ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 18 จากทั้งหมด 25 หน้า แสดงรายการที่ 341 - 360 จากข้อมูลทั้งหมด 486 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
341 | ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับองค์การการท่องเที่ยวโลกว่าด้วยการจัดการประชุมร่วมคณะกรรมาธิการภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกและคณะกรรมาธิการภูมิภาคเอเชียใต้ ครั้งที่ 24 | กก | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้
๑. การจัดทำและลงนามความตกลงระหว่างไทยและองค์การการท่องเที่ยวโลกว่าด้วยการจัดการประชุมร่วมคณะกรรมาธิการภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก และคณะกรรมาธิการภูมิภาคเอเชียใต้ ครั้งที่ ๒๔ โดยความตกลงฯ มีเนื้อหาครอบคลุมถึงรูปแบบและสถานที่ของการจัดการประชุม รวมไปถึงการอำนวยความสะดวกและการรักษาความปลอดภัยให้กับผู้เข้าร่วมการประชุม ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติระหว่างองค์การการท่องเที่ยวโลกกับประเทศเจ้าภาพ ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทย - องค์การการท่องเที่ยวโลก (โดยระบุตำแหน่ง) หรือมอบให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามแทนในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาติดภารกิจ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้ลงนามในการลงนามร่างความตกลงฯ |
|||||||||||||||||||||||||||
342 | ขอความเห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองหรือลงนามระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 20 (ร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยอาเซียนปลอดยาเสพติด ค.ศ. 2015) | กต | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างเอกสาร จำนวน ๓ ฉบับ และหากมีความจำเป็นแก้ไขร่างเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ดังนี้ ๑.๑ ร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยอาเซียนปลอดยาเสพติด ค.ศ. ๒๐๑๕ (ASEAN Declaration on a Drug - Free ASEAN 2015) มีสาระสำคัญเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่ผู้นำอาเซียนให้แก่การแก้ไขปัญหายาเสพติดและการสร้างอาเซียนที่ปลอดยาเสพติด (Drug - Free ASEAN) ภายในปี ๒๕๕๘ ซึ่งสอดคล้องกับปีเป้าหมายของการเป็นประชาคมอาเซียน รวมทั้งแสดงเจตนารมณ์ในการเพิ่มความพยายามร่วมกันในการต่อสู้กับยาเสพติดและรับมืออย่างมีประสิทธิภาพต่อความท้าทายและภัยคุกคามจากปัญหายาเสพติดในภูมิภาค ๑.๒ ร่างเอกสารแนวความคิดเรื่องกลุ่มผู้มีแนวคิดแบบทางสายกลาง (ASEAN’s Concept Paper on Global Movement of the Moderates) มีสาระสำคัญเพื่ออธิบายแนวความคิดโดยรวมของกลุ่มผู้มีแนวคิดแบบทางสายกลาง (Global Movement of the Moderates) และระบุแนวปฏิบัติที่จะช่วยสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวโดยใช้กลไกของอาเซียนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งระบุข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมในระดับประเทศ ภูมิภาค และระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมแนวคิดแบบทางสายกลางและแสวงหาความร่วมมือจากทุกศาสนาและวัฒนธรรมเพื่อป้องกันแนวคิดแบบสุดโต่ง (extremism) ๑.๓ ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียและสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ว่าด้วยการให้ที่ตั้งและเอกสิทธิ์ความคุ้มกันแก่สำนักเลขาธิการอาเซียน (Host Country Agreement) มีสาระสำคัญเพื่อให้ที่ตั้งและเอกสิทธิ์ความคุ้มกันแก่สำนักเลขาธิการอาเซียน รวมทั้งเลขาธิการอาเซียน รองเลขาธิการอาเซียน และเจ้าหน้าที่ของสำนักเลขาธิการอาเซียน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสำนักเลขาธิการอาเซียน ๒. ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยอาเซียนปลอดยาเสพติด ค.ศ. ๒๐๑๕ และร่างเอกสารแนวความคิดเรื่องกลุ่มผู้มีแนวคิดแบบทางสายกลาง ๓. อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนลงนามในร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียและสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ว่าด้วยการให้ที่ตั้งและเอกสิทธิ์ความคุ้มกันแก่สำนักเลขาธิการอาเซียน และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือกระทรวงการต่างประเทศแจ้งเรื่องการเห็นชอบให้เลขาธิการอาเซียนลงนามในเอกสารดังกล่าวผ่านทางคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา |
|||||||||||||||||||||||||||
343 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๖๔ หน่วยงาน เป็นเงิน ๑๑๕,๑๔๙.๙๗๓ ล้านบาท ไม่มีการจัดสรรเพิ่มเติม ๑.๑.๑.๑ แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ณ เดือนมีนาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๕๖,๒๖๒.๐๕๗ ล้านบาท เปรียบเทียบกับแผนฯ ณ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๔๑,๗๘๓.๐๓๗ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๑๔,๔๗๙.๐๑๙ ล้านบาท คิดเป็น ๓๔.๖๕ ๑.๑.๑.๒ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการแล้วมีการเบิกจ่ายสะสม ณ วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๓๙,๖๙๔.๙๐๖ ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลการเบิกจ่าย ณ วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๓๗,๒๑๒.๒๙๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๒,๔๘๒.๖๑๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖.๖๗ ๑.๑.๑.๓ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลงนามในสัญญาแล้ว เป็นเงิน ๔๙,๕๑๑.๔๒๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๓.๐๐ ของวงเงินจัดสรร และยังไม่ลงนามในสัญญา เป็นเงิน ๖๕,๖๓๘.๕๕๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕๗.๐๐ ของวงเงินจัดสรร ๑.๑.๒ สถานะการเบิกจ่าย จำแนกออกเป็น ๓ กลุ่ม ๑.๑.๒.๑ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่เบิกจ่าย ประกอบด้วย (๑) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่เบิกจ่ายเนื่องจากยังไม่ถึงกำหนดการใช้จ่ายตามแผนฯ จำนวน ๑๓ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๑๐,๓๘๑.๑๘๑ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว จำนวน ๓ หน่วยงาน เป็นเงิน ๒๐๗.๒๓๖ ล้านบาท ที่เหลืออีก จำนวน ๑๐ หน่วยงาน ส่วนใหญ่อยู่ระหว่างดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง และมีการลงนามในสัญญาแล้วบางส่วนแต่อยู่ระหว่างการบันทึกข้อมูลการลงนามในสัญญาจัดซื้อ หรือ Purchase Order : PO ในระบบระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์” หรือ ระบบ Government Fiscal Management System : GFMIS และ (๒) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ถึงกำหนดการใช้จ่ายตามแผนฯ แล้ว แต่ยังไม่มีการเบิกจ่าย จำนวน ๑๐ หน่วยงาน วงเงินจัดสรร ๓,๐๓๙.๓๕๑ ล้านบาท เนื่องจากอยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง โดยมีการลงนามในสัญญาแล้ว จำนวน ๑ หน่วยงาน เป็นเงิน ๓.๖๙๘ ล้านบาท ๑.๑.๒.๒ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ เมื่อเปรียบเทียบกับแผนการใช้จ่ายสะสม ประกอบด้วย (๑) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมต่ำกว่าร้อยละ ๓๐ จำนวน ๑๖ หน่วยงาน ได้รับวงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๕๒,๓๕๔.๒๓๗ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว จำนวน ๑๖ หน่วยงาน เป็นเงิน ๑๐,๒๓๔.๐๙๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๙.๕๕ ของวงเงินจัดสรร (๒) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมระหว่างร้อยละ ๓๐ ถึง ๕๐ จำนวน ๔ หน่วยงาน ได้รับวงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๓,๒๖๗.๒๑๗ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว จำนวน ๔ หน่วยงาน เป็นเงิน ๑,๐๘๒.๗๔๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๓.๑๔ ของวงเงินจัดสรร และ (๓) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมระหว่างร้อยละ ๕๐ ถึง ๘๐ จำนวน ๘ หน่วยงาน ได้รับวงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๗,๑๔๙.๕๓๖ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว จำนวน ๘ หน่วยงาน เป็นเงิน ๑,๗๙๘.๕๓๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๕.๑๖ ของวงเงินจัดสรร ๑.๑.๒.๓ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสะสมสูงกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๑๓ หน่วยงาน ได้รับวงเงินจัดสรรทั้งสิ้น ๓๘,๙๕๘.๔๕๒ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาแล้ว จำนวน ๑๓ หน่วยงาน เป็นเงิน ๓๖,๑๘๕.๑๑๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๒.๘๘ ของวงเงินจัดสรร ๑.๒ เห็นชอบแนวปฏิบัติ ดังนี้ ๑.๒.๑ กรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังมิได้ดำเนินการหรือยังมิได้เบิกจ่าย หรือเบิกจ่ายล่าช้ากว่าแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายสะสม ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง/ลงนามในสัญญา หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณภายในวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลางรายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ) เพื่อให้สามารถดำเนินการได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยได้อย่างเหมาะสม ๑.๒.๒ กรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ลงนามในสัญญาแล้ว และมีวงเงินจัดซื้อจัดจ้างหรือวงเงินดำเนินการเองต่ำกว่าวงเงินที่ได้รับการจัดสรร ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดำเนินการจัดสรรงบประมาณคืนสำนักงบประมาณโดยด่วนภายใน ๑๕ วัน หลังจากทราบผลการจัดซื้อจัดจ้างหรือวงเงินดำเนินการเองตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ ๑.๒.๓ หากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจยังไม่ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการประกวดราคา หรือกรณีดำเนินการเองที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานตามแผนฯ ภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ ให้สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกันพิจารณาความเหมาะสมและความจำเป็นในการดำเนินการโครงการอีกครั้ง หากเป็นโครงการที่อยู่ภายใต้วัตถุประสงค์ของแผนงานตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ก็ให้แจ้งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจให้นำเสนอโครงการดังกล่าวต่อคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพื่อพิจารณาใช้จ่ายเงินกู้ดังกล่าวต่อไป ๒. ให้สำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีที่ทบทวนโครงการแล้วปรากฏว่ามีความจำเป็นที่ต้องดำเนินการและเป็นโครงการที่ไม่เป็นลักษณะเฉพาะที่ต้องดำเนินการโดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ให้สามารถปรับเปลี่ยนหน่วยงานเจ้าของโครงการที่มีความพร้อมมากกว่าได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ในการรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ ในสัปดาห์ต่อ ๆ ไป ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประมวลผลข้อมูลการเบิกจ่ายและผลการดำเนินงานโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการให้เสร็จสิ้นทุกวันพุธ เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีในวันพฤหัสบดี และนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในวันอังคารสัปดาห์ถัดไป เพื่อที่รัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องจะได้นำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในการตรวจสอบและติดตามการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบได้อย่างรวดเร็วต่อไป ๔. ให้รัฐมนตรีนำข้อมูลตามรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ ไปตรวจสอบและติดตามการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในความรับผิดชอบ โดยเฉพาะโครงการในกลุ่มที่ถึงกำหนดตามแผนฯ แล้วแต่ยังไม่ได้เบิกจ่าย กลุ่มที่เบิกจ่ายต่ำกว่าร้อยละ ๓๐ และกลุ่มที่เบิกจ่ายระหว่างร้อยละ ๓๐ - ร้อยละ ๕๐ และให้รายงานสถานะความก้าวหน้าล่าสุด ตลอดจนปัญหาอุปสรรคและสาเหตุของความล่าช้าในการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมครั้งต่อไปในวันจันทร์ที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๕ |
|||||||||||||||||||||||||||
344 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา เรื่อง ผลกระทบทางด้านสุขภาพที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ | สว | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา เรื่อง ผลกระทบทางด้านสุขภาพที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. กรมควบคุมโรค ได้ดำเนินการเตรียมความพร้อมในการเฝ้าระวังโรคติดต่อต่าง ๆ รวมทั้งศึกษาวิจัยเพื่อคาดการณ์โรคติดต่อที่สำคัญที่มีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และได้จัดตั้งศูนย์แก้ไขปัญหาอุทกภัยและศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาภัยหนาวด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อเตรียมพร้อมและรับมือกับปัญหาดังกล่าวซึ่งคาดการณ์ว่าปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้ผลกระทบต่อสุขภาพจากภัยหนาวและอุทกภัยมีความรุนแรงมากขึ้น ๒. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ดำเนินการศึกษาวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยศึกษาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมต่อโรคไข้เลือดออกและยุงพาหะ เพื่อให้ได้ข้อมูลการคาดการณ์การเกิดโรคไข้เลือดออกเชิงพื้นที่ และจัดทำแผนที่ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) แสดงสถานะเชิงพื้นที่ของโรคไข้เลือดออก ประชากรยุงพาหะ และการดื้อสารเคมีในระดับพันธุกรรม และปัจจัยที่เกี่ยวข้องในสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ๓. กรมอนามัย ได้ดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศใน ๒ ส่วน ได้แก่ การลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) โดยดำเนินกิจกรรมเพื่อสนับสนุนให้ลดก๊าซเรือนกระจกในสถานบริการสาธารณสุข เพื่อเป็นแบบอย่างในการดำเนินงานลดโลกร้อนและเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับบุคลากรสาธารณสุขเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการปรับตัว (Adaptation) โดยพัฒนาองค์ความรู้เรื่องผลกระทบต่อสุขภาพที่มีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ การดำเนินโครงการศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดทำแผนที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายในการป้องกันและควบคุมโรคที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งผลักดันให้เกิดแผนแม่บทด้านสาธารณสุขด้านการปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานด้านสาธารณสุขในการลดหรือป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ๔. กรมสุขภาพจิต ได้ดำเนินการเตรียมความพร้อมในการฟื้นฟูเยียวยาจิตใจผู้ประสบภัยจากภัยธรรมชาติ พัฒนาแนวปฏิบัติการช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตในภาวะวิกฤต การเตรียมความพร้อมบุคลากรที่ปฏิบัติงาน และเครื่องมือเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอันเกิดจากภัยพิบัติต่าง ๆ ๕. กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้จัดทำองค์ความรู้เรื่องผลกระทบต่อสุขภาพจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ ความตระหนักเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพ รวมทั้งแนวทางการปรับตัวเพื่อรับมือกับผลกระทบอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และได้ดำเนินการรวมกับกรมควบคุมโรคในการแก้ไขปัญหาภัยหนาวด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยสำรวจกลุ่มเสี่ยง เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการเฝ้าระวังด้านสุขภาพและเป็นฐานข้อมูลร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ในพื้นที่ในการให้ความช่วยเหลือต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
345 | รายงานการปฏิบัติงานของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง ประจำปี 2553 | ศป | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการปฏิบัติงานของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ตามที่สำนักงานศาลปกครองเสนอ และให้ส่งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป โดยสาระสำคัญของรายงานฯ ประกอบด้วยแผนยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน ๖ ยุทธศาสตร์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การยกระดับมาตรฐานงานคดีและการบังคับคดีปกครอง ๑.๑ สถิติคดีปกครอง ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ (๑ มกราคม - ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓) ศาลปกครองชั้นต้น มีปริมาณคดีเข้าสู่การพิจารณา ๔,๖๐๗ คดี พิจารณาคดีแล้วเสร็จ ๔,๕๖๗ คดี และอยู่ระหว่างการพิจารณา ๔๐ คดี ส่วนศาลปกครองสูงสุด มีปริมาณคดีสู่การพิจารณา ๒,๒๗๓ คดี พิจารณาคดีแล้วเสร็จ ๑,๓๒๒ คดี และอยู่ระหว่างการพิจารณา ๙๕๑ คดี ๑.๒ การให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับคดีปกครอง ๑๓,๖๕๐ ราย ๑.๓ การบังคับคดีปกครอง มีคดีที่ต้องดำเนินการบังคับคดี ๑,๕๗๖ คดี คดีที่ดำเนินการแล้วเสร็จ ๖๒๑ คดี และอยู่ระหว่างการดำเนินการบังคับคดี ๙๕๕ คดี ๒. ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การพัฒนาระบบบริหารทรัพยากรมนุษย์และการสร้างวัฒนธรรมองค์กร ได้มีการจัดอบรมสัมมนา เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ทั้งบุคลากรในกลุ่มตุลาการศาลปกครอง และข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง ๓. ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การพัฒนาองค์ความรู้และระบบการจัดการองค์ความรู้ที่มีประสิทธิภาพ ได้พัฒนาองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศให้มีความรู้ครบถ้วน ทันสมัย ได้แก่ การจัดทำงานวิจัย บทความและเอกสารทางวิชาการ ตลอดจนสร้างกิจกรรมความร่วมมือทางวิชาการและการศึกษาดูงานในต่างประเทศ เป็นต้น ๔. ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การเสริมสร้างโอกาสการเข้าถึงความยุติธรรมทางปกครอง ได้สร้างเครือข่ายและจัดกิจกรรมเพื่อเผยแพร่ให้ความรู้ความเข้าใจ และเสริมสร้างโอกาสการเข้าถึงความยุติธรรมแก่ประชาชน ได้แก่ การจัดฝึกอบรมให้ความรู้แก่ประชาชนโดยตรง และการจัดให้มีศูนย์บริการประชาชน เป็นต้น ๕. ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การเผยแพร่แนวปฏิบัติราชการที่ดีเพื่อลดและป้องกันการเกิดข้อพิพาททางปกครอง ได้มีการจัดกิจกรรมหน่วยงานภายนอกเข้าศึกษาดูงานศาลปกครอง เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับศาลปกครองและกฎหมายปกครอง ให้แก่นักเรียน นักศึกษา เจ้าหน้าที่ของรัฐ และประชาชนทั่วไปที่สนใจ ๖. ยุทธศาสตร์ที่ ๖ การเพิ่มประสิทธิภาพระบบการบริหารจัดการองค์กร ได้นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการสนับสนุนการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การพัฒนาระบบคดีที่อยู่ในความสนใจของสื่อมวลชน การพัฒนาโปรแกรมระบบสอบถามและติดตามคดีปกครองผ่านเว็บ และการพัฒนาระบบติดต่อสื่อสารเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
346 | รายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์) | รง | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อเข้าร่วมการประชุมระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization : ILO) ครั้งที่ ๑๕ ระหว่างวันที่ ๔ - ๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภารกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในการเข้าร่วมการประชุมระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ ๑๕ ๑.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้กล่าวต่อที่ประชุมใหญ่ว่า ประเทศไทยได้มุ่งสร้างความยุติธรรมทางสังคมให้เกิดขึ้นจริงแก่ทุกคนในสังคมไทย ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของคนทุกกลุ่มโดยไม่เลือกปฏิบัติ โดยได้มีการดำเนินนโยบาย แผนงาน และแนวปฏิบัติที่จะส่งผลให้เกิดการพัฒนาและการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของ “วาระงานที่มีคุณค่า (Decent Work)” โดยขณะนี้ประเทศไทยอยู่ระหว่างการจัดทำแผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าบนพื้นฐานของการปรึกษาหารือไตรภาคี และพยายามพัฒนาระบบบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว และรูปแบบการอนุญาตการทำงานของแรงงานต่างด้าวเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ รวมทั้งได้กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูประเทศ 3 R ได้แก่ การกู้ภัย (Rescue) การซ่อม (Restore) และการสร้าง (Rebuild) ๑.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นหนึ่งในผู้อภิปรายในวาระพิเศษ เรื่อง “การจัดการกับผลกระทบจากภัยพิบัติธรรมชาติโดยเน้นนโยบายการมีงานทำ (Natural Disaster Response with Central focus on Employment Policy)” ที่กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น จัดขึ้น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้นำเสนอว่า การเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในประเทศไทยทำความเสียหายต่อนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อภาคการผลิตและการจ้างงาน รัฐบาลจึงได้กำหนดมาตรการเชิงยุทธศาสตร์ “มาตรการ 3 R” เพื่อฟื้นฟูประเทศ สำหรับแรงงานต่างด้าว ในเบื้องต้นได้มีการจัดศูนย์พักพิงให้ สำหรับแรงงานต่างด้าวที่เดินทางกลับประเทศไปในช่วงที่เกิดภาวะวิกฤต หากประสงค์จะกลับมาทำงานในประเทศไทยอีก รัฐบาลก็จะดำเนินการร่วมมือกับประเทศต้นทางให้กลับมาทำงานกับนายจ้างคนเดิม สำหรับก้าวต่อไปของประเทศไทย รัฐบาลทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนจากต่างประเทศและประชาคมระหว่างประเทศ โดยร่วมกับภาคประชาสังคมที่จะช่วยกันช่วยเหลือ ฟื้นฟู และเสริมสร้างความมั่นใจ ความเชื่อถือ และความก้าวหน้าของประเทศต่อไป ๒. ภารกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในการส่งเสริมตลาดแรงงานไทยในประเทศญี่ปุ่น ๒.๑ การหารือข้อราชการในการส่งเสริมจัดส่งผู้ฝึกงานไทยไปฝึกงานในประเทศญี่ปุ่นกับองค์การ International Manpower Development Organization, Japan : IM Japan) ซึ่งเป็นโครงการที่รับผู้ฝึกงานไทยไปฝึกงานในสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กของประเทศญี่ปุ่น โดยกรมการจัดหางานเป็นผู้ดำเนินการ ในการหารือทั้งสองฝ่ายเห็นร่วมกันว่า ที่ผ่านมามีการส่งแรงงานไทยไปฝึกงานตามโครงการ IM Japan ลดลง สาเหตุจากหลักสูตรการสอบที่เข้มงวดและการรับสมัครสอบจะดำเนินการเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทำให้แรงงานในภูมิภาคขาดโอกาสในการสมัครงาน โครงการ IM Japan จึงร่วมกับกรมการจัดหางานเปิดรับสมัครผู้ที่ต้องการไปฝึกงานประเทศญี่ปุ่นภายใต้โครงการ IM Japan ในภูมิภาคโดยนำร่องในจังหวัดนครราชสีมาเป็นจังหวัดแรก ๒.๒ การหารือข้อราชการเรื่องความร่วมมือการจัดส่งผู้ฝึกงานกับ Mr. Suzuki รองประธานองค์การ Japan International Training Cooperation Organization : JITCO) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลระบบการรับผู้ฝึกงานต่างชาติของญี่ปุ่น โดยผลการหารือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ขอให้ญี่ปุ่นพิจารณารับผู้ฝึกงานไทยเพิ่มขึ้น รวมทั้งขอให้ JITCO พิจารณาขยายอายุของผู้ฝึกงานที่เข้าร่วมโครงการให้สูงขึ้น จากไม่เกิน ๒๕ ปี เป็นไม่เกิน ๓๐ ปี สำหรับการเตรียมความพร้อมด้านภาษาซึ่งมีความสำคัญในการฝึกงานและการดำรงชีวิตในญี่ปุ่น ทั้งสองฝ่ายเห็นร่วมกันว่าควรมีองค์กรไม่แสวงหากำไรมาช่วยในเรื่องการฝึกอบรมซึ่งจะได้มีการประสานงานกันต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
347 | การจัดทำแนวปฏิบัติการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกร (ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประกันรายได้เกษตรกรแห่งชาติ พ.ศ. ....) | นร | 01/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบเรื่องที่กระทรวงพาณิชย์แจ้งไม่ประสงค์ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประกันรายได้เกษตรกรแห่งชาติ พ.ศ. .... ต่อไป เนื่องจากรัฐบาลชุดใหม่ได้เห็นชอบปรับเปลี่ยนมาตรการจากการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมาเป็นมาตรการรับจำนำข้าวเปลือก ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ๒. อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกายุติการพิจารณาร่างระเบียบฯ ดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||
348 | ผลการประชุมหารือแนวทางการให้ความช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย | นร | 01/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมหารือแนวทางการให้ความช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานการประชุม สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการ ภาคเอกชนเสนอให้เร่งจัดทำแผนฟื้นฟูอุตสาหกรรมที่แสดงกิจกรรมและระยะเวลาการดำเนินงานภายหลังน้ำลดอย่างชัดเจน โดยแผนฟื้นฟูควรมีแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในการกู้เครื่องจักรเครื่องมือ และระบบสาธารณูปโภค ทั้งระบบไฟฟ้าและประปาอย่างเท่าเทียมไม่เลือกปฏิบัติ รวมทั้งในระยะยาวควรมีแผนแม่บทบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ ๑.๒ มาตรการการเงิน ภาคเอกชนเสนอให้มีการสนับสนุนเงินกู้ปลอดดอกเบี้ย หรือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้แก่ผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรง และผู้ประกอบการในห่วงโซ่การผลิตที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม รวมทั้งสนับสนุนค่าจ้างแรงงานเพื่อรักษาสภาพการจ้างงานในสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และให้มีการผ่อนผันการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยให้บริษัทแม่ที่เป็นนิติบุคคลต่างด้าวสามารถให้กู้แก่บริษัทลูกที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ๑.๓ มาตรการทางภาษี ภาคเอกชนเสนอให้มีการลดหย่อนอัตราการจัดเก็บภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับงานรับเหมาช่วงต่อ จากอัตราร้อยละ ๓ เป็นร้อยละ ๐.๕ รวมทั้งยกเว้นการจัดเก็บภาษีนำเข้าเป็นการชั่วคราวแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ สำหรับการนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ วัตถุดิบและชิ้นส่วนที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในการผลิต และยานยนต์สำเร็จรูป โดยกรณีของภาษีนำเข้ายานยนต์สำเร็จรูปควรมีการจำกัดจำนวนและรุ่นที่จะนำเข้าเพื่อไม่ให้กระทบผู้ผลิตภายในประเทศ ๑.๔ มาตรการผ่อนปรนกฎระเบียบและอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ ภาคเอกชนเสนอให้มีการอำนวยความสะดวกในการออกวีซ่าและใบอนุญาตการทำงานให้แก่ผู้เชี่ยวชาญและช่างเทคนิคจากต่างประเทศที่จะเข้ามาช่วยฟื้นฟูกิจการ การขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุน การอำนวยความสะดวกในการขอหนังสือรับรองคุณภาพความปลอดภัยของอาหารส่งออก และการจัดตั้งศูนย์ประสานความช่วยเหลือในแต่ละนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ๑.๕ มาตรการผ่อนปรนกฎระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ โดยกำหนดมาตรการผ่อนปรนระยะเวลาการส่งมอบสินค้าและบริการตามสัญญาจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พร้อมอนุญาตให้คู่สัญญาภาครัฐสามารถจัดซื้อสินค้าและบริการจากเอกชนรายอื่นทดแทนได้โดยมีการกำหนดแนวปฏิบัติจากกระทรวงการคลังที่ชัดเจน ๑.๖ มาตรการอื่น ๆ ที่ภาคเอกชนเสนอ ได้แก่ การเตรียมแผนให้ความช่วยเหลือเกษตรกรภายหลังน้ำลด การยกเว้นเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมของผู้ประกอบการเป็นการชั่วคราว การเร่งปรับปรุง ซ่อมแซมระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องทันต่อเหตุการณ์ รวมทั้งการสร้างการรับรู้แก่ผู้ประกอบการถึงมาตรการที่รัฐได้ให้ความช่วยเหลือไปแล้ว ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอของภาคเอกชนที่มติคณะรัฐมนตรีอาจยังไม่ครอบคลุมอย่างชัดเจน ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แล้วนำเสนอคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (ด้านเศรษฐกิจ) เพื่อพิจารณต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาดำเนินการเรื่องการกำหนดแผนฟื้นฟูให้มีความชัดเจนทั้งรายละเอียดของกิจกรรมและระยะเวลาดำเนินการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ประกอบการและนักลงทุนชาวต่างชาติ การประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้แก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลอยู่ระหว่างดำเนินการ การขยายระยะเวลานโยบายส่งเสริมการลงทุนแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการจัดตั้งศูนย์ประสานความช่วยเหลือในแต่ละนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ๒.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการเรื่องการผ่อนผันการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยให้บริษัทแม่ที่เป็นนิติบุคคลต่างด้าวสามารถให้กู้แก่บริษัทลูกที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยได้ ๒.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาดำเนินการเรื่องการอำนวยความสะดวกในการขอหนังสือรับรองคุณภาพความปลอดภัยของอาหารส่งออก ๒.๔ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาดำเนินการเรื่องการกำหนดมาตรการผ่อนปรนระยะเวลาการส่งมอบสินค้าและบริการตามสัญญาจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พร้อมอนุญาตให้คู่สัญญาภาครัฐสามารถจัดซื้อสินค้าและบริการจากเอกชนรายอื่นทดแทนได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
349 | แนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ประสบอุทกภัยปี พ.ศ. 2554 | สธ | 25/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแนวทางการพิจารณาอนุญาตเพื่ออำนวยความสะดวกต่อผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีสถานที่ผลิต หรือใช้วัตถุดิบจากผู้ผลิตที่อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัย ซึ่งผู้ประกอบการสามารถยื่นคำขอในช่องทางพิเศษ ณ ศูนย์บริการผลิตภัณฑ์สุขภาพเบ็ดเสร็จ (One Stop Service Center : OSSC) โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจะดำเนินการพิจารณาอนุญาตให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๕ วันทำการ โดยการขออนุญาตเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารมีแนวปฏิบัติ ดังต่อไปนี้ ๑.๑ กรณีต้องการนำเข้าเพื่อทดแทนการผลิตสามารถยื่นคำขอนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารได้โดยผลิตภัณฑ์เหล่านั้นต้องมีสูตรส่วนประกอบ และรายละเอียดของผลิตภัณฑ์เหมือนกับผลิตภัณฑ์ที่เคยได้รับอนุญาตทุกประการ โดยให้ยื่นขออนุญาตผลิตภัณฑ์ตามแนวทางปฏิบัติที่กำหนดไว้เดิม แต่ให้ยกเว้นเรื่องผลการตรวจวิเคราะห์ของผลิตภัณฑ์ที่สามารถแสดงผลการตรวจวิเคราะห์จากต่างประเทศแทนก่อนได้ และให้ส่งผลการตรวจวิเคราะห์ฉบับจริงภายใน ๓ เดือน ๑.๒ กรณีที่ต้องการให้โรงงานอื่นทำการผลิตแทนสามารถให้โรงงานอื่นซึ่งได้รับอนุญาตให้ผลิตอาหารในกลุ่มเดียวกับผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ทำการผลิตแทนได้ โดยสถานที่ผลิตจะต้องได้รับการรับรองตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร (Good Manufacturing Practice : GMP) ผลิตภัณฑ์ที่จะผลิตต้องมีสูตรส่วนประกอบเหมือนกับผลิตภัณฑ์ที่เคยขึ้นทะเบียนไว้ทุกประการ แต่สามารถขอผ่อนผันการส่งผลการตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยโรงงานแห่งใหม่ได้ภายใน ๓ เดือน ๒. ทั้งนี้ ให้สิ้นสุดการดำเนินการตามแนวทางตามข้อ ๑ ในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๕ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอเพิ่มเติม และให้กระทรวงสาธารณสุขรับข้อสังเกตของรัฐมนตรีวาการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเกี่ยวกับกรณีการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวันของประชาชน หากมีการควบคุมและเข้มงวดราคาขายปลีกแล้วจะยิ่งทำให้ขาดแคลนสินค้าดังกล่าวมากขึ้น รวมทั้งมีการจำหน่ายอย่างผิดกฎหมายด้วย จึงเห็นสมควรพิจารณานำเข้าสินค้าดังกล่าวจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีราคาต่ำกว่าราคาในประเทศ และกำหนดมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
350 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเลื่อนเงินเดือนข้าราชการพลเรือน | นร | 28/06/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้สำนักงาน ก.พ. นำเรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเลื่อนเงินเดือนข้าราชการพลเรือนเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ๒. เห็นชอบให้นำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเลื่อนเงินเดือนกรณีการโอน หรือย้ายข้าราชการภายหลังวันที่ ๑ มีนาคม หรือ ๑ กันยายน ซึ่งเป็นวันที่ส่วนราชการและจังหวัดคำนวณวงเงินงบประมาณสำหรับการเลื่อนเงินเดือนข้าราชการพลเรือนในสังกัด ครั้งที่ ๑ (๑ เมษายน) ครั้งที่ ๒ (๑ ตุลาคม) ตามลำดับ ไปใช้แก้ไขปัญหากรณีจังหวัดบึงกาฬที่ไม่สามารถออกคำสั่งเลื่อนเงินเดือนข้าราชการในสังกัดในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๔ ได้ ตามมติ ก.พ. ครั้งที่ ๖/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๔ ทั้งนี้ การดำเนินการต้องเป็นไปตามแนวปฏิบัติปกติทั่วไปของทุกส่วนราชการและจังหวัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
351 | การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา | กต | 20/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับท่าทีและการเตรียมการของฝ่ายไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา ครั้งที่ ๕ สรุปได้ว่า การประชุมฯ ครั้งนี้ เกิดขึ้นในสถานการณ์พิเศษเนื่องจากเป็นการจัดประชุม ๒ ฝ่ายระหว่างไทยกับกัมพูชาตามแนวปฏิบัติที่ผ่านมาแต่มีอินโดนีเซียทำหน้าที่สนับสนุนอำนวยความสะดวกในเรื่องสถานที่ และเมื่อคำนึงถึงสถานการณ์พิเศดังกล่าวประกอบกับตามข้อ ๒ (๒) ของบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ระบุว่า “ในกรณีที่จำเป็น คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมฯ อาจประชุมกันสมัยพิเศษ เพื่อหารือเรื่องเร่งด่วนที่อยู่ในขอบข่ายอำนาจหน้าที่” และที่ผ่านมาได้มีการจัดประชุมในลักษณะดังกล่าว (การประชุมสมัยพิเศษ) มาแล้ว ๒ ครั้ง ได้แก่ การประชุมฯ ณ เมืองเสียมราฐ เมื่อวันที่ ๑๐ - ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ และการประชุมฯ ณ กรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ ๖ - ๗ เมษายน ๒๕๕๒ ดังนั้น เพื่อให้การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (JBC) เกิดขึ้นได้ โดยการหาทางปรองดองระหวางสองประเทศ จึงเห็นควรให้มีความยืดหยุ่นในการใช้ชื่อการประชุมฯ ณ เมืองโบกอร์ ประเทศอินโดนีเซียในครั้งนี้ว่าเป็นการประชุมฯ ครั้งที่ ๕ หรือครั้งพิเศษ หรือชื่ออื่น ๆ ตามที่ทั้งสองฝ่ายจะได้เห็นชอบร่วมกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||
352 | การประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ประจำภูมิภาคยุโรป ประจำปี 2554 | กต | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานสรุปผลการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ประจำภูมิภาคยุโรป ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๔ ณ นครซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่จาก ๒๑ ประเทศ รวมทั้งผู้แทนเอกเชนเข้าร่วมการประชุม โดยมีผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้
๑. นายกรัฐมนตรีของไทยได้สรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับประเทศไทย ได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจที่ผ่านพ้นวิกฤติและแนวโน้มปี พ.ศ. ๒๕๕๔ แนวทางของรัฐบาลที่เน้นแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการแสดงเจตนารมณ์จะให้มีการเลือกตั้งในโอกาสแรกเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ทางการเมือง รวมทั้งได้ขอให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ติดตามเรื่องการเจรจาการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป การจัดทำความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป (Partnership and Cooperation Agreement - PCA) ปัญหาการส่งออกผักสดไปสหภาพยุโรป และเชิญชวนประเทศในยุโรปมาลงทุนในไทยรวมทั้งบริเวณลุ่มแม่น้ำโขงโดยเฉพาะด้านโทรคมนาคม โครงสร้างสาธารณูปโภคและพลังงาน ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ขอให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ รวมทั้งคู่สมรส reach out ในประเทศที่ประจำการให้มากขึ้น เพื่อเน้นย้ำชี้แจงให้ข้อมูลในทุกเวทีที่มีโอกาสเพื่อส่งเสริมความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของไทย รวมทั้งช่วยกันหาเสียงสนับสนุนไทยในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗ - ๒๐๑๘ และให้เน้นย้ำกับทุกฝ่ายรวมทั้งองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับข้อกล่าวหากรณีรัฐบาลไทยละเมิดสิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และช่วงเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง (เมษายน - พฤษภาคม ๒๕๕๓) นอกจากนี้ ขอให้ช่วยกันสร้างความเข้าใจกับบุคคลสำคัญ/พรรคการเมืองในสภายุโรปที่ตั้งอยู่ในแต่ละประเทศสมาชิก รวมทั้งสืบเสาะหาแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศที่จะเป็นประโยชน์กับไทย ตลอดจนศึกษาตัวอย่างของการบูรณาการกฎระเบียบต่าง ๆ ที่จะเป็นแนวทางให้กับ ASEAN Economic Community
|
|||||||||||||||||||||||||||
353 | การจัดทำแนวปฏิบัติการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกร | พณ | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประกันรายได้เกษตรกรแห่งชาติ พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญโดยสรุปคือ ๑.๑ กำหนดให้มีคณะกรรมการการประกันรายได้เกษตรกรแห่งชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ และอธิบดีกรมการค้าภายในเป็นกรรมการและเลขานุการ และกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ รวมทั้งให้มีคณะอนุกรรมการการประกันรายได้เกษตรกรระดับจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานอนุกรรมการ และให้มีสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการประกันรายได้เกษตรกรแห่งชาติ โดยกรมการค้าภายใน ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ และเป็นศูนย์กลางประสานงาน ๑.๒ กำหนดแนวทางดำเนินการประกันรายได้เกษตรกรในการพิจารณากำหนดชนิดของสินค้าเกษตรที่จะใช้มาตรการประกันรายได้เกษตรกร ๑.๓ กำหนดให้การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง และภายใน ๑๒๐ วัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณทุกปี ให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงิน จัดทำงบการเงินส่งให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบ ๑.๔ กำหนดให้การดำเนินการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว หรืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อนวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ และวิธีการเดิมจนแล้วเสร็จต่อไปได้ และให้ถือว่าการดำเนินการดังกล่าวไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกี่ยวกับการกำหนดให้กรมส่งเสริมการเกษตรทำหน้าที่เกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ประกันรายได้ การทำประชาคม และการออกหนังสือรับรองฯ แต่โดยที่คู่มือการขึ้นทะเบียนผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจได้กำหนดหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเกษตรครอบคลุมถึงการทำประชาคมและการออกหนังสือรับรองแล้ว จึงสมควรตัดการทำหน้าที่ “การทำประชาคม” และ “การออกหนังสือรับรอง” ในร่างระเบียบฯ ออก และความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเพิ่มผู้แทนกระทรวงการคลังและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการในคณะกรรมการประกันรายได้เกษตรกรแห่งชาติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓ เห็นชอบคู่มือการขึ้นทะเบียนผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจ และคู่มือการจัดทำสัญญาประกันรายได้ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
354 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการและการประชุมคณะมนตรีประสานงานอาเซียนสมัยพิเศษ ที่เกาะลอมบอก สาธารณรัฐอินโดนีเซีย | กต | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการและการประชุมคณะมนตรีประสานงานอาเซียนสมัยพิเศษ ระหว่างวันที่ ๑๕ - ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔ ที่เกาะลอมบอกสาธารณรัฐอินโดนีเซีย และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอตามกรอบอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานต่อไป โดยสาระสำคัญของการประชุมสรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมเห็นชอบกับแนวคิดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการดำเนินการต่อพม่าซึ่งควรคำนึงถึงบริบทใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากมีการเลือกตั้ง ประกอบกับอาเซียนจะเป็นประชาคมในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ อาเซียนจึงควรส่งเสริมกระบวนการประชาธิปไตยในพม่าโดยสนับสนุนให้มีการหารือระหว่างนางอองซาน ซูจี กับรัฐบาลของพม่าเพื่อร่วมกันวางแผนแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในพม่า และโน้มน้าวให้ประชาคมโลกยุติการคว่ำบาตรพม่าและเลิกล้มความพยายามที่จะตั้ง Commission of Inquiry เกี่ยวกับผู้นำพม่า ทั้งนี้ มอบหมายให้อินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียนเยือนพม่าเพื่อสนับสนุนกระบวนการประชาธิปไตยในพม่าต่อไป ๒. ที่ประชุมเห็นว่าประชาคมโลกควรสนับสนุนการลดความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีโดยใช้โอกาสจากการที่เกาหลีเหนือพยายามหาช่องทางเจรจากับเกาหลีใต้ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอให้อินโดนีเซียในฐานะประธานการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum - ARF) ได้ปรึกษากับประเทศที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะประเทศที่อยู่ในการเจรจา ๖ ฝ่าย เพื่อสอบถามว่า ARF จะสามารถมีส่วนสนับสนุนการลดความตึงเครียดได้อย่างไร ๓. ที่ประชุมได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้เพื่อคงไว้ซึ่งเสถียรภาพและความมั่นคง โดยการจัดทำแนวทาง (guidelines) การนำปฏิญญาฯ มาปฏิบัติให้แล้วเสร็จในโอกาสแรก และพิจารณาจัดทำหลักปฏิบัติ (Code of Conduct) ในทะเลจีนใต้ในโอกาสต่อไป พร้อมทั้งเห็นชอบกับแนวความคิดให้ประเทศผู้อ้างสิทธิ์หาหลักการร่วมกัน (Common principles) ที่จะให้เจรจากับจีนต่อไป รวมทั้งสนับสนุนข้อเสนอที่จะให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยืนยันหลักการของ Safe passage ในทะเลจีนใต้ และส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน เช่น การเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ภัยพิบัติ หรือน้ำมันรั่ว (oil spill) เป็นต้น ๔. ที่ประชุมรับทราบจากเลขาธิการอาเซียนว่า อาเซียนจะต้องเร่งรัดการนำข้อตกลงอาเซียนมาปฏิบัติ ซึ่งปัจจุบันมีการนำเข้าข้อตกลง ๘๗ ข้อ จาก ๑๐๘ ข้อมาปฏิบัติ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เสนอให้ภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคม รวมทั้งภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมในการสร้างประชาคมอาเซียนด้วย และให้องค์การต่าง ๆ เช่น ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank - ADB) ให้ความเห็นเกี่ยวกับการจัดทำ Scorecard ของประชาคมอาเซียน อีกทั้งสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียนโดยใช้แผนแม่บทในการส่งเสริมความเชื่อมโยงในอาเซียน (Master Plan on ASEAN Connectivity) เป็นกรอบในการปฏิบัติ และเสนอให้มีการสร้าง ASEAN branding เพื่อสร้างอัตลักษณ์อาเซียน ๕. ที่ประชุมพิจารณาเห็นควรผลักดันให้การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (East Asia Summit - EAS) เน้นการหารือในประเด็นด้านยุทธศาสตร์มากกว่าประเด็นความร่วมมือในลักษณะงานด้าน functional และได้ย้ำว่า EAS ควรพิจารณาบทบาทของจีน และความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับประเทศอาเซียน และประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดยุทธศาสตร์อาเซียนต่อ EAS และเห็นชอบต่อข้อเสนอของเลขาธิการอาเซียนที่จะจัดการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาเซียนเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ของอาเซียนต่อ EAS ในประเทศไทย (คาดว่าประมาณเดือนเมษายน ๒๕๕๔) ซึ่งไทยจะประสานกับอาเซียนต่อไป ๖.ที่ประชุมเห็นชอบกับแนวความคิดที่จะให้อาเซียนมีการประสานท่าทีใน Global Issues ต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การมีท่าทีร่วมกันในเวทีระหว่างประเทศ ในการนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เสนอตัวอย่างมาตรการที่สามารถปูทางไปสู่เป้าหมายนี้ เช่น การให้คณะกรรมการอาเซียนที่นิวยอร์ก เจนิวา และเวียนนา ประสานท่าทีในเวทีสหประชาชาติ โดยเน้นการส่งเสริมความร่วมมือในเรื่องการรักษาสันติภาพ การจัดการภัยพิบัติ และความมั่นคงทางทะเล ซึ่งไทยเสนอเป็นเจ้าภาพ ASEAN Maritime Forum ครั้งที่ ๒ ในปีนี้ นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบที่จะให้อาเซียนร่วมกำหนดวิสัยทัศน์เรื่องมุมมองอาเซียนใน global issues ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียนในเดือนพฤษภาคม ศกนี้ และมีเป้าหมายระยะยาวที่จะทำแผนงานในเรื่องนี้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ ๗. ที่ประชุมเห็นชอบกับขอบเขตอำนาจหน้าที่ (Terms of Reference - TOR) ของคณะกรรมการประสานงานอาเซียนว่าด้วยเรื่องความเชื่อมโยง (ASEAN Connectivity Coordinating Committee - ACCC) เพื่อให้คณะกรรมาธิการทำงานได้อย่างจริงจังโดยแต่ละประเทศสมาชิกกำหนดจะส่งรายชื่อผู้แทนที่จะปฏิบัติงานอยู่ในคณะกรรมการดังกล่าวให้เสร็จสิ้นภายในเดือนมกราคม ศกนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||
355 | การประดับธงอาเซียน | กต | 11/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๑.๑ เห็นชอบต่อร่างแนวปฏิบัติในการใช้ธงอาเซียน (Guidelines on the Use of the ASEAN Flag) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรับรองเอกสารดังกล่าวในการประชุมคณะมนตรีประสานงานอาเซียน และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างแนวปฏิบัติฯ ที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๑.๒ ให้สำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินการตามนัยมาตรา ๔๖ วรรคสอง (๖) และวรรคสี่แห่งพระราชบัญญัติธง พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่ออนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศใช้ ชัก หรือประดับธงอาเซียนคู่กับธงชาติเป็นการถาวร ณ ที่ทำการของกระทรวงการต่างประเทศซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานเลขาธิการอาเซียนแห่งชาติ (กรมอาเซียน) รวมทั้งที่ทำการคณะผู้แทนการทูตและกงสุลของไทยในต่างประเทศ ยกเว้นประเทศที่ประเทศสมาชิกอาเซียนบางประเทศไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูต ๑.๓ ให้ทุกหน่วยราชการรับทราบแนวทางการประดับธงชาติอาเซียนดังกล่าว เพื่อพิจารณาใช้เป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับการประดับธงในการจัดประชุมและจัดกิจกรรมอาเซียนในประเทศไทยต่อไป ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการใช้ การชัก หรือการแสดงธงชาติคู่หรือร่วมกับธงของต่างประเทศ จะต้องถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการใช้ การชัก หรือการแสดงธงชาติ และธงของต่างประเทศในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๒๙ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๒๑ - ข้อ ๒๓ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
356 | การเยือนสาธารณรัฐอิตาลีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ระหว่างวันที่ 30 กันยายน - 3 ตุลาคม 2553) | กต | 21/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องประสานงานและติดตามความคืบหน้าผลการเยือนสาธารณรัฐอิตาลี ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน - ๓ ตุลาคม ๒๕๕๓ โดยวัตถุประสงค์ของการเยือนสาธารณรัฐอิตาลี เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทยกับอิตาลี ซึ่งเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองในสหภาพยุโรป และเพื่อแสวงหาความร่วมมือใหม่และเรียนรู้แนวปฏิบัติในสาขาที่อิตาลีมีความเชี่ยวชาญ รวมทั้งเพื่อลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขยายความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศไทยกับกระทรวงการต่างประเทศอิตาลี และกระชับความสัมพันธ์กับองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และโครงการอาหารโลก (WFP) ซึ่งผลการเยือนอิตาลีครั้งนี้ โดยเฉพาะการหารือกับฝ่ายต่าง ๆ ของอิตาลี ทั้งสองฝ่ายต่างตระหนักว่าสมควรที่จะเพิ่มปฏิสัมพันธ์และการกระชับความสัมพันธ์กันมากขึ้น ทั้งนี้ ภาครัฐและภาคเอกชนของอิตาลีแสดงความสนใจที่จะลงทุนและดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยฝ่ายอิตาลีกำหนดที่จะนำคณะนักธุรกิจอิตาลีเดินทางมาประเทศไทยในช่วงกลางปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งการเยือนดังกล่าวจะช่วยกระชับและส่งเสริมความสัมพันธ์อันดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน สำหรับการหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิตาลีมิได้มีการหยิบยกเรื่องความคืบหน้าของผลการสอบสวนคดีการเสียชีวิตของนาย Fabio Polenghi ช่างภาพอิสระชาวอิตาลีระหว่างเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓ อย่างไรก็ดี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งรัดการสอบสวนคดีดังกล่าวเนื่องจากเป็นประเด็นที่สื่อมวลชนและสาธารณรัฐอิตาลีให้ความสนใจ อีกทั้งฝ่ายไทยได้ให้คำมั่นที่จะแจ้งความคืบหน้าแก่ฝ่ายอิตาลี ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยให้ดำเนินการภายในกรอบของอำนาจหน้าที่ที่รับผิดชอบ
|
|||||||||||||||||||||||||||
357 | การพัฒนาระบบติดตามและประเมินผลการจัดซื้อโดยรัฐ | กค | 28/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 ให้มีการดำเนินการตามแนวทางการพัฒนาระบบติดตามและประเมินผลการจัดซื้อโดยรัฐ 1.2 ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการจัดซื้อโดย รัฐเพื่อกำกับดูแลการพัฒนาระบบการประเมินมาตรฐานการจัดซื้อโดยรัฐ กำหนดกลุ่มเป้าหมายของการประเมิน มาตรฐานการจัดซื้อโดยรัฐ รวมทั้งติดตามและรวบรวมผลการประเมินมาตรฐานการจัดซื้อโดยรัฐเพื่อนำเสนอต่อคณะ รัฐมนตรี 1.3 ให้การประเมินมาตรฐานการจัดซื้อโดยรัฐเป็นเครื่องมือในการติดตามและประเมินผลการจัดซื้อโดย รัฐ เพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงของการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง รวมทั้งเป็นตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการ องค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจที่ได้รับเงินงบประมาณ โดยกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ประสานงาน กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 1.4 ให้หน่วยงานภาครัฐที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการประเมินมาตรฐานการจัดซื้อโดยรัฐของคณะกรรม การติดตามและประเมินผลการจัดซื้อโดยรัฐ (ค.ต.ป.) ดำเนินการตามแนวทางที่ ค.ต.ป. กำหนด 1.5 ให้หน่วยตรวจสอบภายในของหน่วยงานรับผิดชอบติดตามและตรวจสอบการประเมินมาตรฐานการ จัดซื้อโดยรัฐของแต่ละหน่วยงาน โดยมี ค.ต.ป. มีหน้าที่สอบทานการปฏิบัติงานของหน่วยตรวจสอบภายใน สำหรับ กรณีของกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) มีหน้าที่กำกับ ติดตาม และตรวจสอบการประเมินมาตรฐานการจัดซื้อโดยรัฐขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจ ตาม ลำดับ โดยมี ค.ต.ป. พิจารณารวบรวมนำเสนอคณะรัฐมนตรี 2. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การ ประเมินมาตรฐานระดับหน่วยงานเรื่องแนวปฏิบัติการจัดซื้อจัดจ้างและผู้ประกอบการเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาและ อุปสรรคในการจัดซื้อจัดจ้างในเชิงลึก และควรมีการสร้างความพร้อมให้กับส่วนราชการและผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบการ ติดตามและประเมินผลการจัดซื้อโดยรัฐทั้งระบบ รวมทั้งสนับสนุนให้สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมิน ผลการจัดซื้อโดยรัฐได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ และเมื่อส่วนราชการและผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบการติดตามและ ประเมินผลการจัดซื้อโดยรัฐมีความพร้อมแล้ว ให้กำหนดเป็นประเด็นการสอบทานของ ค.ต.ป. และกำหนดเป็นตัวชี้ วัดตามคำรับรองการปฏิบัติราชการโดยมีกรมบัญชีกลางเป็นเจ้าภาพในเรื่องนี้ต่อไป นอกจากนี้ การกำหนดกลุ่มเป้า หมายของการประเมินมาตรฐานการจัดซื้อโดยรัฐ ค.ต.ป. ควรพิจารณาให้ความสำคัญกับโครงการที่มีความเสี่ยงเรื่อง การเงินสูงหรือมีมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างสูง โครงการที่มีผลกระทบต่อสาธารณชนเป็นจำนวนมาก โครงการที่มีความ ถี่ในการจัดซื้อจัดจ้างที่สูงเกินความจำเป็นจนเป็นที่ผิดสังเกต เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
358 | ผลการประชุม Symposium on Energy Saving and Biofuel Utilization ภายใต้แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย | นร | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการประชุม Sympos
ium on Energy Saving and Biofuel Utilization ภายใต้แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย- มาเลเซีย-ไทย เพิ่มเติม โดย Economic Research Institute for ASEAN and East Asia (ERIA) ซึ่งเป็นพันธมิตรการ พัฒนาของ IMT-GT เป็นเจ้าภาพร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์จัดการประชุมฯ ขึ้นระหว่างวันที่ 1-2 กันยา ยน 2553 ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จังหวัดสงขลา โดยมีข้อสรุป สำคัญจากการประชุมฯ ดังนี้ 1. ศักยภาพของพื้นที่ แม้มีอุปสรรคในการพัฒนาไบโอดีเซลในด้านต้นทุนการผลิต การควบคุมคุณภาพ ความสามารถในการแข่งขันกับการแปรรูปเป็นอาหาร การประเมินการปล่อยคาร์บอน รวมทั้งผลด้านลบของไบโอ ดีเซลเองในด้านสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพแต่มีปัจจัยความสำเร็จได้ ได้แก่ แรงปรารถนาทางการ เมืองที่จะปรับสู่การใช้ไบโอดีเซล การนำ Best practice ไปประยุกต์ ผลตอบแทนทางการเงินที่มั่งคง และการ พัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพบุคลากร ทั้งนี้ โดยต้องไม่เกิดการพึ่งพาพลังงานทดแทนและเกิดผลกระทบต่อสภาพ แวดล้อม 2. โอกาสทางการตลาด ญี่ปุ่นเป็นตลาดสำคัญ และมีความพร้อมด้านองค์ความรู้ เทคโนโลยีและประสบ การณ์ ประสงค์ที่จะให้ความร่วมมือกับประเทศผู้ผลิตไบโอดีเซล เพื่อสร้างความมั่นคงต่ออุปทาน โดย ERIA มีบท บาทนำในด้านการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน การกำหนดมาตรฐานและแนวปฏิบัติด้านผลิต และการค้าด้านพลังงาน ทดแทน ซึ่งเหมาะสมกับพื้นที่ IMT-GT จะสนับสนุนการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งตลาดไบโอดีเซลในภูมิ ภาคเอเชียโดยใช้มาตรฐานไบโอดีเซลของกลุ่ม EAS-ERIA และแนวปฏิบัติของ ERIA ด้านการพัฒนาพลังงานชีวมวล อย่างยั่งยืนมาปรับเป็นมาตรฐานแนวปฏิบัติของ IMT-GT โดยในอนาคตจะมีการพัฒนามาตรฐานกลางด้านเทคนิค มาตรฐานผลิตภัณฑ์ โครงสร้างพื้นฐานระบบการค้า การคุ้มครองมาตรฐาน และความร่วมมือด้านการพัฒนาอย่าง ยั่งยืน
|
|||||||||||||||||||||||||||
359 | สรุปผลการประชุมโต๊ะกลมรัฐมนตรีจีน - อาเซียน ด้านการศึกษา ครั้งที่ 1 | ศธ | 07/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอสรุปผลการประชุมโต๊ะกลมรัฐมนตรีจีน-อาเซียน ด้านการศึกษา ครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งของการจัดเทศกาลสัปดาห์การศึกษาจีน-อาเซียน ครั้งที่ 3 โดยกระทรงศึกษาธิการ กระทรวงการต่างประเทศ และจังหวัดกุ้ยโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ประสงค์จะเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างอาเซียน และจีน ด้านการศึกษา มีพิธีเปิดการประชุมฯ เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 โดยในส่วนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยได้กล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ “การเสริมสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาจีน-อาเซียน การแลกเปลี่ยนนักเรียน และการสอนภาษา” โดยขอส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนและจีนภายใต้กรอบการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกเพื่อยกระดับการแข่งขันภูมิภาค การร่วมแบ่งปันทรัพยากรทางการศึกษาระหว่างกัน นำไปสู่การส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเพื่อรองรับการปรับตัว และการเคลื่อนย้ายประชาชนในภูมิภาค รวมทั้งการสนับสนุนการดำเนินการของอาเซียน ซีมีโอ และเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน เพื่อร่วมมือกันดำเนินโครงการในการเพิ่มโอกาสทางการศึกษา ส่งเสริมการไหลเวียนขององค์ความรู้อย่างเสรี สร้างเสริมทักษะของแรงงาน และการเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพให้แก่ประชาชนในภูมิภาค ทั้งนี้ ภายหลังจากการประชุมฯ แล้ว ได้มีการออกแถลงการณ์กุ้ยหยาง (the Guiyang Declaration) ร่วมกัน สาระสำคัญมีดังนี้
1. การเสริมสร้างความร่วมมือในการสร้างกลไกเพื่อส่งเสริมการติดต่อสื่อสารระหว่างประชาชนกับประชาชน และการหารือกันระหว่างผู้บริหารระดับสูง เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกันในด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การสาธารณสุข และกีฬา 2. การส่งเสริมการเพิ่มจำนวนทุนการศึกษาจากทั้งสองฝ่าย โดยสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเริ่มต้นโครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนจีนอาเซียน จำนวน 100,000 คน ภายในปี 2563 3. การพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยการเรียนรู้จากแนวปฏิบัติที่ดีของแต่ละประเทศเพื่อที่จะสามารถรับมือกับสิ่งท้าทายที่เกิดจากความก้าวหน้าทางสังคมเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว และการพัฒนาในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยจะมีการพัฒนาโครงการร่วมปริญญาโทและเอกในสาขาด้านการศึกษา สิ่งแวดล้อม การแพทย์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4. การดำเนินการเพื่อมุ่งไปสู่การยอมรับคุณวุฒิการศึกษาระหว่างกันในระหว่างประเทศสมาชิกรวมถึงการรับรองและถ่ายโอนหน่วยกิตระหว่างมหาวิทยาลัย ในสาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศอาเซียน 5. การสนับสนุนโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนจีนอาเซียน 100,000 คน เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยน การเรียนรู้ด้านภาษา วัฒนธรรม การกีฬาภายในปี 2563
|
|||||||||||||||||||||||||||
360 | รายงานความคืบหน้าการทบทวนระบบบริหารจัดการนมโรงเรียนตามมติคณะรัฐมนตรี | กษ | 07/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานความคืบหน้าการทบทวนระบบ
บริหารจัดการนมโรงเรียน ตามมติคณะรัฐมนตรี ดังนี้ 1. คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ในการประชุมครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2553 มี มติเห็นชอบหลักเกณฑ์ และแนวทางปฏิบัติโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ภาคเรียนที่ 1/2553 และให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติ ซึ่งมีสาระสำคัญได้แก่ 1.1 หลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ 1.2 หลักเกณฑ์การจัดสรรสิทธิและพื้นที่จำหน่ายนมโรงเรียนให้กับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ 1.3 แนวปฏิบัติในการจัดซื้อนมโรงเรียนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และโรงเรียนเอกชน 1.4 แนวปฏิบัติการในการขนส่งและเก็บรักษานมโรงเรียน 1.5 มาตรการควบคุม กำกับ ดูแลการจำหน่ายนมในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน 1.6 ราคาจัดซื้อนมโรงเรียน กำหนดให้ลดจากราคากลางเดิมที่กำหนดไว้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวัน ที่ 13 พฤษภาคม 2552 โดยนมพาสเจอร์ไรส์ลดลงถุงล ะ 0.20 บาท และ นม ยู.เอช.ที. ลดลงกล่อง/ซองละ 0.25 บาท ยกเว้นพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา เฉพาะ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอสะบ้าย้อย นาทวี เทพา และจะนะ เฉพาะนม ยู.เอช.ที. ให้จัดซื้อในราคากลางเดิม 2. ผลการดำเนินงาน ได้คัดเลือกผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ สำหรับภาคเรียนที่ 1/2553 รวม ทั้งสิ้น 68 ราย และสามารถจัดสรรสิทธิและพื้นที่การจำหน่ายนมโรงเรียนในระดับพื้นที่จังหวัดทั้ง 76 จังหวัด โดย แยกประเภทผู้ซื้อเป็น อปท. จำนวน 7,851 แห่ง จำนวนนักเรียน 6,712,737 คน และเป็นโรงเรียนเอกชนสังกัด สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) จำนวนนักเรียน 1,411,450 คน ทั้งนี้ ผู้ประกอบการนม โรงเรียนทั้ง 68 ราย รับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรตามบันทึกข้อตกลง (MOU) รวม 1,211 ตันต่อวัน
|
.....