ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1072 จากทั้งหมด 6215 หน้า แสดงรายการที่ 21421 - 21440 จากข้อมูลทั้งหมด 124297 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21421 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง โครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ | อก | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมทบทวนโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ในเรื่องของพื้นที่ดำเนินการที่เหมาะสมและแผนการดำเนินการอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินการได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการวิเคราะห์ว่าจะทำให้เกิดการผลิตและใช้ยางพาราภายในประเทศเพิ่มขึ้นจริงหรือไม่ และควรมีการสร้างความร่วมมือกับศูนย์บริการทดสอบและรับรองมาตรฐานทางด้านยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์และยางล้อต่าง ๆ ที่มีอยู่ในประเทศด้วย นอกจากนี้ เห็นควรจัดทำแผน/แนวทางการบริหารจัดการศูนย์ฯ ที่ชัดเจน ให้ครอบคลุมด้านโครงสร้างและรูปแบบการบริหารงาน กรอบระยะเวลาดำเนินการ เป้าหมายที่จะลดการพึ่งพางบประมาณจากภาครัฐในแต่ละปี แหล่งเงินทุนในการดำเนินงาน ระยะเวลาคืนทุนของโครงการ รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการดึงดูดการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนรายใหญ่ในการดำเนินโครงการ และการสร้างความร่วมมือในลักษณะบูรณาการเป็นเครือข่ายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
21422 | ขออนุมัติปรับแผนการดำเนินงานโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา และสายบางใหญ่ - กาญจนบุรี จากเดิมที่ให้ใช้แหล่งเงินกู้ เป็น ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - 2563 ของกรมทางหลวง | คค | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและผู้อำนวยการสำนักงบประมาณรายงาน ดังนี้ ๑.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรายงานว่า ขณะนี้โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ได้ผู้รับเหมาสำหรับงานก่อสร้างตอนที่ ๑ แล้ว โดยหากโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี สามารถเริ่มลงนามในสัญญาได้ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน ๒๕๕๙ จะทำให้ระยะเวลาการดำเนินโครงการเร็วขึ้นกว่าแผนเดิมประมาณ ๖ เดือน สำหรับแผนดำเนินโครงการในส่วนของการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ซึ่งประกอบด้วย การบริหารจัดการและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance) และการบริหารจัดการที่พักริมทาง (Rest Area) กระทรวงคมนาคมจะนำเสนอคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐพิจารณาภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๙ ๑.๒ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณรายงานว่า ในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้กำหนดกรอบวงเงินงบประมาณไว้แล้วทั้งสิ้น ๒,๗๓๓,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นการขาดดุลงบประมาณ จำนวน ๓๙๐,๐๐๐ ล้านบาท และกำหนดรายจ่ายลงทุนไว้ จำนวน ๕๔๖,๖๐๐ ล้านบาท หากให้ใช้รายจ่ายลงทุน จำนวน ๓๙๐,๐๐๐ ล้านบาท จากเงินกู้ ในส่วนของการขาดดุลงบประมาณก็จะเหลือรายจ่ายลงทุนที่จะใช้จากรายได้ จำนวน ๑๕๖,๖๐๐ ล้านบาท ซึ่งสามารถนำมาใช้ในโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ๒ สายทาง ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๓๘,๘๙๔ ล้านบาท ได้ และยังมีวงเงินรายจ่ายลงทุนคงเหลือที่จะใช้จ่ายจากรายได้ ได้อีกจำนวน ๑๑๗,๗๐๖ ล้านบาท โดยการใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการจะช่วยลดภาระหนี้สาธารณะในปี ๒๕๖๐ ได้ จำนวน ๓๘,๘๙๔ ล้านบาท ๒. เห็นชอบการปรับแผนการดำเนินงานโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี จากเดิมที่ให้ใช้แหล่งเงินกู้ เป็น ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเกี่ยวกับการปรับลดวงเงินในส่วนที่เอกชนร่วมลงทุน (Public Private Partnership : PPP) ในงานก่อสร้างที่พักริมทาง (Rest Area) สถานีบริการทางหลวง (Service Area) และศูนย์บริการทางหลวง (Service Center) งานระบบจัดเก็บค่าผ่านทางและงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวงเงินค่าก่อสร้าง การพิจารณาแนวทางบริหารจัดการเงินกองทุน เงินค่าธรรมเนียมผ่านทาง เพื่อเพิ่มมูลค่าผลประโยชน์ทางการเงินของเงินกองทุนเงินค่าธรรมเนียมผ่านทางในการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งการกำกับติดตามการดำเนินโครงการในขั้นตอนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน การพิจารณาการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบกับรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (หากมี) และการก่อสร้างงานโยธา เพื่อให้โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสามารถดำเนินการได้ตามแผนงานที่กำหนด และสอดคล้องกับการให้เอกชนมีส่วนร่วมในการดำเนินงานและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance : O&M) ตามกรอบระยะเวลาในการดำเนินโครงการตามมาตรการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP Fast Track) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
21423 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อื่นๆ | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) นำร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปแก้ไขเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ และเสนอคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่พระราชบัญญัติองค์การมหาชนฯ กำหนดต่อไป ๒. สำหรับการทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ประสานรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เพื่อนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||
21424 | การผ่อนปรนหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ สำหรับการจำหน่าย หนี้สูญจากการประกันภัยต่อกรณีภาวะอุทกภัยปี 2554 [ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่าย หนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้] | กค | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการผ่อนปรนหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้สำหรับการจำหน่ายหนี้สูญจากการประกันภัยต่อกรณีภาวะอุทกภัยปี ๒๕๕๔ และอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้บริษัทประกันวินาศภัยสามารถจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ตามประมวลรัษฎากรได้ในส่วนของหนี้ที่ได้ดำเนินการด้อยค่าสินทรัพย์จากประกันภัยต่อครบถ้วนตามหลักเกณฑ์การพิจารณาค่าเผื่อการด้อยค่าของสินทรัพย์จากการประกันภัยต่อกรณีภาวะอุทกภัยปี ๒๕๕๔ ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยกำหนด เพื่อบรรเทาภาระให้บริษัทประกันวินาศภัยดังกล่าว ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมสรรพากรติดตามตรวจสอบการได้รับชำระค่าสินไหมทดแทนน้ำท่วมจากบริษัทประกันภัยต่อ ที่บริษัทประกันวินาศภัยได้รับชำระมาภายหลังจากการด้อยค่าสินทรัพย์แล้วของบริษัทประกันวินาศภัยอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานและบรรเทาภาระรายได้ภาษีของรัฐที่ต้องสูญเสียจากการคืนเงินภาษีในกรณีดังกล่าว และให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยควรเพิ่มมาตรการลงโทษสำหรับกรณีที่บริษัทประกันภัยได้รับค่าสินไหมทดแทนน้ำท่วมจากบริษัทประกันภัยต่อภายหลัง แล้วไม่นำค่าสินไหมทดแทนน้ำท่วมที่ได้รับมารับรู้เป็นรายได้ทั้งจำนวนในรอบบัญชีที่ได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนน้ำท่วม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
21425 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2558 กรณีการยุติการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (แผนการชำระหนี้ค่าภาษีการพนันของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลให้กระทรวงมหาดไทย) | กค | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ กรณีการยุติการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (แผนการชำระหนี้ค่าภาษีการพนันของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลให้กระทรวงมหาดไทย) ในส่วนเงินที่เหลือต้องชำระให้กระทรวงมหาดไทย จาก “สำหรับเงินส่วนที่เหลือ ให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจะขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังในการนำเงินส่วนที่เหลือจากค่าใช้จ่ายในการบริหารงานหรือดอกผล กันไว้เป็นเงินสำรองได้ไม่เกินร้อยละ ๕๐ ตามมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. ๒๕๑๗” เป็น “สำหรับเงินส่วนที่เหลือ จำนวน ๕๙๕,๒๐๕,๔๖๗.๘๗ บาท ให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙-๒๕๖๐ ของสำนักงานสลากฯ เพิ่มเติม โดยให้แบ่งจ่ายชำระหนี้เป็น ๒ งวด งวดแรก ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๒๙๗,๖๐๒,๗๓๓.๙๔ บาท และงวดที่สอง ภายในปีงบประมาณ ๒๕๖๐ จำนวน ๒๙๗,๖๐๒,๗๓๓.๙๓ บาท ตามลำดับ” ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
21426 | หลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินของรัฐวิสาหกิจ | กค | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินของรัฐวิสาหกิจ โดยให้กระทรวงมหาดไทยออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีเครื่องจักรที่เป็นส่วนควบ และออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีทรัพย์สินประเภทโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นกับที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และเห็นชอบตามความเห็นของกระทรวงพลังงานว่า ในระหว่างที่รอกระทรวงมหาดไทยออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีทรัพย์สินประเภทโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นกับที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น จะยังคงขอใช้บัญชีราคาค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่อเดือนของแต่ละโรงไฟฟ้าตามที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เสนอ และคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ลดหย่อนค่ารายปีและค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินที่คำนวณจากบัญชีราคาค่าเช่าที่ กฟผ. เสนอแล้ว ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลังให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ที่เห็นควรเร่งทำความเข้าใจและกำกับให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งนำหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยค่ารายปีที่จะลดหย่อนให้แก่รัฐวิสาหกิจต่าง ๆ นอกจากการคำนึงถึงรายได้ของท้องถิ่นและความเป็นธรรมกับผู้เสียภาษีทั่วไปรายอื่น ๆ แล้ว จะต้องพิจารณาความเหมาะสมและสถานะของรัฐวิสาหกิจบางแห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และมีผู้ถือหุ้นบางส่วนเป็นเอกชนและชาวต่างชาติด้วย เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อการแข่งขันที่เป็นธรรม และสำหรับในอนาคตต่อไปหากรัฐวิสาหกิจมีความจำเป็นต้องเสนอขอลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดิน เห็นควรมอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณาคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ในท้องถิ่นนั้นร่วมกับกระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจพิจารณาอย่างรอบคอบให้ได้ข้อยุติก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ในกรณีที่รัฐวิสาหกิจมีเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องขอลดหย่อนค่ารายปี โดยอาศัยอำนาจตามนัยมาตรา ๓๑ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช ๒๔๗๕ เนื่องจากประสบปัญหาทางการเงินหรือการดำเนินกิจการ เมื่อกระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจนั้นเสนอเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งเรื่องดังกล่าวให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจนได้ข้อยุติก่อน และให้กระทรวงการคลังนำผลการพิจารณาดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน |
|||||||||||||||||||||
21427 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวน ๒๖ รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๔,๕๙๑,๐๓๒.๕๓ บาท ประกอบด้วย กระทรวงสาธารณสุข ๔ รายการ วงเงิน ๓,๗๔๐,๙๗๒.๐๐ บาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๔ รายการ วงเงิน ๔,๙๒๐,๕๔๓.๐๓ บาท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๕ รายการ วงเงิน ๒,๐๕๖,๖๙๐.๕๐ บาท และกระทรวงคมนาคม ๑๓ รายการ วงเงิน ๑๓,๘๗๒,๘๒๗.๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
21428 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับรัฐลิเบีย | กต | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ จำนวน ๔ ฉบับ ได้แก่ ข้อมติที่ ๒๒๐๘ (ค.ศ. ๒๐๑๕) ที่ ๒๒๑๓ (ค.ศ. ๒๐๑๕) ที่ ๒๒๑๔ (ค.ศ. ๒๐๑๕) และที่ ๒๒๓๘ (ค.ศ. ๒๐๑๕) เกี่ยวกับรัฐลิเบีย โดยเน้นย้ำให้รัฐสมาชิกถือปฏิบัติตามมาตรการที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดและเห็นชอบให้ต่ออายุมาตรการคว่ำบาตรในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบส่งออกน้ำมันดิบไปจนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ตามนัยข้อ ๑๔ ของข้อมติที่ ๒๒๑๓ (ค.ศ. ๒๐๑๕) ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับรัฐลิเบีย ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานอัยการสูงสุด ถือปฏิบัติและแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||
21429 | การดำเนินการให้มีผลผูกพันตามการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ (ITA Expansion) | พณ | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบผลการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ (ITA Expansion) ของไทย ในการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ครั้งที่ ๑๐ เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๘ มีสาระสำคัญประกอบด้วยการกำหนดให้ประเทศภาคีต้องผูกพันและยกเลิกอากรศุลกากร อากรอื่น ๆ และค่าธรรมเนียมอื่นตามรายการสินค้าแนบท้ายปฏิญญาฯ การกำหนดระยะเวลาในการยกเลิกอากรศุลกากร และการมีผลใช้บังคับ และเห็นชอบการมีผลผูกพันตามผลการเจรจาดังกล่าว ๑.๒ เห็นชอบการแก้ไขตารางข้อผูกพัน (Schedule of Tariff Concessions) ที่ไทยมีอยู่ภายใต้องค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) เพื่อให้เป็นไปตามผลการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงฯ และแจ้งการแก้ไขตารางข้อผูกพันดังกล่าวไปยัง WTO โดยตารางข้อผูกพันฯ ของไทยซึ่งเป็นผลจากการเจรจาประกอบด้วยรายการสินค้า ๕๒๔ รายการ ที่พิกัดอัตราศุลกากรระดับ ๘ หลัก แบ่งเป็นสินค้าปกติ ๔๓๖ รายการ (ร้อยละ ๘๓.๒๑) และสินค้าอ่อนไหว ๘๘ รายการ (ร้อยละ ๑๖.๗๙) โดยมีระยะเวลาการลดภาษี ๔ ระยะ คือ ลดภาษีเป็น ๐ ทันที ลดภาษีเป็น ๐ ภายใน ๓ ปี ลดภาษีเป็น ๐ ภายใน ๕ ปี และลดภาษีเป็น ๐ ภายใน ๗ ปี ๑.๓ นำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบการมีผลผูกพันตามผลการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงฯ ๑.๔ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามข้อผูกพันฯ เพื่อให้เกิดผลในการปฏิบัติตามกฎหมายภายในวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ๒. ให้เสนอปฏิญญาว่าด้วยการขยายขอบเขตความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ (Declaration on the Expansion of Trade in Information Technology Products) เอกสารแจ้งการยอมรับปฏิญญาฯ และเอกสารการแก้ไขตารางข้อผูกพัน (Schedule of Concessions) ไปเพื่อคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อขอรับความเห็นชอบตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เกี่ยวกับรายการสินค้าในบัญชีควรเป็นสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างแท้จริงหรือเป็นสินค้าที่เกี่ยวเนื่องด้านการผลิตสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศในระดับที่สามารถยอมรับได้ โดยพิจารณารายละเอียดของสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ และ/หรือสินค้าไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ให้รอบด้าน การให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมด้านประสิทธิภาพและมาตรฐานการผลิตให้แก่ผู้ประกอบการไทยที่ผลิตสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศในกลุ่มสินค้าอ่อนไหว การกำหนดมาตรการส่งเสริมการผลิตสินค้าและบริการที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้งให้ความสำคัญและประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการภายในประเทศ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้รับผลประโยชน์จากการเข้าเป็นสมาชิกความตกลงฯ อย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
21430 | ร่างถ้อยแถลงประธานของการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 14 | กต | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการร่างถ้อยแถลงประธานในการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ ๑๔ [Chairman''s Statement 14th Cooperation Dialogue (ACD) Ministerial Meeting] ซึ่งเป็นผลลัพธ์ของการประชุมฯ โดยระบุแนวทางที่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก ACD ในมิติต่าง ๆ เช่น การจัดทำร่างเอกสารแนวคิดเรื่องวิสัยทัศน์ความร่วมมือ ACD ปี ค.ศ. ๒๐๓๐ การพัฒนาความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐานและกฎระเบียบระหว่างกัน การส่งเสริมการพัฒนาอย่างครอบคลุมและยั่งยืน การจัดลำดับสาขาความร่วมมือใน ACD ใหม่ แนวทางการจัดตั้งสำนักเลขาธิการถาวร ACD ความสำคัญของบทบาทภาคเอกชนและภาควิชาการ การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ACD Summit ครั้งที่ ๒ ของไทย และการเสนอตัวเป็นประธาน ACD วาระปี ๒๕๕๙-๒๕๖๐ ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ ๑๔ และให้ร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงประธานดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างถ้อยแถลงดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||
21431 | การแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย | นร | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการเพิ่มวงเงินช่วยเหลือตามโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยเหลือชาวประมง “ประมงไทยก้าวไกลสู่สากล” ในกรอบวงเงิน ๕๐๐ ล้านบาท ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านความมั่นคง ลดความเหลื่อมล้ำ การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ (คณะที่ ๕) เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน) ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย ๒. เห็นชอบในหลักการการเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการของกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และให้สำนักงาน ก.พ. นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐพิจารณากำหนดอัตรากำลังตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จและนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๒ สัปดาห์ นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ทั้งนี้ ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง มาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑)] สำหรับเรื่องงบประมาณในการดำเนินการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้กรมประมงปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ มาดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรติดตามและดูแลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมเจ้าท่า ประมงจังหวัด สมาคมประมงแห่งประเทศไทย สมาคมประมงจังหวัด เร่งรัดพิจารณาเอกสารหลักฐานของผู้ประกอบการประมงที่จะเข้าร่วมโครงการ เพื่อประกอบการพิจารณาให้สินเชื่อของธนาคารออมสินในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการประมงที่มีคุณสมบัติตามเงื่อนไขสามารถนำสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำไปใช้ประโยชน์ในการปรับเปลี่ยนเครื่องมือการทำประมงและปรับปรุงเรือประมงได้อย่างรวดเร็วทันกับความเดือดร้อนของผู้ประกอบการประมงในขณะนี้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
21432 | โครงการจัดสร้างสวนป่า "เบญจกิติ" | กค | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการจัดสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ตามแบบแปลนของสำนักพระราชวัง ภายในกรอบวงเงิน ๙๕๐ ล้านบาท โดยให้โรงงานยาสูบเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดสร้าง ทั้งนี้ ในการใช้จ่ายเงินแต่ละระยะ (PHASE) ของงานก่อสร้างให้เป็นไปตามที่กรมธนารักษ์และโรงงานยาสูบตกลงร่วมกัน และให้กระทรวงการคลัง (โรงงานยาสูบ) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้โรงงานยาสูบปฏิบัติตามข้อบังคับและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป ๒. อนุมัติให้โรงงานยาสูบนำค่าใช้จ่ายที่โรงงานยาสูบสนับสนุนเพิ่มเติม จำนวน ๕๓๐ ล้านบาท มาบวกกลับในการคำนวณกำไรเพื่อการจัดสรรโบนัสประจำปีบัญชีที่มีการใช้จ่ายจริง ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||
21433 | การรับโอนข้าราชการมาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายอิสระ ศิริวรภา) | นร01 | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอน นายอิสระ ศิริวรภา ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำด้านประสานกิจการภายในประเทศ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
21434 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) (นายวิชิต ชิตวิมาน และนายเกริกพันธุ์ ฤกษ์จำนง) | กต | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นายวิชิต ชิตวิมาน ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายเกริกพันธุ์ ฤกษ์จำนง ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา
|
|||||||||||||||||||||
21435 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงวัฒนธรรม) (จำนวน 3 ราย 1. นายสุเทพ เกษมพรมณี ฯลฯ) | วธ | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง จำนวน ๓ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายสุเทพ เกษมพรมณี ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายมานัส ทารัตน์ใจ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายพีรพน พิสณุพงศ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||
21436 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ และนายอนุชา เศรษฐเสถียร) | คค | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายสรพงษ์ ไพฑูรย์พงศ์ และนายอนุชา เศรษฐเสถียร เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปีแล้วเมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ ตามความในมาตรา ๑๐/๒ แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ ๑๒) พ.ศ. ๒๕๔๖ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ มีนาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในครั้งต่อไป ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย
|
|||||||||||||||||||||
21437 | แต่งตั้งรองประธานกรรมการคนที่สองและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทดแทนตำแหน่งที่ว่างลงในคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (จำนวน 7 ราย 1. นายวีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ ฯลฯ) | สสส. | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งรองประธานกรรมการคนที่สองและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ จำนวน ๗ คน ตามพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. ๒๕๔๔ มาตรา ๑๗ (๓) และ (๕) แทนตำแหน่งกรรมการที่ว่างลง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ มีนาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) ประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเสนอ ดังนี้
๑. นายวีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ รองประธานกรรมการคนที่สอง ๒. นายคำนวณ อึ้งชูศักดิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคราชการ ด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ๓. นางสุวรรณี คำมั่น กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน ด้านการพัฒนาชุมชน ๔. นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน ด้านการสื่อสารมวลชน ๕. รองศาสตราจารย์ปัญญา ไข่มุก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคราชการ ด้านการกีฬา ๖. นายสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน ด้านศิลปวัฒนธรรม ๗. นายสัมพันธ์ ศิลปนาฏ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน ด้านการบริหาร
|
|||||||||||||||||||||
21438 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (พันตำรวจเอก สีหนาท ประยูรรัตน์) | ปง | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง พันตำรวจเอก สีหนาท ประยูรรัตน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ตั้งแต่วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๙ โดยได้รับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง เงินเพิ่มพิเศษ และสิทธิประโยชน์อื่นใดไม่ต่ำกว่าที่ได้รับอยู่เดิม ตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
21439 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายมานะ เหมจินดา) | นร04 | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายมานะ เหมจินดา เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ มีนาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
21440 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | นร | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๙ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ๒. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
.....