ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 14 จากทั้งหมด 25 หน้า แสดงรายการที่ 261 - 280 จากข้อมูลทั้งหมด 486 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
261 | ผลการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยพิเศษว่าด้วยปัญหายาเสพติดโลก ค.ศ. 2016 (United Nations General Assembly Special Session 2016 - UNGASS 2016) และการเสนอวิดีทัศน์สรุปผลการประชุมฯ ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี | ยธ | 10/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานผลการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยพิเศษว่าด้วยปัญหายาเสพติดโลกหรือ UNGASS 2016 ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๑ เมษายน ๒๕๕๙ ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทน สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมใหญ่ของหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศระดับสูงที่กำกับดูแลงานด้านยาเสพติด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุม โดยยืนยันว่าไทยไม่เห็นด้วยกับการทำยาเสพติดให้ถูกกฎหมาย และการลดทอนความเป็นอาชญากรรมโดยเฉพาะผู้กระทำผิดรายสำคัญ พร้อมทั้งสนับสนุนการนำแนวปฏิบัติสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาทางเลือกไปใช้โดยบูรณาการเข้าสู่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ได้เรียกร้องให้ประชาคมโลกช่วยกันสกัดกั้นสารตั้งต้นเข้าสู่แหล่งผลิตโดยดำเนินการตาม “แผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย” และแสดงความพร้อมของไทยที่จะทำงานร่วมกับนานาประเทศบนพื้นฐานของการแบ่งปันความรับผิดชอบและความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกันและเชิญประเทศที่มีศักยภาพสนับสนุนการแก้ไขปัญหายาเสพติด ๑.๒ การประชุมโต๊ะกลม ประกอบด้วยหัวข้อหลัก คือ ยาเสพติดและสุขภาพ ยาเสพติดและอาชญากรรม ยาเสพติดและสิทธิมนุษยชน ยาเสพติดและความท้าทายใหม่ ๆ และการพัฒนาทางเลือก โดยแนวโน้มการแก้ไขปัญหายาเสพติดจะยึดมุมมองทางสาธารณสุขมากขึ้นควบคู่ไปกับการป้องกันและปราบปราม สอดคล้องกับทิศทางการแก้ไขกฎหมายในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนอย่างครอบคลุมทั้งสตรี เด็ก และเยาวชน เน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การติดตามและเฝ้าระวังวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทชนิดใหม่ ๆ ทั้งนี้ ประเทศและองค์การระหว่างประเทศใหญ่ ๆ ได้ยกย่องให้ไทยเป็นผู้นำในเรื่องการพัฒนาทางเลือกและนำตัวแบบไปใช้ในการทำงาน ๑.๓ การประชุมทวิภาคีและพหุภาคีกับประเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับความร่วมมือด้านยาเสพติดได้มีการหารือกับ UNODC ร่วมกับกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง อินเดีย เวียดนาม จีน ลาว เมียนมา และออสเตรเลีย โดยได้ผลักดันความร่วมมือในการควบคุมเคมีภัณฑ์กับอินเดีย แลกเปลี่ยนมุมมองในการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดกับออสเตรเลีย ส่งเสริมความร่วมมือด้านยาเสพติดและความร่วมมือตามแนวพรมแดนและการเหย้าเยือนระดับสูงระหว่างลาว เมียนมา และเวียดนาม และได้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน ๑.๔ การจัดกิจกรรมคู่ขนาน ๔ กิจกรรม ได้แก่ (๑) ร่วมกล่าวถ้อยแถลงกับประเทศภาคีสมาชิกกรอบความร่วมมือ ๗ ฝ่ายว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงร่วมกับจีน เมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม และสำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (The United Nations Office on Drugs and Crime : UNODC) เพื่อประชาสัมพันธ์ความสำเร็จความร่วมมือในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (๒) ร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดและนโยบายการแก้ไขปัญหาสารเสพติดชนิดกระตุ้นประสาทกับนักวิชาการต่างประเทศ (๓) ผลักดันความเชื่อมโยงงานพัฒนาทางเลือกกับวาระของโลกเรื่องเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน และ (๔) ผลักดันแนวทางการพัฒนาทางเลือกให้เป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของการแก้ไขปัญหายาเสพติดในระยะยาว ๒. มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการประสานความร่วมมือกับประเทศในกลุ่มอาเซียนในการจัดทำ Road Map เพื่อกำหนดแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในระดับภูมิภาคต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
262 | แผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ 1 ปี (พฤศจิกายน 2558 - ตุลาคม 2559) และแผนการเสนอกฎหมายของหน่วยงานตามกรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินและการปฏิรูปประเทศของคณะรัฐมนตรี | นร | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนการเสนอกฎหมายของหน่วยงานตามกรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดิน และการปฏิรูปประเทศของคณะรัฐมนตรี (ตุลาคม ๒๕๕๘-กรกฎาคม ๒๕๖๐) และเห็นชอบแผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ ๑ ปี (พฤศจิกายน ๒๕๕๘-ตุลาคม ๒๕๕๙) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะรองประธานกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๓ (คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านระบบราชการ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และสร้างความปรองดองสมานฉันท์) เสนอ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องปฏิบัติให้เป็นไปตามแผนดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ ให้ส่งแผนดังกล่าวให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบเพื่อเป็นข้อมูลด้วย ๒. เห็นชอบนโยบายการปฏิรูปกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับฝ่ายบริหาร ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ และให้ส่วนราชการถือปฏิบัติต่อไป ทั้งนี้ ในการเสนอร่างกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรีต้องมีการตรวจสอบ “ความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติ” (Checklist) รวม ๑๐ ประการ อย่างเคร่งครัดด้วย รวมทั้งต้องเสนอแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลา และบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรายละเอียดของเนื้อหาให้ได้ความชัดเจนและให้ได้ข้อยุติในหลักการก่อนนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี และกรณีที่ต้องมีการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลจะต้องเป็นกรณีที่มีความจำเป็นและเพื่อประโยชน์ของประชาชนและของประเทศเป็นสำคัญเท่านั้น ตลอดจนต้องพิจารณาความเร่งด่วนตาม Function (ภารกิจพื้นฐาน) Agenda (ภารกิจยุทธศาสตร์ นโยบายเร่งด่วน แนวทางปฏิรูปภาครัฐ งบประมาณบูรณาการ) ที่มีผลต่อการปฏิรูปประเทศ และมีความทันสมัยและเป็นสากล รวมทั้งพิจารณาความจำเป็นในการคงอยู่ของคณะกรรมการต่าง ๆ เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายปฏิรูปที่สำคัญมีความต่อเนื่อง และการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย ทั้งนี้ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำแนวปฏิบัติในเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ส่วนราชการถือปฏิบัติตามนโยบายการปฏิรูปกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับฝ่ายบริหารอย่างเคร่งครัดต่อไป กรณีร่างกฎหมายที่อยู่ระหว่างสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรี ที่ไม่ได้เป็นไปตามแนวปฏิบัตินี้ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งเรื่องให้ส่วนราชการไปพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติในเรื่องนี้ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้ส่วนราชการเร่งรัดดำเนินการตรากฎหมายลำดับรองทั้งในส่วนที่ต้องออกตามพระราชบัญญัติที่มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว และเร่งรัดดำเนินการเพื่อให้กฎหมายลำดับรองที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาหรือคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเสร็จแล้วและอยู่ระหว่างส่วนราชการพิจารณายืนยันให้ความเห็นชอบ มีผลใช้บังคับโดยเร็ว ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งดำเนินการตรวจพิจารณาร่างกฎหมาย รวม ๓ ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ (การใช้ประโยชน์ที่ดินที่เหลือจากการใช้ตามวัตถุประสงค์ของการเวนคืน เช่น พื้นที่สองข้างรถไฟฟ้า) และร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์พื้นที่แนวเขตทางด่วน เพื่อเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติโดยด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
263 | นโยบายการปฏิรูปกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับฝ่ายบริหาร | นร | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนการเสนอกฎหมายของหน่วยงานตามกรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดิน และการปฏิรูปประเทศของคณะรัฐมนตรี (ตุลาคม ๒๕๕๘-กรกฎาคม ๒๕๖๐) และเห็นชอบแผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ ๑ ปี (พฤศจิกายน ๒๕๕๘-ตุลาคม ๒๕๕๙) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะรองประธานกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๓ (คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านระบบราชการ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และสร้างความปรองดองสมานฉันท์) เสนอ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องปฏิบัติให้เป็นไปตามแผนดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ ให้ส่งแผนดังกล่าวให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบเพื่อเป็นข้อมูลด้วย ๒. เห็นชอบนโยบายการปฏิรูปกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับฝ่ายบริหาร ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ และให้ส่วนราชการถือปฏิบัติต่อไป ทั้งนี้ ในการเสนอร่างกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรีต้องมีการตรวจสอบ “ความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติ” (Checklist) รวม ๑๐ ประการ อย่างเคร่งครัดด้วย รวมทั้งต้องเสนอแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลา และบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรายละเอียดของเนื้อหาให้ได้ความชัดเจนและให้ได้ข้อยุติในหลักการก่อนนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี และกรณีที่ต้องมีการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลจะต้องเป็นกรณีที่มีความจำเป็นและเพื่อประโยชน์ของประชาชนและของประเทศเป็นสำคัญเท่านั้น ตลอดจนต้องพิจารณาความเร่งด่วนตาม Function (ภารกิจพื้นฐาน) Agenda (ภารกิจยุทธศาสตร์ นโยบายเร่งด่วน แนวทางปฏิรูปภาครัฐ งบประมาณบูรณาการ) ที่มีผลต่อการปฏิรูปประเทศ และมีความทันสมัยและเป็นสากล รวมทั้งพิจารณาความจำเป็นในการคงอยู่ของคณะกรรมการต่าง ๆ เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายปฏิรูปที่สำคัญมีความต่อเนื่อง และการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย ทั้งนี้ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำแนวปฏิบัติในเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ส่วนราชการถือปฏิบัติตามนโยบายการปฏิรูปกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับฝ่ายบริหารอย่างเคร่งครัดต่อไป กรณีร่างกฎหมายที่อยู่ระหว่างสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรี ที่ไม่ได้เป็นไปตามแนวปฏิบัตินี้ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งเรื่องให้ส่วนราชการไปพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติในเรื่องนี้ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้ส่วนราชการเร่งรัดดำเนินการตรากฎหมายลำดับรองทั้งในส่วนที่ต้องออกตามพระราชบัญญัติที่มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว และเร่งรัดดำเนินการเพื่อให้กฎหมายลำดับรองที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาหรือคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเสร็จแล้วและอยู่ระหว่างส่วนราชการพิจารณายืนยันให้ความเห็นชอบ มีผลใช้บังคับโดยเร็ว ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งดำเนินการตรวจพิจารณาร่างกฎหมาย รวม ๓ ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ (การใช้ประโยชน์ที่ดินที่เหลือจากการใช้ตามวัตถุประสงค์ของการเวนคืน เช่น พื้นที่สองข้างรถไฟฟ้า) และร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์พื้นที่แนวเขตทางด่วน เพื่อเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติโดยด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
264 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) ครั้งที่ 22 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 15/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) ครั้งที่ ๒๒ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒-๓ มีนาคม ๒๕๕๙ ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ประเด็นที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในฐานะประธานอาเซียนปี ๒๕๕๙ ให้ความสำคัญ เช่น การจัดทำกรอบด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าของอาเซียน กรอบระเบียบข้อบังคับความปลอดภัยด้านอาหารของอาเซียน การสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้ออำนวยต่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) การจัดทำแนวทางการพัฒนาความร่วมมือสำหรับเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีในการพัฒนาและดำเนินการเขตเศรษฐกิจพิเศษ และแผนแม่บทสำหรับการพัฒนากลุ่มประเทศกัมพูชา-ลาว-เมียนมา-เวียดนาม (CLMV) ๒. การดำเนินการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่สมบูรณ์ในปี ๒๕๖๘ ประกอบด้วยมาตรการที่ต้องดำเนินการต่อเนื่องตามแผนงาน AEC Blueprint 2015 เช่น มาตรการด้านการขนส่งและศุลกากร ระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน การจัดทำระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน คลังข้อมูลการค้าอาเซียน การจัดทำความตกลงยอมรับร่วมกันในสินค้ากลุ่มต่าง ๆ และการดำเนินการตามแผนงาน AEC Blueprint 2025 เช่น สาขาวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย การแข่งขันทางการค้า ทรัพย์สินทางปัญญา การค้าบริการ ๓. ความสัมพันธ์กับคู่เจรจา ที่ประชุมเน้นย้ำเจตนารมณ์ที่จะต้องสรุปการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ให้ได้ภายในปีนี้ โดยเฉพาะประเด็นหลัก ได้แก่ การเปิดเสรีการค้าสินค้า บริการ และการลงทุนที่ไม่ต่ำกว่าความตกลง ASEAN+1 และได้มีการหารือระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและกรรมาธิการการค้าสหภาพยุโรปเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการรื้อฟื้นเขตการค้าเสรี (Free Trade Area : FTA) ระหว่างอาเซียนและสหภาพยุโรป รวมทั้งการหารือระหว่างอาเซียน-สหรัฐอเมริกาเพื่อสรุปหลักการร่วมด้านการลงทุน หลักการร่วมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร แนวปฏิบัติที่ดีด้านความโปร่งใสและข้อพึงปฏิบัติที่ดีในการออกกฎระเบียบ และพิจารณาเสนอหัวข้อที่อาเซียนสนใจสำหรับโครงการการฝึกงานในบริษัทของสหรัฐอเมริกา ๔. การหารือสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (APEC Business Advisory Council : ABAC) รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนขอให้ ABAC มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกันในภูมิภาคอาเซียน
|
||||||||||||||||||||||||
265 | รายงานผลการประชุม G -77 Bangkok Roundtable on Sufficency Economy : An Approach to lmplementing the Sustainable Development Goals และผลการเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | นร | 01/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการประชุม G-77 Bangkok Roundtable on Sufficiency Economy : An Approach to Implementing the Sustainable Development Goals และผลการเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุม G-77 Bangkok Roundtable on Sufficiency Economy : An Approach to Implementing the Sustainable Development Goals เมื่อวันที่ ๒๘-๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ผู้เข้าร่วมการประชุมฯ เข้าใจแนวทางการพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงและความเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งตระหนักว่า หลักปรัชญาดังกล่าวสามารถเป็นแนวทางหนึ่งในการสนับสนุนการบรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐ ของสหประชาชาติ และเป็นมิติใหม่ที่ครอบคลุมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งสามารถนำไปสู่กระบวนการแนวคิดใหม่เพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เป็นนโยบายในการพัฒนาประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยประเทศไทยได้แสดงความพร้อมที่จะให้ความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับประเทศต่าง ๆ อย่างจริงใจในการแสวงหา “ความเหมือนในความแตกต่าง” เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ทำให้ประชาชนมีความสุขร่วมกันอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ผลลัพธ์การประชุมจะเป็นข้อคิดเห็นสำหรับการประชุมที่เกี่ยวข้องกับการเสริมสร้างความร่วมมือของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา และการประชุมอื่น ๆ ของกลุ่ม ๗๗ ที่ประเทศไทยจะจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดปี ๒๕๕๙ ๒. ผลการเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ที่นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๒.๑ ประเด็นภายในอาเซียน ที่ประชุมให้ความสำคัญกับการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของอาเซียนสร้างความเข้มแข็งให้กับสำนักงานเลขาธิการอาเซียนและคณะกรรมการผู้แทนถาวรอาเซียนประจำกรุงจาการ์ตา และได้หารือถึงการสร้างความตื่นตัวในระดับประชาชนให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยยึดหลักการการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลังและลดช่องว่างการพัฒนา ๒.๒ ประเด็นความสัมพันธ์กับภาคีภายนอก ที่ประชุมได้แสดงความกังวลต่อพัฒนาการของสถานการณ์ในทะเลจีนใต้ โดยได้ย้ำถึงการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีและยึดหลักการการไม่แพร่ขยายอิทธิพลทางทหารและการยับยั้งชั่งใจ ตลอดจนให้มีการบังคับใช้ปฏิญญาว่าด้วยการปฏิบัติของภาคีฝ่ายต่าง ๆ ในทะเลจีนใต้ (Declaration on the Conduct of Parties in the South China Sea : DoC) อย่างเคร่งครัดและเร่งรัดการจัดทำแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้ (Code of Conduct in the South China Sea : CoC) ให้เสร็จโดยเร็ว นอกจากนี้ ที่ประชุมย้ำถึงการรักษาความเป็นแกนกลางและเอกภาพของอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นสำคัญ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเทศคู่เจรจา ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา รัสเซีย หรือจีน เพื่อให้อาเซียนสามารถเป็นผู้กำหนดทิศทางการหารือและผลักดันผลประโยชน์ของอาเซียนเองได้อย่างแท้จริง
|
||||||||||||||||||||||||
266 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... | กค | 01/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งกองทุนเพื่อการศึกษา มีฐานะเป็นนิติบุคคล อยู่ในกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาด้วยการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาแก่นักเรียนหรือนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ หรือนักเรียนหรือนักศึกษาในสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลัก โดยนักเรียนหรือนักศึกษาผู้ได้รับเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษามีหน้าที่ต้องคืนเงินให้กองทุน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในการกำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อใช้กับการติดตามหนี้สำหรับการกู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาหรือกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคตก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ และให้รับความเห็นของสำนักงานศาลปกครอง และฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดเวลาคืนเงินให้กองทุนภายใน ๓๐ วันนับถัดจากวันที่มีหนังสือแจ้งการบอกเลิกการกู้ยืมเงิน เป็นการกำหนดระยะเวลาที่สั้นเกินไป และควรกำหนดให้กองทุนเป็นผู้แจ้งรายชื่อผู้กู้ยืมเงินให้แก่ผู้จ่ายเงินได้เป็นผู้ตรวจสอบ รวมทั้งควรกำหนดให้หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการจ้างสถาบันการเงิน หรือนิติบุคคลให้ทำหน้าที่บริหารจัดการ มีความชัดเจน รัดกุม โดยคำนึงถึงความสามารถในการชำระคืนของนักเรียนหรือนักศึกษาผู้กู้ยืมเป็นสำคัญ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาที่เห็นควรให้มีการเตรียมการอย่างเป็นระบบในการบริหารจัดการหนี้ การบริหารจัดการกองทุน รวมทั้งออกแบบให้ผู้กู้ยืมเงินแสดงตนหรือยืนยันสถานภาพการกู้ยืมเงินอย่างน้อยปีละครั้ง พร้อมทั้งจัดระบบฐานข้อมูลผู้กู้ยืมเงินอย่างเป็นระบบ และควรกำหนดแนวปฏิบัติหรือข้อตกลงที่ชัดเจนอย่างเคร่งครัดเกี่ยวกับการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของสถานศึกษาและผู้กู้ยืมเงินที่มีต่อกองทุน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้กำหนดมาตรการในการติดตามการชำระหนี้ที่เหมาะสม เคร่งครัด และเป็นธรรมตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
267 | ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 27 และการประชุมสุดยอดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กต | 09/02/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๗ และการประชุมสุดยอดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการประชุมไปปฏิบัติและติดตามความก้าวหน้าต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนได้มีการลงนามในปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์ ค.ศ. ๒๐๑๕ ว่าด้วยการจัดตั้งประชาคมอาเซียน ปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ : มุ่งหน้าไปด้วยกัน และอนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็ก รวมทั้งรับรองเอกสารอื่น ๆ อีก ๑๗ ฉบับ นอกจากนี้ ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนและคู่เจรจายินดีกับการจัดตั้งประชาคมอาเซียน การประกาศวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ และแผนงานประชาคมอาเซียนทั้งสามเสา ซึ่งกำหนดทิศทางของประชาคมอาเซียนในอีก ๑๐ ปีข้างหน้า (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘) และได้มีการหารือเกี่ยวกับปัญหาทะเลจีนใต้ การก่อการร้าย ความสัมพันธ์กับคู่เจรจาในการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ และการเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ๑.๒ นายกรัฐมนตรีได้มีข้อเสนอให้อาเซียนเสริมสร้างความเข้มแข็งจากภายในเพื่อความเป็นเอกภาพและความสามารถรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดนและการลงทุน การส่งเสริมศักยภาพของวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ภาคการเกษตร การส่งเสริมความร่วมมือทางทะเล การแก้ปัญหาหมอกควันข้ามแดนเพื่อให้อาเซียนปลอดจากหมอกควันภายในปี ๒๕๖๓ และการจัดตั้งศูนย์ไซเบอร์อาเซียน ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่มีความเห็นเพิ่มเติมต่อประเด็นการมอบหมายกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบในเรื่องสังคมและวัฒนธรรม ประเด็นการเสริมสร้างความตระหนักรู้และความเข้มแข็งให้แก่ชุนชนเพื่อให้มีส่วนร่วมในการป้องกันภัยพิบัติ และประเด็นการมีส่วนร่วมของสหประชาชาติในการลดความเสี่ยงและการบริหารจัดการภัยพิบัติ และเพิ่มเติมหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีในการส่งสินค้าข้ามแดน ซึ่งเป็นประเด็นคาบเกี่ยวระหว่างกระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ ในส่วนของประเด็นไซเบอร์จำเป็นที่ไทยต้องเสริมสร้างขีดความสามารถภายในประเทศและแสวงหาความร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียนและนานาประเทศในการรับมือกับปัญหาภัยทางไซเบอร์ สำหรับประเด็นการร่วมมือเพื่อต่อต้านความรุนแรงและแนวคิดสุดโต่งที่ต้นตอผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกระหว่างกันอย่างทันการณ์ ไทยควรสนับสนุนให้ประเทศอาเซียนร่วมมือกันป้องกันและแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ประเด็นการส่งเสริมความร่วมมือในอาเซียนเรื่องการบริหารจัดการชายแดนโดยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและข่าวกรองระหว่างกันเป็นความท้าทายทางความมั่นคงเฉพาะหน้าของไทย และเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ตลอดจนควรมีการติดตาม ประเมินผล และวิเคราะห์ผลลัพธ์อันเนื่องมาจากการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๗ และการประชุมสุดยอดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อย่างรอบคอบ ส่งผลให้เกิดความชัดเจนและประสิทธิภาพในการดำเนินงานของหน่วยงานในระดับปฏิบัติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
268 | ผลการประชุมเชิงปฏิบัติการและนิทรรศการระหว่างประเทศเพื่อผลักดันแนวปฏิบัติสหประชาชาติ ว่าด้วยการพัฒนาทางเลือกสู่การปฏิบัติ (ICAD 2) และการเสนอวิดีทัศน์สรุปผลการประชุมฯ ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี | ยธ | 12/01/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. ผลการประชุมเชิงปฏิบัติการและนิทรรศการระหว่างประเทศเพื่อผลักดันแนวปฏิบัติสหประชาชาติ ว่าด้วยการพัฒนาทางเลือกสู่การปฏิบัติ (International Seminar Workshop on the Implementation of United Nations Guiding Principles on Alternative Development-UNGPs on AD หรือ International Conference on Alternative Development 2 : ICAD 2) ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และกรุงเทพมหานคร โดยการประชุมแบ่งออกเป็น ๒ ช่วง ได้แก่ ๑.๑ การศึกษาดูงาน ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ พื้นที่บ้านหย่องข่า สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จังหวัดเชียงราย และเชียงใหม่ โดยสาระสำคัญที่ได้รับจากการดูงานคือ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจากนานาประเทศตระหนักและได้เห็นประจักษ์ว่าแนวทางปฏิบัติแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาทางเลือกเป็นกรอบการดำเนินงานที่สำคัญสำหรับการพัฒนาทางเลือก ๑.๒ การประชุมระดับสูง ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ โรงแรมรอยัล ออร์คิด เชอราตัน โดยสาระสำคัญจากการประชุมคือ การที่ผู้แทนจากรัฐบาล จำนวน ๒๐ ประเทศ ๒ องค์กรระหว่างประเทศ ร่วมกล่าวถ้อยแถลงแสดงความสำคัญของงานพัฒนาทางเลือกและคำมั่นจากภาครัฐของตนในการแก้ปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืนผ่านการดำเนินโครงการพัฒนาทางเลือก ๒. กระทรวงยุติธรรมจะผลักดันเนื้อหาในผลการประชุมครั้งนี้ให้กับประชาคมโลกในรูปแบบข้อมติ และจะจัดทำเอกสารอ้างอิงเชิงวิชาการแสดงให้เห็นเชิงประจักษ์ว่า แนวปฏิบัติสหประชาชาติ ว่าด้วยการพัฒนาทางเลือก สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง รวมทั้งการใช้หลักนิติรัฐและนิติธรรมเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาทางเลือก ทั้งนี้ สำนักงาน ป.ป.ส. ได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับ UNODC และสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) เพื่อให้เอกสารดังกล่าวใช้เป็นเอกสารอ้างอิงในการประชุม CND สมัยที่ ๕๙ และการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยพิเศษ ว่าด้วยปัญหายาเสพติดโลก (UNGASS 2016) ซึ่งจะจัดขึ้นในปี ๒๕๕๙ ต่อไป โดยขณะนี้ กำลังดำเนินการร่วมกับ UNODC ในการจัดทำเอกสารจัดทำร่างข้อมติเพื่อเสนอต่อที่ประชุม CND สมัยที่ ๕๙
|
||||||||||||||||||||||||
269 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิเด็ก กรณีการเข้าตรวจสอบและควบคุมตัวกลุ่มแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายที่อาศัยอยู่ในชุมชนคอกควาย อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก | สม | 15/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิเด็ก กรณีการเข้าตรวจสอบและควบคุมตัวกลุ่มแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายที่อาศัยอยู่ในชุมชนคอกควาย อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ควรกำชับให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๘ ซึ่งเป็นการให้สิทธิและให้โอกาสแก่เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยหรือเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนของรัฐได้ โดยไม่จำกัดระดับหรือประเภทการจัดการศึกษา ๑.๒ ควรจัดทำคู่มือหรือแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดการศึกษาให้เด็กซึ่งไม่มีสัญชาติไทยหรือเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียน ๑.๓ ควรจัดสรรงบประมาณและบุคลากรให้เพียงพอ และจัดทำหลักสูตรให้เหมาะสมกับอัตลักษณ์เฉพาะของเด็ก เช่น ภาษา ระดับพัฒนาการ ความพิการทางด้านร่างกายและสติปัญญา เป็นต้น ๑.๔ กรณีพบว่าเด็กซึ่งไม่มีสัญชาติไทยหรือเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนต้องให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน พร้อมประสานส่งต่อไปยังหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้รับการคุ้มครองสิทธิ ๑.๕ ควรสนับสนุนให้จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้สำหรับเด็กทุกสัญชาติที่อยู่ในพื้นที่ชายแดน และจัดสรรงบประมาณอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายหัวแก่สถานศึกษา ๑.๖ ควรกำชับให้เจ้าหน้าที่เร่งรัดการจดทะเบียนการเกิดเพื่อให้เด็กทุกคนมีสถานะบุคคลและจัดทำทะเบียนสำหรับบุคคลซึ่งไม่มีสัญชาติไทย รวมทั้งจัดอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาและการออกเอสารางทะเบียนให้เด็กซึ่งไม่มีสัญชาติไทยหรือเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียน ๑.๗ มีหน่วยงานหลักในการประสานงานให้ความช่วยเหลือหญิงและเด็กเคลื่อนย้าย โดยจัดทำระบบฐานข้อมูลและระบบการช่วยเหลือคุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพให้ชัดเจน รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนงบประมาณให้แก่องค์กรพัฒนาเอกชนด้านเด็กที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ ๑.๘ ควรกำชับให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามมาตรการและแนวทางการดำเนินงานตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพคนต่างด้าวหรือแรงงานต่างด้าว และกำชับให้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลและสถานพยาบาลทุกแห่งดำเนินการออกใบรับรองการเกิดให้แก่เด็กต่างด้าวทุกคน รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้คนต่างด้าวแรงงานต่างด้าวรับทราบและเข้าถึงสิทธิของคนในอันที่จะได้รับประโยชน์จากการประกันสังคม ๒. มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุขเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
270 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. .... | ยธ | 01/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. .... โดยกระทรวงยุติธรรมเห็นด้วยกับข้อสังเกตดังกล่าวเนื่องจากสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกองทุนยุติธรรม หลักการและแนวปฏิบัติแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการเข้าถึงความช่วยเหลือด้านกฎหมายในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา (United Nations Principles and Guidelines on Access to Legal Aid Criminal Justice System) แนวปฏิบัติที่ ๙ การปฏิบัติตามสิทธิของผู้หญิงในการเข้าถึงความช่วยเหลือทางกฎหมาย และแนวปฏิบัติที่ ๑๐ มาตรการพิเศษสำหรับเด็ก และได้จัดทำ Road Map เตรียมการในช่วง ๑๘๐ วัน ก่อนที่พระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. .... จะมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
271 | การเสนอวีดิทัศน์ประชาสัมพันธ์การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการและนิทรรศการ ระหว่างประเทศเพื่อผลักดันแนวปฏิบัติสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาทางเลือกสู่การปฏิบัติ ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี | ยธ | 10/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรายงานการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการและนิทรรศการระหว่างประเทศเพื่อผลักดันแนวปฏิบัติสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาทางเลือกสู่การปฏิบัติ (International Conference on Alternative Development 2 : ICAD 2) ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และกรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับความเป็นมาของการประชุม และความพร้อมของประเทศไทยในการจัดประชุมดังกล่าว รวมไปถึงการตอบรับจากผู้เข้าร่วมประชุมจากนานาชาติ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. ในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงริเริ่มโครงการในพระราชดำริเพื่อแก้ไขปัญหาการปลูกฝิ่นของชาวไทยภูเขาบนพื้นที่สูงผ่านโครงการพัฒนาชาวไทยภูเขา โดยสำนักงาน ป.ป.ส. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และองค์การสหประชาชาติ นำแนวพระราชดำริไปดำเนินโครงการพัฒนาที่สูงเพื่อแก้ไขปัญหาการปลูกฝิ่นหลายโครงการในประเทศไทย ๒. ในการประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติดสมัยที่ ๕๒ เป็นจุดเริ่มต้นของการประชุมเชิงปฏิบัติการและการประชุมนานาชาติว่าด้วยการพัฒนาทางเลือกที่ยั่งยืน หรือ ICAD1 ซึ่งจัดขึ้นโดยประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ และในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ เป็นการจัดประชุมสำหรับระดับสูงในประเทศเปรู ๓. ประเทศไทยได้เริ่มกระบวนการผลักดันให้แนวคิดด้านการพัฒนาทางเลือกที่เป็น “ศาสตร์พระราชา” ได้เข้าสู่เวทีประชาคมโลกผ่านกระบวนการของสหประชาชาติ และเพื่อเป็นการยืนยันว่า “ศาสตร์พระราชา” ในด้านการพัฒนาทางเลือกและแนวปฏิบัติสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาทางเลือกสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงกำหนดจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ขึ้น ซึ่งถือเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชในด้านการพัฒนาทางเลือก เพื่อแสดงให้เป็นที่ประจักษ์แก่นานาประเทศถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ โดยพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภาทรงรับเป็นองค์ที่ปรึกษาคณะกรรมการอำนวยการจัดประชุม ICAD2 และจะทรงเข้าร่วมการศึกษาดูงานและการประชุมระดับสูงในช่วงระยะเวลาดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||
272 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การพัฒนาด้านการท่องเที่ยว) | กก | 10/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง การพัฒนาด้านการท่องเที่ยว) ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้จัดประชุมหารือร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปดังกล่าวแล้ว โดยเห็นชอบในหลักการของข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปฯ เนื่องจากข้อเสนอดังกล่าวมีเจตนารมณ์ที่ดีในการปฏิรูปการท่องเที่ยวของประเทศให้มีคุณภาพและยั่งยืน เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการท่องเที่ยวของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคชุมชน เพื่อให้เกิดการบูรณาการการทำงานและลดความซ้ำซ้อนในการทำงานและการจัดสรรงบประมาณ รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวให้กับประเทศ และมีความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำหนดแนวปฏิบัติในการปฏิรูปให้ชัดเจน และการสร้างความเข้าใจร่วมกันกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถปรับแนวทางการดำเนินงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งและเตรียมความพร้อมของหน่วยงานทุกภาคส่วนเพื่อให้สามารถรับภารกิจและขับเคลื่อนไปได้พร้อม ๆ กัน สำหรับประเด็นการปรับโครงสร้างองค์กรภาครัฐนั้น เห็นว่าอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผลสัมฤทธิ์ของการพัฒนาประเทศในภาพรวมได้ จึงเห็นควรให้มีการศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการองค์กรภาครัฐทั้งระบบในรายละเอียด และพิจารณาทบทวนผลการปฏิรูประบบราชการด้านการท่องเที่ยวที่ผ่านมาด้วย ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง การพัฒนาด้านการท่องเที่ยว) ไปพิจารณาศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการองค์กรภาครัฐด้านการท่องเที่ยวในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
273 | ร่างพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สธ | 03/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรี ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ เพื่อให้สอดคล้องกับความตกลงอาเซียนว่าด้วยบทบัญญัติเครื่องมือแพทย์และแนวปฏิบัติสากล รวมทั้งเพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องการค้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการคุ้มครองผู้บริโภค อันเป็นการรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานอัยการสูงสุดเกี่ยวกับการพิจารณาเพิ่มเติมนิยามคำว่า “เครื่องมือแพทย์” อีกประเด็นหนึ่งในมาตรา ๓ ของร่างพระราชบัญญัติฯ การพิจารณาเพิ่มเติมเนื้อหาในมาตรา ๑๐ เพื่อปรับแก้ไขมาตรา ๒๗ (๕) การพิจารณาเพิ่มการอธิบายและจำแนกประเภทของเครื่องมือแพทย์ตามระดับความเสี่ยง และการปรับปรุงข้อกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นมาตรฐาน รวมทั้งการกำหนดให้เงินที่ได้จากค่าป่วยการไม่ต้องนำส่งคลังและไม่ให้ถือเป็นรายรับตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ สามารถกำหนดได้หรือไม่ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งเสนอความตกลงอาเซียนว่าด้วยบทบัญญัติเครื่องมือแพทย์ (AMDD : ASEAN Agreement on Medical Device Directive) เพื่อขอความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ต่อไปด้วย ทั้งนี้ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเร่งตรวจสอบมาตรฐานและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ให้รวดเร็วขึ้น เพื่อช่วยส่งเสริมการลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ |
||||||||||||||||||||||||
274 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย - ฮังการี ครั้งที่ 2 | กต | 03/11/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-ฮังการี ครั้งที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๑ กันยายน ๒๕๕๘ ณ กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ โดยจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ครั้งที่ ๓ ที่ประเทศไทย ๒. การค้าและการลงทุน โดย (๑) ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างภาคธุรกิจ (๒) สนับสนุนการแลกเปลี่ยนการเยือนของคณะนักธุรกิจทั้งสองประเทศ (๓) ส่งเสริมให้ภาคเอกชนทั้งสองประเทศจัดตั้งธุรกิจร่วมทุน พัฒนาห่วงโซ่อุปทาน และสร้างโรงงานการผลิต เพื่อเพิ่มพูนการค้าทวิภาคีและการส่งออกไปยังประเทศที่สาม โดยให้ฮังการีใช้ไทยเป็นฐานการผลิต (๔) สนับสนุนให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีส่วนร่วมในการค้ามากยิ่งขึ้น (๕) ส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหาร การเกษตร วิศวกรรมและการผลิตยานพาหนะ พลังงานหมุนเวียนและพลังงานทางเลือก การบริหารจัดการน้ำ และการผลิตน้ำบริสุทธิ์ สาธารณสุขและเภสัชกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เครื่องจักร อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเคมี เทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมยา การวิจัยและพัฒนาโลจิสติกส์ ศูนย์บริการร่วมและการท่องเที่ยว (๖) ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยและธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าฮังการี และบริษัทประกันการส่งออกฮังการี เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการเงินเพื่อการค้า และ (๗) ส่งเสริมการลงทุนระหว่างกันผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนและโอกาสการลงทุน ๓. การบริหารจัดการน้ำ โดยส่งเสริมความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำตามภูมิปัญญาท้องถิ่น การวางแผนบริหารจัดการลุ่มน้ำอย่างรอบด้าน ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการสร้างเขื่อน ความร่วมมือข้ามพรมแดน การจัดการอุทกภัย การบำบัดน้ำดื่มและน้ำเสีย การจัดการคุณภาพน้ำ และการศึกษาและการอบรมผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำ ๔. การเกษตร โดยจัดประชุมคณะทำงานด้านการเกษตรไทย-ฮังการี ครั้งที่ ๖ และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างเอกชน องค์กร และสถาบันด้านการเกษตรและอาหาร และเข้าร่วมกิจกรรม อาทิ งานนิทรรศการด้านการเกษตรที่จะจัดขึ้นในประเทศทั้งสองในปี ๒๕๕๙ ๕. พลังงาน โดยสนับสนุนความร่วมมือด้านพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานทดแทน ๖. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับสำนักงานการวิจัย การพัฒนา และนวัตกรรม และรื้อฟื้นกลไกคณะกรรมการร่วมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๗. การศึกษา โดยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษาภาครัฐและเอกชน บัณฑิตสภาทางวิทยาศาสตร์ และสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และความร่วมมือด้านการศึกษาในลักษณะไตรภาคี ไทย-ฮังการี-ประเทศที่สามในระดับอุดมศึกษา ของสถาบันการศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน ๘. วัฒนธรรม โดยขยายความร่วมมือในสาขาวัฒนธรรม โดยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนและข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมด้านวัฒนธรรม ๙. สาธารณสุข โดยส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีในสาขาสุขภาพ นโยบายและการวิจัยระบบสุขภาพ การร่วมวิจัยในสาขาเนื้องอก บริการด้านสุขภาพผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการแพทย์ทางไกล ๑๐. การท่องเที่ยว โดย (๑) ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสาขาการท่องเที่ยว (๒) เข้าร่วมนิทรรศการ การสัมมนา และงานออกร้านต่าง ๆ ระหว่างกัน (๓) แลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ สื่อประชาสัมพันธ์ และสถิติที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และ (๔) ส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวเพื่อการจัดประชุม การท่องเที่ยวเป็นรางวัล การประชุมและการแสดงสินค้า |
||||||||||||||||||||||||
275 | การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ | คค | 27/10/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับเรื่อง การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาเสนอมาตรการปฏิรูปบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ทั้งในส่วนของมาตรการลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานและการปรับปรุงระบบการดำเนินงาน โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร รวมทั้งสิทธิประโยชน์ของผู้บริหารและพนักงานระดับสูง ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการขาดทุนสะสมของบริษัทฯ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจของบริษัทฯ ต่อไป โดยให้กระทรวงคมนาคมเสนอมาตรการดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓๐ วัน ทั้งนี้ ในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายได้และมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ ให้เสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาดำเนินการตามอำนาจต่อไป ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้แนวปฏิบัติตามข้อ ๑ เพื่อดำเนินการเสนอมาตรการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ ต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
276 | ผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างไม่เป็นทางการ | กห | 20/10/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างไม่เป็นทางการ ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระหว่างวันที่ ๑๕ ถึงวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีกลาโหมสาธารณรัฐประชาชนจีนได้นำเสนอประเด็นการพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคงสำหรับอาเซียนและสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน ๕ ประเด็น ได้แก่ (๑) การกำหนดทิศทางความร่วมมือร่วมกันในอนาคตภายใต้หลักฉันทามติเพื่อสร้างประชาคมอาเซียน-จีนที่มีอนาคตร่วมกัน (๒) การดำรงไว้ซึ่งความมั่นคงและเสถียรภาพในภูมิภาคโดยสร้างสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงอย่างครอบคลุมทุกมิติ ยั่งยืน และเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน (๓) การรักษาความต่อเนื่องของกลไกความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างสองฝ่าย (๔) การดำเนินงานความร่วมมือให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และ (๕) การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและจัดการกับความเสี่ยงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ทะเลจีนใต้ ๒. รัฐมนตรีกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นในระหว่างการประชุมฯ ว่า (๑) ภัยคุกคามรูปแบบใหม่ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งไม่สามารถคาดการณ์ได้ และมีความสลับซับซ้อนมากขึ้นเป็นประเด็นด้านความมั่นคงที่สำคัญของภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยพิบัติทางธรรมชาติ การก่อการร้าย การแพร่ขยายของแนวความคิดนิยมความรุนแรง และความมั่นคงทางทะเล (๒) ความร่วมมือของฝ่ายทหารเป็นกลไกที่สำคัญในการตอบสนองต่อความท้าทาย รวมทั้งการสร้างความมั่นคงและสันติภาพในภูมิภาค (๓) อาเซียนสนับสนุนให้สาธารณรัฐประชาชนจีนมีบทบาทอย่างแข็งขันและสร้างสรรค์ในภูมิภาค โดยมีอาเซียนเป็นแกนกลาง (๔) ความมั่งคั่งของภูมิภาคมีความเชื่อมโยงกับความมั่นคงโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีทะเลจีนใต้ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าและการเดินเรือที่สำคัญ ทุกฝ่ายควรปฏิบัติตามปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้อย่างเคร่งครัด และเร่งจัดทำแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ให้สำเร็จโดยเร็ว (๕) ทั้งสองฝ่ายควรสนับสนุนการรักษาผลประโยชน์ สร้างศักยภาพ ความเชื่อมั่น และความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน และ (๖) ทั้งสองฝ่ายควรผลักดันความร่วมมือบนพื้นฐานของกลไกด้านความมั่นคงที่มีอยู่ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ๓. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เข้าเยี่ยมคำนับนายเมิ่ง เจี้ยนจู้ สมาชิกกรมการเมือง หัวหน้าคณะกรรมาธิการการเมืองและกฎหมายคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยแจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์ และเสนอโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟใน ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) ดอกเบี้ยไม่สูงกว่าที่สาธารณรัฐประชาชนจีนเสนอให้อินโดนีเซีย (๒) เงื่อนไขการดำเนินการเทียบเท่าหรือดีกว่าที่ญี่ปุ่นเสนอ และ (๓) อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราภายในประเทศ ร้อยละ ๐.๓-๐.๔
|
||||||||||||||||||||||||
277 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจภาคทะเล ครั้งที่ 1 | กต | 06/10/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการเข้าร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจภาคทะเล ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๘ ณ สาธารณรัฐมอริเชียส ของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งการประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อหารือแนวทางในการดำเนินความร่วมมือในสาขาที่มีศักยภาพเพื่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียอย่างยั่งยืนและสมดุล และมอบหมายหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องกับรายงานผลการประชุมดังกล่าวรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ได้แก่ การพัฒนาขีดความสามารถด้านการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนด้านการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในมหาสมุทรอินเดีย งานวิจัยและการพัฒนาการประมงและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในมหาสมุทรอินเดีย ๑.๒ ท่าเรือและการขนส่งสินค้าทางเรือ ได้แก่ การสนับสนุนการจัดตั้งและการแสดงความพร้อมของไทยในการเข้าร่วม IORA Core Group ด้านท่าเรือและการขนส่งสินค้าทางเรือ การจัดทำแนวปฏิบัติร่วมสำหรับการจดทะเบียนเรือในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย การส่งเสริมความร่วมมือด้านท่าเรือและการขนส่งทางเรือในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย โดยเฉพาะการต่อเรือ การสร้างขีดความสามารถด้านท่าเรือและการขนส่งสินค้าทางเรือ และการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางเรือในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย ๑.๓ พลังงานหมุนเวียนจากมหาสมุทร ได้แก่ การสร้างขีดความสามารถในเรื่องที่เกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียนจากมหาสมุทร การส่งเสริมความร่วมมือและการถ่ายทอดเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนจากมหาสมุทรในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย งานวิจัยและการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนจากมหาสมุทร ๑.๔ ไฮโดรคาร์บอนและแร่ใต้ทะเล ได้แก่ การส่งเสริมความร่วมมือและการถ่ายทอดเทคโนโลยีในสาขาไฮโดรคาร์บอนและการสำรวจแร่ใต้ทะเลในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย การวิจัยและการพัฒนาการสำรวจใต้ทะเลและแร่ใต้ทะเล การสร้างขีดความสามารถด้านการสำรวจใต้ทะเลและแร่ใต้ทะเลในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย และการส่งเสริมการเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและเอกชนในการสำรวจใต้ทะเลและแร่ใต้ทะเล ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนด้านการสำรวจใต้ทะเลและแร่ใต้ทะเล และสร้างเครือข่ายความร่วมมือดังกล่าวให้ครอบคลุมภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ ควรเพิ่มหน่วยงานที่กำกับดูแลด้านเศรษฐกิจและการลงทุน ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ร่วมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบด้วย และการลงทุนในแต่ละโครงการ ควรมีการพิจารณาข้อดี ข้อเสีย และประโยชน์ในภาพรวมที่ประเทศไทยได้รับอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและถือผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ รวมทั้งการพัฒนาทางเศรษฐกิจภาคทะเล ควรคำนึงถึงความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสภาพแวดล้อมและประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
278 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปฏิรูปกฎหมายแข่งขันทางการค้า และร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ....) | สผ | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอเรื่อง การปฏิรูปกฎหมายแข่งขันทางการค้า และร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งมีข้อเสนอแนะเพื่อปฏิรูป ๔ องค์ประกอบ ที่จำเป็นต่อการบังคับใช้กฎหมาย สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สาระของกฎหมาย โดยปรับปรุงหรือกำหนดบทนิยาม หลักเกณฑ์ ระเบียบ และแนวปฏิบัติให้ชัดเจน ครบถ้วน มีสภาพบังคับตามกฎหมายและยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาพการประกอบธุรกิจในอนาคต ๑.๒ ขอบเขตการบังคับใช้กฎหมาย ให้มีความเสมอภาคกับผู้ประกอบธุรกิจทั้งภาครัฐและเอกชน และขยายขอบเขตให้ครอบคลุมการกระทำผิดนอกประเทศที่ส่งผลต่อภาวการณ์แข่งขันภายในประเทศ ๑.๓ ผู้บังคับใช้กฎหมาย โดยการปรับโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า รวมทั้งกำหนดระเบียบปฏิบัติหรือหลักเกณฑ์การดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ๑.๔ การสืบสวนการดำเนินคดีและบทลงดทษโดยการใช้อำนาจคณะกรรมการในการกำหนดโทษปรับและ/หรือให้ฟ้องคดีอาญาและค่าสเยหายต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากมีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านธุรกิจทางการค้า และปรับบทลงโทษให้เหมาะสม ๒. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของสภาปฏิรูปแห่งชาติไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประะทศ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
279 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนี้
๑. กรมที่ดินควรศึกษาและหามาตรการในการจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรให้กระทำได้ง่ายขึ้น เนื่องจากนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรมีวัตถุประสงค์เพื่อบริหารจัดการทรัพย์ส่วนกลาง และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านจัดสรร โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับค่าบริการสาธารณะ และค่าสาธารณูปโภคซึ่งในปัจจุบันการจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรจะกระทำได้ยาก เพราะต้องมีคะแนนเสียงของผู้ซื้อที่ดินจัดสรรจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนแปลงย่อยตามแผนผังโครงการมีมติให้จัดตั้ง ๒. ให้กรมที่ดินนำแนวปฏิบัติตามมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัตินี้ ไปกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ถือปฏิบัติกับกรณีโครงการจัดสรรที่ดินซึ่งได้รับอนุญาตตามกฎหมายก่อนวันที่พระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. ๒๕๔๓ ใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม ๓. ให้กรมที่ดินเร่งดำเนินการเสนอให้คณะกรรมการกำหนดอัตราค่าสำหรับผู้ที่มีหน้าที่ชำระเงินค่าบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคล่าช้ากว่าเวลาที่กำหนดตามมาตรา ๕๐ วรรคหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||
280 | การประชุมระดับรัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจภาคทะเล ครั้งที่ 1 (1st Indian Ocean Rim Association Ministerial Blue Economy Conference - BEC) | กต | 01/09/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการร่างปฏิญญามอริเชียสว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจภาคทะเล (Draft Mauritius Declaration on Blue Economy) มีสาระสำคัญระบุถึงเจตนารมณ์และแนวทางการดำเนินงานเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนใน ๔ สาขาหลัก ได้แก่ (๑) การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและการประมง (๒) พลังงานหมุนเวียนจากมหาสมุทร (๓) ท่าเรือ และการขนส่งสินค้าทางเรือ และ (๔) การสำรวจใต้ทะเลและแร่ใต้ทะเล โดยเฉพาะการจัดตั้งคณะทำงานหลักเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือใน ๔ สาขาข้างต้น การพัฒนาขีดความสามารถของประเทศสมาชิกในการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล การส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและเอกชน และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดี เพื่อเพิ่มพลวัตทางเศรษฐกิจและนำมาซึ่งการเติบโตที่ยั่งยืนในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างปฏิญญาดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจภาคทะเล ครั้งที่ ๑ (1st Indian Ocean Rim Association Ministerial Blue Economy Conference : BEC) และร่วมให้การรับรองร่างปฏิญญามอริเชียสว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจภาคทะเล ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กระทรวงการต่างประเทศควรหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแผนงานและกิจกรรมที่มีความสำคัญและเหมาะสมในการดำเนินการ เพื่อส่งเสริมบทบาทการพัฒนาการประมงอย่างยั่งยืนของไทย และการดำเนินงานในด้านอื่น ๆ ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศไทยและประเทศในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้ร่างปฏิญญามอริเชียสฯ ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์บทบาทและความตั้งใจของไทยในการร่วมกับเวทีโลกเพื่อพัฒนาการทำประมงและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการผลักดันการแก้ไขปัญหาการทำประมงของไทยในสายตาชาวโลก ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
.....