ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1073 จากทั้งหมด 6215 หน้า แสดงรายการที่ 21441 - 21460 จากข้อมูลทั้งหมด 124297 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21441 | ร่างพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร05 | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๙ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||
21442 | รายงานผลการดำเนินงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลมาฆบูชา (กระทรวงวัฒนธรรม) | วธ | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมรายงานผลการดำเนินงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลมาฆบูชา ระหว่างวันที่ ๑๖-๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ซึ่งได้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน คณะสงฆ์ และเครือข่ายทางศาสนา รวม ๕๐ องค์กร จัด “งานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลมาฆบูชา” ในทุกพื้นที่และกลุ่มเป้าหมาย ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ดังนี้ ๑.๑ ส่วนกลาง : ได้จัดกิจกรรมที่วัดต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานครและมณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยจัดให้เป็น “พุทธอุทยานเวฬุวันเพ็ญเดือนมาฆะ” ซึ่งมีกิจกรรมเกี่ยวกับ (๑) การเรียนรู้ธรรมะจากพุทธพจน์ (๒) การประกวดในกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมทางพระพุทธศาสนา (๓) กิจกรรม “ล่องเรือไหว้พระ ๙ วัด อิ่มบุญสุขใจ” สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และ (๔) กิจกรรม “ธรรมะสู่คนทั้งมวล” เพื่อคนพิการได้เข้าถึงศาสนา ๑.๒ ส่วนภูมิภาค : ได้จัดกิจกรรมอย่างทั่วถึงทุกจังหวัด โดยในส่วนของจังหวัดตามแนวชายแดนได้มีประชาชนจากพื้นที่ชายแดนและประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนเข้าร่วมกิจกรรมมาฆบูชาเพื่อสานสัมพันธ์อาเซียนด้วย ทั้งนี้ ทุกกระทรวงได้ร่วมรณรงค์ให้ข้าราชการสวมใส่ชุดขาวเข้าวัดปฏิบัติธรรม ประดับธงธรรมจักรหน้าหน่วยงาน และเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมทางศาสนา รวมทั้งเชิญชวนให้หน่วยงานในสังกัดสร้างความตระหนักรู้ในคุณค่าของหลักธรรม เสริมสร้างภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะที่เป็นเมืองพระพุทธศาสนาโลก และสืบทอดพระพุทธศาสนาให้อยู่คู่ชาติไทยสืบไป ๒. ในระยะต่อไปให้กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำโครงการ/กิจกรรมที่ประชาชนในทุกศาสนาเข้ามามีส่วนร่วมได้ เพื่อปลุกจิตสำนึกของประชาชนในเรื่องคุณธรรม จริยธรรม การรักษาระเบียบวินัย และการเคารพกฎหมาย เพื่อให้ประเทศพัฒนาไปในแนวทางที่มีความสงบสุขและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||
21443 | โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 12 สายพิษณุโลก - หล่มสัก | คค | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานว่า โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๑๒ สายพิษณุโลก-หล่มสัก เป็นโครงการหนึ่งตามข้อตกลงร่วมกันของประเทศสมาชิกของอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง หรือ GMS โดยก่อสร้างขยายถนนทางหลวงให้เป็น ๔ ช่องจราจร ซึ่งรัฐบาลวางแผนให้เป็นหนึ่งในเส้นทางยุทธศาสตร์ สายเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก หรือ East-West Corridor ถนนสายเอเชีย หมายเลข ๑๖ เชื่อมโยงประเทศในกรอบความร่วมมือ GMS โดยมีมูลค่างานก่อสร้าง ๓,๓๘๖ ล้านบาท ระยะทางรวม ๑๐๔.๒ กิโลเมตร ปัจจุบันทางหลวงดังกล่าวเป็นเส้นทางสายหลักรองรับการที่ประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวสร้างความเจริญสู่ชุมชน
|
|||||||||||||||||||||
21444 | ข้อคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี | นร04 | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรายงานข้อคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
๑. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รายงานว่า ๑.๑ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) โดยได้ดำเนินการให้เป็นไปตามผลการหารือกับผู้แทนสหภาพยุโรป DG MARE (The Directorate-General for Maritime Affairs and Fisheries) ซึ่งผลการดำเนินการมีความคืบหน้าเป็นอย่างมากอยู่ในระดับเป็นที่น่าพอใจ และระหว่างวันที่ ๖-๘ มีนาคม ๒๕๕๙ กองทัพเรือได้เข้าร่วมงานแสดงสินค้าอาหารทะเลนานาชาติ ณ เมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยได้ชี้แจงความก้าวหน้าในแนวทางการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายของประเทศไทยด้วย ๑.๒ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองลาดพร้าว มีวัตถุประสงค์แก้ไขปัญหาการรุกล้ำของชุมชนริมคลอง ให้คลองมีการระบายน้ำสะดวก รวมทั้งพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนริมคลอง โดยในวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๙ กรมธนารักษ์จะได้จัดให้มีการมอบสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุให้แก่ชุมชนริมคลองลาดพร้าว และในระยะต่อไปกรุงเทพมหานครจะได้ดำเนินการพัฒนาริมคลองอื่น ๆ เป็นท่าเทียบเรือและทางจักรยานต่อไปด้วย ๒. รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดมหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค ภายใต้แนวคิด “วิจัยเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น” เมื่อวันที่ ๓-๕ มีนาคม ๒๕๕๙ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี เพื่อให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยเฉพาะผู้ประกอบการสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) และประชาชนที่สนใจได้นำแนวคิดจากผลงานวิจัยไปประยุกต์ใช้ในการผลิตสินค้าของตนเองต่อไป ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รายงานว่า ได้สั่งการให้กรมที่ดินรวบรวมเอกสารและตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีพิพาทที่ดินบริเวณหาดราไวย์ ซึ่งชาวเลบ้านราไวย์ได้เรียกร้องขอความเป็นธรรมกรณีที่เอกชนถือเอกสารสิทธิ์ทับซ้อนกับทางเดินสาธารณะและพื้นที่ชุมชน จำนวน ๑๙ ไร่ ที่ชาวเลบ้านราไวย์ได้อยู่อาศัยและใช้เป็นพื้นที่ทำกินมาเป็นเวลานาน ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยจะได้พิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยคำนึงถึงหลักนิติศาสตร์ และหลักรัฐศาสตร์เพื่อให้ชาวเลและเอกชนที่เกี่ยวข้องสามารถใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและปราศจากข้อขัดแย้งระหว่างกัน
|
|||||||||||||||||||||
21445 | การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี ในวันที่ 9 มิถุนายน 2559 และเนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา ในวันที่ 12 สิงหาคม 2559 | นร04 | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ ๗๐ ปี ในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๙ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ประสานงานกับสำนักพระราชวังและสำนักราชเลขาธิการ เพื่อเตรียมการจัดพระราชพิธี และศาสนพิธีในโอกาสดังกล่าวให้เป็นไปตามโบราณราชประเพณีและสมพระเกียรติต่อไป ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีประสานงานกับสถาบันสิริกิติ์ สำนักราชเลขาธิการ ในการจัดสร้างถาวรวัตถุเป็นที่ระลึกเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวาย ๓. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีประสานงานกับสำนักราชเลขาธิการ ในการจัดทำตราสัญลักษณ์และหนังสือจดหมายเหตุ ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินโครงการ "ปลูกไทย... ในแบบพ่อ" ๕. ให้กระทรวงกลาโหมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินโครงการขุดลอกคูคลองทั่วประเทศตามแนวพระราชดำริ
|
|||||||||||||||||||||
21446 | Application การเรียนรู้ภาษาอังกฤษ | ศธ | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์) รายงานว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดทำ Application การสอนภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานในชีวิตประจำวันตามกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ นั้น กระทรวงศึกษาธิการได้จัดทำ Application การเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารระดับพื้นฐานสำหรับประชาชนทั่วไปเสร็จเรียบร้อยแล้วในชื่อ Echo English เน้นการฝึกฝนทักษะฟัง พูด อ่าน เขียน จากสถานการณ์จำลองต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์ได้ทุกที่ ทุกเวลา และรองรับการติดตั้ง (download) Application ในระบบปฏิบัติการ Android แล้ว ส่วนระบบปฏิบัติการ iOS จะสามารถติดตั้งได้ภายในเดือนมีนาคม โดยในระยะแรกจะมีแบบเรียน ๔๐ บท และจะขยายเป็น ๒๐๐ บทในระยะต่อไป ๒. ในระยะต่อไปให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาแนวทางการพัฒนา Application ภาษาอื่น ๆ ด้วย เช่น ภาษาจีน ภาษาเกาหลี เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและภาคแรงงานด้วย
|
|||||||||||||||||||||
21447 | งานมหกรรมเรือสำราญและมารีน่า | นร | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานเกี่ยวกับการจัดงานมหกรรมเรือสำราญและมารีน่า “ไทยแลนด์ ยอชท์ โชว์ ๒๐๑๖” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ณ จังหวัดภูเก็ต สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ พื้นที่ดำเนินการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงคมนาคมได้ร่วมจัดงานมหกรรมฯ โดยแบ่งพื้นที่จัดแสดงเป็น ๒ ส่วน ประกอบด้วย (๑) On-Land Pavilion ได้แก่ นิทรรศการความรู้การส่งเสริมการขายสินค้าผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยจัดช่องทางให้ผู้ประกอบการไทยได้เปิดตัวสินค้าและบริการอย่างครบวงจร (เช่น บริการทางการเงิน บริการเช่าเรือระยะยาว บริการประกันภัย บริการจัดเลี้ยงบนเรือ บริการหลังการขาย และบริการด้านเทคนิคจากผู้เชี่ยวชาญ) และการจัดกิจกรรมสัมมนาสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการเจ้าของเรือ และนายหน้าหรือตัวแทนซื้อขาย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ในด้านกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเรือสำราญ และ (๒) On-Water Show การแสดงเรือยอชท์ (Yacht และ Super Yacht) พร้อมด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัย ๑.๒ ผลที่คาดว่าจะได้รับ ประเทศไทยเป็น “Marina Hub of ASEAN” โดยเป็นฐานการเดินเรือของเรือสำราญเพื่อการท่องเที่ยวจากทั่วโลก เชื่อมโยงกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค เสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทย โดยการจัดงานดังกล่าวช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจ ดึงดูดรายได้ และกระตุ้นการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเป็นโอกาสสร้างงานและสร้างการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องแก่ผู้ประกอบการและแรงงาน เพิ่มทักษะเฉพาะด้านและกระจายรายได้สู่คนในพื้นที่ โดยประมาณการรายได้จากการจัดกิจกรรมในครั้งนี้มีมูลค่าประมาณ ๒๐๐-๔๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ยังเป็นการสนับสนุนการจัดกิจกรรมอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกันเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าตลาดระดับบนในอนาคตด้วย ๑.๓ โดยที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นท่าจอดเรือสำราญ/เรือยอชท์ในระยะยาว จึงเห็นว่าการพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบของกระทรวงการคลังในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเรือสำราญจะเป็นการสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมดังกล่าวต่อไป ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเรือสำราญและมารีน่าอย่างเชื่อมโยงและบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยอาจพิจารณาแนวทางเลือกการลงทุนในอุตสาหกรรมดังกล่าวในลักษณะของการร่วมลงทุนกับภาคเอกชนหรือการสนับสนุนให้ภาคเอกชนลงทุน เพื่อลดภาระการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ
|
|||||||||||||||||||||
21448 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณากำหนดแนวทางการจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น กระตุ้นการใช้จ่ายในชุมชน ส่งเสริมการประกอบอาชีพนอกภาคการเกษตร รวมทั้งสร้างความสุขให้แก่ประชาชนในแต่ละพื้นที่ เช่น การจัดงานในวัด ทั้งนี้ ให้นำเสนอแนวทางดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีภายในสัปดาห์หน้า ๒. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณาจัดกลุ่มกฎหมายเพื่อให้ง่ายต่อการรับรู้ของประชาชน เช่น กลุ่มกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กลุ่มกฎหมายด้านกระบวนการยุติธรรม กลุ่มกฎหมายการปฏิรูประบบราชการ เพื่อสร้างการรับรู้ให้ประชาชนเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ การบังคับใช้กฎหมาย และประโยชน์ที่จะได้รับจากกฎหมายนั้น ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ตามที่ได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรักษาความสงบเรียบร้อยในแต่ละพื้นที่ให้มีความปลอดภัยและความสงบสุข รวมทั้งปราบปรามผู้มีอิทธิพล นั้น มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการร้องเรียนจากประชาชน เช่น ตลาดโบ๊เบ๊ ๓.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดประเด็นการขับเคลื่อนการดำเนินการในช่วงระยะเวลาที่เหลือของการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรี (ถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐) ภายใต้หลักธรรมาภิบาล โดยเฉพาะในเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เช่น การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง การปรับโครงสร้างการเกษตร การสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศในทุกมิติ การสร้างคุณธรรม และจริยธรรมของสังคมเพื่อลดความขัดแย้ง การบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง รวมทั้งกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบการบูรณาการในแต่ละประเด็น ทั้งนี้ ให้เสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓.๓ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางในการสนับสนุนรถหรือเครื่องมือให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อย เพื่อใช้ในการกำจัดใบอ้อยและตออ้อย รวมทั้งประสานให้โรงงานที่จะรับซื้ออ้อยจากเกษตรกรร่วมรับผิดชอบในการกำจัดใบอ้อยและตออ้อยด้วย ๓.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดรูปแบบการใช้ประโยชน์จากที่ดินให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ทั้งในระดับภูมิภาค ระดับกลุ่มจังหวัด และระดับจังหวัด โดยให้มีกลไกการสนับสนุนเงินทุนให้แก่ชุมชนและให้มีการเชื่อมโยงด้านการผลิตและการตลาดในระยะต่อไป เพื่อให้การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายของรัฐบาลเกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม ภายในปี ๒๕๖๐ ๓.๕ ให้ทุกส่วนราชการร่วมดำเนินการให้ “ปี ๒๕๕๙ เป็นปีแห่งธรรมาภิบาล” โดยให้การปฏิบัติภารกิจในความรับผิดชอบอยู่ภายใต้หลักธรรมาภิบาล รวมทั้งจัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์และสร้างเสริมให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งธรรมาภิบาล เช่น การจัดกิจกรรมร่วมกันระหว่าง ๓ ศาสนา เพื่อปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และจิตสำนึกให้แก่คนในชาติเพื่อเป็นพลังให้สังคมมีความเข้มแข็ง
|
|||||||||||||||||||||
21449 | รายงานผลการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีพลังงานเอเชีย ครั้งที่ 6 ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ และขออนุมัติในหลักการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีพลังงานเอเชีย ครั้งที่ 7 ในปี พ.ศ. 2560 ณ กรุงเทพมหานคร | พน | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีพลังงานเอเชีย ครั้งที่ ๖ (The 6th Asian Ministerial Energy Roundtable) ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ เมื่อวันที่ ๗-๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นหัวหน้าคณะในการเดินทางเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว โดยที่ประชุมได้มีการหารือถึงสถานการณ์ตลาดน้ำมันที่มีความผันผวนซึ่งอาจจะกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาค โอกาสในการใช้ก๊าซธรรมชาติและถ่านหินในการเป็นแหล่งทรัพยากรในการผลิตกระแสไฟฟ้า และแนวทางนโยบายในการเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาคเอเชีย ในโอกาสนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้รับเกียรติให้แสดงวิสัยทัศน์ด้านพลังงานต่อผู้นำด้านพลังงานและชี้ให้ตระหนักถึงการร่วมมือและรู้จักปรับตัวเข้าหาสมดุลของการผลิตและการใช้พลังงานที่เหมาะสมในระยะยาว และได้กล่าวว่า กระทรวงพลังงานของไทยจะได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ครั้งที่ ๗ โดยมีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นเจ้าภาพร่วม ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ กรุงเทพมหานคร เพื่อหารือกันในประเด็นด้านพลังงานในการส่งเสริมความร่วมมือในระดับภูมิภาคต่อไป ๑.๒ อนุมัติในหลักการให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีพลังงานเอเชีย ครั้งที่ ๗ (The 7th Asian Ministerial Energy Roundtable) ในเดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ณ กรุงเทพมหานคร ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการจัดประชุมดังกล่าว ให้กระทรวงพลังงานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณพร้อมรายละเอียดของค่าใช้จ่ายแล้วเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
21450 | การแก้ไขเพิ่มเติมอนุสัญญาศุลกากรว่าด้วยเอกสารค้ำประกัน (เอ.ที.เอ. คาร์เนท์) สำหรับการนำของเข้าชั่วคราว (อนุสัญญา เอ.ที.เอ.) | กค | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมอนุสัญญาศุลกากรว่าด้วยเอกสารค้ำประกัน (เอ.ที.เอ. คาร์เนท์) สำหรับการนำของเข้าชั่วคราว (อนุสัญญา เอ.ที.เอ.) (Customs Convention on the ATA Carnet for the Temporary Admission of Goods : ATA Convention) ซึ่งองค์กรศุลกากรโลกได้มีมติให้แก้ไขเพิ่มเติมอนุสัญญา เอ.ที.เอ. ในมาตรา ๔ โดยให้มีการใช้เอกสาร ATA Carnet ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ แต่การแก้ไขดังกล่าวไม่ได้ผูกมัดประเทศภาคีอนุสัญญา เอ.ที.เอ. หากประเทศภาคีใดยังไม่มีความพร้อมสามารถใช้เอกสารกระดาษต่อไปได้ และแก้ไขมาตรา ๑๘ ว่าด้วยเรื่องการกำหนดองค์ประชุม Contracting Parties to the Customs Convention on the ATA Carnet for the Temporary Admission of Goods โดยประเทศภาคีอนุสัญญา เอ.ที.เอ. จะต้องเข้าประชุม จำนวน ๑ ใน ๓ ของประเทศภาคีทั้งหมด จึงจะถือว่าครบองค์ประชุมและมีอำนาจในการพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มความระมัดระวังในการติดตามวาระการประชุม โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของประเทศไทย รวมทั้งให้กรมศุลกากรและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยพิจารณาในเบื้องต้นเกี่ยวกับเงื่อนไขและงบประมาณสำหรับการติดตั้งระบบ eATA Carnet สำหรับอนาคต รวมถึงให้ความสำคัญกับการศึกษาผลการดำเนินงานของประเทศภาคีอนุสัญญา เอ.ที.เอ ที่นำร่องทดลองใช้ระบบ eATA Carnet เพื่อนำผลการศึกษาด้านประสิทธิภาพมาวิเคราะห์เปรียบเทียบความคุ้มค่าทั้งในด้านประสิทธิภาพและต้นทุนในระยะยาว หากประเทศไทยจำเป็นต้องใช้ระบบดังกล่าวในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
21451 | การขออนุมัติจำหน่ายหนี้ค้างชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคมของบริษัท อินโนเวกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ออกจากบัญชีเป็นหนี้สูญ | กค | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติจำหน่ายหนี้ค้างชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคมของบริษัท อินโนเวกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕,๖๖๗,๕๑๑.๖๔ บาท ออกจากบัญชีเป็นหนี้สูญ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีมาตรการที่ชัดเจนในการติดตาม ตรวจสอบ และเร่งรัดหนี้สิน เพื่อมิให้มีหนี้ค้างชำระเป็นระยะเวลานานและเรียกเก็บไม่ได้ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้นำไปสู่การจำหน่ายหนี้ออกจากบัญชีเป็นหนี้สูญอีก และเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของลูกจ้างในระบบประกันสังคมและกองทุนประกันสังคมในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การขออนุมัติจำหน่ายหนี้สูญเงินทุนหมุนเวียนโครงการไทย-เยอรมัน) ที่ให้กระทรวงการคลังปรับปรุงมติสภาบริหารคณะปฏิวัติเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ เกี่ยวกับเรื่องจำหน่ายหนี้เงินและทรัพย์สินออกจากบัญชี แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||
21452 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2559 ครั้งที่ 1 | กค | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ครั้งที่ ๑ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ ๒๗,๘๕๗.๔๔ ล้านบาท จากเดิม ๑,๕๙๑,๖๖๔.๖๓ ล้านบาท เป็น ๑,๖๑๙,๕๒๒.๐๗ ล้านบาท ๑.๒ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะฯ ที่มีวงเงินปรับลดลงสุทธิ ๑๔,๖๐๕.๔๐ ล้านบาท จากเดิม ๑๓๖,๕๐๕.๕๘ ล้านบาท เป็น ๑๒๑,๙๐๐.๑๘ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งอนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะฯ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะฯ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๕ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมาย เป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำกับติดตามและเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการใช้จ่ายและเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องตามแผนด้วย เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) กำกับเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๓.๑ เร่งรัดดำเนินโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ โดยเฉพาะโครงการที่อยู่ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะและโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ เช่น โครงการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟทางคู่ และให้หน่วยงานพิจารณารูปแบบการลงทุนและวงเงินลงทุนที่เหมาะสม เพื่อเป็นการลดภาระหนี้สาธารณะและภาระงบประมาณด้วย ๓.๒ ให้รัฐวิสาหกิจเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างและฟื้นฟูองค์กรให้มีประสิทธิภาพตามแผนการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ ๗ แห่ง ที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้วในคราวประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เพื่อลดภาระหนี้สินขององค์กรในภาพรวมและลดภาระการอุดหนุนจากภาครัฐต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
21453 | ขออนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกู้เงินระยะสั้น โดยต่ออายุสัญญาเงินกู้ วงเงิน 800 ล้านบาท | คค | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต่ออายุสัญญาเงินกู้ วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท ออกไปอีก ๑ ปี ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้ รฟท. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจที่เห็นควรเร่งดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของการให้บริการ เน้นการเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์จากทรัพย์สินให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งการควบคุมและลดค่าใช้จ่ายเพื่อบรรเทาภาวการณ์ขาดสภาพคล่องทางการเงินในระยะยาว และเห็นควรมีการวางแผนและบริหารวงเงินกู้เพื่อรักษาสภาพคล่องอย่างรัดกุมโดยไม่ให้เกิดวงเงินกู้ที่ซ้ำซ้อนและภาระดอกเบี้ยเกินความจำเป็นที่ส่งผลต่อภาระค่าใช้จ่ายองค์กร การพิจารณากำหนดมาตรการที่เข้มงวดในการแก้ไขปัญหาการขาดทุนและขาดสภาพคล่องของ รฟท. ให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจังเพื่อให้ รฟท. สามารถพึ่งพาตัวเองได้และไม่เป็นภาระของภาครัฐในอนาคต ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ส่วนประเด็นของการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน ตามมาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้กระทรวงการคลังมีอำนาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันหรือค่าธรรมเนียมอื่นใดได้ในอัตราและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง โดยภายใต้กฎกระทรวงกำหนดอัตราและเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันของกระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอนุมัติให้เรียกเก็บหรือไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันก็ได้ ซึ่ง รฟท. จะต้องจัดทำข้อมูลเพิ่มเติมตามแบบฟอร์มที่กระทรวงการคลังกำหนดเพื่อประกอบการพิจารณาในขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง |
|||||||||||||||||||||
21454 | สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี 2558/59 ครั้งที่ 13 | กษ | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ ครั้งที่ ๑๓ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์น้ำ ณ วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เช่น อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งประเทศ จำนวน ๓๓ แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม ๓๗,๕๔๖ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๓ ของปริมาตรน้ำกักเก็บทั้งหมด เป็นน้ำใช้การได้ ๑๔,๐๔๓ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๓๐ ของปริมาตรน้ำใช้การทั้งหมด ๒. การจัดสรรน้ำ ช่วงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘-๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และอ่างเก็บน้ำขนาดกลางทั้งประเทศ ใช้น้ำไปแล้ว ๔,๗๒๕ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๔๒ ของแผนการจัดสรรน้ำ ส่วนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และผันน้ำจากแม่กลอง) ใช้น้ำไปแล้ว ๑,๖๕๔ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๗ ของแผนการจัดสรรน้ำ คิดเป็นระบายน้ำเฉลี่ยวันละ ๑๖.๒๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓. การบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ ช่วงวันที่ ๘-๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ กำหนดแผนการระบายน้ำจากเขื่อนจำนวน ๔ เขื่อน ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เฉลี่ยวันละ ๑๗.๗๗ ล้านลูกบาศก์เมตร ๔. สถานการณ์การเพาะปลูกข้าวในเขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ พื้นที่ปลูกข้าวนาปี ปี ๒๕๕๘ แผนเพาะปลูก ๗.๔๕ ล้านไร่ ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ ไม่ปลูก ๑.๐๕ ล้านไร่ โดยในพื้นที่ที่ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ แบ่งเป็น เก็บเกี่ยวแล้ว ๖.๓๗ ล้านไร่ เสียหาย ๐.๐๒ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว ๐.๐๑ ล้านไร่ คาดว่าจะเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ พื้นที่ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๑.๗๖ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว ๑.๖๗ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว ๐.๐๙ ล้านไร่ คาดว่าจะเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ และพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ผลการเพาะปลูกข้าวนาปรัง จำนวน ๑.๙๖ ล้านไร่
|
|||||||||||||||||||||
21455 | รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน | พน | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอรายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับผลการกำกับกิจการพลังงานของ กกพ. ที่สำคัญ ผลการดำเนินงานด้านการจัดเก็บรายได้และการใช้จ่ายของสำนักงาน กกพ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และงบแสดงฐานะการเงินของสำนักงาน กกพ. ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||
21456 | โครงการพัฒนาศูนย์ดูแลเด็กสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง | พม | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์ดูแลเด็กสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (International Organization For Migration : IOM) จัดทำโครงการพัฒนาศูนย์ดูแลเด็กสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อปรับปรุงศูนย์ดูแลเด็กสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซอยสวนพลู ถนนสาทรใต้ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร ให้มีความเหมาะสมและปลอดภัยในการดูแลเด็ก โดยได้จัดประชุมชี้แจงโครงการและหารือร่วมกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเห็นด้วยกับการดำเนินโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ การจัดทำโครงการพัฒนาศูนย์ดูแลเด็กฯ เป็นการดำเนินงานตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยมุ่งหวังให้เด็กในประเทศไทยได้รับความคุ้มครองอย่างปลอดภัยและมีโอกาสเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเอื้อต่อพัฒนาการของเด็กแต่ละช่วงวัย ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
21457 | รายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ สหพันธรัฐรัสเซียและสาธารณรัฐเบลารุส | กห | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงกลาโหมรายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ สหพันธรัฐรัสเซียและสาธารณรัฐเบลารุสของรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ ระหว่างวันที่ ๒๒ ถึงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และเสริมสร้างความร่วมมือทางทหารระหว่างกระทรวงกลาโหมของไทยกับสหพันธรัฐรัสเซียและสาธารณรัฐเบลารุส โดยการเยือนสหพันธรัฐรัสเซีย ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านความมั่นคง การแลกเปลี่ยนข่าวสาร ความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ รวมทั้งการเสริมสร้างและยกระดับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกันในทุกมิติมากยิ่งขึ้น ส่วนการเยือนสาธารณรัฐเบลารุส ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับการลงนามในความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐเบลารุสว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคนิคทางทหาร เพื่อขับเคลื่อนความสัมพันธ์และความร่วมมือในอนาคต โดยเฉพาะด้านการทหารและด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
|
|||||||||||||||||||||
21458 | แผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือ ปี 2559 | ทส | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือปี ๒๕๕๙ ซึ่งแบ่งออกเป็น ๓ ระยะ ได้แก่ มาตรการเตรียมการ มาตรการรับมือ (ก่อนวิกฤตและหลังวิกฤต) มาตรการฟื้นฟูและสร้างความยั่งยืน เพื่อกำหนดให้เป็นนโยบายรัฐบาล และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติต่อไป สำหรับงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินรวม ๙๓.๘๑๘๐ ล้านบาท เพื่อดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขหมอกควันภาคเหนือ ปี ๒๕๕๙ ในส่วนของการดำเนินงานของ ๙ จังหวัด โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานรับงบประมาณเพื่อขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณแทนจังหวัดตามขั้นตอนต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือและที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตามแผนระยะก่อนวิกฤตและระยะวิกฤตให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับจัดสรรหรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรหรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการประเมินผลสัมฤทธิ์ของแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือตอนบน เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการจัดสรรงบประมาณ และเพื่อนำมาปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานในแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือในระยะต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||
21459 | การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร07 | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ในลำดับที่ ๑๑-๑๖ ดังนี้
๑. ลำดับที่ ๑๑ วันที่ ๙ กุมภาพันธ์-๔ มีนาคม ๒๕๕๙ (จากเดิมวันที่ ๓-๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙) รองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดมอบนโยบาย และส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น จัดทำรายละเอียดวงเงินและคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามแนวทางการปฏิรูปการจัดทำงบประมาณ (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙) และส่งสำนักงบประมาณ ๒. ลำดับที่ ๑๒ วันที่ ๔ มีนาคม-๒๙ เมษายน ๒๕๕๙ (จากเดิมวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์-๘ เมษายน ๒๕๕๙) สำนักงบประมาณพิจารณาจัดทำรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี ๓. ลำดับที่ ๑๓-๑๖ วันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙ (จากเดิมวันที่ ๑๒ เมษายน-๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙) คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐
|
|||||||||||||||||||||
21460 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเพื่อรองรับการเปิดทำการศาลจังหวัดชุมแพ รวม 4 ฉบับ | ศย | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเพื่อรองรับการเปิดทำการศาลจังหวัดชุมแพ รวม ๔ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เปิดทำการศาลจังหวัดชุมแพ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๙ เป็นต้น กำหนดเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงขอนแก่นเพื่อมิให้ทับซ้อนกับศาลจังหวัดชุมแพ กำหนดให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับสำหรับคดีอาญาที่เกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดชุมแพ และกำหนดให้ศาลจังหวัดชุมแพมีเขตตลอดท้องที่อำเภอชุมแพ อำเภอภูผาม่าน อำเภอภูเวียง อำเภอเวียงเก่า อำเภอสีชมพู อำเภอหนองนาคำ และอำเภอหนองเรือ ในจังหวัดขอนแก่น ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเปิดทำการศาลจังหวัดชุมแพ พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงขอนแก่น พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๒๐ บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลจังหวัดชุมแพ พ.ศ. .... ๒. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมสนับสนุนสถานที่ทำการชั่วคราวให้แก่หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมอื่น เพื่อรองรับการเปิดทำการศาลจังหวัดชุมแพ ซึ่งมีกำหนดจะเปิดทำการในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๙ ตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ และประสานกระทรวงยุติธรรมเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เรื่อง แผนงานในการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมเพื่อรองรับการจัดตั้งศาลชั้นต้นและแผนกคดีในศาลยุติธรรม) โดยด่วนต่อไปด้วย |
.....