ใจที่จะพัฒนางานวิจัยอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังดำเนินการยกร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อกำหนดมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับค่าใช้จ่ายการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วนต่อไป ๓. โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติมาตรการปรับลดอัตราภาษีด้านต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไปหลายมาตรการแล้ว ซึ่งคาดว่าจะมีผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของประเทศ ดังนั้น ให้กระทรวงการคลังดำเนินการวิเคราะห์ผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ด้านภาษีอากรของประเทศและผลประโยชน์ที่จะได้รับจากมาตรการปรับลดอัตราภาษีด้านต่าง ๆ ในภาพรวม รวมทั้งให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) ที่ให้กระทรวงการคลังเร่งจัดทำแผนปฏิบัติภาษีของประเทศทั้งระบบโดยเร็วด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
2297 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่การให้บริการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Book)] | กค | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่การให้บริการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Book)] ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2298 | แนวทางการดำเนินการรวมตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า | กค | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการการรวมตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) กับบริษัทตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (TFEX) ตามรายละเอียดและแผนการดำเนินการด้านธุรกิจและปฏิบัติการ (Business & Operation Model) ที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการเสนอร่างพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อดำเนินการให้มีการยกเลิกพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒ ต่อไป ๒. รับทราบเกี่ยวกับการเตรียมการแผนการโอนบุคลากรและแผนการดำเนินการแก้ไขประกาศหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (คณะกรรมการ ก.ส.ล.) AFET TFEX และบริษัทสำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด โดยให้ดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินการรวมตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ควรคำนึงถึงวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของการจัดตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) การดูแลบุคลากรทั้งของสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า และตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) ให้รับพนักงานของสองหน่วยงานดังกล่าวไว้ทั้งหมด และให้รับสิทธิประโยชน์ไม่น้อยกว่าที่ได้รับอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ การรวมตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ขอให้มีการพิจารณาแนวทางการดำเนินการที่คำนึงถึงผลประโยชน์ที่เกษตรกรส่วนใหญ่จะได้รับ และระดับความเหมาะสมในการแทรกแซงสินค้าเกษตรที่สำคัญ ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณามาตรการอื่น ๆ เพิ่มเติมควบคู่ไปกับการควบรวมด้วย เพื่อให้ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าเป็นกลไกที่เข้มแข็งและเป็นประโยชน์ต่อภาคเกษตรกรรมของไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
2299 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงเงินเพิ่มค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ช.ค.บ.) ควบคู่ไปกับการปรับเงินเดือนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐชั้นผู้น้อย เพื่อให้มีความสอดคล้องกับการปรับเงินเดือนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐชั้นผู้น้อย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. สำหรับภาระงบประมาณค่าใช้จ่ายในการปรับเพิ่มเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญดังกล่าว ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ ไปดำเนินการในลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอ ก็ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||
2300 | ขอเปลี่ยนแปลงวงเงินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการการจ้างบำรุงรักษาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่อง X-ray กรมศุลกากร | กค | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานรายการจ้างบำรุงรักษาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่อง X-ray กรมศุลกากร ซึ่งเป็นรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการจ้างบำรุงรักษาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่อง X-ray กรมศุลกากร ตามผลการจัดจ้าง ในวงเงินทั้งสิ้น ๑,๑๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณ ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๖๒) มีสัดส่วนที่ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๖๓๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท หรือร้อยละ ๕๕ และสัดส่วนที่ใช้จากเงินนอกงบประมาณ จำนวน ๕๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท หรือร้อยละ ๔๕ โดยในส่วนที่ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๑๓๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไว้แล้วในแผนงานบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาคให้เกิดความยั่งยืน ผลผลิตการจัดเก็บภาษีศุลกากร งบดำเนินงาน รายการค่าจ้างบำรุงรักษา ระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่อง X-ray จำนวน ๑๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท และปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จากงบดำเนินงานที่ได้รับจัดสรรแล้ว อีกจำนวน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๙๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๙๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ปีละ ๑๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท) และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๔๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ปีละ ๑๐๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท) ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรเสนอข้อมูลเพิ่มเติมเปรียบเทียบระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ดังกล่าวกับประเทศอื่น ๆ ว่ามีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการอย่างไร รวมทั้งหากมีการจัดหาระบบใหม่ทดแทนระบบเดิมจะเหมาะสมและคุ้มค่าหรือไม่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
.....