ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1071 จากทั้งหมด 6215 หน้า แสดงรายการที่ 21401 - 21420 จากข้อมูลทั้งหมด 124293 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21401 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน รวม 3 ฉบับ | กษ | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำบ้านเกาะแก้ว เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำอำปึล เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานเป็นทางน้ำที่จะเรียกเก็บค่าชลประทานเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยกะเลงเวก เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ไปพิจารณาดำเนินการตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วยว่า พื้นที่ตามร่างกฎกระทรวงฯ ทับซ้อนกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าทุ่งมน ป่าบักได ป่าตาเบา ป่าฝั่งซ้ายห้วยทับทัน และป่าห้วยสำราญ ในท้องที่ตำบลกาบเชิง ตำบลโคกตะเคียน ตำบลตะเคียน ตำบลด่าน ตำบลแนงมุด ตำบลบักได ตำบลตาเมียง อำเภอกาบเชิง ตำบลตาตุม ตำบลเทพรักษา อำเภอสังขละ และตำบลอาโพน ตำบลจรัส อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ ให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ และเป็นหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ต้องพิจารณาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมว่า หากไม่ดำเนินการเพิกถอนเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าในส่วนที่ทับซ้อนกับพื้นที่อ่างเก็บน้ำห้วยกะเลงเวก จะสามารถแต่งตั้งเจ้าพนักงานหรือนายช่างชลประทานเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเพื่อมิให้การปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานหรือนายช่างชลประทานขัดต่อมาตรา ๓๘ แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้หรือไม่ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21402 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. .... | สว | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยปรับปรุงบทบัญญัติในกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ กรณีกำหนดการยกเว้นไม่ใช้บังคับกฎหมายว่าด้วยสถานบริการกับสถานประกอบการเพื่อสุขภาพตามร่างพระราชบัญญัติฯ เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนในการบังคับใช้กฎหมาย โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาหนึ่งร้อยแปดสิบวันก่อนวันที่พระราชบัญญัติฯ มีผลใช้บังคับ ๑.๒ กระทรวงสาธารณสุขควรจัดอบรมพนักงานเจ้าหน้าที่ให้มีความสามารถในการปฏิบัติการโดยมีมาตรฐานในระดับเดียวกัน ๑.๓ การออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมต้องคำนึงถึงประเภทและขนาดของสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานะทางการเงินและความสามารถในการประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพแต่ละประเภท ๑.๔ การดำเนินการของหน่วยงานซึ่งรับผิดชอบการออกใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติฯ รัฐบาลควรขยายโครงสร้างอัตรากำลังของเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขเพื่อรองรับการดำเนินการดังกล่าวตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ๑.๕ การดำเนินการเสนอนโยบาย แผน และยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพต่อรัฐมนตรี คณะกรรมการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพควรจัดให้มีแผนงานในการส่งเสริมสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ และกำหนดมาตรฐานในการส่งเสริมสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ๒. มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมแล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21403 | รายงานผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษามาตรการการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (เรื่อง โครงการประดับธงในดวงใจ) | นร01 | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาตามรายงานผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษามาตรการการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (เรื่อง โครงการประดับธงในดวงใจ) ซึ่งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กรมประชาสัมพันธ์ และกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยให้ส่วนราชการและองค์กรอิสระต่าง ๆ ขอความร่วมมือสนับสนุนและรณรงค์ประชาสัมพันธ์เชิญชวนทุกภาคส่วนและประชาชนทั่วไปเข้าร่วมโครงการ “ประดับธงในดวงใจ” ด้วยการประดับธงชาติไทยคู่ธงพระปรมาภิไธย ภปร. และคู่ธงพระนามาภิไธย สก. ในห้วงวันเฉลิมพระชนพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ บริเวณหน้าอาคาร สถานที่ราชการ สถานที่เอกชน สถานศึกษา และบ้านเรือนประชาชน ตลอดเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ เผยแพร่สปอตเฉลิมพระเกียรติโครงการ “ประดับธงในดวงใจ” ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยและสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และจัดงานถวายพระพรชัยมงคลเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๘ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21404 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ของคณะกรรมาธิการปฏิรูปการสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (เรื่อง รายงานผลการศึกษากฎหมายดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) | ทก | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง รายงานผลการศึกษากฎหมายดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) ของคณะกรรมาธิการปฏิรูปการสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเศรษฐกิจดิจิทัลในภาพรวม ประกอบด้วยโครงสร้าง สถานะและบทบาทอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน หน่วยงานหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวไม่มีความชัดเจน รวมทั้งสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นกับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเป็นปัญหาการดำเนินงานที่ขาดหลักธรรมาภิบาล ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารให้คณะกรรมการประสานงานรวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21405 | สรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีมาตรา 84 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 กระทบสิทธิมนุษยชนไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 | ทก | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีมาตรา ๘๔ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ กระทบสิทธิมนุษยชนไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป โดยข้อเสนอแนะ มีดังนี้
๑. ควรแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับวิธีการนำส่งรายได้จากสัญญาสัมปทานคลื่นความถี่ที่ใช้ในกิจการโทรคมนาคมอันเป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะเป็นรายได้ของรัฐ ๒. ควรหาแนวทางในการปรับโครงสร้างธุรกิจ การหารายได้ และพิจารณางบประมาณด้านการลงทุนของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ในอนาคตเพื่อรองรับการดำเนินงานภายหลังสัญญาสัมปทานสิ้นสุดลงและกรณีขาดรายได้จากการสัมปทาน ๓. การพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายที่บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) สามารถหักได้ก่อนนำส่งรายได้ให้แก่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อให้ กสทช. นำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ๔. ควรคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนมิให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม คุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพของบุคคลในการสื่อสารถึงกันทางโทรคมนาคม และส่งเสริมสิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคของประชาชนในการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์คลื่นความถี่ในกิจการโทรคมนาคม |
||||||||||||||||||||||||
21406 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิเคราะห์งบประมาณประจำรัฐสภา พ.ศ. .... ซึ่งสภาปฏิรูปแห่งชาติเป็นผู้เสนอ | นร07 | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิเคราะห์งบประมาณประจำรัฐสภา พ.ศ. .... ซึ่งสภาปฏิรูปแห่งชาติเป็นผู้เสนอ โดยสำนักงบประมาณพิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและไม่เป็นการเพิ่มภาระงบประมาณรายจ่ายประจำด้านบุคลากรและทรัพยากรทางการบริหารในอัตราที่สูง จึงไม่ควรจัดตั้งสถาบันวิเคราะห์งบประมาณประจำรัฐสภาเป็นหน่วยงานของรัฐขึ้นอีก แต่ถ้าหากเห็นความจำเป็นต้องจัดตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่เป็นหน่วยงานอิสระ ก็ควรพิจารณากำหนดวัตถุประสงค์ ขอบเขตการดำเนินงานให้ชัดเจน คุ้มค่า เป็นหน่วยงานขนาดเล็ก มีสมรรถนะสูง โดยพิจารณาปรับหรือยุบรวมหน่วยงานที่มีอยู่เดิม ได้แก่ สถาบันพระปกเกล้า และสำนักงบประมาณของรัฐสภา ให้เหมาะสมและมีความชัดเจน จึงเห็นสมควรให้ทบทวนหลักการการจัดทำร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งผลการพิจารณาของสำนักงบประมาณให้คณะกรรมการประสานงานรวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) ทราบด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21407 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับคณะกรรมการพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศที่ประสบภัยพิบัติ | กต | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับคณะกรรมการพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศที่ประสบภัยพิบัติ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เปลี่ยนชื่อคณะกรรมการฯ เป็น "คณะกรรมการประสานงานช่วยเหลือคนไทยและประเทศที่ประสบภัยพิบัติในภาวะฉุกเฉิน" ๒. ปรับองค์ประกอบรองประธานคณะกรรมการฯ จาก “อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ” เป็น “รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศที่กำกับกลุ่มงานภารกิจความสัมพันธ์ทวิภาคี หรือ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศที่กำกับกลุ่มงานภารกิจส่งเสริมกิจการต่างประเทศ” ตามที่ปลัดกระทรวงการต่างประเทศมอบหมาย เพื่อดำเนินภารกิจในสถานการณ์ที่เน้นการช่วยเหลือประเทศที่ประสบภัยหรือเน้นการช่วยเหลืออพยพคนไทย ๓. เพิ่มองค์ประกอบกรรมการจากหน่วยงานทั้งในกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานภายนอกกระทรวงการต่างประเทศ จากเดิม จำนวน ๑๔ คน เพิ่มเป็น จำนวน ๔๒ คน ๔. ปรับปรุงอำนาจหน้าที่ โดยคงอำนาจหน้าที่เดิม ๓ ข้อ ตัดอำนาจหน้าที่เดิม ๑ ข้อ และเพิ่มอำนาจหน้าที่อีก ๕ ข้อ ได้แก่ ๔.๑ ให้คำปรึกษาแก่กระทรวงการต่างประเทศในเรื่องรูปแบบและวิธีการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศที่ประสบภัยพิบัติ ๔.๒ พิจารณาแผนงานและประสานงานการช่วยเหลือแก่ประเทศที่ประสบภัยพิบัติ ๔.๓ กำหนดแนวทางและประสานงานการให้ความช่วยเหลืออพยพคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ ๔.๔ ทำหน้าที่กลั่นกรองเรื่องการให้ความช่วยเหลือและเรื่องงบประมาณ ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติต่อไป ๔.๕ สามารถจัดตั้งคณะทำงานในภารกิจที่เห็นสมควรต่อไป โดยเน้นการปฏิบัติเพื่อความรวดเร็วและคล่องตัว ๔.๖ สามารถเชิญหน่วยงานเอกชนและมูลนิธิที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความร่วมมือในการช่วยเหลือแล้วแต่กรณี ๔.๗ ประชาสัมพันธ์การให้ความช่วยเหลือคนไทยและประเทศที่ประสบภัย ๔.๘ ดำเนินการอื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมายในส่วนที่เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือคนไทยและประเทศที่ประสบภัยพิบัติ
|
||||||||||||||||||||||||
21408 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนด้วยแนวคิดเมืองนิเวศ) | อก | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ เรื่อง การอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนด้วยแนวคิดเมืองนิเวศ ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศแห่งชาติ แต่ไม่จำเป็นต้องจัดตั้งองค์กรใหม่ เนื่องจากกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยมีการดำเนินการตามภารกิจเพื่อให้มีการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนด้วยแนวคิดเมืองนิเวศอยู่แล้ว นอกจากนี้ เห็นชอบกับข้อเสนอการปรับปรุงและพัฒนากฎหมายที่มีอยู่ให้เอื้อต่อการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ โดยต้องมีการรับฟังข้อคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นควรเพิ่มความชัดเจนในดัชนีชี้วัดความสำเร็จเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในมิติทางด้านเศรษฐกิจ การนำแนวทางประชารัฐและวิสาหกิจเพื่อสังคมมาปรับใช้ในการจัดทำแผนขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กรอบแนวคิดและความหมายของเมืองนิเวศเชิงอุตสาหกรรม รวมทั้งการกำหนดมาตรการสนับสนุนและผลักดันในเรื่อง (๑) การสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐกิจจากผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมให้แก่ชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรม (๒) การกำหนดที่ตั้งและการดูแลพื้นที่กันชนอุตสาหกรรม (Industrial buffer Zone) (๓) การป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากนิคมอุตสาหกรรมที่ตั้งขึ้นใหม่ (๔) การดำเนินการด้านบรรษัทภิบาลหรือความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และควรมีแผนการบริหารจัดการน้ำที่ชัดเจน เช่น การไม่ทิ้งน้ำเสียออกนอกเขตอุตสาหกรรม (Zero Discharge) การจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อเปรียบเทียบบทบาทและหน้าที่ขององค์กรนิเวศอุตสาหกรรมกับหน่วยงานที่มีอยู่ภายในกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานภายนอกที่มีลักษณะการทำงานใกล้เคียงกับประเภทขององค์กร การพิจารณาให้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าการประเมินวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Assessment : LCA) เป็นส่วนหนึ่งของเกณฑ์การพิจารณาในตัวชี้วัดการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนในทุกมิติ การบูรณาการกฎหมาย/กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน การปรับปรุงและพัฒนากลไกการบริหารจัดการความร่วมมือและการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพ การบูรณาการและกำหนดแผนการทำงานที่ชัดเจนร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบเข้ามามีส่วนร่วม ๓. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาดังกล่าวของกระทรวงอุตสาหกรรมให้คณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
21409 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม จำนวน 6 ฉบับ | มท | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม จำนวน ๖ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดพัทลุง พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดแม่ฮ่องสอน พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดพังงา พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดชุมพร พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนเนินกุ่ม จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรตรวจสอบรายละเอียดแผนที่ท้ายกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนเนินกุ่ม จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... ก่อน เพื่อมิให้เกิดปัญหาในการใช้ประโยชน์เพื่อปฏิรูปที่ดิน และการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งศิลปกรรมอันมีคุณค่าแก่การอนุรักษ์ และตรวจสอบพื้นที่เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกับป่าสงวนแห่งชาติและพื้นที่ป่าอนุรักษ์ตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ รวมทั้งควรมีการยกเว้นในเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินบางประเภทให้สามารถพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนบางประเภทซึ่งมีลักษณะเป็นโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน นอกจากนี้ ข้อกำหนดของร่างกฎกระทรวงดังกล่าวอาจส่งผลให้ไม่สามารถตั้งหรือขยายโรงงานได้นั้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เมื่อร่างกฎกระทรวงดังกล่าวประกาศใช้แล้ว ควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ความสำคัญต่อการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21410 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม จำนวน 4 ฉบับ | มท | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม จำนวน ๔ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวมในท้องที่ตามที่กำหนดไว้ในร่างกฎกระทรวงแต่ละฉบับ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองเลย พ.ศ. .... ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการยกเว้นเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินบางประเภทให้สามารถพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนบางประเภทซึ่งมีลักษณะเป็นโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน และข้อกำหนดของร่างกฎกระทรวงอาจส่งผลให้ไม่สามารถตั้งหรือขยายโรงงานได้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งศิลปกรรมอันมีคุณค่าแก่การอนุรักษ์ และให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำกับให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวดโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ประโยชน์ที่ดินริมแหล่งน้ำสาธารณะเพื่อป้องกันปัญหาภัยแล้งและรักษาคุณภาพของเมืองให้มีความน่าอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21411 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. .... | สว | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. .... ซึ่งมีข้อสังเกตว่า ร่างมาตรา ๑๓ ได้บัญญัติว่า “กิจการของมหาวิทยาลัยไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานและกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ แต่พนักงานมหาวิทยาลัยต้องได้รับการคุ้มครองและประโยชน์ตอบแทนไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน” ซึ่งการกำหนดเกี่ยวกับมาตรฐานขั้นต่ำในการคุ้มครองประโยชน์ตอบแทนของพนักงานมหาวิทยาลัยดังกล่าว อาจส่งผลให้มหาวิทยาลัยมีภาระผูกพันด้านงบประมาณ ในอันที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามบัญญัติดังกล่าว โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้จ่ายเป็นเงินชดเชยการเลิกจ้างเมื่อเกษียณอายุ นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐอื่น ๆ ที่รัฐยังไม่ให้การสนับสนุนงบประมาณ รัฐควรสนับสนุนงบประมาณให้เพียงพอกับการจ่ายเงินค่าชดเชยด้วย ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมแล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21412 | ร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... | กค | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณถอนร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... เพื่อนำกลับไปพิจารณาทบทวนร่วมกัน ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีรายงาน
|
||||||||||||||||||||||||
21413 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามแผนปฏิบัติการร่วมด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับศรีลังกา | กก | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำและลงนามแผนปฏิบัติการร่วมด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับศรีลังกา มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมืออย่างฉันมิตรระหว่างสองประเทศในด้านการท่องเที่ยว เป็นการดำเนินการภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับศรีลังกา โดยจะดำเนินการร่วมกันในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การแลกเปลี่ยนด้านการท่องเที่ยว การส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับชาติ และการศึกษาด้านการท่องเที่ยวและการฝึกอบรมในขอบเขตของการท่องเที่ยว และอนุมัติให้ผู้แทนระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมอบหมายเป็นผู้ลงนาม ส่วนการจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่า ร่างแผนปฏิบัติการฯ ไม่เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ จึงไม่มีความจำเป็นต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงแผนปฏิบัติการร่วมดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21414 | การประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลในการพัฒนามาตรการทางกฎหมายระหว่างประเทศด้านการจัดการปรอท สมัยที่ 7 | ทส | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยในการเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลในการพัฒนามาตรการทางกฎหมายระหว่างประเทศด้านการจัดการปรอท [Intergovernmental Negotiating Committee (INC) to prepare a global legally binding instrument on mercury] สมัยที่ ๗ และการประชุมหารือในระดับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกเพื่อเตรียมการสำหรับการประชุม INC สมัยที่ ๗ ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานรับผิดชอบหลักที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานตามพันธกรณีของอนุสัญญามินามาตะฯ รวมทั้งประธานคณะอนุกรรมการอนุสัญญามินามาตะฯ ๑.๒ เห็นชอบต่อท่าทีของไทยสำหรับใช้ในการประชุม INC สมัยที่ ๗ โดยสนับสนุนการทำงานของ INC ในการเตรียมการเพื่อรองรับการมีผลใช้บังคับของอนุสัญญามินามาตะฯ และการจัดประชุมรัฐภาคีสมัยแรก การคำนึงถึงความยืดหยุ่น ศักยภาพ ขีดความสามารถ สถานการณ์ และความจำเป็นของประเทศกำลังพัฒนาในการจัดการปรอท การสนับสนุนความร่วมมือและการบูรณาการร่วมกันในการดำเนินงานตามพันธกรณีข้อตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี และข้อตกลงที่สอดคล้องกับศักยภาพ และขีดความสามารถของประเทศ และไม่ขัดกับนโยบายรัฐบาลที่ได้แถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ ๑.๓ หากมีข้อเจรจาใดที่นอกเหนือจากท่าทีการเจรจาฯ และไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (Legally Binding) ต่อประเทศไทย ให้เป็นดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเป็นผู้พิจารณาจนสิ้นสุดการประชุมฯ โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับกรณีที่การประชุม INC จะมีการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ จะต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนการทำความตกลง ตามมาตรา ๔ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ และหากความตกลงดังกล่าวมีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ จะต้องเสนอขอความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามมาตรา ๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๕๗ รวมทั้งรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการยกเว้นให้มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์เคมีที่มีปรอทสำหรับหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจด้านการวิจัยและให้บริการทดสอบที่ยังมีความจำเป็นต้องใช้สารเหล่านี้ การจัดทำแผนการจัดการควบคุม การลดและเลิกใช้สารปรอทเพื่อให้ผู้ประกอบการมีระยะเวลาในการเตรียมความพร้อม การให้ความสำคัญกับการจัดการของเสียอันตรายซึ่งมีสารปรอทเจือปนอย่างจริงจัง และการวางแผนจัดเก็บข้อมูลสำหรับการติดตามและประเมินผลกระทบสะสม (Bioaccumulation) ของสารปรอท เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21415 | ขอความเห็นชอบโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองต่อคณะรัฐมนตรี | พม | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินงานโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑) เป้าหมาย ๑๑,๐๐๔ ครัวเรือน งบประมาณ ๔,๐๖๑.๔๔ ล้านบาท โดยการดำเนินงานในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) นำเงินที่ได้รับการจัดสรรจากโครงการบ้านมั่นคงมาใช้จ่ายในโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง และการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ใช้จากเงินทุนหมุนเวียนของ พอช. ตามความจำเป็นเร่งด่วน ๑.๒ การสนับสนุนเงินช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบและเสียโอกาสเฉลี่ยครัวเรือนละ ๘๐,๐๐๐ บาท เนื่องจากนโยบายการจัดระเบียบชุมชนริมคลองเป็นนโยบายที่สำคัญและเร่งด่วนที่ต้องเห็นรูปธรรมการแก้ไขปัญหาอย่างชัดเจนภายในระยะเวลาจำกัด และชุมชนมีข้อจำกัดในการเตรียมความพร้อมเพื่อที่อยู่อาศัยซึ่งต้องรับภาระ จึงจำเป็นต้องมีการช่วยเหลือเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมาตรฐานที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน รวมถึงตรวจสอบความซ้ำซ้อน การมีส่วนร่วม และความเป็นธรรมที่กลุ่มเป้าหมายจะได้รับเป็นสำคัญด้วย โดยเป้าหมายที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และ พ.ศ. ๒๕๖๑ นั้น ให้ พอช. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็น เหมาะสมและสอดคล้องกับความเร่งด่วนตามขั้นตอนต่อไป นอกจากนี้ เห็นควรพิจารณาประเด็นรายละเอียดของโครงการ ได้แก่ การพิจารณาหลักเกณฑ์การอุดหนุนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยให้สอดคล้องกับรูปแบบการพัฒนาที่อยู่อาศัยและขีดความสามารถในการรับภาระของกลุ่มเป้าหมาย ความเหมาะสมและจำเป็นในการขอเงินช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบและเสียโอกาสของโครงการ รวมทั้งประสานความร่วมมือกับกรุงเทพมหานครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำกับการใช้พื้นที่ริมคลองเพื่อป้องกันการรุกล้ำในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการ ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาปรับปรุงระยะเวลาดำเนินโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) |
||||||||||||||||||||||||
21416 | โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มคนไร้บ้าน 2 ปี (พ.ศ. 2559 - 2560) | พม | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มคนไร้บ้าน ๒ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐) ซึ่งเป็นการดำเนินการตามเป้าหมายที่ได้มีการสำรวจคนไร้บ้านในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ใน ๓ เมืองใหญ่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดขอนแก่น เป้าหมาย ๖๙๘ ครัวเรือน ๑,๓๙๕ คน งบประมาณรวมทั้งสิ้น ๑๑๘.๖ ล้านบาท โดยมีกิจกรรมหลักคือ การสร้างศูนย์คนไร้บ้านเพิ่มเติม ๓ แห่ง ที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดขอนแก่น และสนับสนุนการสร้างที่อยู่อาศัยให้คนไร้บ้าน เป็นต้น ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีการติดตามและประเมินผลโครงการเพื่อให้การใช้งบประมาณเกิดความคุ้มค่า ควรกำหนดกรอบการดำเนินงานในลักษณะที่ควบคุมปริมาณ มีหลักเกณฑ์และวิธีการเหมาะสมในการตรวจสอบการคัดเลือกบุคคลที่มาอยู่ในศูนย์คนไร้บ้าน รวมทั้งมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนกรณีจะให้คนไร้งานออกจากศูนย์คนไร้บ้านเมื่อได้รับการช่วยเหลือตามสมควรแล้ว ตลอดจนกำหนดแผนดำเนินงานที่สามารถป้องกันไม่ให้คนไร้บ้านมีจำนวนเพิ่มขึ้น สำหรับแนวทางการสร้างที่อยู่อาศัยให้แก่คนไร้บ้านเพื่อสร้างเป็นชุมชนแห่งใหม่ ให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) พิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมาตรฐานที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนโดยคำนึงถึงความประหยัด คุ้มค่า และมีลำดับความสำคัญสูงก่อน เพื่อมิให้เป็นภาระต่องบประมาณในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาปรับปรุงระยะเวลาดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มคนไร้บ้าน ๒ ปี ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) |
||||||||||||||||||||||||
21417 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง โครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ | อก | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมทบทวนโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ในเรื่องของพื้นที่ดำเนินการที่เหมาะสมและแผนการดำเนินการอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินการได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการวิเคราะห์ว่าจะทำให้เกิดการผลิตและใช้ยางพาราภายในประเทศเพิ่มขึ้นจริงหรือไม่ และควรมีการสร้างความร่วมมือกับศูนย์บริการทดสอบและรับรองมาตรฐานทางด้านยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์และยางล้อต่าง ๆ ที่มีอยู่ในประเทศด้วย นอกจากนี้ เห็นควรจัดทำแผน/แนวทางการบริหารจัดการศูนย์ฯ ที่ชัดเจน ให้ครอบคลุมด้านโครงสร้างและรูปแบบการบริหารงาน กรอบระยะเวลาดำเนินการ เป้าหมายที่จะลดการพึ่งพางบประมาณจากภาครัฐในแต่ละปี แหล่งเงินทุนในการดำเนินงาน ระยะเวลาคืนทุนของโครงการ รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการดึงดูดการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนรายใหญ่ในการดำเนินโครงการ และการสร้างความร่วมมือในลักษณะบูรณาการเป็นเครือข่ายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21418 | ขออนุมัติปรับแผนการดำเนินงานโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา และสายบางใหญ่ - กาญจนบุรี จากเดิมที่ให้ใช้แหล่งเงินกู้ เป็น ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - 2563 ของกรมทางหลวง | คค | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและผู้อำนวยการสำนักงบประมาณรายงาน ดังนี้ ๑.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรายงานว่า ขณะนี้โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ได้ผู้รับเหมาสำหรับงานก่อสร้างตอนที่ ๑ แล้ว โดยหากโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี สามารถเริ่มลงนามในสัญญาได้ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน ๒๕๕๙ จะทำให้ระยะเวลาการดำเนินโครงการเร็วขึ้นกว่าแผนเดิมประมาณ ๖ เดือน สำหรับแผนดำเนินโครงการในส่วนของการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ซึ่งประกอบด้วย การบริหารจัดการและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance) และการบริหารจัดการที่พักริมทาง (Rest Area) กระทรวงคมนาคมจะนำเสนอคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐพิจารณาภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๙ ๑.๒ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณรายงานว่า ในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้กำหนดกรอบวงเงินงบประมาณไว้แล้วทั้งสิ้น ๒,๗๓๓,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นการขาดดุลงบประมาณ จำนวน ๓๙๐,๐๐๐ ล้านบาท และกำหนดรายจ่ายลงทุนไว้ จำนวน ๕๔๖,๖๐๐ ล้านบาท หากให้ใช้รายจ่ายลงทุน จำนวน ๓๙๐,๐๐๐ ล้านบาท จากเงินกู้ ในส่วนของการขาดดุลงบประมาณก็จะเหลือรายจ่ายลงทุนที่จะใช้จากรายได้ จำนวน ๑๕๖,๖๐๐ ล้านบาท ซึ่งสามารถนำมาใช้ในโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ๒ สายทาง ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๓๘,๘๙๔ ล้านบาท ได้ และยังมีวงเงินรายจ่ายลงทุนคงเหลือที่จะใช้จ่ายจากรายได้ ได้อีกจำนวน ๑๑๗,๗๐๖ ล้านบาท โดยการใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการจะช่วยลดภาระหนี้สาธารณะในปี ๒๕๖๐ ได้ จำนวน ๓๘,๘๙๔ ล้านบาท ๒. เห็นชอบการปรับแผนการดำเนินงานโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี จากเดิมที่ให้ใช้แหล่งเงินกู้ เป็น ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเกี่ยวกับการปรับลดวงเงินในส่วนที่เอกชนร่วมลงทุน (Public Private Partnership : PPP) ในงานก่อสร้างที่พักริมทาง (Rest Area) สถานีบริการทางหลวง (Service Area) และศูนย์บริการทางหลวง (Service Center) งานระบบจัดเก็บค่าผ่านทางและงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวงเงินค่าก่อสร้าง การพิจารณาแนวทางบริหารจัดการเงินกองทุน เงินค่าธรรมเนียมผ่านทาง เพื่อเพิ่มมูลค่าผลประโยชน์ทางการเงินของเงินกองทุนเงินค่าธรรมเนียมผ่านทางในการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งการกำกับติดตามการดำเนินโครงการในขั้นตอนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน การพิจารณาการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบกับรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (หากมี) และการก่อสร้างงานโยธา เพื่อให้โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสามารถดำเนินการได้ตามแผนงานที่กำหนด และสอดคล้องกับการให้เอกชนมีส่วนร่วมในการดำเนินงานและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance : O&M) ตามกรอบระยะเวลาในการดำเนินโครงการตามมาตรการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP Fast Track) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21419 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อื่นๆ | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) นำร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปแก้ไขเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ และเสนอคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่พระราชบัญญัติองค์การมหาชนฯ กำหนดต่อไป ๒. สำหรับการทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ประสานรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เพื่อนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนโดยเร็วต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
21420 | การผ่อนปรนหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ สำหรับการจำหน่าย หนี้สูญจากการประกันภัยต่อกรณีภาวะอุทกภัยปี 2554 [ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่าย หนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้] | กค | 08/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการผ่อนปรนหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้สำหรับการจำหน่ายหนี้สูญจากการประกันภัยต่อกรณีภาวะอุทกภัยปี ๒๕๕๔ และอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้บริษัทประกันวินาศภัยสามารถจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ตามประมวลรัษฎากรได้ในส่วนของหนี้ที่ได้ดำเนินการด้อยค่าสินทรัพย์จากประกันภัยต่อครบถ้วนตามหลักเกณฑ์การพิจารณาค่าเผื่อการด้อยค่าของสินทรัพย์จากการประกันภัยต่อกรณีภาวะอุทกภัยปี ๒๕๕๔ ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยกำหนด เพื่อบรรเทาภาระให้บริษัทประกันวินาศภัยดังกล่าว ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมสรรพากรติดตามตรวจสอบการได้รับชำระค่าสินไหมทดแทนน้ำท่วมจากบริษัทประกันภัยต่อ ที่บริษัทประกันวินาศภัยได้รับชำระมาภายหลังจากการด้อยค่าสินทรัพย์แล้วของบริษัทประกันวินาศภัยอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานและบรรเทาภาระรายได้ภาษีของรัฐที่ต้องสูญเสียจากการคืนเงินภาษีในกรณีดังกล่าว และให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยควรเพิ่มมาตรการลงโทษสำหรับกรณีที่บริษัทประกันภัยได้รับค่าสินไหมทดแทนน้ำท่วมจากบริษัทประกันภัยต่อภายหลัง แล้วไม่นำค่าสินไหมทดแทนน้ำท่วมที่ได้รับมารับรู้เป็นรายได้ทั้งจำนวนในรอบบัญชีที่ได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนน้ำท่วม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
.....