ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 16 จากทั้งหมด 25 หน้า แสดงรายการที่ 301 - 320 จากข้อมูลทั้งหมด 486 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
301 | รายงานผลการจัดอันดับความยาก - ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก (Doing Business 2015) และแนวทางการดำเนินการพัฒนาประสิทธิภาพการบริการของหน่วยงานภาครัฐเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของประเทศไทย | นร12 | 09/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก (Doing Business 2015) และแนวทางการดำเนินการพัฒนาประสิทธิภาพการบริการของหน่วยงานภาครัฐเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของประเทศไทย และเห็นชอบให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยผลการจัดอันดับ Doing Business 2015 ประเทศไทยได้รับการจัดเป็นประเทศที่มีความง่ายในการเข้ามาประกอบธุรกิจในอันดับที่ ๒๖ จาก ๑๘๙ ประเทศ ดีขึ้นจากปี ๒๐๑๔ จำนวน ๒ อันดับ ซึ่งการจัดอันดับใช้วิธีการที่เรียกว่า “Distance to Frontier (DTF)” คือ พิจารณาจากระยะห่างของผลการพัฒนาประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานของหน่วยงานรัฐในแต่ละตัวชี้วัดย่อยเทียบกับประเทศที่มีแนวปฏิบัติที่ดีเลิศ (Best Practices) สำหรับแนวทางการดำเนินการพัฒนาประสิทธิภาพการบริการของหน่วยงานภาครัฐเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของประเทศไทย ที่ประชุมร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวม ๑๕ หน่วยงาน ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธานกรรมการ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ โดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการพัฒนาประสิทธิภาพการบริการให้เป็นผลสำเร็จ และให้สำนักงาน ก.พ.ร. พัฒนางานบริการภาครัฐในรูปแบบการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service) ให้ครอบคลุมงานบริการและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น และรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ ที่รับผิดชอบให้การปรับปรุงบริการให้คณะรัฐมนตรีทราบ รวมทั้งให้สำนักงาน ก.พ.ร. ศึกษาแนวทางการพัฒนานวัตกรรมการบริการในรูปแบบใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการของหน่วยงานภาครัฐไทย ๒. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอเพิ่มเติมว่า องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International : TI) ได้จัดอันดับความโปร่งใสของประเทศต่าง ๆ (โดยพิจารณาจากปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน) ปรากฏว่า ในปี ๒๕๕๖ ประเทศไทยอยู่ในอันดับ ๑๐๒ จาก ๑๗๕ ประเทศ (๓๕ คะแนน จาก ๑๐๐ คะแนน) และในปี ๒๕๕๗ ประเทศไทยอยู่ในอันดับ ๘๕ จาก ๑๗๕ ประเทศ (๓๘ คะแนน จาก ๑๐๐ คะแนน) ซึ่งเป็นอันดับที่ ๓ ของกลุ่มประเทศอาเซียน (รองจากประเทศสิงคโปร์และประเทศมาเลเซีย ตามลำดับ) |
||||||||||||||||||||||||
302 | ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 25 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง | กต | 18/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๕ และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ ๑๒ การประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๗ การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหประชาชาติ ครั้งที่ ๖ การประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ การประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงอาเซียน-ญี่ปุ่น การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (EAS) ครั้งที่ ๙ การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐอเมริกา ครั้งที่ ๒ และการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๑๗ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยนายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดฯ ในครั้งนี้ และไทยได้มีข้อเสนอที่ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ อาทิ การส่งเสริมความเชื่อมโยง โดยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจบริเวณชายแดน การให้ความสำคัญกับวาระประชาชน การพิจารณาทิศทางในอนาคตของประชาคมอาเซียนภายหลังปี ๒๕๕๘ และข้อเสนอในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสามเรื่องการเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหาการระบาดของอีโบลา การต่อต้านการค้ามนุษย์ การส่งเสริม SMEs และการสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการเกษตร เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับทราบบทบาทของไทยในฐานะประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-จีนที่ผลักดันให้บรรลุการจัดทำแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้โดยเร็ว รวมทั้งมีการขยายประเด็นที่เป็นจุดยืนร่วมกัน และมาตรการเร่งด่วนเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่สามารถดำเนินการได้ทันที และนายกรัฐมนตรีได้ใช้โอกาสนี้ขอบคุณเพื่อนสมาชิกอาเซียน คู่เจรจา และสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียนที่เข้าใจสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบันด้วย ๒. มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการประชุมที่เกี่ยวข้องไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ (เรื่อง การเสนอเรื่องเกี่ยวกับรายงานการเดินทาง ผลการเยือน และการประชุมเจรจาหารือของนายกรัฐมนตรี)
|
||||||||||||||||||||||||
303 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการจัดการ วิจัย และอนุรักษ์พื้นที่คุ้มครองและอุทยานแห่งชาติ ระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และ พันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทย และกรมบริการอุทยานแห่งชาติเกาหลี สาธารณรัฐเกาหลี | ทส | 12/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการจัดการ วิจัย และอนุรักษ์พื้นที่คุ้มครองและอุทยานแห่งชาติ ระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แห่งราชอาณาจักรไทย และกรมบริการอุทยานแห่งชาติเกาหลี สาธารณรัฐเกาหลี มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุน ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอุทยานแห่งชาติทั้งสองประเทศ และพัฒนาศักยภาพทรัพยากรบุคคลเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ โดยแบ่งปันประสบการณ์ การทำกิจกรรมร่วมกัน การฝึกอบรม แลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการ และการหารือในประเด็นที่สนใจร่วมกันเพื่อพัฒนาความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์พื้นที่คุ้มครองและอุทยานแห่งชาติ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. เพื่อให้มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนถูกต้องกรณีการจัดทำหนังสือสัญญา (เช่น บันทึกความเข้าใจ ความตกลง ความร่วมมือ) ที่หน่วยงานเจ้าของเรื่องสามารถดำเนินการได้ตามอำนาจหน้าที่โดยไม่ต้องนำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรี จึงมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับเรื่องนี้ไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้สอดคล้องกับข้อกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
304 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 2/2557 | นร11 | 28/10/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๗ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ องค์ประกอบผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วยผู้แทนสมาชิกเอเปค จาก ๒๑ เขตเศรษฐกิจ โดยคณะผู้แทนไทย ประกอบด้วยผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ๑.๒ การประชุมกลุ่มเพื่อนประธาน ประกอบด้วย ๖ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มนโยบายการแข่งขันและกฎหมาย กลุ่มนโยบายการแข่งขัน กลุ่มกฎหมายหุ้นส่วนบริษัทและบรรษัทภิบาล กลุ่มความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ กลุ่มธรรมาภิบาลภาครัฐ และกลุ่มการปฏิรูปกฎระเบียบ โดยแต่ละกลุ่มเพื่อนประธานได้มีการหารือถึงโครงการที่จัดในช่วงที่ผ่านมาตลอดจนแผนงานที่จะดำเนินการต่อไป ๑.๓ การจัดทำรายงานเศรษฐกิจเอเปคประจำปี ที่ประชุมฯ ได้กำหนดหัวข้อเรื่องแนวปฏิบัติที่ดีในการกำหนดกฎระเบียบ (Good Regulatory Practice : GRP) เป็นหัวข้อการจัดทำรายงานเศรษฐกิจเอเปคประจำปี ๒๕๕๗ และหัวข้อเรื่องสำหรับรายงานเศรษฐกิจเอเปคประจำปี ๒๕๕๘ คือ หัวข้อเกี่ยวกับการปฏิรูปโครงสร้างและนวัตกรรม (Structural Reform and Innovation) ๑.๔ ยุทธศาสตร์การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ (APEC New Strategy for Structural Reform : ANSSR) ที่ประชุมฯ เห็นพ้องที่จะให้เสนอยุทธศาสตร์การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ให้ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปคพิจารณา และเสนอต่อผู้นำเอเปคให้มีการจัดการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านปฏิรูปโครงสร้างครั้งที่สองในปี ๒๕๕๘ เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงานในกรอบ ANSSR และกำหนดยุทธศาสตร์การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจหลังปี ๒๕๕๘ ๑.๕ การหารือระดับนโยบายเรื่องกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) ที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปค ครั้งที่ ๒ ได้มอบหมายให้คณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปครายงานแผนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องกับดักรายได้ปานกลางต่อที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปค ครั้งที่ ๓ และให้มีการหารือเรื่องกับดักรายได้ปานกลางในการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านปฏิรูปโครงสร้างครั้งที่ ๒ หากมีการจัดขึ้น และการจัดรายงานเศรษฐกิจเอเปคประจำปี ๒๕๕๘ ในประเด็นเกี่ยวกับการปฏิรูปโครงสร้างและนวัตกรรม (Structural Reform and Innovation) จะเป็นกุญแจหลักที่จะทำให้ประเทศกำลังพัฒนาก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ๒. รับทราบสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทวงการคลังเอเปค (APEC Finance Ministers’ Meeting : APEC FMM) ครั้งที่ ๒๑ เมื่อวันที่ ๒๑-๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรายงานว่า ได้มีการหารือใน ๔ ประเด็นหลัก สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ ภาวะเศรษฐกิจโลกและทิศทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ได้มีการหารือเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมของหลายประเทศ โดยเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกมีแนวโน้มที่ชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ไว้ และมีความเสี่ยงขาลง (Downside risk) สูง ทำให้สมาชิกเอเปคต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นเพื่อรับมือกับความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น สำหรับภาคการเงินพบว่าธุรกิจ Non-bank เช่น ธุรกิจบัตรเครดิตมีปริมาณธุรกรรมมากขึ้น ดังนั้น แต่ละประเทศจึงควรกำกับดูแลเรื่องดังกล่าวให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ซึ่งในส่วนของประเทศไทยมีกฎหมายเพื่อการกำกับดูแลในเรื่องนี้ยังไม่เพียงพอ ๒.๒ ความร่วมมือด้านการลงทุนและระดมทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แนวโน้มความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (Public Private Partnership : PPP) ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมีมากขึ้น จึงมีประเด็นเกี่ยวกับการจัดสรรผลประโยชน์จากการลงทุนระหว่างกันให้มีความเหมาะสม และการปรับปรุงกฎหมายในด้านนี้เพิ่มเติมด้วย ๒.๓ การปฏิรูปนโยบายการคลังและภาษี ได้นำเสนอการดำเนินการของไทยเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เช่น ภาษีมรดก ซึ่งสหรัฐอเมริกาได้ขอความร่วมมือให้ไทยออกกฎหมายเกี่ยวกับความตกลงเพื่อความร่วมมือด้านภาษีอากรระหว่างประเทศและการปฏิบัติตาม Foreign Account Tax Compliance Act (ความตกลง FATCA) เพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีในการโอนเงินระหว่างประเทศของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลสัญชาติอเมริกัน ๒.๔ ธุรกิจ SMEs เป็นประเด็นที่ที่ประชุมฯ ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากในบางประเทศมีขนาดของภาคธุรกิจ SMEs ถึงร้อยละ ๕๐ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ดังนั้น จึงต้องมีการสนับสนุนเงินทุนแก่ผู้ประกอบการ SMEs โดยพัฒนาการให้บริการด้านการเงินเพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||
305 | ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 32 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | พน | 23/09/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ ๓๒ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๔ ฉบับ ได้แก่ ๑.๑.๑ ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ ๓๒ เป็นแถลงการณ์ร่วมสรุปผลการประชุม ประกอบด้วยสาระหลัก คือ ความพยายามของประเทศสมาชิกในการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ตามแผนปฏิบัติการพลังงานของอาเซียน ระหว่างปี ๒๕๕๓-๒๕๕๘ (ASEAN Plan of Actions on Energy Cooperation : APAEC 2010-2015) เพื่อให้ภาคพลังงานของอาเซียนสามารถบรรลุเป้าหมายสู่การเป็นประชาคมอาเซียนภายในปี ๒๐๑๕ และการพัฒนาแผนปฏิบัติการพลังงานอาเซียน ระหว่างปี ๒๕๕๙-๒๕๖๓ ความพยายามของอาเซียนในการรักษาเสถียรภาพความมั่นคง และการพัฒนาพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน รวมทั้งการผลักดันการดำเนินการโครงการเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซธรรมชาติอาเซียน (Trans-ASEAN Gas Pipeline-TAGP) การพัฒนาและโครงการเชื่อมโยงสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Grid-APG) การดำเนินตามเป้าหมายของการใช้พลังงานหมุนเวียนในภูมิภาคให้เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕ ของการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด การส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด ความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในอาเซียน การพัฒนาขีดความสามารถของศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Centre for Energy : ACE) ๑.๑.๒ ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน+๓ (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ครั้งที่ ๑๑ เป็นแถลงการณ์ร่วมสรุปผลการประชุม ประกอบด้วยสาระหลัก คือ การให้ประเทศในกลุ่มอาเซียน+๓ สนับสนุนในเรื่องการแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ในสถานการณ์พลังงานของโลกและอาเซียน+๓ การแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ตลอดจนแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศของประเทศสมาชิกและประเทศคู่เจรจา การพัฒนาแนวทางการสำรองน้ำมันในอาเซียน การพัฒนาและพิจารณาถึงผลกระทบจาก Shale Gas ในภูมิภาค การถ่ายทอดเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดและการสนับสนุนด้านการเงิน การส่งเสริมพลังงานสะอาดและการอนุรักษ์พลังงาน การเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรด้านพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติในอาเซียน ๑.๑.๓ ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเชียตะวันออก ครั้งที่ ๘ เป็นแถลงการณ์ร่วมสรุปผลการประชุม ประกอบด้วยสาระหลัก คือ การประกาศจุดยืนที่จะร่วมมือกันอย่างจริงจังในสาขาพลังงานต่าง ๆ อาทิ การปรับปรุงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาโครงการเชื้อเพลิงชีวภาพเพื่อการขนส่งและวัตถุประสงค์อื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดทำฐานข้อมูลเชื้อเพลิงชีวภาพในประเทศเอเชียตะวันออก และการร่วมมือในโครงการมองภาพอนาคตด้านพลังงาน (Energy Outlook) ตลอดจนการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ๑.๑.๔ ร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนกับทบวงพลังงานระหว่างประเทศ เป็นแถลงการณ์ร่วมสรุปผลการประชุม ประกอบด้วยสาระหลัก คือ การร่วมมือในการสนับสนุนและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านตลาดก๊าซธรรมชาติที่ให้สามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนพัฒนาการตั้งศูนย์กลางการซื้อขายก๊าซในภูมิภาคนี้ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน) เป็นผู้ให้การรับรองในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ นี้ ร่วมกับรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่มประเทศสมาชิกดังกล่าวได้ ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานสามารถพิจารณาปรับปรุงถ้อยคำในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ทั้ง ๔ ฉบับ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญได้ตามความเหมาะสมก่อนที่จะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าวในที่ประชุมได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงพลังงานถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ด้านต่างประเทศ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
306 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอจัดตั้ง การดำเนินงาน และการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน พ.ศ. .... | สลธ.คสช. | 02/09/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติเห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอจัดตั้ง การดำเนินงาน และการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดแนวปฏิบัติในการขอจัดตั้งและการดำเนินงานกองทุนหมุนเวียนเป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
307 | ร่างความตกลงเพื่อการจัดตั้งสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 | กค | 29/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงเพื่อการจัดตั้งสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+๓ (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office : AMRO) โดยร่างความตกลงฯ มีเนื้อหาสอดคล้องกับความตกลงเพื่อการจัดตั้งองค์การระหว่างประเทศอื่นที่มีโครงสร้างและภารกิจที่คล้ายกัน เช่น ธนาคารพัฒนาเอเชีย และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ AMRO และบุคลากรของ AMRO นั้น ได้พิจารณาหลักความจำเป็นแก่การปฏิบัติหน้าที่ตามวัตถุประสงค์และภารกิจของ AMRO เป็นสำคัญ และวิธีการระงับข้อพิพาทตามความตกลงฉบับนี้มีแนวปฏิบัติสอดคล้องกับแนวปฏิบัติในทางระหว่างประเทศขององค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ สำหรับค่าใช้จ่ายของ AMRO ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายประจำปีของ AMRO โดยเงินงบประมาณของ ธปท. ๑.๒ อนุมัติการลงนามในร่างความตกลงเพื่อการจัดตั้งสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+๓ ๑.๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในความตกลงฯ ให้ผู้ลงนามสามารถใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ ได้ โดยไม่ต้องนำเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๑.๔ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๒. เมื่อมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้วให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยเร่งรัดการเสนอร่างพระราชบัญญัติเพื่อรองรับพันธกรณีตามความตกลงฯ ก่อนที่จะมีการให้สัตยาบันความตกลงฯ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องนี้ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบข้อมูลด้วย ตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) |
||||||||||||||||||||||||
308 | การแจ้งบทบัญญัติที่ไทยพร้อมปฏิบัติภายใต้ความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้าขององค์การการค้าโลก | พณ | 22/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบบทบัญญัติที่พร้อมปฏิบัติได้ทันทีที่ความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation Agreement : TFA) มีผลใช้บังคับ (Category A) และการแจ้งบทบัญญัติ Category A ดังกล่าว ต่อองค์การการค้าโลก ภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการประสานงานอย่างต่อเนื่องกับหน่วยงานที่ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับบทบัญญัติที่พร้อมปฏิบัติได้ทันทีที่ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับ (Category A) เพื่อให้หน่วยงานสามารถเตรียมความพร้อมเสร็จได้ทันตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งการเตรียมการที่ต่อเนื่องในการปฏิบัติตามบทบัญญัติที่ต้องการระยะเวลาปรับตัวก่อนการปฏิบัติ (Category B) และบทบัญญัติที่ต้องการความช่วยเหลือเพื่อสร้างความพร้อมในการปฏิบัติ (Category C) และควรเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการไทยทราบถึงแนวปฏิบัติซึ่งมีข้อผูกพันภายใต้บทบัญญัติฯ เพื่อให้สามารถใช้เป็นแนวทางในการปรับตัวให้สอดคล้องกับเงื่อนไข ระเบียบข้อปฏิบัติ และมาตรฐานในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และข้อสังเกตของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับ Article 6 เรื่องระเบียบในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า-ส่งออก ข้อ ๓ บทลงโทษ ข้อย่อย ๓.๔ ประเทศจะต้องแน่ใจว่าคงไว้ และ Article 10 เรื่องพิธีการศุลกากร การนำเข้า ส่งออก และการผ่านแดน ข้อ ๘ การคืนสินค้า (Rejected Goods) รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุขที่ไม่ควรกำหนดให้ผลิตภัณฑ์ยาสูบและการดำเนินธุรกิจยาสูบอยู่ในรายการสินค้าและบริการของข้อตกลงหรือกรอบการเจรจาการค้าฯ ใด ๆ ในทุกมิติ และหากผลิตภัณฑ์ยาสูบอยู่ในรายการสินค้าที่ต้องเจรจา ประเทศไทยไม่ควรยอมรับการกำหนดภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ยาสูบให้เป็นร้อยละศูนย์ หรือลดอัตราภาษีพิเศษ ให้น้อยกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
309 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 | อก | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงประเภทหรือชนิดของโรงงาน ลำดับที่ ๘๘ โรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๔๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยแยกประเภทหรือชนิดของโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าของแต่ละพลังงานเป็น ๔ ประเภท คือ การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานความร้อน พลังงานน้ำ และพลังงานลม โดยยกเว้นการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดไม่เกิน ๑,๐๐๐ กิโลวัตต์ ไม่เป็นโรงงาน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการในการส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานทดแทนเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานทดแทนเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศให้ยั่งยืน ตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ (เรื่อง พลังงานของไทย) ให้เป็นระบบ ลดความซ้ำซ้อนระหว่างหน่วยงาน และไม่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน โดยให้พิจารณาให้ครอบคลุมถึงพลังงานทดแทนอื่น ๆ นอกเหนือจากพลังงานแสงอาทิตย์ เช่น พลังงานความร้อน พลังงานน้ำ พลังงานลม เป็นต้น ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้หน่วยงานกำกับกิจการผลิตไฟฟ้าดำเนินการออกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนและสิ่งแวดล้อม จากการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดรวมกันไม่เกิน ๑,๐๐๐ กิโลวัตต์ ต้องติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์จำนวนมาก ซึ่งเมื่ออุปกรณ์หมดอายุการใช้งานจะทำให้เกิดของเสียอันตรายจำนวนมาก อาจทำให้เกิดปัญหาในการจัดการของเสียอันตราย และในการกำหนดให้การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม เป็นโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ควรยกเว้นให้การผลิตพลังงานทดแทนดังกล่าวในปริมาณที่เหมาะสมและไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมมิให้เป็นโรงงาน นอกจากนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนนโยบายและข้อกฎหมายในการควบคุมกำกับดูแลผู้ประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนอย่างเป็นระบบเพื่อให้มาตรฐานในการกำกับดูแลที่ไม่ด้อยกว่ามาตรฐานการกำกับดูแลของหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีอยู่เดิม การพิจารณารายละเอียดให้ครอบคลุมพลังงานทดแทนประเภทเชื้อเพลิงอื่น ๆ การออกกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งการจัดการอบรมและจัดทำคู่มือ มาตรฐานและแนวปฏิบัติที่ดีด้านพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้ประกอบกิจการ เพื่อให้การดำเนินนโยบายส่งเสริมพลังงานทดแทนเป็นไปอย่างมีประสิทธิผลตามมาตรฐานสากลที่ยอมรับโดยทั่วไป ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย และให้นำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
310 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนภายใต้ความผันผวนของค่าเงินบาทซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคการผลิต" | สสป | 25/02/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนภายใต้ความผันผวนของค่าเงินบาทซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคการผลิต" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยควรพิจารณาและรักษาเสถียรภาพอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราไม่ให้มีความผันผวน โดยให้สอดคล้องไปกับภูมิภาค ๒. รัฐบาลควรจะเตรียมมาตรการและเครื่องมือในการรับมือความผันผวนทางเศรษฐกิจและอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากเริ่มมีสัญญาณการบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ รวมทั้งในภูมิภาคและนอกภูมิภาค ซึ่งคาดว่าจะมีความรุนแรงในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๖ ๓. รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยควรมีมาตรการในการควบคุมเงินทุนไหลเข้า โดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างชาติ ในลักษณะการเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงปลายปี ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะมีการออกกรอบรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ๒๒ มาตรการแล้ว แต่ยังขาดแนวปฏิบัติในการควบคุมและบังคับใช้ ๔. ธนาคารแห่งประเทศไทยควรกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เป็นระบบ เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารเงินทุนไหลเข้า รวมทั้งเงินเฟ้อในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมจะส่งผลต่อเสถียรภาพด้านการเงิน ด้านต้นทุนการผลิต และเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ๕. รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยควรวางแนวทางในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Forward/ Hedging Exchange Rate) โดยเฉพาะกลุ่มผู้ส่งออกซึ่งอยู่ในภาคเกษตร เกษตรแปรรูป และ SMEs ซึ่งมี Local Content สูง ๖. รัฐบาลควรมีมาตรการช่วยเหลือด้านสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการส่งออก และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการด้อยโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs และภาคเกษตร-เกษตรแปรรูป โดยอาจใช้วิธีปล่อยกู้ด้วยวิธีการผ่อนปรนหลักประกันเป็นกรณีพิเศษ (PSA) ๗. รัฐบาลควรพิจารณาถึงคณะกรรมการร่วมภาครัฐ-เอกชน ในการบูรณาการขับเคลื่อนมาตรการกรอบรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ จัดทำให้สามารถขับเคลื่อนได้จริง ๘. รัฐบาลควรมีมาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนให้กับภาคเกษตรและเกษตรแปรรูป รวมทั้ง SMEs และวิสาหกิจชุมชนประเทศไทยภายใต้ความผันผวนด้านการเงิน และเศรษฐกิจโลก
|
||||||||||||||||||||||||
311 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - เวียดนาม ครั้งที่ 1 | กต | 21/01/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (Joint Commission on Bilateral Cooperation-JCBC) ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๔-๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ณ กรุงเทพฯ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามเป็นประธานร่วม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมเห็นพ้องให้ส่งเสริมความร่วมมือด้านกลาโหม รวมทั้งการจัดตั้งกลไกในระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการ/ปลัดกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ เพื่อเป็นกลไกหลักในการหารือนโยบายและความร่วมมือทางทหารระหว่างกัน ๒. ที่ประชุมเห็นพ้องให้ขยายความร่วมมือเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ อาทิ การฟอกเงิน การค้ามนุษย์ อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ (cyber-crimes) และเสนอให้จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามการค้ายาเสพติดระหว่างไทยกับเวียดนามตามแนวเส้นทางที่เชื่อมโยงระหว่างกัน ๓. ที่ประชุมเห็นชอบให้ฝ่ายไทยจัดตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อร่วมมือกับคณะทำงานของเวียดนามในการแก้ปัญหาเรือประมงเวียดนามรุกล้ำเข้ามาทำการประมงในน่านน้ำไทย ๔. ที่ประชุมเห็นพ้องให้ส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าเพื่อบรรลุเป้าหมายมูลค่าการค้าทวิภาคี ๑๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี ๒๕๖๓ โดยใช้ประโยชน์จากกรอบการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee-JTC) อย่างเต็มที่ ๕. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าและการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่า เช่น ข้าว ยางพารา และมันสำปะหลัง ตลอดจนส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพมากขึ้น ๖. ที่ประชุมเห็นพ้องให้สองฝ่ายร่วมกันผลักดันการลงนามในข้อตกลงเพื่อรวมเส้นทางหมายเลข ๘ และ ๑๒ เข้าในแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor-EWEC) อย่างเป็นทางการภายในปี ๒๕๕๗ ๗. ที่ประชุมเห็นพ้องกันที่จะส่งเสริมความเชื่อมโยงในภูมิภาคทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ เพื่อส่งเสริมการค้าและการท่องเที่ยวในภูมิภาค โดยฝ่ายไทยเสนอให้ทั้งสองฝ่ายร่วมกันสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากแนวพื้นที่เศรษฐกิจตอนใต้ (Southern Economic Corridor-SEC) และพัฒนาความร่วมมือด้านการขนส่งทางเรือตามแนวชายฝั่งทะเล ๘. ที่ประชุมเห็นพ้องที่จะร่วมมือกันส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค โดยเฉพาะตามเส้นทาง EWEC และเส้นทางหมายเลข ๘ โดยฝ่ายไทยได้ย้ำข้อเสนอเรื่องความร่วมมือ ACMECS Single Visa ๙. ฝ่ายเวียดนามเสนอให้มีการจัดทำบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับความร่วมมือด้านแรงงานโดยเร็ว ซึ่งฝ่ายไทยรับที่จะหารือในรายละเอียดกับฝ่ายเวียดนามต่อไป ๑๐. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้เร่งรัดการจัดทำแผนปฏิบัติการว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรมสำหรับปี ๒๕๕๗-๒๕๕๙ ให้สำเร็จโดยเร็ว โดยฝ่ายเวียดนามเสนอให้มีการจัดทำความตกลงด้านกีฬา ซึ่งฝ่ายไทยรับจะพิจารณา ๑๑. ที่ประชุมเห็นพ้องกันที่จะกระชับความร่วมมือด้านการศึกษาผ่านการให้ทุนการศึกษา การแลกเปลี่ยนบุคลากรทางการศึกษาและเยาวชน ตลอดจนการจัดตั้งศูนย์ไทยศึกษาและเวียดนามศึกษาระหว่างกัน ๑๒. ที่ประชุมสนับสนุนบทบาทของสมาคมมิตรภาพไทย-เวียดนาม และสมาคมมิตรภาพเวียดนาม-ไทย ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน ๑๓. ที่ประชุมได้ย้ำเจตนารมณ์ที่จะส่งเสริมสันติภาพ ความมั่นคง และเสรีภาพในการเดินเรือในทะเลจีนใต้ และแสดงความพอใจกับความคืบหน้าของการหารือในกรอบอาเซียน-จีน ซึ่งได้มีการหารืออย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการจัดทำแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (Code of Conduct-COC) เป็นครั้งแรก และหวังว่าทุกฝ่ายจะรักษาแรงขับเคลื่อนเพื่อนำไปสู่การจัดทำ COC ต่อไป ๑๔. ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ โดยเฉพาะตามลำน้ำโขง ซึ่งฝ่ายไทยได้แจ้งที่ประชุมเรื่องแผนการจัดการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนุภูมิภาคแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ในปี ๒๕๕๗ ๑๕. ฝ่ายไทยเสนอให้มีการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมอย่างไม่เป็นทางการไทย-เวียดนาม ครั้งที่ ๓ ในเดือนมกราคม ๒๕๕๗ ซึ่งฝ่ายเวียดนามเห็นชอบ และเห็นควรให้นายกรัฐมนตรีเวียดนามเยือนไทยอย่างเป็นทางการในโอกาสเดียวกันด้วย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมือง ฝ่ายไทยเห็นควรให้เลื่อนการเยือนและการประชุมดังกล่าวออกไปก่อน
|
||||||||||||||||||||||||
312 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหภาพยุโรปว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน | กก | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำและลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหภาพยุโรปว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Letter of Intent between the Kingdom of Thailand and the European Union on Cooperation in the Field of Sustainable Tourism) โดยหนังสือแสดงเจตจำนงฯ มีสาระสำคัญเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลการท่องเที่ยวของทั้งสองฝ่ายด้านการบริการการท่องเที่ยว การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และการแข่งขันด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศในการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวของทั้งสองฝ่ายและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงฝ่ายวิชาการด้านการอนุรักษ์และส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ การลงทุนขนาดกลางและขนาดย่อม การฝึกอบรม การปรับปรุงการบริการด้านการท่องเที่ยว ทั้งนี้ หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นผู้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงฯ (โดยระบุตำแหน่ง) ในโอกาสการเยือนไทยของนาย Antonio Tajani รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป และกรรมาธิการด้านอุตสาหกรรมและกิจการวิสาหกิจและคณะ ในวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรพิจารณาความสอดคล้องและเชื่อมโยงกันในเนื้อหาของกรอบนโยบายด้านการท่องเที่ยว (Communication on Tourism) เพื่อกำหนดความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวที่อยู่ในความสนใจร่วมกันที่จะเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย และควรพิจารณาประเด็นที่เชื่อมโยงที่มีผลกระทบทางอ้อม (Indirect Impacts) กับเรื่องการท่องเที่ยว เช่น ความปลอดภัยของยานพาหนะสำหรับนักท่องเที่ยว การคุ้มครองสิทธิ์ของนักท่องเที่ยว รวมถึงการแข่งขันในธุรกิจท่องเที่ยว การเปิดตลาดการบริการด้านการท่องเที่ยว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
313 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 25 และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 21 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุน | พณ | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๕ และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๑ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยมีประเด็นสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ต่อต้านมาตรการกีดกันทางการค้า (Protectionist measures) ขยายเวลาที่จะคง (standstill) การไม่นำมาตรการใหม่ ๆ ที่เป็นการปกป้องทางการค้ามาใช้จนถึงปี ๒๕๕๙ และเรียกร้องให้สมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) แสดงเจตจำนงทางการเมืองและความยืดหยุ่นเพื่อให้การประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก ครั้งที่ ๙ (The 9th WTO Ministerial Conference : MC9) เมื่อวันที่ ๓-๖ ธันวาคม ๒๕๕๖ ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย บรรลุผลสำเร็จ สนับสนุนการเจรจาขยายขอบเขตสินค้าภายใต้ความตกลงว่าด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Agreement : ITA Expansion) ให้สามารถหาข้อสรุปได้ก่อน MC9 โดยได้ผลลัพธ์ที่มีคุณค่าเชิงพาณิชย์ น่าเชื่อถือ ปฏิบัติได้ และสมดุล ๑.๒ ยืนยันการลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อมของเอเปคให้เหลือร้อยละ ๕ หรือต่ำกว่า ภายในปี ๒๕๕๘ และเห็นชอบการจัดตั้งเวทีหุ้นส่วนภาครัฐและเอกชนเรื่องสินค้าและบริการสิ่งแวดล้อม (APEC Public-Private Partnership on Environmental Goods and Services : PPEGS) เพื่อหารือประเด็นด้านการค้าและการลงทุนในอุตสาหกรรมด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนให้การส่งเสริมการค้าสินค้าที่สนับสนุนการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึงโดยการพัฒนาชนบทและบรรเทาความยากจน นอกจากนี้ ต่อต้านและยกเลิกมาตรการที่ก่อให้เกิดการบิดเบือนทางการค้า ให้ความสำคัญกับเรื่องมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff measures : NTMs) และให้การรับรองแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการสร้างงานและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน (APEC Best Practices to Create Jobs and Increase Competitiveness) เพื่อเสนอแนะนโยบายการสร้างงาน การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แทนการใช้มาตรการกำหนดเงื่อนไขให้ใช้วัตถุดิบภายในประเทศ ๑.๓ รับรองแผนงานด้านความเชื่อมโยงในกรอบเอเปค (APEC Framework on Connectivity) ประกอบด้วยความเชื่อมโยง ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านกายภาพ ด้านสถาบัน และความเชื่อมโยงระหว่างประชาชน และเพื่อบรรลุเป้าหมายปรับปรุงประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานของเอเปคให้ได้ร้อยละ ๑๐ ภายในปี ๒๕๕๘ ได้จัดตั้งกองทุนเพื่อความเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน (APEC Trade and Investment Liberalization Sub-Fund on Supply Chain Connectivity) เพื่อใช้สำหรับกิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร ๑.๔ ส่งเสริมบทบาทสตรีและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อการมีส่วนร่วมมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจ โดยสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและตลาด ส่งเสริมความเป็นสากล ให้ความรู้เรื่องการเงิน และการคุ้มครองผู้บริโภค ตลอดจนให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางน้ำ พลังงาน และทางอาหาร โดยส่งเสริมความร่วมมือและนโยบายแบบบูรณาการ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ ภายในเวลาที่กำหนด การดำเนินการลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อมของเอเปค ให้รับฟังความเห็นจากภาคอุตสาหกรรมและภาคเอกชน รวมทั้งพิจารณามาตรการเยียวยาเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น การจัดทำฐานข้อมูลเพื่อการเข้าถึงการค้าบริการ [APEC Services Trade Access Requirements (STAR) Database] ควรมีการศึกษาผลกระทบด้านสุขภาพ (Trade in Health Services) อย่างรอบคอบในทุกกรอบความร่วมมือ รวมทั้งท่าทีของประเทศไทยในการสนับสนุนการเจรจาขยายขอบเขตสินค้าภายใต้ความตกลงว่าด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Agreement : ITA Expansion) เพื่อให้สามารถหาข้อสรุปได้ก่อนการประชุม MC9 อยู่บนฐานของความยืดหยุ่นและระดับการพัฒนาด้าน IT ที่แตกต่างกัน และไม่ควรมีผลกระทบต่อรายการสินค้าอ่อนไหวของความตกลงการค้าเสรีในกรอบอื่น ๆ ที่ได้ลงนามไปแล้ว รวมถึงต้องคำนึงถึงการพัฒนาอุตสาหกรรม IT ภายในประเทศ และการปฏิบัติได้จริงตามกระบวนการศุลกากร เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
314 | สรุปผลการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมด้านการศึกษาปฐมวัย ณ สาธารณรัฐเกาหลี | ศธ | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรายงานสรุปผลการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมด้านการศึกษาปฐมวัย (Asia-Pacific Regional Policy Forum on Early Childhood Care and Education) และศึกษาดูงานด้านเทคโนโลยีทางการศึกษา ณ สาธารณรัฐเกาหลี ระหว่างวันที่ ๘-๑๒ กันยายน ๒๕๕๖ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมด้านการศึกษาปฐมวัย จัดขึ้นเพื่อทบทวนสถานภาพของการศึกษาและการดูแลเด็กปฐมวัยในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก แลกเปลี่ยนนวัตกรรมและประสบการณ์ในการจัดการศึกษาและดูแลเด็กปฐมวัยของประเทศต่าง ๆ การกำหนดยุทธศาสตร์ในการจัดการศึกษา และการดูแลเด็กปฐมวัย โดยเฉพาะเด็กกลุ่มด้อยโอกาส เพื่อให้เด็กทุกคนได้มีโอกาสได้รับการดูแลที่เหมาะสมอย่างทั่วถึง และการกำหนดยุทธศาสตร์ในการจัดการปฐมวัยที่เหมาะสมสำหรับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก โดยได้มีการกำหนดหัวข้อต่าง ๆ ที่จะอภิปราย ๓ หัวข้อ คือ การลงทุนในการจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยให้มีความคุ้มค่าต่อการพัฒนามนุษย์ และเศรษฐกิจ การขยายโอกาสการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยอย่างเท่าเทียม และการส่งต่อเด็กปฐมวัยเข้าสู่การศึกษาอย่างประสบผลสำเร็จ รวมทั้งการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีเพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับความพร้อมของเด็กปฐมวัยที่จะเข้าเรียน และโรงเรียนมีความพร้อมเพียงใดที่จะรับเด็กปฐมวัยเข้าเรียน ๒. การได้รับเชิญให้เป็นผู้นำเสนอในหัวข้อที่ ๒ เรื่อง การจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพและเท่าเทียมกันสำหรับการศึกษาเด็กปฐมวัย ในหัวข้อย่อยที่ ๓ ได้แก่ การกำหนดมาตรฐานและติดตามการพัฒนาและผลการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย โดยกล่าวถึงการที่รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญต่อการจัดการศึกษาและพัฒนาเด็กปฐมวัย ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการจัดการศึกษาปฐมวัย โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และได้มีการประกาศนโยบายที่จะให้มีการพัฒนาเด็กตั้งแต่วัยแรกเกิดจนถึงอายุ ๕ ปี อย่างเหมาะสมตามช่วงอายุ พร้อมกับได้มีการประกาศแผนยุทธศาสตร์ชาติเพื่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย ระหว่างปี ๒๕๕๕-๒๕๕๙ เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาเด็กปฐมวัยในระดับชาติ นอกจากนี้ ยังได้กำหนดนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยโดยใช้แนวทางการพัฒนาแบบ Life Cycle ด้วยการพัฒนาเด็กอย่างผสมผสานทั้งทางด้านสุขภาพและการเรียนรู้เพื่อให้เด็กทุกคนได้รับการพัฒนาทั้งทางด้านสุขภาพ และการเตรียมความพร้อมในทุกด้านตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาจนสามารถเติบโตขึ้นอย่างมีศักยภาพ และสุขภาพที่แข็งแรง ๓. การพบปะหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของเกาหลีใต้ โดยได้มีการหารือในประเด็นสำคัญ ๓ เรื่อง คือ แนวทางการใช้ ICT เพื่อนำมาประยุกต์ใช้เพื่อการศึกษา ความร่วมมือในการวิจัยและการพัฒนาการศึกษาในระดับอุดมศึกษา และการส่งเสริมการสอนภาษาเกาหลีในประเทศไทย ๔. การดำเนินงานของสถาบันการศึกษา และหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาการศึกษาของสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงนโยบายและแผนงานของรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีที่ให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีทางการศึกษา และภาคเอกชนได้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและผลิตสื่อที่นำ ICT มาใช้ในการศึกษา ซึ่งช่วยส่งเสริมให้การจัดการศึกษาในประเทศมีคุณภาพสูงขึ้น สามารถส่งเสริมให้เด็กสามารถคิดวิเคราะห์ และมีผลการเรียนที่สูงขึ้น รวมถึงกิจกรรมพัฒนาทักษะชีวิตอื่น เช่น กีฬา ศิลปะ ดนตรี เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
315 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2556 | ทส | 01/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. การปรับปรุงมาตรฐานระดับเสียงรถยนต์ ๑.๑ เห็นชอบให้ปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดระดับเสียงรถยนต์ ลงวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ให้เป็นไปตามร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานระดับเสียงของรถยนต์ ตามความเห็นของคณะกรรมการควบคุมมลพิษ และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๑.๒ ให้กรมควบคุมมลพิษนำร่างประกาศฯ ที่ปรับแก้ไขตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป และให้กรมการขนส่งทางบกระบุความเร็วรอบของเครื่องยนต์ที่ให้กำลังสูงสุดไว้ในสมุดทะเบียนรถ สำหรับรถยนต์ที่จดทะเบียนใหม่นับจากวันที่ประกาศฯ มีผลใช้บังคับ ๒. แนวทางการนำกลับและส่งกลับของเสียอันตรายที่เคลื่อนย้ายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย ๒.๑ เห็นชอบแนวทางการนำกลับและส่งกลับของเสียที่เคลื่อนย้ายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการอนุสัญญาบาเซล ในการประชุมครั้งที่ ๓๖-๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ และ ๔๐-๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ๒.๒ ให้กรมควบคุมมลพิษนำแนวทางดังกล่าวเผยแพร่ให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการขนส่งสินค้า และผู้สนใจทั่วไป และประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสาธารณะต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบและนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้รับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ ๓.๑ เห็นชอบร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปรับปรุงข้อมูลด้านพลังงานในร่างรายงานฯ ให้สมบูรณ์ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ๓.๒ ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมแบบองค์ร่วม และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปใช้เป็นกรอบในการจัดทำรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๔. ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๖ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... ๔.๑ เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๖ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศฯ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๔.๒ ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการ ๕. โครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานนราธิวาส ของกรมการบินพลเรือน ๕.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคม ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานนราธิวาส ของกรมการบินพลเรือน โดยให้กรมการบินพลเรือนดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ และให้ตรวจสอบข้อมูลในเอกสารให้ถูกต้องครบถ้วน ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี ๕.๒ นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๖. โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๕ ตอน ตาก-อ.แม่สอด ของกรมทางหลวง ๖.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๕ ตอน ตาก-อ.แม่สอด ของกรมทางหลวง เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยให้กรมทางหลวงดำเนินการตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ๖.๒ ให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๗. รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครงการเหมืองแร่สังกะสี ของบริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ประทานบัตรที่ ๓๐๗๖๙/๑๕๕๒๕ ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับประทานบัตรที่ ๓๐๗๗๙/๑๕๗๙๗ ตั้งอยู่ที่ตำบลพระธาตุผาแดง อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ๗.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมถลุง หรือแต่งแร่ ซึ่งให้ความเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ โครงการเหมืองแร่สังกะสีฯ เพื่อประกอบการพิจารณาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการอนุญาตให้บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่สอด เพื่อการทำเหมืองแร่ โดยให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานฯ อย่างเคร่งครัด และรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดให้กรมป่าไม้และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อพิจารณาเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติทราบปีละ ๑ ครั้ง ๗.๒ ให้กรมป่าไม้นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครงการฯ ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขแนบท้ายหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ รวมทั้งให้กรมป่าไม้และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กำกับดูแลให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครงการฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน ๗.๓ ให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่นำมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขเพิ่มเติมแนบท้ายใบอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ และให้ถือเป็นแนวปฏิบัติสำหรับโครงการลักษณะเดียวกันทุกโครงการ ๗.๔ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ผู้ประกอบกิจการโครงการเหมืองแร่ทุกโครงการดำเนินการตามขั้นตอนการขอต่ออายุหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติล่วงหน้าได้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๒ ปี ก่อนที่อายุหนังสือขออนุญาตฯ จะสิ้นสุดลง และประสานแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ ๘. โครงการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากชายแดนไทย-สหภาพพม่า มายังสถานีควบคุมก๊าซที่ BVW 01 ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่ตำบลปิล๊อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ๘.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโรงไฟฟ้าพลังความร้อน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากชายแดนไทย-สหภาพพม่าฯ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ๘.๒ ให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ๙. โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบก นครสวรรค์ (เพื่อขยายโอกาสใช้พลังงานสะอาดและลดมลภาวะในภาคขนส่ง และอุตสาหกรรมเขตภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง) ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดอ่างทอง จังหวัด
|
||||||||||||||||||||||||
316 | รายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญพร้อมอุปสรรคจากการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย รอบ 12 เดือน ปี พ.ศ. 2555 | กค | 17/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ พร้อมอุปสรรคจากการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) รอบ ๑๒ เดือน ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรการที่ ๑ เสริมสร้างความเชื่อมั่นและเข้าถึงระบบประกันภัย มีการสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัย รวมทั้งกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ ผ่านโครงการต่าง ๆ มีการพัฒนาช่องทางการเข้าถึงระบบประกันภัย และการพัฒนากรมธรรม์ประกันภัยให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ ความเสี่ยงภัย และความต้องการของประชาชน รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ สำหรับอุปสรรคจากการดำเนินงาน ได้แก่ ประชาชนยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในหลักการประกันภัย ระยะเวลาที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์บางโครงการมีน้อย และแนวทางปฏิบัติของการรับประกันภัยของกองทุนฯ ยังมีความซับซ้อน ๒. มาตรการที่ ๒ เสริมสร้างเสถียรภาพของระบบประกันภัย มีการพัฒนาระบบการกำกับเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง มีการจัดทำแนวปฏิบัติเรื่องการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ และการจัดทำแผนรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องของบริษัทประกันภัย มีการติดตามและตรวจสอบบริษัทประกันภัยเพื่อสร้างเสถียรภาพที่มีต่อระบบประกันภัย รวมทั้งสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ สำหรับอุปสรรคจากการดำเนินงาน ได้แก่ ความเห็นที่แตกต่างกันของบริษัทประกันภัยในเรื่องการคำนวณอัตราส่วนความพอเพียงของเงินกองทุนรายเดือน บริษัทประกันภัยบางแห่งไม่ให้ความร่วมมือในการแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการออกประกาศ ข้อกำหนด และแนวทางปฏิบัติของสำนักงาน คปภ. ๓. มาตรการที่ ๓ พัฒนากฎหมายและระบบการคุ้มครองสิทธิประโยชน์แบบครบวงจร มีการพัฒนากฎหมายแม่บทด้านการประกันภัยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย ผลักดันร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีการพัฒนาระบบ E-Claim เชื่อมต่อระหว่างโรงพยาบาลและบริษัทประกันภัย และการเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์อุทกภัยเมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สำหรับอุปสรรคจากการดำเนินงาน ได้แก่ ประชาชนขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในหลักการประกันภัยและเงื่อนไขความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัย และปัญหาจากการไล่เบี้ยเรียกเงินคืนกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยที่มีขั้นตอนเพิ่มมากขึ้น ๔. มาตรการที่ ๔ ส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัย มีการพัฒนาระบบทรัพยากรบุคคล และจัดทำโครงสร้างฐานข้อมูลการประกันภัย มีการนำหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีมาใช้ มีการพัฒนายุทธศาสตร์ด้านการประกันภัย และมีการพัฒนาความรู้ด้านวิชาการประกันภัย สำหรับอุปสรรคจากการดำเนินงาน ได้แก่ ความไม่ชัดเจนของการจัดทำแผนพัฒนาบุคลากรและการสื่อสารแนวทางการพัฒนาบุคลากรทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค การวางแผนอัตรากำลังไม่สอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลง ปัญหาด้านการพัฒนาระบบฐานข้อมูลการประกันภัยที่ต้องประสานและขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ยังมีความล่าช้า การจัดการความเสี่ยงของสำนักงาน คปภ. ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น รวมทั้งการตรวจสอบภายในที่ยังไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้รับการตรวจสอบ
|
||||||||||||||||||||||||
317 | การปาฐกถาพิเศษ "Uniting for the future : Learning from each other's experience" | กต | 13/08/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการจัดปาฐกถาพิเศษ "Uniting for the future : Learning from each other''s experience" ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. นายกรัฐมนตรีมีดำริให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดปาฐกถาพิเศษเรื่อง "Uniting for the future : Learning from each other''s experience" ในวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๖ ณ กรุงเทพมหานคร โดยเชิญอดีตผู้นำประเทศต่าง ๆ หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงและประสบการณ์ในการเสริมสร้างประชาธิปไตยและกระบวนการปรองดองเป็นองค์ปาฐก เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ที่จะเป็นประโยชน์สำหรับสาธารณชนไทยในวงกว้าง ๒. วัตถุประสงค์ของการจัดปาฐกถาพิเศษ เพื่อถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ บทเรียนและแนวปฏิบัติที่ดี โดยเฉพาะจากบุคคลระดับผู้นำที่มีชื่อเสียงและประสบการณ์ในเรื่องการปรองดองที่สำคัญจากประเทศต่าง ๆ ให้แก่ประชาชนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย และเพื่อส่งเสริมการนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากนานาประเทศไปประยุกต์ใช้ในสังคมไทย เพื่อให้เกิดการปรองดองระหว่างประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ที่มีความคิดและความเห็นที่แตกต่างกันให้สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสงบสุข ๓. รูปแบบการจัดงาน กระทรวงการต่างประเทศ โดยสถาบันเทวะวงศ์วโรปการร่วมกับสถาบันความมั่นคงและนานาชาติศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ดำเนินการหลัก โดยจะพิจารณาเชิญผู้เข้าร่วมฟังการปาฐกถาจากภาคส่วนต่าง ๆ ของไทยรวมประมาณ ๓๐๐ คน เช่น ผู้แทนจากภาครัฐ กลไกภายใต้รัฐธรรมนูญ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม สื่อมวลชน และฝ่ายการเมือง เป็นต้น โดยในช่วงเช้านายกรัฐมนตรีจะกล่าวถ้อยแถลงเปิดงาน ตามด้วยการปาฐกถาของวิทยากรระดับสูง ได้แก่ นายโทนี่ แบลร์ นายมาร์ตี อาห์ติซารี และนางพริซิลลา เฮย์เนอร์ โดยจะถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ให้แก่ประชาชนทั่วไปรับชม และในช่วงบ่ายมีการนำเสนอและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการ โดยผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการที่มีชื่อเสียงในระดับระหว่างประเทศ ซึ่งจะมีการถ่ายทอดเสียงทางวิทยุในภาคภาษาไทยและภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ จะได้เปิดโอกาสให้องค์ปาฐกและผู้เชี่ยวชาญได้พูดคุยกับภาคส่วนกลุ่มต่าง ๆ ตามความประสงค์ ในวันรุ่งขึ้นด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
318 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 4/2556 | นร11 | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร. ๒.๑.๑ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๒.๑.๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมพิจารณาในรายละเอียดของความคุ้มค่าและความเหมาะสมของโครงการพัฒนานวัตกรรมการเลี้ยงโคนมและนมอินทรีย์ครบวงจร โดยเฉพาะรูปแบบและกลไกการบริหารจัดการที่ไม่เป็นภาระต่องบประมาณของรัฐในอนาคต รวมทั้งความเชื่อมโยงกับกลไกดำเนินงานที่มีอยู่ในพื้นที่ ๒.๑.๑.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ และภาคเอกชน เพื่อปรับปรุงประกาศกฎกระทรวงใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดสระบุรีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๑.๓ ให้สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจัดทำรายละเอียดคำร้องพร้อมเหตุผลการขอเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินต่อเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา เพื่อประกอบการปรับปรุงผังเมืองรวมพระนครศรีอยุธยาต่อไป และให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาเร่งรัดขั้นตอนการปรับปรุงประกาศกฎกระทรวงใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสระบุรีตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๑๘ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒.๑.๑.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมของโครงการพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมการเกษตร ตามที่ภาคเอกชนเสนอ รวมทั้งรูปแบบการบริหารจัดการของโครงการฯ อย่างยั่งยืน และความเชื่อมโยงกลไกดำเนินการที่มีอยู่ในพื้นที่ ๒.๑.๒ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณา ๒.๑.๒.๑ เร่งรัดโครงการก่อสร้างถนน ๓ เส้นทาง [ถนนวงแหวนต่างระดับ ๙ สาย ตัด ๓๔๐ และตัด ๓๔๕ เชื่อมโยงจังหวัดนนทบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี, ทางด่วนโทลเวย์ (รังสิต-ประตูน้ำพระอินทร์) และเส้นทางหมายเลข ๓๒ ต่อเชื่อมกับสถานีรถไฟมาบพระจันทร์ ที่อำเภอนครหลวง (สถานีขนส่งสินค้า)] การขยายช่องจราจรจาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจร ๓ เส้นทาง [ถนนเลียบคลองเจ็ด ฝั่งตะวันตก (ปท. ๓๐๐๔) อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ระยะทาง ๑๐.๔ กิโลเมตร, เส้นทางหมายเลข ๓๒๙ (มาจากหินกอง) ช่วงอำเภอนครหลวง-อำเภอบางปะหัน เพื่อการขนส่งลงทางน้ำของแม่น้ำป่าสัก และถนน ๓๐๕๖ อำเภอภาชี-อำเภออุทัย-อำเภอบางปะอิน ชนหมายเลข ๓๒ เส้นทางหลักของทางออกนิคมอุตสาหกรรมโรจนะไปกรุงเทพมหานคร] และโครงการก่อสร้างขยายถนนหมายเลข ๙ จากแยกทางต่างระดับ ๓๔๐ (จังหวัดนนทบุรี พระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี) จาก ๔ ช่องจราจร เป็น ๑๐ ช่องจราจร ตามที่ภาคเอกชนเสนอ ไปประกอบการพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางตามความจำเป็นและความเร่งด่วน เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีหรือการสนับสนุนจากแหล่งเงินกู้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน ๒ ล้านล้านบาท ตามขั้นตอนต่อไป โดยให้พิจารณาข้อจำกัดของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย ๒.๑.๒.๒ รับข้อเสนอการขยายเส้นทางรถไฟสายสีม่วงจากบางใหญ่-ไทรน้อย (๒.๕ กิโลเมตร) และเชื่อมโยงกับรถไฟฟ้าสายสีชมพูบนถนนชัยพฤกษ์ ระยะทาง ๙ กิโลเมตร (สายสีทอง) ไปพิจารณาการออกแบบในภาพรวม โดยอาจดำเนินการจัดระบบขนส่งผู้โดยสารเพื่อเชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าทั้งสองสายด้วย ๒.๑.๒.๓ รับข้อเสนอการสนับสนุนโครงการศึกษา ๒ โครงการ ได้แก่ การปรับปรุงสะพานนวลฉวีเพื่อการสัญจรทางน้ำ และการยกระดับเส้นทางรถไฟ เพื่อการแก้ไขปัญหาการจราจร กรณีเส้นทางรถไฟผ่ากลางเมือง จังหวัดสระบุรี ไปประกอบการศึกษาความเหมาะสมและความจำเป็นของโครงการ รวมทั้งพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการตามความจำเป็นและความเร่งด่วนเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณจากแหล่งเงินที่เหมาะสมต่อไป ๒.๑.๓ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒.๑.๓.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาในรายละเอียดของโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำคลองบางบัวทอง และเสนอต่อคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามข้อเสนอของภาคเอกชนต่อไป ทั้งนี้ ในการดำเนินการต้องทำความเข้าใจกับประชาชนและให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบและประเมินผลโครงการอย่างใกล้ชิด ๒.๑.๓.๒ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นและข้อเสนอแนะของภาคเอกชนไปประกอบการพิจารณาโครงการศึกษาความเหมาะสมของการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งพังในแม่น้ำป่าสัก และการพิจารณาจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางน้ำได้ตามเป้าหมาย ๒.๒ ข้อเสนอของ กกร./สทท. ๒.๒.๑ การส่งเสริมการท่องเที่ยว ๒.๒.๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปหารือร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ สทท. เพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด โดยคำนึงถึงความเชื่อมโยงกับแผนแม่บทการอนุรักษ์พัฒนาและฟื้นฟูประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา และแนวทางการบริหารจัดการศูนย์บริการนักท่องเที่ยวให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากการท่องเที่ยวอยุธยาเมืองมรดกโลก รวมทั้งเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ๒.๒.๑.๒ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงมหาดไทย และ สทท. พิจารณาในรายละเอียดการพัฒนาถนนวัฒนธรรมไท-ยวนเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยให้คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรม การเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมภายในกลุ่มจังหวัดและการส่งเสริมด้านการตลาด ๒.๓ เรื่องอื่น ๆ รวม ๖ เรื่อง เสนอโดย สทท./กกร. ๒.๓.๑ การเร่งรัดการวางแผนการบริหารจัดการสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินภูเก็ต เพื่อเตรียมรองรับ High Season ๒.๓.๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักในการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรูปแบบเดียวกับที่เคยใช้แก้ไขปัญหากรณีท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ เพื่อแก้ไขปัญหาแออัดรองรับนักท่องเที่ยวของท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตให้ทันกับฤดูกาลท่องเที่ยว ๒.๓.๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมประสานบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดการเสนอแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกของท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานภูเก็ต โดยเฉพาะในด้านการรองรับปริมาณผู้โดยสารที่จะเดินทางสู่กรุงเทพฯ โดยคำนึงถึงการแก้ไขปัญหาด้านผลกระทบของสิ่งแวดล้อมโดยรอบของท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิด้วย ๒.๓.๒ แนวทางการรณรงค์เพื่อดำเนินการด้านการใช้แรงงานเด็กและการใช้แรงงานบังคับ (ตามรายงานกระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับสถานการณ์การใช้แรงงานเด็กและการใช้แรงงานบังคับ) ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมประชาสัมพันธ์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาหาแนวทางและมาตรการป้องกันและแก้ไขร่วมกัน โดยใช้กลไกต่าง ๆ ที่มีอยู่ให้สามารถดำเนินงานได้อย่างเร่งด่วนและเป็นรูปธรรม ตลอดจนเผยแพร่แนวปฏิบัติด้านการใช้แรงงานที่ดีเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของอุตสาหกรรมและประเทศชาติต่อไป ๒.๓.๓ การทบทวนเกณฑ์การรวมธุรกิจที่ต้องขออนุญาตตามบทบัญญัติมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม และ กกร. พิจารณาการกำหนดแนวทางการหารือเพื่อทบทวนเกณฑ์การรวมธุรกิจที่ต้องขออนุญาต ตามบทบัญญัติมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยการพิจารณาให้คำนึงถึงผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในทุกระดับทั้งระบบร่วมกัน ๒.๓.๔ การแก้ไขพระราชบัญญัติศุลกากรในประเด็นว่าด้วยโทษสำ
|
||||||||||||||||||||||||
319 | รายงานผลการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติด วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และสารตั้งต้น | ยธ | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติด วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และสารตั้งต้น ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ส. ได้จัดพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๖ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และ H.E. Mr. Mostafa Mohammad Najjar รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และเลขาธิการสำนักงานควบคุมยาเสพติดแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน เป็นผู้ลงนามฝ่ายอิหร่าน โดยบันทึกความเข้าใจฯ ได้กำหนดขอบเขตที่สำคัญของความร่วมมือระหว่างคู่ภาคี ได้แก่
๑. การลดอุปทานและอุปสงค์ยาเสพติด ตลอดจนการปรับปรุงวิธีการบริหารจัดการ ๒. การดำเนินมาตรการร่วมในการกำจัดแหล่งที่มาของอุปทานยาเสพติดผิดกฎหมาย ๓. การประสานความร่วมมือในการปราบปรามการลักลอบผลิตและค้ายาเสพติดผิดกฎหมาย ตลอดจนความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในเวทีระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ ๔. การแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับวิธีการตรวจค้นและจับกุมยาเสพติดที่มีการซุกซ่อนไว้ ๕. การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อสนเทศเกี่ยวกับวิธีการและแผนการของนักค้ายาเสพติด ๖. การแลกเปลี่ยนข้อสนเทศเกี่ยวกับเครือข่ายและบุคคลที่เกี่ยวข้องหรือต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือที่ถูกจับกุมในการลักลอบค้ายาเสพติดผิดกฎหมาย ตลอดจนเส้นทางใหม่ ๆ ในการลักลอบขนส่งยาเสพติด ๗. การนำเครื่องมือทางวิชาการใหม่ ๆ มาใช้ในการฝึกอบรมและการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการตรวจค้นและตรวจพิสูจน์ยาเสพติดผิดกฎหมาย ๘. การให้ข้อสนเทศเกี่ยวกับยาเสพติดรูปแบบใหม่ ๆ ๙. การแลกเปลี่ยนข้อสนเทศและประสบการณ์เกี่ยวกับแผนการด้านการศึกษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับหน่วยงาน องค์การและบุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด ๑๐. การแลกเปลี่ยนข้อสนเทศและประสบการณ์เกี่ยวกับกฎหมายและแนวปฏิบัติทางการศาลในการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติด ๑๑. การแลกเปลี่ยนข้อสนเทศและประสบการณ์เกี่ยวกับโครงการที่มีประสิทธิภาพสำหรับการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถสภาพผู้ติดยาเสพติด ๑๒. การแลกเปลี่ยนผลงานวิจัย สิ่งตีพิมพ์ด้านวิทยาศาสตร์ รายงานสิ่งตีพิมพ์พิเศษ ภาพยนตร์ และสื่อการศึกษาอื่น ๆ เกี่ยวกับการป้องกันการใช้ยาเสพติดในทางที่ผิดเพื่อเสริมสร้างความตระหนักให้แก่สาธารณชน ๑๓. สาขาอื่น ๆ ที่เป็นความกังวลร่วมกันในเรื่องยาเสพติด
|
||||||||||||||||||||||||
320 | ขอความเห็นชอบร่างถ้อยแถลงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับประเทศหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา (ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สหรัฐอเมริกา) | กต | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างถ้อยแถลง จำนวน ๔ ฉบับ ได้แก่ ๑.๑.๑ ร่างถ้อยแถลงของประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๖ เป็นการยืนยันเจตนารมณ์ที่จะลดช่องว่างการพัฒนาบนพื้นฐานของยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. ๒๐๑๒ และแผนปฏิบัติการกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น รวมทั้งการขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและส่งเสริมการติดต่อของประชาชน ๑.๑.๒ ร่างถ้อยแถลงของประธานร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๓ ยืนยันเจตนารมณ์ที่จะขยายความเชื่อมโยงทางกายภาพ กฎระเบียบ และการติดต่อระหว่างประชาชนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง รับทราบความคืบหน้าของโครงการนำร่อง ส่งเสริมการติดต่อแลกเปลี่ยนของภาคเอกชนผ่านการประชุม Mekong-ROK Business Forum และกิจกรรมทางวัฒนธรรม รวมทั้งแสดงความยินดีที่มีการตั้งกองทุน Mekong-ROK Cooperation Fund ๑.๑.๓ ร่างถ้อยแถลงของการประชุมรัฐมนตรีข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๖ รับรองการตั้งคณะผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญ (Eminent and Expert Persons Group) เพื่อให้คำแนะนำทางยุทธศาสตร์แก่ประเทศสมาชิก เน้นย้ำการประสานงานกับอาเซียน เห็นชอบโครงการในสาขาความร่วมมือต่าง ๆ เช่น การป้องกันโรคมาลาเรียข้ามแดนในภูมิภาค การสอนภาษาอังกฤษ การแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีเลิศในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งเห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการสาขาการเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร และสาขาความมั่นคงทางพลังงาน ๑.๑.๔ ร่างถ้อยแถลงของการประชุมรัฐมนตรีมิตรของประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๓ เน้นย้ำความสำคัญของการประสานระหว่างประเทศผู้ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศลุ่มน้ำโขงเพื่อเลี่ยงความซ้ำซ้อนและพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกัน โดยให้ความสำคัญแก่อาเซียน และกล่าวถึงความร่วมมือในสาขาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรน้ำ ซึ่งเป็นประเด็นเร่งด่วนของภูมิภาคโดยแนะนำให้ร่วมมือกับคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission : MRC) ๑.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนร่วมรับรองร่างเอกสารดังกล่าว ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการปรับแก้ถ้อยคำและข้อความ รวมทั้งจัดลำดับเนื้อหาในร่างถ้อยแถลงของการประชุมรัฐมนตรีข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๖ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....