ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 117 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2321 - 2340 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2321 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2556 | กค | 09/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมของการประเมินผล ฯ ประจำปี ๒๕๕๖ ของรัฐวิสาหกิจในระบบประเมินผลฯ ตามระบบปัจจุบัน พบว่า รัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ (๑) การกีฬาแห่งประเทศไทย ๔.๐๖๙๘ คะแนน (๒) บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ๔.๐๒๗๙ คะแนน และ (๓) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ๔.๐๑๘๒ คะแนน สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินต่ำสุด ๓ อันดับสุดท้าย ได้แก่ (๑) องค์การตลาด ๒.๑๑๒๕ คะแนน (๒) องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ๒.๒๔๓๕ คะแนน และ (๓) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ๒.๓๓๗๗ คะแนน ทั้งนี้ คะแนนเฉลี่ยในภาพรวมอยู่ที่ ๓.๒๑๑๕ คะแนน ลดลงจากปี ๒๕๕๕ ๐.๐๘๒๖ คะแนน เนื่องจากผลการดำเนินการตามนโยบายและผลการดำเนินงานด้านการเงินและไม่ใช่การเงินของรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ๒. ภาพรวมของการประเมินผล ฯ ประจำปี ๒๕๕๖ ของรัฐวิสาหกิจในระบบประเมินผลฯ ตามระบบประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Performance Appraisal : SEPA) พบว่า รัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ (๑) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ๔.๘๘๐๐ คะแนน (๒) บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) ๔.๗๙๓๓ คะแนน และ (๓) การประปานครหลวง ๔.๗๖๐๗ คะแนน สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีผลประเมินต่ำสุด ๓ อันดับสุดท้าย ได้แก่ (๑) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ๒.๔๗๕๐ คะแนน (๒) องค์การเภสัชกรรม ๓.๒๘๔๗ คะแนน และ (๓) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ๓.๓๙๔๗ คะแนน ทั้งนี้ คะแนนเฉลี่ยในภาพรวมอยู่ที่ ๔.๐๖๕๒ คะแนน ลดลงจากปี ๒๕๕๕ ๐.๒๗๖๘ คะแนน เนื่องจากการดำเนินงานด้านผลลัพธ์ของรัฐวิสาหกิจหลายแห่งไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
|
||||||||||||||||||||||||
2322 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง [ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นางพรรณี สถาวโรดม)] | กค | 09/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง นางพรรณี สถาวโรดม ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๙ ธันวาคม ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
2323 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง [ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์)] | กค | 09/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปฏิบัติราชการประจำรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ) ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๙ ธันวาคม ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
2324 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสินเพิ่มเติม | กค | 09/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางธนิษฐา วงศ์รวมลาภ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสินเพิ่มเติมอีก ๑ คน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๙ ธันวาคม ๒๕๕๗) เป็นต้นไป โดยให้ผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการเพิ่มเติมดังกล่าวอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของประธานกรรมการและกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
2325 | การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม | กค | 09/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับช่วงกำไรสุทธิเกิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท จากเดิมเสียภาษีในอัตราร้อยละ ๒๐ เป็นร้อยละ ๑๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งจัดทำแผนปฏิรูปภาษีของประเทศทั้งระบบโดยเร็วเพื่อให้สามารถพิจารณาการจัดเก็บรายได้ของประเทศในภาพรวม รวมทั้งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ อันจะนำไปสู่การกำหนดนโยบายการพัฒนาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||
2326 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินและความคืบหน้าในการดำเนินโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะ 3 เดือนแรก ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | กค | 09/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และความคืบหน้าในการดำเนินโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะ ๓ เดือนแรก ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เบิกจ่ายแล้วทั้งสิ้น ๕๙๒,๔๔๓ ล้านบาท เป็นการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๕๒๕,๔๖๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๐ ของวงเงินงบประมาณ ๒,๕๗๕,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๔๘,๘๙๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๐ ๑.๒ เงินงบประมาณรายจ่ายลงทุน จำนวน ๔๔๔,๔๑๐ ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ก่อหนี้ผูกพันแล้ว จำนวน ๕๔,๙๓๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๒ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๓,๕๘๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุน สูงกว่าการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑.๓ ความคืบหน้าในการจัดสรรเงินสำหรับโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะ ๓ เดือน วงเงิน ๒๓,๐๐๐ ล้านบาท ในส่วนของเงินงบกลางที่กันไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปี วงเงิน ๗,๘๐๐ ล้านบาท จำนวน ๙,๙๙๘ โครงการ สำนักงบประมาณจัดสรรเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ โดยพิจารณาจัดสรรเงินให้กับโครงการที่มีลักษณะเป็นการปรับปรุงและซ่อมแซมอาคารที่ทำการ/อาคารเรียน/อาคารพยาบาล/อาคารบ้านพัก การจัดหาครุภัณฑ์ทางการแพทย์ รวมถึงการปรับปรุงโครงการพื้นฐานที่เน้นการใช้แรงงานในพื้นที่เป็นหลักในลำดับแรก ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) และสำนักงบประมาณร่วมกันรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณและความคืบหน้าในการดำเนินโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้คณะรัฐมนตรีทราบทุก ๑๕ วัน
|
||||||||||||||||||||||||
2327 | มาตรการสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประชาชนรายย่อย (สินเชื่อ Nano-Finance) | กค | 09/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอสาระสำคัญของมาตรการสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประชาชนรายย่อย (สินเชื่อ Nano-Finance) เพื่อที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลัง ดังนี้ ๑.๑ อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๕ ข้อ ๗ ข้อ ๘ และข้อ ๑๔ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ ลงวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๓๕ ลงนามในร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง กิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ ๕ แห่งประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ (เรื่อง สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ) เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์กำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อ Nano-Finance ๑.๒ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓ (๔) และมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. ๒๕๒๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ลงนามในร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนดสถาบันการเงินและอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินอาจคิดได้จากผู้กู้ยืม (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อ Nano-Finance เป็นสถาบันการเงินตามกฎหมายดังกล่าว และให้คิดอัตราดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ ๓๖ ต่อปี ๒. ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามกฎ ระเบียบ และคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อมิให้กระทบต่อสถาบันการเงินในความรับผิดชอบของธนาคารแห่งประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||
2328 | การออกพันธบัตรออมทรัพย์โดยกระทรวงการคลังและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเพื่อนักลงทุนรายย่อย | กค | 09/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยืนยันว่า การออกพันธบัตรออมทรัพย์โดยกระทรวงการคลังและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเพื่อนักลงทุนรายย่อยเป็นอำนาจของกระทรวงการคลังที่สามารถดำเนินการได้ และได้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสอดคล้องกับแผนการบริหารหนี้สาธารณะของประเทศด้วยแล้ว ๒. รับทราบการออกพันธบัตรออมทรัพย์โดยกระทรวงการคลังและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเพื่อนักลงทุนรายย่อย โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกพันธบัตรออมทรัพย์เพื่อเสนอขายให้กับนักลงทุนรายย่อย และนิติบุคคลที่ไม่มีวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไร ประกอบด้วย พันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง อายุ ๑๐ ปี วงเงิน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และพันธบัตรออมทรัพย์ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร อายุ ๕ ปี วงเงิน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งจะเสนอขายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
2329 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2554 - 2556 และการพัฒนาระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน | กค | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี ๒๕๕๔-๒๕๕๖ โดยในปีบัญชี ๒๕๕๔ ปีบัญชี ๒๕๕๕ และปีบัญชี ๒๕๕๖ มีทุนหมุนเวียนเข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงาน จำนวน ๘๑ ทุน และ ๙๔ ทุน และ ๙๓ ทุน ตามลำดับ โดยทุนหมุนเวียนในปีบัญชี ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้นจากปีบัญชี ๒๕๕๔ จำนวน ๑๓ ทุน เนื่องจากเป็นทุนหมุนเวียนที่เริ่มเข้าสู่ระบบประเมินผลฯ ในปีบัญชี ๒๕๕๕ เป็นปีแรก และทุนหมุนเวียนในปีบัญชี ๒๕๕๖ ลดลงจากปีบัญชี ๒๕๕๕ เนื่องจากยุบเลิกการดำเนินงาน จำนวน ๑ ทุน ทั้งนี้ จากการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน โดยในปีบัญชี ๒๕๕๕ ได้คะแนนเฉลี่ย ๓.๖๑๑๖ คะแนน ปรับเพิ่มขึ้น ๐.๐๖๘๕ คะแนน เมื่อเทียบกับปีบัญชี ๒๕๕๔ ที่ได้คะแนนเฉลี่ย ๓.๕๔๓๑ คะแนน ส่วนในปีบัญชี ๒๕๕๖ ได้คะแนนเฉลี่ย ๓.๔๒๖๒ คะแนน ลดลงจากปีบัญชี ๒๕๕๕ จำนวน ๐.๑๘๕๔ คะแนน เป็นผลกระทบหลังจากการพิจารณากำหนดตัวชี้วัดเพิ่มเติมตามมาตรการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินของทุนหมุนเวียน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งปรากฏว่า ทุนหมุนเวียนส่วนหนึ่งมีการปรับลดคะแนนจากผลรวมด้วยเหตุไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลตามแผนการใช้จ่ายเงินของทุนหมุนเวียนนั้น ๆ ๒. ให้กระทรวงการคลังชะลอการดำเนินการในเรื่องการพัฒนาระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนไว้ก่อนจนกว่าจะดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ ที่ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการรวบรวมผลการดำเนินงานของกองทุนที่อยู่ในความรับผิดชอบ โดยให้วิเคราะห์และเสนอแนวทางการปรับปรุง พัฒนา หรือยุบเลิกกองทุน ให้แล้วเสร็จก่อน |
||||||||||||||||||||||||
2330 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่ออกภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ วงเงินรวม ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งครบกำหนดไถ่ถอนแล้วเมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗ โดยชำระคืนพันธบัตรที่ครบกำหนดจากเงินงบประมาณเพื่อการชำระหนี้เหลือจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๑๑,๐๐๐ ล้านบาท และกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน ๓๙,๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย กู้เงินระยะยาว โดยตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) อายุ ๔ ปี อัตราดอกเบี้ยลอยตัว (BIBOR) จำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท และกู้เงินระยะสั้น โดยตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) อายุ ๒ เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ จำนวน ๓๔,๐๐๐ ล้านบาท และได้ดำเนินการประมูลพันธบัตรรัฐบาล จำนวน ๓ รุ่น วงเงินรวม ๓๔,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น ซึ่งได้เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๗ เงินที่ได้จากการจำหน่ายในแต่ละงวดได้นำไปชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นเรียบร้อยแล้ว ๒. กระทรวงการคลังได้ประกาศจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลทั้ง ๓ รุ่น ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้นำประกาศจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาล และประกาศผลการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลทั้ง ๓ รุ่น ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
2331 | รายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการและบริษัทย่อยปี 2556 และข้อเสนอแนะจากการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก ปี 2557 | กค | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และบริษัทย่อย ปี ๒๕๕๖ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ พร้อมข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของ กบข. ๑.๑ ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ กบข. มีสินทรัพย์สุทธิรวม ๖๓๒,๕๓๕ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๕๕,๓๗๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙.๕๙ ๑.๒ รายได้รวมกำไรสุทธิจากการลงทุนที่เกิดขึ้นและยังไม่เกิดขึ้น และกำไรสุทธิจากอัตราแลกเปลี่ยนของ กบข. สำหรับปี ๒๕๕๖ มีจำนวน ๒๔,๒๐๑ ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมา จำนวน ๑๒,๖๕๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๔.๓๓ ๑.๓ ค่าใช้จ่ายรวมภาษีเงินได้ของ กบข. สำหรับปี ๒๕๕๖ มีจำนวน ๑,๕๕๔ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา จำนวน ๑๓๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙.๕๗ ๑.๔ ผลประโยชน์สุทธิของ กบข. ปี ๒๕๕๖ มีจำนวน ๒๒,๖๔๗ ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมา จำนวน ๑๒,๗๘๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๖.๐๙ ๒. ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก ๒.๑ ให้ทบทวนการแก้ไขพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ โดยการให้สมาชิกที่สิ้นสุดสมาชิกภาพเพราะเหตุเสียชีวิตมีสิทธิได้รับเงินประเดิม และเงินชดเชย ๒.๒ ให้ปรับแก้ไขสูตรบำนาญให้เพิ่มขึ้นจากไม่เกินร้อยละ ๗๐ ของเงินเดือน เป็นร้อยละ ๘๐ หรือมากกว่านั้น เพื่อให้ข้าราชการที่สมัครใจเข้าเป็นสมาชิกและสมาชิกที่เป็นสมาชิกโดยกฎหมายกำหนดจะได้รับประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย ๒.๓ กบข. ควรเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่สมาชิก ถ้าแผนสมดุลตามอายุดีควรเปลี่ยนเป็นแผนหลัก
|
||||||||||||||||||||||||
2332 | ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2558 ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | กค | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การขอผ่อนผันการดำเนินการเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ๑.๒ การเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน ๒,๗๓๒.๖๖๔ ล้านบาท ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในคราวประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ และการเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ของ ขสมก. จำนวน ๑,๙๖๗.๓๒๒ ล้านบาท ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในคราวประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เพื่อให้เป็นไปตามนัยข้อ ๗ (๓) และข้อ ๑๐ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. ส่วนเรื่องงบประมาณให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ รฟท. และ ขสมก. กู้เงินเพื่อเป็นเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ตามกรอบวงเงินที่เสนอ โดยรัฐรับภาระหนี้และให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้และค้ำประกันการกู้เงิน ตลอดจนพิจารณาวิธีการกู้เงิน รายละเอียดและเงื่อนไขในการกู้เงินดังกล่าว หรือขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ และปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ตามความจำเป็นและเหมาะสม ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรให้ รฟท. เร่งรัดการปิดบัญชีให้เป็นปัจจุบันโดยเร็วเพื่อให้การจัดทำค่าใช้จ่ายมีความชัดเจนและเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชี รวมทั้งให้ รฟท. และ ขสมก. เร่งรัดการลงทุนต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่เกี่ยวกับการปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพได้มาตรฐานและมีความสะดวกปลอดภัยมากขึ้น ตลอดจนให้มีการประเมินผลความพึงพอใจของประชาชนที่ใช้บริการและประเมินผลความคุ้มค่ากับประโยชน์ที่ได้รับจากสถาบันการศึกษาที่ได้รับการยอมรับทางสังคมว่าควรจะมีการให้บริการต่อไปหรือไม่ ทั้งนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2333 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ | กค | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ซึ่งได้ดำเนินการในเรื่องการพัฒนารัฐวิสาหกิจ ประกอบด้วย ๑.๑ การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ ๗ แห่ง ได้แก่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ๑.๒ การวางระบบการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจ โดยนำระบบบรรษัทภิบาล (Corporate Governance) มาใช้ในการดำเนินการ ๑.๓ การปฏิรูปการกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ๑.๔ การสร้างความโปร่งใสในการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ๑.๕ การจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ของรัฐวิสาหกิจ ๑.๖ การพิจารณาโครงการขนาดใหญ่ของรัฐวิสาหกิจ ๑.๗ แผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ ๑.๘ สิทธิประโยชน์ของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ ๑.๙ เงินบริจาคเพื่อประโยชน์สาธารณะของรัฐวิสาหกิจ ๒. เห็นชอบให้ดำเนินการตาม ๒.๑ ข้อ ๒.๑.๑.๖ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทิศทางของธุรกิจโทรคมนาคมและเสนอแนวทางดำเนินธุรกิจและปรับโครงสร้างองค์กรของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) โดยใช้เงินรายได้ของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ๒.๒ ข้อ ๒.๓ ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) โดยให้มีหน้าที่ครอบคลุมถึงออกเกณฑ์กำกับดูแลการตรวจสอบความเหมาะสมของผู้บริหาร ติดตามและตรวจสอบสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ รวมถึงการสั่งการให้มีการแก้ไขปัญหา ส่วนงานด้านการกำกับนโยบายและการกำกับในฐานะผู้ถือหุ้น/เจ้าของกิจการยังคงเป็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ มอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังหารือร่วมเพื่อกำหนดกรอบในการกำกับดูแลในรายละเอียดต่อไป ๒.๓ ข้อ ๒.๔.๒ ให้กระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพในการจัดทำข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ของโครงการจัดซื้อรถโดยสารก๊าซธรรมชาติขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และสำหรับการจัดหาเอกชนร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ๒.๔ ข้อ ๒.๕ ให้มีการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ๒.๕ ข้อ ๒.๘ ให้ยกเลิกสิทธิประโยชน์ในรูปแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการของรัฐวิสาหกิจและสิทธิประโยชน์พิเศษต่าง ๆ ของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ และให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจกำหนดหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายและวงเงินที่ชัดเจนสำหรับสิทธิประโยชน์อื่น โดยต้องพิจารณาให้เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจเท่านั้น |
||||||||||||||||||||||||
2334 | การจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนสามัญประจำปี 2553 ของบรรษัทการเงินระหว่างประเทศเพิ่มเติมให้แก่ประเทศไทย | กค | 25/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบยืนยันการขอซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพิ่มเติม จำนวน ๔ หุ้น จากบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (The International Financial Cooperation : IFC) ส่วนงบประมาณในการซื้อหุ้นดังกล่าวให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับภายใต้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นลำดับแรกก่อน หากไม่สามารถดำเนินการได้ ก็ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๑๓๐,๐๐๐ บาท และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. มอบหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในฐานะผู้ว่าการของไทยในธนาคารโลกลงนามในเอกสารยืนยันขอรับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน [Form of Instrument of Subscription (for additional shares)] |
||||||||||||||||||||||||
2335 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กองทุนประกันชีวิตและกองทุนประกันวินาศภัย) | กค | 25/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้กองทุนประกันชีวิตและกองทุนประกันวินาศภัย เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
2336 | แนวทางปฏิบัติในการจัดหาพัสดุด้วยวิธีตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Market : e-market) และด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Bidding : e-bidding) | กค | 25/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงการคลังนำแนวทางปฏิบัติในการจัดหาพัสดุด้วยวิธีตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Market : e-market) และด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Bidding : e-bidding) ไปดำเนินการในลักษณะของโครงการนำร่องในระยะแรก และให้มีการประเมินผล หากมีความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขระเบียบที่เป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีก็ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับวันเริ่มบังคับใช้แนวทางปฏิบัตินี้ ควรปรับให้เป็นปัจจุบัน เป็น “ให้แนวทางปฏิบัตินี้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีลงมติเห็นชอบแนวทางปฏิบัตินี้ถึงก่อนวันที่มีการปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม...” ส่วนการแจ้งหรือประกาศมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดแนวทางปฏิบัติให้แก่ส่วนราชการในการจัดหาพัสดุด้วยวิธีตลาดอิเล็กทรอนิกส์และด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ ควรดำเนินการในรูปแบบประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้โดยทั่วกัน รวมทั้งการกำหนดโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนแนวทางปฏิบัตินี้ ไม่มีความจำเป็นที่ต้องมีบทกำหนดโทษไว้ เพราะการไม่ปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวย่อมเป็นการฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรีอันถือเป็นการกระทำผิดวินัยตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนอยู่แล้ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป รวมทั้งกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการจัดทำข้อมูลรายละเอียดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างโดยเฉพาะราคากลางและการคำนวณราคากลางไว้ในระบบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐๓/๗ วรรคหนึ่ง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. ให้กระทรวงการคลังหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดรายละเอียดคุณลักษณะของสินค้าหรือบริการที่มีความซ้ำซ้อนหรือมีเทคนิคเฉพาะให้มีความชัดเจนสำหรับใช้ในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อให้ได้สินค้าและบริการที่เป็นไปตามความต้องการของหน่วยงานทั้งในด้านคุณภาพ ราคา และบริการที่ถูกต้องด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง) ที่มอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รับไปดำเนินการแก้ไขปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้างในกระบวนการการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) การประกาศราคากลางสำหรับกรณีเฉพาะที่ไม่สามารถกำหนดราคากลางได้ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2337 | รายงานผลการดำเนินการตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ประจำปีงบประมาณ 2557 | กค | 25/11/2557 | |||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||
2338 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2557 | กค | 18/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๗ ของส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เป้าหมายการเบิกจ่ายรายจ่ายภาพรวม ร้อยละ ๙๕.๐๐ ของวงเงินงบประมาณ และรายจ่ายลงทุนร้อยละ ๘๒.๐๐ ของงบประมาณรายจ่ายลงทุน มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒,๒๔๖,๓๐๖.๒๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๘.๙๖ ของวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๕๒๕,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ ๖.๐๔ ประกอบด้วย รายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๙๖๒,๒๕๖.๖๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๓.๗๓ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๒,๐๙๓,๔๕๒.๓๑ ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๒๘๔,๐๔๙.๕๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๕.๘๒ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๔๓๑,๕๔๗.๖๙ ล้านบาท ๑.๒ เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วยเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๖ จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๓๐๒,๓๓๙.๖๘ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๑๓,๖๘๔.๒๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๐.๖๘ ของวงเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี ๑.๓ เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๗ จำนวน ๔,๕๙๖.๕๗ ล้านบาท ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๗ จัดสรรแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๓๓๗,๑๑๕.๘๓ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๓๓๒,๒๘๕.๙๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๘.๕๗ ของวงเงินที่จัดสรร ๑.๔ เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติจำนวน ๓๔๙,๙๙๘.๙๙ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๗ จำนวน ๖,๗๙๓.๒๒ ล้านบาท ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๗ จัดสรรแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๓๔๘,๗๒๔.๒๙ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๒,๒๙๕.๒๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖.๓๙ ของวงเงินที่จัดสรร ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยให้เร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ เพื่อก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้เพื่อให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนไปในทุก ๆ ไตรมาส ตามแนวทางของมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง มาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) รวมทั้งให้เร่งรัดการพิจารณาทบทวนเงินกันไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปี ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๖ ตามแนวทางของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ ๓ เดือนแรก) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
2339 | การพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท เพิ่มเติมจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2556 | กค | 18/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท เพิ่มเติมจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.) ได้พิจารณาแล้วในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ๑.๑.๑ การเพิ่มระยะเวลาในการดำเนินงานให้กับผู้ประกอบการก่อสร้าง เนื่องจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท เห็นควรเพิ่มระยะเวลาในการดำเนินงานดังกล่าวออกไปอีก เพื่อเร่งรัดให้งานก่อสร้างภาครัฐดำเนินการให้แล้วเสร็จ และเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการก่อสร้างเร่งรัดดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามสัญญาโดยเร็ว และเพื่อเป็นการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประกอบการก่อสร้างที่เป็น SME ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุดังกล่าว ๑.๑.๒ การพิจารณาไม่ลงโทษเป็นผู้ทิ้งงาน (เพิ่มเติม) เห็นควรพิจารณาให้ความช่วยเหลือฯ เพิ่มเติม หากในกรณีที่หน่วยงานได้มีการบอกเลิกสัญญาจ้างก่อสร้างไปแล้ว สืบเนื่องจากผู้รับจ้างได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ซึ่งได้บอกเลิกสัญญาในช่วงระหว่างวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๖ จนถึงวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ให้ถือว่าไม่เป็นผู้ทิ้งงาน ๑.๒ เห็นชอบให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐนำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท เพิ่มเติมจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ที่ กวพ. ได้พิจารณาแล้วไปถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยนำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังกล่าวไปใช้บังคับในการจัดจ้างก่อสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยโดยอนุโลม ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาแนวทางการพัฒนาเพื่อส่งเสริมภาคก่อสร้างและวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง โดยปรับปรุงกฎระเบียบทั้งด้านการจัดซื้อจัดจ้างและการประเมินราคาก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับงานก่อสร้าง และแรงงานเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมก่อสร้าง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2340 | การลงนามในร่างความตกลงเพื่อความร่วมมือด้านภาษีอากรระหว่างประเทศและการปฏิบัติตาม FATCA | กค | 18/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อความร่วมมือด้านภาษีอากรระหว่างประเทศและการดำเนินการตาม Foreign Account Tax Compliance Act (FATCA) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรายละเอียดของความร่วมมือที่จะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงการเก็บภาษี โดยมีข้อกำหนดเกี่ยวกับลักษณะของข้อมูล กำหนดเวลาและวิธีแลกเปลี่ยนข้อมูล การยกเว้นให้สถาบันการเงินไทยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายภายในของสหรัฐฯ รวมถึงขั้นตอนในการแก้ไขและยกเลิกสัญญา และร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) ประกอบการลงนามในความตกลง FATCA มีสาระสำคัญเป็นความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับการยกเว้นการรายงานข้อมูลของผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตรายย่อยและการดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายของไทยเพื่อให้ความตกลงฯ มีผลสมบูรณ์ รวมถึงกำหนดขั้นตอนในการขยายเวลาการสิ้นสุดของความตกลงหากไทยยังไม่สามารถเริ่มส่งข้อมูลให้สหรัฐฯ ได้ตามกำหนดของความตกลงฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอร่างความตกลงฯ เพื่อขอความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามมาตรา ๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ และร่างบันทึกความเข้าใจฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบร่างความตกลงดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในร่างความตกลงฯ หรือร่างบันทึกความเข้าใจฯ ให้ผู้ลงนามสามารถใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ ได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการเสนอร่างพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามความตกลงฯ ต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป |
.....