ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 17 จากทั้งหมด 25 หน้า แสดงรายการที่ 321 - 340 จากข้อมูลทั้งหมด 486 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
321 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในการป้องกันภัยธรรมชาติ) | กค | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... สาระสำคัญคือกำหนดยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับเงินได้เท่าจำนวนเงินอุดหนุนหรือเงินอื่นอันมีลักษณะทำนองเดียวกันที่ได้รับจากรัฐบาล ซึ่งจ่ายตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อให้นำไปลงทุนในการป้องกันอุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย หรือภัยธรรมชาติอื่นที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ทั้งนี้ สำหรับการลงทุนดังกล่าวตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน และบุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการยกเว้นภาษี เป็นต้น รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานความร่วมมือในการวางแผน เตรียมการ จัดทำแนวปฏิบัติและข้อตกลงร่วมกันเพื่อส่งเสริมและเตรียมความพร้อมให้ชุมชนหรือส่วนราชการได้ใช้ประโยชน์จากการลงทุนในการป้องกันภัยธรรมชาติดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
322 | การลดเอกสารประกอบระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี (ความเห็นส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง กค. กษ. ทก. พน. มท. รง. วท. ศธ. สธ. สปน. สำนักงาน ก.พ. สคก. สศช. ศอ.บต. อส. กห. ทส. พณ. วธ. อก. สำนักงาน ก.พ.ร. *กต. *กก. *พม. *คค. *ยธ. *กกต. *สำนักงาน ป.ป.ช. *ผผ. *สศ. *สตง. *สม. *สกท. *รถ. *สำนักงาน ป.ป.ส. *สำนักงาน ปปง. *สำนักงาน ปปท. *พว. *รล. *ตช. *สงป. *สมช. *สลน. *สขช. *สำนักงาน กปร. *พศ. *วช. *สกว. *กอ.รมน.) | นร | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวปฏิบัติในการลดเอกสารประกอบระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี และให้ส่วนราชการถือปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกันต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. เอกสารเรื่องที่เสนอคณะรัฐมนตรี ๑.๑ เอกสารสิ่งตีพิมพ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่นำเสนอคณะรัฐมนตรี รวมทั้งเอกสารเพื่อการประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานที่ประสงค์จะมอบให้คณะรัฐมนตรี ให้หน่วยงานดำเนินการจัดส่งให้แก่รัฐมนตรีแต่ละท่านโดยตรง และหากประสงค์จะให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทราบด้วย ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องแจ้งเพียงรายชื่อเอกสารต่าง ๆ ดังกล่าวไปเพื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งต่อที่ประชุมเท่านั้น ๑.๒ หนังสือต้นเรื่องและสำเนาหนังสือต้นเรื่อง หน่วยงานเจ้าของเรื่องยังคงต้องจัดทำเป็นเอกสารส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีตามจำนวนที่กำหนดใหม่ (ลดจำนวนลงจากเดิมที่กำหนดไว้ตามหนังสือ สลค. ที่ นร ๐๕๐๑/ว ๒๔ ลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ เรื่อง การส่งเรื่องไปเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี) เนื่องจากยังมีความจำเป็นต้องใช้ในขั้นตอนต่าง ๆ ของการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี ได้แก่ การถามความเห็น การจัดทำระเบียบวาระของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี) การประชุมคณะรัฐมนตรี และการแจ้งยืนยันมติ ๑.๓ เอกสารสิ่งที่ส่งมาด้วย ซึ่งเดิมหน่วยงานเจ้าของเรื่องต้องจัดส่งสิ่งที่ส่งมาด้วยมาให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเท่ากับจำนวนสำเนาหนังสือต้นเรื่อง (๑๐๐ ชุดสำหรับเรื่องทั่วไป และ ๑๒๐ ชุดสำหรับเรื่องเกี่ยวกับกฎหมาย) ให้ลดจำนวนลงเหลือเท่าที่จำเป็นจะต้องใช้เท่านั้น ๒. ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องจัดส่ง CD บันทึกข้อมูลของหนังสือที่เสนอเรื่องและสิ่งที่ส่งมาด้วยทั้งหมดส่งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพร้อมกับการส่งหนังสือต้นเรื่องด้วย โดย ๒.๑ หนังสือเสนอเรื่อง ให้จัดทำไฟล์ข้อมูล ๒ รูปแบบ คือ ๒.๑.๑ รูปแบบ PDF ของหนังสือที่มีเลขที่หนังสือ ลงวันที่ และลายมือชื่อ ผู้ลงนาม ที่ตรงกับเอกสารต้นฉบับ เพื่อนำไปจัดทำระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี ๒.๑.๒ รูปแบบ Microsoft Word ของหนังสือเพื่อนำไปใช้ประกอบการจัดทำบันทึกสรุปเรื่องเสนอนายกรัฐมนตรี/รองนายกรัฐมนตรี ๒.๒ เอกสารประกอบหนังสือเสนอเรื่อง (สิ่งที่ส่งมาด้วย) ให้จัดทำไฟล์ข้อมูลในรูปแบบ PDF และบันทึกไฟล์ตามลำดับให้สอดคล้องกับรายการสิ่งที่ส่งมาด้วยตามหนังสือเสนอเรื่อง ๒.๓ ให้บันทึกไฟล์ข้อมูลทั้งหมดใส่แผ่น CD พร้อมแนบใบนำส่งไฟล์ที่แสดงรายละเอียดข้อมูล เช่น ลำดับเอกสาร ชื่อไฟล์ ชนิดของไฟล์ และวัน เวลาที่บันทึกข้อมูล พร้อมทั้งชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ของผู้รับผิดชอบไฟล์ข้อมูล |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
323 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 1/2556 | นร11 | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ ระหว่างวันที่ ๒๙ มกราคม-๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การปฏิรูปโครงสร้างรูปแบบใหม่ (APEC New Strategy for Structural Reform: ANSSR) ประกอบด้วย เป้าหมาย ANSSR เอเปคกำหนดให้สมาชิกแจ้งสาขาที่มีความสำคัญในการปฏิรูปโครงสร้างภายในประเทศของตน ภายในปี ๒๕๕๔ การรายงานผลการดำเนินงานครึ่งแผนงาน โดยให้แต่ละเขตเศรษฐกิจจัดทำรายงานติดตามการประเมินผลการพัฒนาการปฏิรูปโครงสร้างของตน โดยจัดทำรายงานใน ๒ ช่วงเวลา คือ ในปี ๒๕๕๖ เพื่อติดตามผลครึ่งแผนงาน และการรายงานผลเมื่อครบกำหนดในปี ๒๕๕๘ รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการระดับ Micro-level รายงานความก้าวหน้าการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการระดับ Macro-level ตลอดจนการขับเคลื่อนในระดับโครงการของประเทศไทยที่ได้รับสนับสนุนจากเอเปค ในโครงการ Tax Incentive-law Reform for the Reinforcing of SME’s Cooperation & Networking and the Elevating of Entrepreneurs’ Efficiency in APEC Economies มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอข้อแนะนำในการออกหรือแก้กฎหมายสนับสนุนการสร้างความร่วมมือและเครือข่าย SME โดยเปรียบเทียบวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศภายในประเทศสมาชิกเอเปค ๒. สรุปแผนการดำเนินงานในแต่ละกลุ่มเพื่อนประธานในเรื่องการปฏิรูปโครงสร้าง ประกอบด้วย (๑)Competition Policy and Law Group (CPLG) ผู้ประสานงานหลัก คือ ญี่ปุ่น มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้เกิดความเข้าใจในเรื่องกฎระเบียบและนโยบายด้านการแข่งขันของภูมิภาค (๒) Competition Policy ผู้ประสานงานหลัก คือ เครือรัฐออสเตรเลีย ได้กำหนดแผนงานจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเน้นการให้ความช่วยเหลือประเทศในทวีปเอเชียในการปฏิบัติตามแผนงาน ANSSR (๓) Corporate Law and Governance ผู้ประสานงานหลัก คือ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยกลุ่มเพื่อนประธานได้เตรียมจัดทำรายงานเกี่ยวกับบทเรียนที่ได้รับจากวิกฤติการเงินและจะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๒ ต่อไป (๔) Ease of Doing Business ผู้ประสานงานหลัก คือ สหรัฐอเมริกา เพื่อสนับสนุนให้สมาชิกบรรลุเป้าหมายการพัฒนาตัวชี้วัดของธนาคารโลกในการดำเนินธุรกิจให้มีความสะดวก รวดเร็ว และลดต้นทุนได้ร้อยละ ๒๕ ภายในปี ๒๕๕๘ (๕) Public Sector Governance ผู้ประสานงานหลัก คือ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้เน้นถึงสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ ได้แก่ การสร้างความเข้มแข็งให้กับการบริหารราชการ การพัฒนาคุณภาพการให้บริการของรัฐ การนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารงานภาครัฐ การส่งเสริมความโปร่งใส และการเสริมสร้างความเข้มแข็งในด้านคุณธรรมและจริยธรรม (๖) Regulatory Reform ผู้ประสานงานหลัก คือ ญี่ปุ่น ได้รายงานผลการศึกษาเรื่องการลงทุนสีเขียวที่ศึกษากรณีความสำเร็จจากการกำหนดกฎระเบียบการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ ๓. การจัดทำรายงานนโยบายเศรษฐกิจเอเปคประจำปี (APEC Economic Policy Report : AEPR) ประกอบด้วย รายงานนโยบายเศรษฐกิจเอเปคประจำปี ๒๕๕๖ โดยไต้หวันได้กำหนดให้เรื่องการส่งเสริมความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือทางการเงินและการคลังเป็นหัวข้อในการจัดทำรายงานปี ๒๕๕๖ และรายงานเศรษฐกิจเอเปค ประจำปี ๒๕๕๗ ที่ประชุมเห็นชอบให้เรื่องแนวปฏิบัติที่ดีในการปฏิรูปกฎระเบียบ (Good Regulatory Practice : GRP) เป็นหัวข้อสำหรับการจัดทำรายงานปี ๒๕๕๗ ๔. แนวปฏิบัติที่ดีในเรื่องกฎระเบียบ Good Regulatory Practices สหพันธรัฐรัสเซียเสนอแนวคิดในการจัดทำ Web Portal ที่รวบรวมแนวปฏิบัติที่ดีในเรื่องกฎระเบียบ Good Regulatory Practices ของประเทศสมาชิก เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลและตัวอย่างให้กับประเทศสมาชิกอื่น ๆ ๕. ข้อเสนอใหม่จากประเทศสมาชิก เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (ฮ่องกง) เสนอการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับกระบวนการที่จะลดขั้นตอนในการตรวจสอบและออกใบรับรองเอกสารโดยการใช้ Hague Apostille Convention ซึ่งหากกระบวนการนี้ได้รับการยอมรับในประเทศสมาชิกและได้มาตรฐานหลักสากลจะทำให้การค้า การดำเนินการข้ามแดนง่ายขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
324 | การขยายระยะเวลาดำเนินการของศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) | รง | 09/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา รวมทั้งบุตรของแรงงานต่างด้าวดังกล่าวที่อายุไม่เกิน ๑๕ ปี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๖ (เรื่อง การผ่อนผันแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเป็นกรณีพิเศษเพื่อดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย) ซึ่งนายจ้างได้ยื่นแบบแจ้งความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าว บัญชีรายชื่อและเอกสารต่าง ๆ ไว้กับกรมการจัดหางานแล้ว อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษต่อไปอีกเป็นเวลา ๑๒๐ วัน นับตั้งแต่วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๖ เป็นต้นไป เพื่อดำเนินการให้ได้รับหนังสือเดินทางชั่วคราว (Temporary Passport) หรือเอกสารรับรองบุคคล (Certification of Identity) จากประเทศต้นทาง และได้รับอนุญาตให้เป็นผู้เดินทางเข้าประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมายพร้อมกับได้รับอนุญาตทำงานเฉพาะกับนายจ้างเดิมต่อไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงมหาดไทย ออกประกาศขยายระยะเวลาการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา รวมทั้งบุตรของแรงงานต่างด้าวดังกล่าวที่อายุไม่เกิน ๑๕ ปี ที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักร ซึ่งนายจ้างได้ยื่นแบบแจ้งความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าว บัญชีรายชื่อแรงงานต่างด้าว และเอกสารต่าง ๆ ไว้กับกรมการจัดหางานแล้ว อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษต่อไปอีกเป็นเวลา ๑๒๐ วัน นับตั้งแต่วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ๑.๒ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ดำเนินการรับตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non-Immigrant-LA) และประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลา ๒ ปี ให้แก่แรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา รวมทั้งตรวจลงตราและประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรในลักษณะผู้ติดตามแก่บุตรของแรงงานต่างด้าวดังกล่าวที่อายุไม่เกิน ๑๕ ปี ซึ่งได้รับหนังสือเดินทางชั่วคราว หรือเอกสารรับรองบุคคล และสามารถขออยู่ในราชอาณาจักรได้อีกครั้งเดียวระยะเวลาไม่เกิน ๒ ปี ณ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือสถานที่ที่กรมการจัดหางานกำหนด โดยจัดเก็บค่าธรรมเนียมในอัตรา ๕๐๐ บาท และสามารถขออยู่ต่อได้อีกครั้งเดียว ค่าธรรมเนียมในอัตรา ๕๐๐ บาท เช่นกัน ทั้งแรงงานต่างด้าวและบุตรของแรงงานต่างด้าว ๑.๓ กระทรวงสาธารณสุขรับตรวจสุขภาพและรับประกันสุขภาพให้กับแรงงานต่างด้าวที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรตามที่นายจ้างได้ยื่นคำร้องขอจ้างแรงงานต่างด้าวซึ่งทำงานในกิจการที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องขึ้นทะเบียนประกันสังคม รวมทั้งรับประกันสุขภาพผู้ติดตามแรงงานต่างด้าว ๑.๔ กรมการจัดหางาน ดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อเร่งรัดนายจ้างที่แรงงานต่างด้าวได้ผ่านการตรวจสอบจากประเทศต้นทาง ให้พาแรงงานต่างด้าวไปขอรับหนังสือเดินทางชั่วคราว หรือเอกสารรับรองบุคคล และขอรับอนุญาตทำงาน ณ ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ที่จัดตั้งขึ้น รวมทั้งจัดทำข้อมูล (Bio Data) โดยการจัดเก็บภาพใบหน้าและพิมพ์ลายนิ้วมือแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงาน ๑.๕ สำนักงานประกันสังคม ดำเนินการให้แรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ เข้าสู่ระบบประกันสังคมตามที่กฎหมายกำหนด สำหรับแรงงานต่างด้าวที่ทำงานในกิจการที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องขึ้นทะเบียนประกันสังคม ให้นายจ้างเป็นผู้รับผิดชอบในลักษณะเช่นเดียวกับแรงงานที่เป็นคนไทย โดยให้เลือกซื้อประกันสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข หรือประกันสุขภาพกับบริษัทประกันเอกชน ๑.๖ กระทรวงการคลัง สนับสนุนงบประมาณเพื่อให้การดำเนินการขยายระยะเวลาการผ่อนผันแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเป็นกรณีพิเศษเพื่อดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งการจัดเก็บข้อมูล (Bio Data) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๗ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในช่วงเวลาที่อยู่ระหว่างการออกประกาศขยายระยะเวลาการผ่อนผันฯ ของกระทรวงมหาดไทย และช่วงระยะเวลาระหว่างการดำเนินการตามกระบวนการต่าง ๆ ให้พิจารณาผ่อนปรนการดำเนินการตามสมควรแก่กรณีกับนายจ้าง แรงงานต่างด้าว เพื่อให้การดำเนินนโยบายบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และภายหลังสิ้นสุดการผ่อนผันฯ ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดในการปราบปราม จับกุม ดำเนินคดีนายจ้างที่ลักลอบจ้างแรงงานต่างด้าว ผู้นำพา และผู้ให้ที่พักพิงแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย สำหรับแรงงานต่างด้าวให้ส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง เพื่อดำเนินการตามกระบวนการนำเข้าแรงงานต่างด้าวอย่างถูกกฎหมายต่อไป ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกรอบเวลาการขยายระยะเวลาการดำเนินการของศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ การกำหนดแนวปฏิบัติที่ชัดเจนสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อบุตรของแรงงานต่างด้าวดังกล่าวที่อายุไม่เกิน ๑๕ ปี การประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประสานประเทศต้นทางทราบความชัดเจนของกลุ่มเป้าหมายและเจตนารมณ์ของการขยายระยะเวลาดำเนินการ การกำกับดูแลและเร่งรัดการปฏิบัติงานของศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ให้ดำเนินการแล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบโดยเร็วเพื่อลดแรงกดดันจากสังคม และการดำเนินการศึกษากำหนดสัดส่วนความต้องการแรงงานต่างด้าว ทั้งแรงงานมีฝีมือและแรงงานไร้ฝีมือในประเทศไทยต่อจำนวนแรงงานไทยเป็นรายปี เพื่อเป็นแนวทางการกำหนดโควตาการนำเข้าแรงงานต่างด้าว และการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
325 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2555 เรื่อง การจัดตั้งสำนักงานให้ความช่วยเหลือทางวิชาการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศในประเทศไทย | กค | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การจัดตั้งสำนักงานให้ความช่วยเหลือทางวิชาการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ) โดยให้เพิ่มเติมข้อความว่า คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๒๘ (เรื่อง การยกเลิกเอกสิทธิทางภาษีอากรสำหรับคนไทยในองค์การหรือสถาบันระหว่างประเทศ) ๑.๒ อนุมัติการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่พนักงาน เจ้าหน้าที่คนไทยที่ปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) ในประเทศไทย ๒. ให้ถือเป็นการกำหนดข้อผูกพันเฉพาะสำหรับสำนักงานให้ความช่วยเหลือทางวิชาการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศในประเทศไทยเท่านั้น ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำและเป็นแนวปฏิบัติเดียวกันกับกรณีสำนักงานในประเทศไทยขององค์การสหประชาชาติและสถาบันการเงินระหว่างประเทศอื่นๆ รวมทั้งกรณีที่กระทรวงการคลังเสนอนี้ไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการสูญเสียรายได้จากภาษีเงินได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
326 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ยุทธศาสตร์การแข่งขันกล้วยไม้ไทยในตลาดโลก พ.ศ. 2554 - 2559 ปีงบประมาณ 2555 | กษ | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๓ (เรื่อง ยุทธศาสตร์การแข่งขันกล้วยไม้ไทยในตลาดโลก พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๙) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ กรมส่งเสริมการเกษตรและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย แผนงานเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านการตลาดส่งออก แผนงานส่งเสริมการผลิตกล้วยไม้คุณภาพ แผนงานพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรม แผนงานพัฒนาองค์กร และแผนงานส่งเสริมการใช้และสนับสนุนการส่งออก ๑.๒ ผลกระทบจากการดำเนินการ ๑.๒.๑ ปริมาณการส่งออกกล้วยไม้ตัดดอกของไทยในช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม ๒๕๕๕ ลดลงร้อยละ ๑๙.๓ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ปริมาณการส่งออก ๑๕,๓๕๐.๓๓ ตัน และ ๑๒,๓๘๑ ตัน ตามลำดับ) คิดเป็นมูลค่าลดลง ร้อยละ ๘.๓ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มูลค่าการส่งออก ๑,๔๕๑.๖ ล้านบาท และ ๑,๓๓๑.๐ ล้านบาท ตามลำดับ) ปริมาณการส่งออกกล้วยไม้ต้นของไทยลดลง ร้อยละ ๙.๑ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ปริมาณการส่งออก ๒๑.๙ ล้านต้น และ ๑๙.๙ ล้านต้น ตามลำดับ) แต่เมื่อคิดเป็นมูลค่าแล้วส่งออกเพิ่มขึ้น ร้อยละ ๓.๔ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มูลค่าการส่งออก ๓๗๑.๒ ล้านบาท และ ๓๘๓.๗ ล้านบาท ตามลำดับ) ๑.๒.๒ เกิดการดำเนินการแบบบูรณาการของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอื่นที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน สมาคมต่าง ๆ และสหกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับกล้วยไม้ เพื่อร่วมกันพัฒนาและแก้ไขปัญหาทำให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๒.๓ เกษตรกรมีการรวมกลุ่มกันเป็นสมาคม สหกรณ์ และคลัสเตอร์กล้วยไม้ ทำให้เกิดความเข้มแข็งในองค์กรเกษตรกร ๑.๒.๔ มีแผนยุทธศาสตร์ด้านการวิจัยกล้วยไม้ ๑.๒.๕ มีระบบเครือข่ายข้อมูลกล้วยไม้ (เว็บไซต์ Orchid Net) ๑ ระบบ ซึ่งจะพัฒนาไปสู่เว็บไซต์ระดับโลก (World Orchid Net) ในอนาคต ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรรายงานให้ทราบถึงสาเหตุของปัญหาที่พบและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย เช่น ควรระบุปัญหาอุปสรรคกรณีที่หน่วยงานไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณตามกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ การส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศกับต่างประเทศที่เป็นตลาดหลักทั้งในด้านการผลิต การบริหารจัดการ และการตลาด การส่งเสริมให้มีการจับคู่ทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยกับภาคเอกชนท้องถิ่นในตลาดใหม่ที่นิยมกล้วยไม้ไทย และเพิ่มการประชาสัมพันธ์จุดเด่นของกล้วยไม้ไทย การส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์การเรียนรู้และการประกวดกล้วยไม้นานาชาติ การเร่งสร้างความตระหนักรู้แก่เกษตรกรเรื่องการประกอบการตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี และการทำเกษตรอย่างยั่งยืน การรณรงค์ส่งเสริมให้เกษตรกรเห็นความสำคัญและสนใจในมาตรการควบคุมคุณภาพปัจจัยการผลิต และนำมาตรฐานสินค้าเกษตรมาใช้อย่างจริงจัง เพื่อจูงใจให้เข้าสู่ระบบการจัดการคุณภาพการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืช (Good Agricultural Practice ; GAP) การจัดทำโรดแมป (roadmap) และเป้าหมายรายทางของผลลัพธ์ที่จะเกิดในแต่ละช่วงเวลา การศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลสินค้ากล้วยไม้เชิงเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งและคู่ค้าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การขยายตลาดใหม่ ๆ ให้มากขึ้นเพื่อทดแทนตลาดส่งออกเดิมที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจ การส่งเสริมให้มีตลาดกลางในการประมูลกล้วยไม้เพื่อพัฒนากลไกตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนใช้ดอกกล้วยไม้ของไทยอย่างแพร่หลายในการจัดงานและพิธีการต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
327 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการและการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กต | 12/11/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกัมพูชาในฐานะประธานอาเซียนได้เป็นเจ้าภาพจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ กันยายน ๒๕๕๕ ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ๑.๑ รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเห็นชอบในการมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสเริ่มการหารืออย่างเป็นทางการกับฝ่ายจีนในเรื่องแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (Code of Conduct in the South China Sea : CoC) ทั้งนี้ ไทยในฐานะประเทศผู้ประสานงานอาเซียน-จีน อยู่ระหว่างการประสานงานกับฝ่ายจีนเพื่อกำหนดช่วงเวลาของการหารือดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงปลายเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนพิจารณาร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชนที่เสนอโดยคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และมีมติให้ที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนพิจารณาร่างปฏิญญาฯ อีกครั้งก่อนเสนอให้ผู้นำอาเซียนรับรองในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ ที่กรุงพนมเปญ ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ๑.๓ รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเห็นควรให้มีการหารือกับประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ ได้แก่ จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ ในเรื่องข้อสงวนของประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์บางประเทศในการลงนามพิธีสารแนบท้ายสนธิสัญญาเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อหาข้อสรุปและนำไปสู่การลงนามเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสนธิสัญญาฯ ต่อไป ๑.๔ รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเห็นชอบข้อเสนอกัมพูชาในการจัดตั้งศูนย์ทุ่นระเบิดภูมิภาคอาเซียนในประเทศกัมพูชา เพื่อเป็นศูนย์ความเป็นเลิศในการสร้างศักยภาพในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในภูมิภาค และจะเสนอให้ผู้นำอาเซียนให้ความเห็นชอบในการจัดตั้งศูนย์ฯ ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ ๒. การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนกับเลขาธิการสหประชาชาติและประธานสมัชชาสหประชาชาติสมัยประชุมที่ ๖๗ ๒.๑ ที่ประชุมให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือที่เป็นหุ้นส่วนระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น และได้ให้ความสำคัญกับการอนุวัติเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ การพัฒนาที่ยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน และการจัดการความขัดแย้ง ๒.๒ ที่ประชุมเห็นด้วยกับข้อเสนอของไทยในการดำเนินงานร่วมกันเพื่อระดมทุนในการลดช่องว่างในโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อจัดขั้นตอนการข้ามพรมแดน และการจัดการความท้าทายที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมโยงกัน เช่น อาชญากรรมข้ามชาติ เป็นต้น ๒.๓ ไทยได้กล่าวถึงการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างศูนย์ประสานงานอาเซียนในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับองค์กรภายใต้สหประชาชาติ เพื่อการพัฒนาศักยภาพการให้ความช่วยเหลือที่รวดเร็วและเป็นระบบยิ่งขึ้น รวมทั้งการใช้กลไกที่มีอยู่ให้มีประโยชน์สูงสุด และได้แจ้งต่อที่ประชุมว่าไทยจะเป็นเจ้าภาพร่วมกับสาธารณรัฐเกาหลีในการจัดการฝึกซ้อมการบรรเทาภัยพิบัติในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ภายใต้กรอบการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก [ASEAN Regional Forum (ARF) Disaster Relief Exercise (ARF DiREx)] ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๓. การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council for the Arab States of the Gulf-GCC) ที่ประชุมได้มีการทบทวนประเด็นความร่วมมือในสามสาขาความร่วมมือหลัก ได้แก่ ความร่วมมือทางการค้า การลงทุน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ความร่วมมือทางการศึกษา วัฒนธรรม และสารสนเทศ รวมทั้งได้มีมติขยายแผนปฏิบัติการความร่วมมืออาเซียน-GCC ที่จะหมดอายุในสิ้นปีนี้ออกไปอีก ๑ ปี และให้สำนักเลขาธิการของทั้งสองฝ่ายเตรียมจัดทำแผนปฏิบัติการฉบับใหม่ โดยพิจารณาบรรจุประเด็นเพิ่มเติม เช่น การเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน และการใช้พลังงานทดแทน ในการนี้ไทยได้แจ้งต่อที่ประชุมถึงความพร้อมที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการอาเซียนเรื่อง การจัดการทรัพยากรและการพัฒนาเครือข่ายการท่องเที่ยว (ASEAN Tourism Resource Management and Development Network ATRM) ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือเรื่องกำหนดการ ๔. การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-องค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (Economic Cooperation Organization-ECO) ที่ประชุมเห็นชอบที่จะมีการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน โดยเฉพาะเรื่องการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว โดยการจัดกิจกรรมระหว่างกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจของทั้งสองฝ่าย (Business Forum) การเชื่อมโยงข้อมูลทางการค้า สารสนเทศ การแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ รวมทั้งการสนับสนุนธุรกิจ SMEs และการส่งเสริมให้มีการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค ๕. การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-สหรัฐฯ ที่ประชุมยินดีด้วยกับข้อเสนอการยกระดับความสัมพันธ์อาเซียน-สหรัฐฯ เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ รวมทั้งการจัด ASEAN-U.S. Business Forum ระหว่างกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจของทั้งสองฝ่ายเป็นครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ ส่วนการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (East Asia Summit-EAS) สหรัฐฯ ให้ความสำคัญในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ การบรรเทาภัยพิบัติโดยเน้นการพัฒนากรอบความร่วมมือภูมิภาคและกรอบกฎหมายเพื่อรับรองการส่งความช่วยเหลือ การไม่แพร่ขยายอาวุธทำลายล้างสูง ความมั่นคงทางทะเล และลักลอบค้าสัตว์ป่า สำหรับเรื่องทะเลจีนใต้ สหรัฐฯ สนับสนุน Six-Point Principles ของอาเซียนและยินดีที่อาเซียนและจีนได้มีการหารือเกี่ยวกับการจัดทำ CoC โดยสหรัฐฯ ย้ำว่าจะไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในข้อพิพาททางดินแดน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
328 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม - มิถุนายน 2555) ธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๕) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ ภาวะเศรษฐกิจ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๒.๒ จากระยะเดียวกันปีก่อน ๑.๒ เสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวมปรับดีขึ้นหลังปัญหาอุทกภัยคลี่คลายลง คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๓.๐๐ ต่อปี สำหรับเสถียรภาพด้านราคา อัตราเงินเฟ้อชะลอลงและยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย ส่วนเสถียรภาพด้านต่างประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี ๑.๓ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ กนง.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ ๕.๗ ในขณะที่แรงส่งของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีมีแนวโน้มอ่อนลงจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ ๒. ส่วนที่ ๒ การดำเนินงานของ ธปท. ๒.๑ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายการเงิน กนง.ประเมินภาวะการเงินโดยรวมในปัจจุบันว่า ยังผ่อนปรนเพียงพอที่จะสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป และสามารถรองรับความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกได้ในระดับหนึ่ง อีกทั้งเศรษฐกิจไทยยังสามารถขยายตัวได้ใกล้เคียงศักยภาพ ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมาย ๒.๒ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน ได้แก่ ๒.๒.๑ ภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ในภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์มีเสถียรภาพ สินเชื่อขยายตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ลดลงเล็กน้อย กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของสินเชื่อ สำหรับปัจจัยที่ควรติดตามที่อาจมีผลต่อเสถียรภาพในช่วงต่อไปที่สำคัญ ได้แก่ ผลของการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยและคุณภาพของสินเชื่อ สินเชื่อมีการเร่งตัวโดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ ๒.๒.๒ การดำเนินนโยบายด้านสถาบันการเงินในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้จัดให้มีการประชุมร่วมระหว่าง กนง. และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) โดยที่ประชุมร่วมได้ประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทยในปัจจุบันว่า ยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ความเสี่ยงที่สำคัญ คือ ปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งในระยะสั้นอาจสร้างความผันผวนต่อตลาดการเงินของไทย และในระยะยาวจะกระทบต่อศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ๒.๒.๓ การดูแลความมั่นคงของสถาบันการเงิน ธปท. ได้ดำเนินการกำกับดูแลธุรกรรมที่สำคัญของสถาบันการเงิน โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการออกตั๋วเงินของสถาบันการเงินให้มีความชัดเจน ทันสมัย และสอดคล้องหลักเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในส่วนของการดูแลผู้บริโภคได้ร่วมมือกับ ก.ล.ต. และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในการยกร่างแนวนโยบายในเรื่องการขายผลิตภัณฑ์ด้านประกันและหลักทรัพย์ผ่านสาขาของสถาบันการเงิน สำหรับการเตรียมความพร้อมสถาบันการเงินเพื่อรองรับการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล ธปท. ได้ออกหลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนขั้นต่ำสำหรับความเสี่ยงด้านปฏิบัติการโดยวิธี Advanced Measurement Approaches (วิธี AMA) นอกจากนี้ได้เตรียมออกหลักเกณฑ์การกำกับดูแลเงินกองทุนเกี่ยวกับแนวทางในการรายงานข้อมูล (Leverage Ratio) และความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง และยังได้ดำเนินการต่อไปในส่วนของการประเมินผลกระทบ (Quantitative Impact Study: QIS) ของหลักเกณฑ์ Basel III ต่อระบบสถาบันการเงินด้วย ๒.๒.๔ การดำเนินนโยบายการพัฒนาระบบสถาบันการเงิน การดำเนินการคืบหน้าตามวัตถุประสงค์ คือ ลดต้นทุน ส่งเสริมการแข่งขันและการเข้าถึงบริการทางการเงิน และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน ๒.๒.๕ การดำเนินนโยบายสถาบันการเงินในเวทีระหว่างประเทศ ธปท. ได้ร่วมกำหนดนโยบายการเปิดเสรีและกลยุทธ์การเจรจากับคณะทำงานพิจารณาเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ตามแนวนโยบายของรัฐบาลและแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ ๒ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเปิดเสรีภาคการเงิน รอบที่ ๖ (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๗) นอกจากนี้ยังได้เข้าร่วมประชุมจัดทำแผนการรวมตัวภาคการธนาคาร และร่วมเจรจาความตกลงการค้าเสรีอื่น ๆ อีก ๔ ฉบับ สำหรับบทบาท ธปท. ในเวทีการกำกับดูแลสากล ได้เข้าร่วมหารือในเวทีที่มีความสำคัญในการวางเกณฑ์สากลของการกำกับดูแลสถาบันการเงิน ๒.๒.๖ การดำเนินงานด้านการกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน ได้ดำเนินการปรับปรุงแนวทางการตรวจสอบสถาบันการเงินแบบเน้นธุรกรรมที่สำคัญของสถาบันการเงิน โดยในครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้ตรวจสอบสถาบันการเงินแล้วเสร็จ ๑๗ แห่ง และอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบอีก ๖ แห่ง นอกจากนี้ยังได้กำหนดให้มีการตรวจสอบกระบวนการบริหารที่สำคัญ ซึ่งได้ดำเนินการตรวจสอบสถาบันการเงินในด้านนี้แล้ว ๑๔ แห่ง ๒.๒.๗ การทำหน้าที่เป็นนายธนาคารของสถาบันการเงินของ ธปท. ในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องประมาณ ๔.๘ เท่าของอัตราที่กฎหมายกำหนด ๒.๓ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายระบบการชำระเงิน ๒.๓.๑ การดำเนินนโยบายด้านระบบการชำระเงิน ธปท. ดำเนินงานในโครงการต่าง ๆ ตามแผนกลยุทธ์ระบบการชำระเงิน ๒๕๕๕-๒๕๕๙ อาทิ การสนับสนุนการพัฒนาระบบ Local Switching การชำระเงินด้วยบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกและใช้จ่ายในประเทศ การส่งเสริมการทำธุรกรรมชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ การกำหนดมาตรฐานกลางข้อความการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ และการพัฒนาระบบการชำระเงินเพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งการดำเนินงานตามแผนงานดังกล่าวมีความคืบหน้าตามที่กำหนด ๒.๓.๒ การพัฒนาระบบการหักบัญชีเช็คระหว่างธนาคารด้วยภาพเช็ค (Imaged Cheque Clearing and Archive System: ICAS) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบ ICAS ซึ่งเริ่มใช้งานในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ก่อนทยอยขยายการให้บริการไปทั่วประเทศภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒.๓.๓ การกำกับดูแลระบบการชำระเงินและผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ธปท. อยู่ระหว่างศึกษาและรวบรวมข้อมูลแนวทางการกำกับดูแลระบบการชำระเงินตามมาตรฐานสากลที่สำคัญ รวมถึงพิจารณาแนวทางในการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ภายใต้พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๕๑ นอกจากนี้ได้ให้ความร่วมมือกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในการให้ความเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงและแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับผู้ให้บริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
329 | ขออนุมัติการลงนามในแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ของการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย - เวียดนามอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat) ครั้งที่ 2 | กต | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดย
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ของการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย-เวียดนามอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat) ครั้งที่ ๒ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ แสดงความยินดีกับพัฒนาการความสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม ซึ่งมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องในทุกสาขา ๑.๒ นายกรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่ายยินดีกับผลการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วม และเห็นชอบสนับสนุนความร่วมมือใน ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านการเมืองและความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคมและวัฒนธรรม ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศของแต่ละประเทศเป็นผู้ประสานงานหลักในการยกระดับความสัมพันธ์ไปสู่หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ โดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๔ ทั้งสองประเทศจะร่วมมือกันสนับสนุนการสร้างประชาคมอาเซียนให้สำเร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ย้ำว่าจะทำงานร่วมกันกับประเทศอาเซียนอื่น ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการเป็นประชาคมอาเซียนภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และย้ำความตั้งใจที่จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับประเทศต่าง ๆ ที่แม่น้ำโขงไหลผ่านเพื่อรักษาการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ๑.๕ ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับพัฒนาการในทะเลจีนใต้ พร้อมทั้งเน้นย้ำความสำคัญของสันติภาพ เสถียรภาพ ความมั่นคงและความปลอดภัยทางทะเลในทะเลจีนใต้ และร่วมกันแก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธีบนพื้นฐานของการปฏิบัติตามกฎหมาย และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล ค.ศ. ๑๙๘๒ (UNCLOS) รวมถึงการนำปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้ (Declaration on the Conduct of Parties in the South China Sea-DOC) แถลงการณ์รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเรื่องหลักการพื้นฐาน ๖ ข้อของอาเซียนว่าด้วยทะเลจีนใต้ (ASEAN’s Six-Point Principles on the South China Sea) และการหารือเพื่อให้มีการรับรองแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (Code of Conduct in the South China Sea-COC) ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ๓. หากมีความจำเป็นที่ต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนาม ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
330 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินกับหน่วยข่าวกรองทางการเงินประเทศมาดากัสการ์ | ปง | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในฐานะบังคับบัญชาสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) จัดทำบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินเพื่อป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแห่งราชอาณาจักรไทยกับหน่วยข่าวกรองทางการเงิน (Financial Intelligence Unit : SAMIFIN) แห่งสาธารณรัฐมาดากัสการ์ โดยให้ใช้ร่างบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวกับการฟอกเงินตามที่คณะรัฐมนตรี (๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓) ได้ให้ความเห็นชอบเป็นต้นแบบในการเจรจา ๑.๒ ให้เลขาธิการ ปปง. เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ฝ่ายไทย ๒. ให้สำนักงาน ปปง. รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ โดยวิธีการแลกเปลี่ยนทางไปรษณีย์ สามารถทำได้ตามแนวปฏิบัติระหว่างประเทศหรือการจัดทำความตกลงระหว่างประเทศ ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
331 | ข้อสังเกตของที่ประชุมวุฒิสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจดหมายเหตุแห่งชาติ พ.ศ. .... | สว | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของที่ประชุมวุฒิสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจดหมายเหตุแห่งชาติ พ.ศ. .... และผลการพิจารณาของกระทรวงวัฒนธรรมตามข้อสังเกตดังกล่าว และให้แจ้งสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนของข้อสังเกตของที่ประชุมวุฒิสภาฯ มีดังนี้
๑. การทำให้เอกสารจดหมายเหตุเกิดความชัดเจน สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินความถูกต้องของเอกสารที่อ้างอิง ตลอดจนกระบวนการบันทึกเอกสารจดหมายเหตุมีความเป็นระบบและเกิดระเบียบในการดำเนินการนั้น ควรเพิ่มเติมรายละเอียดเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในการเก็บรักษาเอกสารราชการ นอกเหนือจากการบัญญัติให้หน่วยงานของรัฐต้องจัดทำรายการหรือตารางการเก็บรักษาเอกสารราชการ (ร่างมาตรา ๗ วรรคสอง) กล่าวคือ ควรกำหนดให้มีการระบุชื่อบุคคลผู้บันทึกข้อความในเอกสารจดหมายเหตุ และมีผู้รับรองความถูกต้องของข้อความ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นหลักเกณฑ์และวิธีการสำหรับการปฏิบัติงานต่อไป ๒. กรณีมีการโต้แย้งความถูกต้องของเอกสารจดหมายเหตุ ให้หอจดหมายเหตุแห่งชาติรับข้อโต้แย้งดังกล่าว เพื่อส่งให้คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
332 | ขออนุมัติการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และองค์การอาหารและเกษตร แห่งสหประชาชาติว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านการเกษตรและป่าไม้ | กษ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านการเกษตรและป่าไม้ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับ FAO ในการเข้าถึงและแลกเปลี่ยนข้อมูล แนวปฏิบัติที่ดี และความช่วยเหลือด้านวิชาการในสาขาการเกษตร ป่าไม้ และความมั่นคงทางอาหาร เพื่อประโยชน์แก่ประเทศสมาชิกอาเซียน ๒. อนุมัติในหลักการว่า ก่อนที่จะมีการลงนามหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขบันทึกความเข้าใจในประเด็นที่ไม่ใช่หลักการสำคัญ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๓. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
333 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในสาขาการบริหารจัดการภัยพิบัติระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี | กต | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในสาขาการบริหารจัดการภัยพิบัติระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี มีสาระสำคัญเป็นความร่วมมือทวิภาคีในหลักการว่าด้วยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และแนวปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติ รวมทั้งแสวงหาแนวทางความร่วมมือ และแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อป้องกันและเตรียมการรับมือต่อภัยพิบัติ โดยการติดต่อประสานงาน การประชุมหารือ และการอบรมเสริมสร้างศักยภาพต่าง ๆ ๑.๒ อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยในบันทึกความเข้าใจฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ เห็นชอบให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นหน่วยงานเจ้าของเรื่องในการปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของบันทึกความเข้าใจฯ ภายหลังจากที่มีการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ แล้ว ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับร่างบันทึกความเข้าใจฯ เห็นควรมีสาระสำคัญเกี่ยวข้องกับความร่วมมือทางวิชาการทั้งการบริหารจัดการและเทคโนโลยี ส่วนความร่วมมือในการลงทุน หรือโครงสร้างพื้นฐานควรมีกระบวนการพิจารณาใหม่อีกครั้งหนึ่งโดยการมีส่วนร่วมในการให้ข้อคิดเห็นของภาคประชาชน ไปพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
334 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อจ่ายเป็นเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวแก่ข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | มท | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติเห็นชอบในหลักการการปรับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือบุคลากรภาครัฐให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพตามสภาวะเศรษฐกิจที่ปรับสูงขึ้น และให้มีความเท่าเทียมกับบุคลากรภาครัฐอื่น ๆ โดยให้ยึดถือแนวปฏิบัติ ดังนี้ ๑.๑ กรณีเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวที่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล (ปริญญาตรี ๑๕,๐๐๐ บาท และค่าแรง ๓๐๐ บาท) ให้กระทรวงมหาดไทยและคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ตรวจสอบรายได้และค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรตามที่ได้จ่ายจริงของ อปท. แต่ละแห่ง หาก อปท. แห่งใดมีรายได้เพียงพอ ก็ให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของ อปท. นั้น ๆ สำหรับ อปท. ใดที่มีรายได้ไม่เพียงพอ ให้ กกถ. พิจารณาทบทวนเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปสำหรับดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และภารกิจถ่ายโอน ๑.๒ กรณี อปท. มีค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือน ค่าจ้าง และประโยชน์ตอบแทนอื่นเกินกว่าร้อยละ ๔๐ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ให้ กกถ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันทบทวนหลักเกณฑ์การจัดสรรภาษีและค่าธรรมเนียมรถยนต์ และเงินเพิ่มตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ภาษีรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก และค่าธรรมเนียมล้อเลื่อนตามกฎหมายว่าด้วยล้อเลื่อน ที่จัดสรรให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ร้อยละ ๑๐๐ โดยลดสัดส่วนการจัดสรรรายได้ให้แก่ อบจ. ลง เพื่อนำมาจัดสรรเพิ่มให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาล ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือน ค่าจ้าง และผลประโยชน์ตอบแทนอื่นให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ๑.๓ ให้ อปท. ดำเนินการตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๙๐ กรณีที่งบประมาณรายจ่ายประกาศใช้บังคับแล้ว หรือ อปท. มีงบประมาณไม่เพียงพอที่จะจ่ายในกรณี รับโอน เลื่อนระดับ เลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานส่วนท้องถิ่น การเบิกเงินให้พนักงานส่วนท้องถิ่นตามสิทธิ ตลอดจนลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินอื่นตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง หรือหนังสือสั่งการกระทรวงมหาดไทยในระหว่างปีงบประมาณ หรือไม่ได้ตั้งงบประมาณเพื่อการนั้นไว้ ให้ อปท. จ่ายขาดเงินสะสมได้ โดยได้รับอนุมัติจากผู้บริหารท้องถิ่นและให้ถือเป็นรายจ่ายในปีนั้น ๒. ให้ กกถ. เร่งรัดการดำเนินการทบทวนเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปสำหรับดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และภารกิจถ่ายโอนของ อปท. ที่มีรายได้ไม่เพียงพอ ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ตามข้อ ๑.๑ ต่อไป ๓. ในระยะยาวให้ กกถ. พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนให้ อปท. โดยให้คำนึงถึงจำนวนประชากรและรายได้ของ อปท. แต่ละแห่งเพื่อให้ อปท. ที่มีรายได้น้อยมีงบประมาณเพียงพอสำหรับจัดทำบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานของประชาชน เช่น การให้บริการด้านสาธารณสุข การดูแลเด็กและผู้สูงวัย เป็นต้น และให้เสนอหลักเกณฑ์ดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
335 | สรุปผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปค ครั้งที่ 7 | กก | 28/08/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปค ครั้งที่ ๗ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ เมืองคาบารอฟสค์ สหพันธรัฐรัสเซีย โดยการประชุมจัดขึ้นภายใต้หัวข้อหลักเอเปค ๒๐๑๒ “บูรณาการเพื่อการเติบโต นวัตกรรมเพื่อความรุ่งเรือง” (Integrate to Grow, Innovate to Prosper) มีวัตถุประสงค์ให้ประเทศสมาชิกส่งเสริมการค้าและการลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคได้ร่วมรับรองปฏิญญาคาบารอฟสค์ ซึ่งมีสาระสำคัญ ได้แก่ ๑.๑ การยกระดับความสำคัญของการท่องเที่ยว ๑.๑.๑ รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคสนับสนุนให้ผู้นำเล็งเห็นและระบุความสำคัญของการท่องเที่ยวในฐานะกลไกการสร้างเศรษฐกิจไร้พรมแดนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในปฏิญญาวลาดิวอสต็อกในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจเอเปคในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ณ เมืองวลาดิวอสต็อก สหพันธรัฐรัสเซีย ๑.๑.๒ รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคสนับสนุนให้ทุกเขตเศรษฐกิจเอเปคอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวในฐานะกลไกการสร้างงานและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยให้คณะทำงานด้านการท่องเที่ยวเอเปคส่งเสริมการอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพและกระบวนการตรวจลงตราเพื่อเพิ่มปริมาณการเดินทางและการท่องเที่ยว ตลอดจนเตรียมการศึกษาผลกระทบของการอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตราต่อการสร้างงานในภูมิภาคเอเปค ทั้งนี้ ได้แสดงความยินดีในโอกาสที่เม็กซิโกสามารถผลักดันให้ระบุความสำคัญของการท่องเที่ยวในปฏิญญา G20 ในระหว่างการประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ๒๐ แห่ง (The Group of Twenty Finance Ministers and Central Bank Governors-G20) ระหว่างวันที่ ๑๘-๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ เมืองลอสคาบอส ประเทศเม็กซิโก ๑.๑.๓ รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคแสดงความยินดีในโอกาสที่สาธารณรัฐเกาหลีสามารถผลักดันให้ระบุความสำคัญของ “การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” (Sustainable Tourism) ในเอกสารผลลัพธ์ (Outcome Document) ชื่อว่า “The Future We Want” ในระหว่างการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืน (RIO+20) เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ ณ เมืองริโอ เดอ จาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ๑.๒ การดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวเอเปค พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘ (APEC Tourism Strategic Plan : ATSP 2012 -2015) รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคสนับสนุนการดำเนินงานของคณะทำงานด้านการท่องเที่ยวเอเปคตามแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวเพื่อใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานในอนาคต โดยผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices) ตามเป้าหมาย ได้แก่ การท่องเที่ยวในฐานะกลไกสำคัญในการเติบโตและความมั่งคั่งในภูมิภาคเอเปค การเติบโตอย่างเท่าเทียมของอุตสาหกรรมการเดินทางและการท่องเที่ยว ความยั่งยืนของธุรกิจท่องเที่ยวและแหล่งท่องเที่ยว และการรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเปค ๑.๓ ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคได้ร่วมรับรอง “คู่มือการป้องกันความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว” (APEC Guidelines on Ensuring Tourist Safety) เพื่อให้ทุกเขตเศรษฐกิจเอเปคสามารถนำไปปรับใช้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เอเปคเป็นจุดหมายปลายทางที่ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว ๑.๔ ข้อริเริ่มด้านการอำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง (Travel Facilitaiton Initiative : TFI) รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคสนับสนุนข้อริเริ่มดังกล่าว ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อลดอุปสรรคด้านการเดินทางภายในภูมิภาคเอเปค และให้คณะทำงานด้านการท่องเที่ยวเอเปคสนับสนุนการดำเนินงานตามข้อริเริ่มดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนงาน Airport Partnership Program (APP) และเห็นชอบให้ขยายการมีส่วนร่วมของคณะทำงานด้านการท่องเที่ยวเอเปคไปยังแผนงานต่าง ๆ ของ TFI เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวภายในภูมิภาคเอเปค ตลอดจนประสานงานกับคณะทำงานสาขาอื่น ๆ อย่างใกล้ชิด ๑.๕ ความเชื่อมโยงการคมนาคมทางอากาศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Air Transport Connectivity) รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคเน้นย้ำความสำคัญของความเชื่อมโยงการคมนาคมทางอากาศ รวมทั้งผลกระทบของการเปิดเสรีด้านการบริการทางอากาศต่อการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเปค โดยให้คณะทำงานด้านการท่องเที่ยวเอเปคประสานงานอย่างใกล้ชิดกับคณะทำงานด้านการขนส่งของเอเปคและสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้หารือระดับทวิภาคีกับประธานการบริหารการท่องเที่ยวแห่งชาติจีนเกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ณ นครกวางโจว เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวจีนได้มากขึ้น ฝ่ายจีนรับจะมอบหมายผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป และหารือกับรัฐมนตรีท่องเที่ยวสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) เกี่ยวกับการยกเว้นการตรวจลงตราระหว่างกัน ฝ่ายไต้หวันรับจะไปหารือกับกระทรวงการต่างประเทศต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
336 | ขยายเวลาการส่งมอบรถยนต์และยื่นเอกสารสำหรับโครงการรถยนต์ใหม่คันแรก | กค | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการขยายเวลาการรับและส่งมอบรถยนต์รวมถึงเอกสารหลักฐานของราชการออกไปสำหรับโครงการรถยนต์ใหม่คันแรก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้ ๑.๑ ผู้ขอใช้สิทธิในโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกต้องทำการซื้อหรือจองรถยนต์ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ และต้องยื่นคำขอใช้สิทธิฯ และเอกสารประกอบการใช้สิทธิฯ ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ได้แก่ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ (ถ้ามี) สำเนาบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้ขอใช้สิทธิฯ และใบจองรถยนต์ (ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕) ๑.๒ เนื่องจากในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ผู้ขอใช้สิทธิในโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกอาจจะยังไม่ได้รับมอบรถยนต์หรือจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกไม่ทันตามกำหนดเวลา ส่งผลให้ไม่สามารถยื่นเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ได้ภายในวันสิ้นสุดโครงการฯ (วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕) จึงผ่อนผันให้ผู้ขอใช้สิทธิฯ นำเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมมายื่น ณ สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สาขา ภายในระยะเวลา ๙๐ วันนับจากวันถัดจากวันรับมอบรถยนต์ ได้แก่ หนังสือสัญญายินยอมสละสิทธิ์การโอนรถยนต์ใหม่คันแรก สำเนาหลักฐานการซื้อขายรถยนต์ กรณีการซื้อด้วยเงินสด (สำเนาใบเสร็จรับเงินหรือสำเนาสัญญาซื้อขาย และสำเนาเอกสารการรับมอบรถยนต์) กรณีเช่าซื้อ (สำเนาใบเสร็จรับเงิน สำเนาเอกสารการรับมอบรถยนต์ และสำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ) และสำเนาคู่มือจดทะเบียน ๑.๓ หากผู้ขอใช้สิทธิในโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกไม่ดำเนินการตามข้อ ๑.๑ และไม่นำเอาเอกสารเพิ่มเติมในข้อ ๑.๒ มายื่น ณ สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สาขาภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ถือว่าผู้ขอใช้สิทธิฯ ไม่ประสงค์จะขอรับเงินคืนตามโครงการฯ และจะเรียกร้องสิทธิฯ และค่าเสียหายใด ๆ กับทางราชการไม่ได้ ทั้งนี้ ให้กรมสรรพสามิตสามารถกำหนดแนวปฏิบัติเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีต่อไปได้ ๑.๔ ผู้ขอใช้สิทธิในโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกจะได้รับเงินคืนหลังจากครอบครองรถยนต์ใหม่คันแรกไปแล้ว ๑ ปี หากเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กรมสรรพสามิตกำหนด ทั้งนี้ ชื่อผู้ซื้อที่ระบุในใบจองรถยนต์ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ จะต้องเป็นชื่อบุคคลเดียวกันกับผู้ซื้อรถยนต์ที่ยื่นขอใช้สิทธิฯ ดังกล่าวเท่านั้น หากเป็นบุคคลอื่นจะไม่ได้รับสิทธิฯ เพื่อเป็นการป้องกันมิให้มีการซื้อและขายใบจองรถยนต์ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับขยายเวลาการส่งมอบรถยนต์และยื่นเอกสารสำหรับโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกจะมีประชาชนมาดำเนินการยื่นเอกสารเป็นจำนวนมาก จึงเห็นควรให้กระทรวงการคลังประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการประชาสัมพันธ์ขั้นตอนในการยื่นเอกสาร เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องถึงกระบวนการต่าง ๆ รวมทั้งบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ขั้นตอนในการดำเนินงานเกิดความรวดเร็ว และสามารถรองรับความต้องการของประชาชนได้ดียิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งให้กำกับ ติดตาม ตรวจสอบการดำเนินการให้ผู้ซื้อที่ระบุในใบจองรถยนต์ตามโครงการฯ และผู้ซื้อรถยนต์ที่ยื่นขอใช้สิทธิต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ อย่างเคร่งครัดต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
337 | แนวทางการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชน | นร | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชน ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผู้อำนวยการ กรณีเลิกจ้าง ให้จ่ายค่าชดเชยโดยระบุในสัญญาจ้างหรือระเบียบข้อบังคับ ๑.๒ ผู้อำนวยการ กรณีสิ้นสุดสัญญาจ้าง ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยโดยระบุในสัญญาจ้าง ๑.๓ เจ้าหน้าที่หรือลูกจ้าง กรณีเลิกจ้าง ให้จ่ายค่าชดเชยโดยระบุในสัญญาจ้างหรือระเบียบข้อบังคับ ๑.๔ ลูกจ้างโครงการ กรณีเลิกจ้าง ไม่มีการจ่ายค่าชดเชย ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นด้วยกับหลักการของการกำหนดแนวทางการจ่ายค่าชดเชยตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ซึ่งเป็นการวางหลักเกณฑ์ในการจ่ายค่าชดเชยแก่ผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชนให้สอดคล้องกัน อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินจำนวนนี้เป็นเรื่องสิทธิประโยชน์อย่างอื่นจึงไม่ควรใช้คำว่าเงินค่าชดเชย ซึ่งอาจจะเกิดความสับสนว่าเป็นการจ่ายเงินตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และอาจเป็นเหตุให้มีการฟ้องเรียกร้องในภายหลังขึ้นได้ ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มเติมเงื่อนไขการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชนกรณีที่ไม่ได้กระทำความผิด การกำหนดระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการจ่ายค่าชดเชยเพื่อรองรับการจ่ายค่าชดเชยตามสัญญาจ้างขององค์การมหาชนต้องเป็นไปตามมาตรา ๓๘ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ต้องไม่ต่ำกว่าที่กำหนดในกฎหมายแรงงานซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการจ้างงาน การทบทวนการกำหนดค่าตอบแทนของผู้อำนวยการองค์การมหาชนให้เหมาะสมเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์เท่าเทียมกับเจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชน รวมถึงการทบทวนโครงสร้างค่าตอบแทนของผู้อำนวยการองค์การมหาชนเพื่อเป็นสิ่งจูงใจในการสรรหาบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การมหาชน การเพิ่มแนวปฏิบัติในกรณีเลิกจ้างผู้อำนวยการ ในส่วนของนิยาม “การเลิกจ้างผู้อำนวยการ” หมายความว่า การกระทำใดที่องค์การมหาชนไม่ใช้ผู้อำนวยการทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ ด้วยเหตุที่องค์การมหาชนถูกยุบเลิกและไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ หรือเหตุอื่นที่มิได้เป็นความผิดของผู้อำนวยการหรือเหตุอื่นที่กำหนดในสัญญาจ้าง และเพิ่มเป็นข้อ ๔ ว่า ภายหลังคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว แต่องค์การมหาชนยังไม่ได้แก้ไขสัญญาจ้างผู้อำนวยการ หากมีการเลิกจ้างผู้อำนวยการให้อนุโลมชดเชยในอัตราเทียบเคียงตามที่กำหนดในกฎหมายแรงงาน หรือตามอัตราที่คณะกรรมการองค์การมหาชนให้ความเห็นชอบ รวมทั้งการกำหนดแนวทางการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชนโดยรวมที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับองค์การมหาชนทุกแห่ง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและลดการพิพาทกรณีการเลิกจ้างงาน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
338 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 22 (22 nd ASEAN Labour Ministers Meeting : 22 nd ALMM) และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | รง | 10/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ ๒๒ (22nd ASEAN Labour Ministers Meeting : 22nd ALMM) และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ระหว่างวันที่ ๙ - ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ ๒๒ รัฐมนตรีแรงงานอาเซียนได้รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนงานและกรอบการดำเนินงานต่าง ๆ ได้แก่ ๑.๑ สถานการณ์ดำเนินการพิมพ์เขียวประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน [ASEAN Socio - Cultural Community (ASCC) Blueprint] ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้านแรงงาน โดยมอบหมายให้ที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส (Senior Labour Officer Meeting : SLOM) และองค์กรย่อยดำเนินการตาม ASCC Blueprint โดยจัดลำดับความสำคัญของโครงการและกิจกรรมที่จะดำเนินการตามแผนงานรัฐมนตรีแรงงาน ปี ๒๕๕๓ - ๒๕๕๘ ให้ทันห้วงเวลาที่กำหนด และเห็นชอบในหลักการเกี่ยวกับตัวชี้วัดผลการดำเนินการตาม ASCC Blueprint ๑.๒ แผนงานรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนปี ๒๕๕๓ - ๒๕๕๘ ซึ่งรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนได้รับทราบถึงพันธกิจในการดำเนินการตาม ASEAN Statement on Human Resources and Skills Development for Economic Recovery and Sustainable Growth พันธกิจในการปฏิบัติตามปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของแรงงานต่างด้าว การดำเนินการของเครือข่ายความปลอดภัยและอาชีวอนามัยอาเซียน (ASEAN Occupational Safety and Health Network : ASEAN - OSHNET) การดำเนินงานของคณะทำงาน SLOM Working Group on Progressive Labour Practices to Enhance the Competitiveness of ASEAN (SLOM - WG) รวมทั้งได้รับรองแผนการดำเนินงานของคณะทำงานด้านการคุ้มครองและควบคุมเอชไอวีในสถานประกอบการ [Working Group on HIV Prevention and Control in the Workplace (SLOM - WG - HIV) Work Plan] ประจำปี ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘ ๒. การประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนบวกสามครั้งที่ ๗ ที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่ดี ประสบการณ์ บทเรียน และความท้าทายในการคุ้มครองทางสังคม และรับทราบผลการดำเนินความร่วมมือระหว่างอาเซียนและประเทศบวกสาม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
339 | ขอความเห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองหรือลงนามระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 45 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | กต | 03/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองหรือลงนามระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๔๕ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ทั้งนี้ ร่างเอกสารที่จะมีการรับรองหรือลงนาม ประกอบด้วย ๑.๑.๑ เอกสารที่จะลงนามโดยรัฐมนตรีต่างประเทศ จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีนและรัฐบาลของรัฐภาคีของสนธิสัญญาว่าด้วยเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่างสารขยายจำนวนภาคีในสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยสหภาพยุโรป และร่างสารขยายจำนวนภาคีในสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยสหราชอาณาจักร ๑.๑.๒ เอกสารที่จะรับรองโดยรัฐมนตรีต่างประเทศ จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ ข้อเสนออาเซียน เรื่อง องค์ประกอบของแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ระหว่างรัฐสมาชิกอาเซียนกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของสถาบันอาเซียนเพื่อสันติและความสมานฉันท์ และเอกสารอาเซียนว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนด้านความเชื่อมโยงอาเซียน+๓ ๑.๑.๓ เอกสารที่จะลงนามโดยเลขาธิการอาเซียน จำนวน ๑ ฉบับ ได้แก่ บันทึกความเข้าใจร่วมระหว่างคณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) กระทรวงการต่างประเทศสหภาพยุโรป (อีอีเอเอส) และสำนักเลขาธิการอาเซียนว่าด้วยโครงการแลกเปลี่ยนเจ้าหน้าที่และกิจกรรมอื่น ๆ ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมลงนามเอกสารในข้อ ๑.๑.๑ ๑.๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารในข้อ ๑.๑.๒ ๑.๔ อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนลงนามเอกสารในข้อ ๑.๑.๓ และให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งเรื่องการเห็นชอบให้เลขาธิการอาเซียนลงนามในเอกสารดังกล่าวผ่านทางคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีที่สถาบันอาเซียนเพื่อสันติภาพและความสมานฉันท์ได้มีการพิจารณารูปแบบการสนับสนุนงบประมาณสำหรับการดำเนินงานของสถาบันเป็นข้อยุติแล้ว และมีผลให้รัฐบาลไทยต้องรับภาระค่าใช้จ่าย ขอให้กระทรวงการต่างประเทศนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
340 | ขอความเห็นชอบ ข้อกำหนดว่าด้วยระบบการจำแนกและการสื่อสารความเป็นอันตรายของวัตถุอันตราย | อก | 26/06/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อกำหนดว่าด้วยระบบการจำแนกและการสื่อสารความเป็นอันตรายของวัตถุอันตรายแนบท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ระบบการจำแนกและการสื่อสารความเป็นอันตรายของวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการกำกับ ดูแล สารเคมีและวัตถุอันตรายนำข้อกำหนดว่าด้วยระบบการจำแนกและการสื่อสารความเป็นอันตรายของวัตถุอันตรายไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในการควบคุม กำกับ ดูแล สารเคมี และวัตถุอันตรายให้เกิดความปลอดภัยต่อไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยข้อกำหนดว่าด้วยระบบการจำแนกและการสื่อสารความเป็นอันตรายของวัตถุอันตราย มีดังนี้ ๑.๑ เกณฑ์การจำแนกความเป็นอันตรายสำหรับวัตถุอันตรายที่เป็นสารเดี่ยว (substance) หรือสารผสม (mixture) โดยแบ่งเกณฑ์การจำแนกความเป็นอันตรายของวัตถุอันตรายเป็น ๓ ประเภท ได้แก่ เกณฑ์การจำแนกความเป็นอันตรายทางกายภาพและองค์ประกอบการสื่อสารความเป็นอันตรายในฉลาก เกณฑ์การจำแนกความเป็นอันตรายต่อสุขภาพและองค์ประกอบการสื่อสารความเป็นอันตรายในฉลากวัตถุอันตราย และเกณฑ์การจำแนกความเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและองค์ประกอบการสื่อสารความเป็นอันตรายในฉลากวัตถุอันตราย ซึ่งเกณฑ์การจำแนกความเป็นอันตรายดังกล่าวเป็นไปตาม Annex 2 Classification and Labelling summary tables ของคู่มือสำหรับระบบ GHS (Globally Harmonized System of Classification and Labelling of Chemicals) หรือระบบการจำแนกความเป็นอันตรายและการติดฉลากสารเคมีที่เป็นระบบเดียวกันทั่วโลก หรือ Purple Book ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ ๓ ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ (ค.ศ. ๒๐๐๙) ๑.๒ องค์ประกอบการสื่อสารความเป็นอันตรายบางส่วน ซึ่งองค์ประกอบของฉลากจะต้องประกอบด้วยอย่างน้อย ๓ องค์ประกอบ ได้แก่ รูปสัญลักษณ์ (pictogram) คำสัญญาณ (signal word) และข้อความแสดงความเป็นอันตราย (hazard statement) ซึ่งการแสดงองค์ประกอบของการสื่อสารความเป็นอันตรายจะต้องสอดคล้องกับการจำแนกความเป็นอันตรายของวัตถุอันตราย ๑.๓ ข้อสนเทศที่ต้องระบุในเอกสารข้อมูลความปลอดภัย มีทั้งหมด ๑๖ หัวข้อ ซึ่งข้อมูลขั้นต่ำของเอกสารข้อมูลความปลอดภัยดังกล่าวเป็นไปตาม Chapter 1.5 Hazard Communication : Safety Data Sheet (SDS) ของคู่มือสำหรับระบบ GHS หรือ Purple Book ฉบับปรับปรุงครั้งที่ ๓ ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ (ค.ศ. ๒๐๐๙) ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจำแนกและสื่อสารความเป็นอันตรายของสารเคมีให้ครอบคลุมความปลอดภัยในการขนส่ง ความปลอดภัยในสถานประกอบการ และการคุ้มครองผู้บริโภค และการปกป้องสิ่งแวดล้อม การเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้สามารถให้ข้อมูลทางวิชาการที่สอดคล้องกับเอกสารข้อกำหนดว่าด้วยระบบการจำแนกและการสื่อสารความเป็นอันตรายของวัตถุอันตราย การให้หน่วยงานที่กำกับดูแล วัตถุอันตรายในภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ภาคการเกษตร ภาคผู้บริโภค และภาคการขนส่งนำข้อกำหนดว่าด้วยระบบการจำแนกและการสื่อสารความเป็นอันตรายของวัตถุอันตรายไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในการควบคุม กำกับ ดูแล สารเคมีและวัตถุอันตราย การส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในเวทีประชาคมโลกในการให้ความร่วมมือระหว่างประเทศภายใต้แผนปฏิบัติการ ๒๑ (Agenda 21) ในส่วนของแผนปฏิบัติการบทที่ ๑๙ (Chapter 19) ซึ่งกล่าวถึงแผนการจัดการสารเคมีที่เป็นพิษอย่างเหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมตามแผนงานใน Program Area B การพัฒนาฐานข้อมูลสารเคมีและเชื่อมโยงกับระบบข้อมูลสารเคมีของแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นระบบฐานข้อมูลกลางเพื่อการจัดการสารเคมีได้อย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ รวมทั้งการพิจารณาช่องว่างทางกฎหมายที่ยังมีอยู่เพื่อพัฒนาให้มีการออกกฎระเบียบ มาตรฐาน และแนวปฏิบัติให้สอดคล้องอย่างเหมาะสมเพื่อประโยชน์ในการควบคุมและกำกับดูแลสารเคมีทั้งด้านการนำเข้า ส่งออก การผลิต การขนส่ง การดำเนินการกับสารเคมีที่มีอยู่ จนถึงการบำบัด กำจัดและทำลาย โดยให้ครอบคลุมทั้งสารเคมีในภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม การขนส่ง ผู้บริโภค และสาธารณสุข เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
.....