ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 112 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2221 - 2240 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2221 | มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่กองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ | กค | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่กองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นเงินได้ให้แก่บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่กองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับมาตรการทางภาษีดังกล่าว ให้หักลดหย่อนภาษีเท่าจำนวนที่บริจาค หากกระทรวงการคลังพิจารณาว่าไม่กระทบต่อรายได้การจัดเก็บภาษีมากนัก คณะรัฐมนตรีอาจพิจารณาให้สามารถลดหย่อนภาษีได้สองเท่าของจำนวนที่บริจาคเช่นเดียวกับกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการที่ปัจจุบันสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้สองเท่าของที่มีการจ่ายจริง ไปพิจารณา หากเห็นควรดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||
2222 | โครงการสวัสดิการเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยของข้าราชการ | กค | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ยกเลิกโครงการสวัสดิการเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยของข้าราชการ และให้นำเงินงบประมาณในโครงการสวัสดิการเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยของข้าราชการที่กรมบัญชีกลางฝากอยู่ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์พร้อมดอกเบี้ย (ณ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เป็นจำนวน ๘,๕๙๑.๕๖ ล้านบาท) ส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกายกเลิกพระราชกฤษฎีกาสวัสดิการเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย พ.ศ. ๒๕๓๕ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกพระราชกฤษฎีกาสวัสดิการเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาการคืนเงินของธนาคารอาคารสงเคราะห์ ควรจะต้องคำนึงถึงเรื่องเวลาที่เหมาะสมกับสภาวการณ์ทางการคลัง และปฏิทินงบประมาณ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อการงบประมาณและการคลังของประเทศที่จะนำเงินดังกล่าวไปใช้ในการพัฒนาประเทศโดยผ่านกลไกของงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
2223 | ขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (โครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยและสิ่งปลูกสร้างประกอบสำนักงาน ศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี) | กค | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมศุลกากรพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ หรือใช้งบประมาณเหลือจ่ายที่หมดความจำเป็นแล้ว มาดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยและสิ่งปลูกสร้างประกอบ สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ซึ่งผู้รับจ้างมีแผนที่จะส่งมอบงานงวดที่ ๑๕-๒๒ ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๑๖๑,๔๕๙,๐๖๒.๗๒ บาท ในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอ ก็เห็นสมควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้กรมศุลกากรดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
2224 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (นายสรรเสริญ อัจจุตมานัส) | กค | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายสรรเสริญ อัจจุตมานัส เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ผู้แทนสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
2225 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2558 | กค | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๘ ภายใต้กรอบวงเงิน ๔๗๖,๔๘๓,๒๕๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่มีเหลือจ่ายจากโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗ จำนวน ๑๐๘,๔๗๑,๐๒๔.๗๔ บาท และเงินทุนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส. ) จะต้องสำรองจ่ายไปก่อน ในวงเงิน ๒๖๘,๐๑๒,๒๒๕.๒๖ บาท โดยให้ ธ.ก.ส. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีในปีงบประมาณถัดไปตามความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อชดเชยเงินต้นและดอกเบี้ยในอัตรา FDR+1% ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับปีการผลิตที่ผ่านมา ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมการเกษตร) ประสานงานกับสมาคมประกันวินาศภัยไทย ธ.ก.ส. และกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรสนใจเข้าร่วมโครงการ และเร่งประชาสัมพันธ์โครงการให้เกษตรกรทราบอย่างทั่วถึง เพื่อป้องกันปัญหาความล่าช้า และ ธ.ก.ส. สามารถดำเนินโครงการได้ทันฤดูกาลเพาะปลูกที่จะเริ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ นอกจากนี้ การดำเนินโครงการจะต้องมีการบูรณาการกับโครงการอื่น ๆ ในการให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่เกษตรกรอย่างทั่วถึง เท่าเทียม และไม่ซ้ำซ้อน มีการประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรรับทราบถึงโครงการและประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการ รวมทั้งใช้โครงการประกันภัยข้าวนาปีเป็นเครื่องมือหนึ่งในการส่งเสริมการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและมีหลักประกันความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2226 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมในการกำหนดราคาของของนำเข้า หรือถิ่นกำเนิดของของที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักร หรือตีความพิกัด อัตราศุลกากร เป็นการล่วงหน้า พ.ศ. .... | กค | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมในการกำหนดราคาของของนำเข้า หรือถิ่นกำเนิดของของที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักร หรือตีความพิกัดอัตราศุลกากร เป็นการล่วงหน้า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม ในเรื่องดังต่อไปนี้ (๑) การกำหนดราคาของของนำเข้า เป็นการล่วงหน้า (๒) การกำหนดถิ่นกำเนิดของของที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักร เป็นการล่วงหน้า และ (๓) การตีความพิกัดอัตราศุลกากร เป็นการล่วงหน้า ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) เกี่ยวกับวันมีผลใช้บังคับของกฎกระทรวงดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักการในการบัญญัติกฎหมาย ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
2227 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 19 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | กค | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน (ASEN Finance Ministers’ Meeting : AFMM) ครั้งที่ ๑๙ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วย การประชุม AFMM ครั้งที่ ๑๙ และการประชุมผู้ว่าการธนาคารกลางของอาเซียน (ASEAN Central Bank Governors’ Meeting : ACGM) การประชุมร่วมระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางของอาเซียน (ASEN Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting : AFMGM) การประชุม ASEAN Finance Ministers Retreat และการประชุมร่วมกับ ASEAN-US Business Council และ ASEAN-EU Business Council เมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินการตามแผนการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community Blueprint : AEC Blueprint) ในช่วงระหว่างปี ๒๕๕๒-ปัจจุบัน ซึ่งสำเร็จตามเป้าหมาย คิดเป็นร้อยละ ๗๗.๗ โดยการดำเนินการตามเป้าหมายของสาขาการเงินการคลังสำเร็จแล้วร้อยละ ๘๐ และคาดว่าจะบรรลุตามเป้าหมายทั้งหมดได้ภายในสิ้นปีนี้ ๒. ที่ประชุมรับทราบการลงนามในเอกสาร ๓ ฉบับ ได้แก่ (๑) พิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน รอบที่ ๖ (๒) พิธีสาร ฉบับที่ ๗ ว่าด้วยระบบศุลกากรผ่านแดน (Customs Transit System) ของประเทศสมาชิกอาเซียน และ (๓) กรอบกฎหมายเพื่อดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว ของอาเซียน ๓. ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานของคณะทำงานของหน่วยงานกำกับดูแลด้านหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสมาชิกอาเซียน (ASEAN Capital Markets Forum : ACMF) ผลการประชุมของผู้กำกับดูแลธุรกิจประกันภัยของอาเซียน (ASEAN Insurance Regulators Meeting : AIRM) และข้อคิดเห็นของคณะกรรมการ ASEAN Business Advisory Council (ASEAN-BAC) รวมถึงความร่วมมือด้านการต่อต้านกิจกรรมทางการเงินของผู้ก่อการร้ายและความร่วมมือด้านภาษี ๔. ที่ประชุมรับทราบการดำเนินการของกองทุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคอาเซียน (AIF) โดยปัจจุบัน AIF มีเงินกองทุน ๔๘๕.๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และให้กู้ร่วมกับเงินกู้ของธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) แก่อินโดนีเซียและเวียดนามไปแล้วรวม ๓ โครงการ รวมเป็นเงิน ๑๖๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับกรณีที่ให้ใช้กองทุนฯ เพื่อช่วยค้ำประกันโครงการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnership : PPP) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทยเห็นว่า ควรพิจารณาบทบาทของกองทุนฯ เพิ่มเติมในการให้การสนับสนุนด้านเงินทุน (Equity) แก่โครงการเพิ่มเติมจากการให้กู้เพียงอย่างเดียว ๕. ที่ประชุมรับทราบการดำเนินงานเพื่อจัดทำร่างวิสัยทัศน์ (Vision) ของอาเซียนในภาคการเงินการคลังภายหลังปี ๒๕๕๘ เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานต่อไปภายหลังจากการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งประกอบด้วย ๓ เสาหลักคือ การรวมตัวภาคการเงิน (Financial Integration) การเข้าถึงบริการทางการเงินภาคประชาชน (Financial Inclusion) และการกำกับดูแลภาคการเงินให้มีเสถียรภาพ (Financial Stability) ๖. ที่ประชุมเห็นชอบให้เปลี่ยนชื่อการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน (AFMM) เป็นการประชุมร่วมระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางของอาเซียน (AFMGM) โดยถือว่าการประชุมครั้งนี้เป็นครั้งแรก
|
|||||||||||||||||||||
2228 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม 2557) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๕๗) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปภาวะเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗ ขยายตัวร้อยละ ๑.๔ เพิ่มขึ้นจากครึ่งแรกของปี ๒๕๕๗ ที่ขยายตัวร้อยละ ๐ ภาวะการเงินอยู่ในเกณฑ์ผ่อนปรนต่อเนื่อง โดยในการประชุม กนง. ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๒.๐๐ ต่อปี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อฟื้นฐาน ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๑.๕๖ และร้อยละ ๑.๗๒ ตามลำดับ เสถียรภาพของภาคสถาบันการเงินอยู่ในเกณฑ์มั่นคง เสถียรภาพภาคเศรษฐกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงินอยู่ในเกณฑ์ดี ฐานะการคลังมั่นคง โดยสัดส่วนหนึ้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นปี ๒๕๕๗ อยู่ที่ร้อยละ ๔๕.๘ เสถียรภาพด้านต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์มั่นคง และแนวโน้มเศรษฐกิจในปี ๒๕๕๘ เศรษฐกิจจะขยายตัวดีขึ้น โดยมีการใช้จ่ายภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมทั้งแรงกดดันจากอุปสงค์ในประเทศที่มีไม่มากนัก ๒. สรุปการดำเนินงานของ ธปท. ประกอบด้วย (๑) แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายการเงิน ที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ให้ความสำคัญกับแรงกระตุ้นภาครัฐต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และประเมินว่าความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่สำคัญในระยะต่อไป ได้แก่ แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่มึความไม่แน่นอน รวมถึงผลกระทบจากราคาน้ำมันโลกที่ปรับลดลงมาก และปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ (๒) แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน ได้แก่ การดำเนินงานด้านนโยบายสถาบันการเงิน และการดำเนินการตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ ๒ และ (๓) แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายระบบการชำระเงิน ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการชำระเงิน การลดความเสี่ยงในระบบการชำระเงิน การคุ้มครองผู้ใช้บริการการชำระเงิน และการยกร่างกฎหมายเพื่อกำกับดูแลระบบการชำระเงิน
|
|||||||||||||||||||||
2229 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงินประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2557 | กค | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เป้าหมายนโยบายการเงิน คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๖ มกราคม ๒๕๕๘) อนุมัติให้ กนง. ใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยปีที่ร้อยละ ๒.๕?๑.๕ เป็นเป้าหมายหลักในการดำเนินนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๘ สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๗ ในไตรมาสที่ ๓ และ ๔ ของปี ๒๕๕๗ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๑.๗๙ และร้อยละ ๑.๖๕ ซึ่งอยู่ในช่วงเป้าหมายนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๗ ๒. สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗ ภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗ เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวภายหลังสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายและภาครัฐกลับมาดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามปกติ ซึ่งมีส่วนทำให้ความเชื่อมั่นของภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น สำหรับภาระเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปชะลอลงมากจากร้อยละ ๒.๒๓ ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๗ มาอยู่ที่ร้อยละ ๑.๕๖ ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๗ มาอยู่ที่ร้อยละ ๑.๗๒ ตามราคาอาหารสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้นสูง ๓. การดำเนินนโยบายการเงิน ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗ กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๒.๐๐ ต่อปี ๔. การดำเนินนโยบายด้านอัตราแลกเปลี่ยน ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗ เงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ส่วนดัชนีค่าเงินบาท (NEER) และดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริง (REER) ปรับแข็งค่าขึ้น ๕. แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อปี ๒๕๕๗ กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๘ มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี ๒๕๕๗ โดยคาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ ๔.๐ จากแรงขับเคลื่อนของอุปสงค์ภาคเอกชนและการส่งออกบริการเป็นสำคัญ ส่วนอัตราเงินเฟ้อในปี ๒๕๕๘ มีแนวโน้มลดลงจากปีก่อน โดย กนง. คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี ๒๕๕๘ จะอยู่ที่ร้อยละ ๑.๒ โดยที่ยังคงมีความเสี่ยงจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและราคาน้ำมันที่อาจจะมีผลกระทบต่อการประมาณการเงินเฟ้อดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||
2230 | การแต่งตั้งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (นายรพี สุจริตกุล) | กค | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งนายรพี สุจริตกุล ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
2231 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 5 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2557 - 28 กุมภาพันธ์ 2558) | กค | 20/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๕ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ด้านการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ จากการประเมินผลสำเร็จในการดำเนินงานพบว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งทางการเมืองและโครงสร้างระดับนโยบายที่ประชาชนมีความเชื่อต่างกัน ซึ่งจะเกิดในระดับแกนนำแนวคิด แต่ในระดับชุมชน หมู่บ้าน ขณะนี้ไม่มีปัญหาความขัดแย้งรุนแรง สำหรับการดำเนินงานในระยะต่อไปยังคงเน้นการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับประชาชนในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตามสถานการณ์ และประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับประชาชนในประเด็นขัดแย้งที่สำคัญและการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศในภาพรวม รวมทั้งร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สภาปฏิรูปแห่งชาติในการจัดเวทีเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการปฏิรูปประเทศ ๑.๒ ด้านการปฏิรูปประเทศ สภาปฏิรูปแห่งชาติได้มีการพิจารณาเรื่องที่สำคัญและเป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชนในหลายเรื่อง อาทิ การศึกษาวิจัย เรื่อง “วิสาหกิจเพื่อสังคม” (Social Enterprise) และร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. .... รวมทั้งมีการเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติในเรื่องต่าง ๆ ๑.๓ ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน มีผลงานที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ (๒) การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ (๓) การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม (๔) การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม (๕) การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชน (๖) การบริหารเศรษฐกิจ (๗) การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน (๘) การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม สนับสนุนการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาของประเทศ (๙) การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน (๑๐) การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ และ (๑๑) การปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๒. มอบหมายให้คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลรับไปดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ประชาชนมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับประชาธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ ปัญหา การแก้ไขปัญหา การปฏิรูปประเทศ เพียงใด ๒.๒ การเลือกตั้งที่จะทำให้เกิดการปฏิรูปอย่างแท้จริงเป็นอย่างไร ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างไร ความสำเร็จหรือความล้มเหลว การปรองดองต้องเกิดจากความร่วมมือทุกคน รวมทั้งต้องกระทำการพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามแนวทางหรือวิธีการที่กฎหมายกำหนดไว้
|
|||||||||||||||||||||
2232 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (จำนวน 5 คน 1. รองศาสตราจารย์วรากรณ์ สามโกเศศ ฯลฯ) | กค | 20/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน ๕ คน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ เมษายน ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. รองศาสตราจารย์วราภรณ์ สามโกเศศ ประธานกรรมการ ๒. นายกุศล แย้มสอาด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. นายเพ็ญศักดิ์ ชลารักษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๔. นายอรรคศิริ บุรณศิริ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. นายธีรัชย์ อัตนวานิช กรรมการผู้ทรงคุณวฒิ
|
|||||||||||||||||||||
2233 | การพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน | กค | 20/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน โดยอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงินจะยังคงเรียกเก็บในอัตราเดิมที่ร้อยละ ๐.๔๖ ต่อปี เนื่องจากในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ คาดว่าจะมีเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน จำนวน ๕๒,๓๘๘ ล้านบาท สูงกว่าภาระดอกเบี้ยจ่ายซึ่งอยู่ที่ ๔๖,๑๔๗ ล้านบาท ถึง ๖,๒๔๑ ล้านบาท ดังนั้น การกำหนดอัตราเงินนำส่งที่ร้อยละ ๐.๔๖ ต่อปี จึงเป็นอัตราที่เพียงพอต่อการชำระดอกเบี้ยหนี้เงินกู้ FIDF1 และ FIDF3 ในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
2234 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นายเกียรติณรงค์ วงศ์น้อย) | กค | 20/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายเกียรติณรงค์ วงศ์น้อย ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (นักวิชาการคอมพิวเตอร์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
2235 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ด่านศุลกากรเชียงของและ ด่านศุลกากรบึงกาฬ) | กค | 20/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมเขตศุลกากร ด่านพรมแดน และทางอนุมัติของด่านศุลกากรเชียงของและด่านศุลกากรบึงกาฬ เพื่อรองรับเส้นทางตามกรอบการดำเนินการโครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และเป็นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
2236 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ) | กค | 20/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ) มีสาระสำคัญเป็นการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากอัตราร้อยละ ๒๐ เหลืออัตราร้อยละ ๑๐ เป็นเวลาสิบรอบระยะเวลาบัญชี ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ สำหรับกำไรสุทธิจากการผลิตสินค้าและการให้บริการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
2237 | การสมัครเข้าเป็นผู้สังเกตการณ์ในคณะกรรมการความตกลงว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐภายใต้องค์การการค้าโลก | กค | 20/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการสมัครเข้าเป็นผู้สังเกตการณ์ในคณะกรรมการความตกลงว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ (Government Procurement Agreement Committee : GPA Committee) ภายใต้องค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ของประเทศไทย เพื่อที่กระทรวงการคลังจะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ในหน่วยงานของรัฐทุกระดับ โดยเพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและประชาชนในการตรวจสอบ ซึ่งจะต้องมีการเปิดเผยข้อมูลในการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นระบบและสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยทั่วไป และควรมีการเตรียมความพร้อมและพัฒนาผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs ภายในประเทศให้สามารถแข่งขันได้ รวมทั้งสนับสนุน SMEs ในการเข้าถึงโครงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
2238 | ขอยกเลิกโครงการที่ได้รับอนุมัติจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Adjustment Loan : SAL) | กค | 20/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ยกเลิกโครงการว่าจ้างที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการน้ำเพื่อช่วยในการวิเคราะห์การบริหารและการติดตามประเมินผลโครงการ (Technical Advisory) เพื่อสนับสนุนการจัดเตรียมระบบฐานข้อมูลและระบบงานเพื่อรองรับการบริหารโครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตของประเทศ วงเงิน ๓๙ ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๕ ๒. ยกเลิกโครงการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลและโครงการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบจากการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน วงเงินรวม ๗๐๐ ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๓. ยกเลิกคณะกรรมการบริหารและติดตามการดำเนินโครงการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลและโครงการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบจากการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ตามลำดับ |
|||||||||||||||||||||
2239 | การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF1 และ FIDF3 | กค | 20/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Institution Development Fund : FIDF) (กองทุนฯ ) เข้าบัญชีสะสมเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (บัญชีสะสมฯ) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพิ่มเติม จำนวน ๓๑,๖๒๙ ล้านบาท โดยให้กองทุนฯ ทยอยโอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ ตามปริมาณสภาพคล่องของกองทุนฯ ทั้งนี้ เมื่อรวมเงินนำส่งจากกองทุนฯ เพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF1 และ FIDF3 ในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ จะเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๕๒,๖๒๙ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
2240 | การดำเนินการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (SMEs Private Equity Trust Fund) | กค | 20/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (SMEs Private Equity Trust Fund) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การแต่งตั้งคณะกรรมการกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ โดยมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ และสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นกรรมการและเลขานุการ โดยคณะกรรมการร่วมลงทุนฯ ได้เรียกประชุมเพื่อพิจารณานโยบายและหลักเกณฑ์การร่วมลงทุนสำหรับกองทุนย่อยกองทุนแรก โดยมีธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) เป็นหน่วยงานหลักของภาครัฐในการจัดตั้งกองทุนย่อย ๒. แหล่งเงินทุนในส่วนภาครัฐ และการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs ธพว. ในฐานะผู้ลงทุนภาครัฐและเป็นผู้ร่วมลงทุนเริ่มแรกจำนวน ๕๐๐ ล้านบาท ได้ดำเนินการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนฯ กองแรกในรูปแบบกองทรัสต์ (Trust) ร่วมกับภาคเอกชนที่สนใจ โดยระยะแรกสำนักงานกองทุนร่วมลงทุนฯ จะใช้สถานที่ของ ธพว. เป็นสถานที่ดำเนินงานเกี่ยวกับกองทุน ส่วนการคัดเลือกทรัสตี (Trustee) เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ก่อตั้งและดูแลประโยชน์ให้กับกองทุนร่วมลงทุนฯ นั้น ธพว. จะประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนดำเนินการยกร่างข้อกำหนดและขอบเขตของงาน (Terms of Reference) เพื่อใช้ในการพิจารณาคัดเลือกทรัสตี (Trustee) สำหรับกองทุนย่อยกองแรก รวมทั้งได้ประชาสัมพันธ์กองทุนร่วมลงทุนฯ ไปยังสาขาของ ธพว. และประสานความร่วมมือไปยังหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อรับทราบและคัดสรรนำส่งผู้ประกอบการ SMEs ที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด ปัจจุบันมีผู้ประกอบการ SMEs ให้ความสนใจที่จะให้กองทุนนี้เข้าร่วมลงทุนในกิจการ SMEs จำนวน ๓๕ ราย เงินลงทุน ๗๑ ล้านบาท ๓. ผู้ร่วมลงทุนในกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs ขณะนี้มีนักลงทุนจากสถาบันทั้งภาครัฐและภาคเอกชนแสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมลงทุนในกองทุนร่วมลงทุนฯ เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กลุ่มบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เป็นต้น และอยู่ระหว่างการประสานงานเพื่อจัดตั้งกองทุนย่อยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนฯ ๔. การดำเนินการต่อไป ธพว. จะคัดเลือกทรัสตี (Trustee) และผู้จัดการกองทรัสต์ (Trust manager) เพื่อเข้าสู่กระบวนการร่างสัญญาก่อตั้งกองทุนร่วมลงทุนฯ หลังจากนั้น คณะกรรมการกองทุนร่วมลงทุนฯ จะพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณานโยบายกองทุน (Investment Committee) และคณะกรรมการผู้ให้คำปรึกษาวิสาหกิจร่วมทุน (Advisory Committee) เพื่อนำไปสู่กระบวนการพิจารณาเข้าร่วมลงทุนต่อไป
|
.....