ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 19 จากทั้งหมด 25 หน้า แสดงรายการที่ 361 - 380 จากข้อมูลทั้งหมด 486 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
361 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 2 ที่มีข้อเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นการเฉพาะ (มติ 2 เรื่อง แผนพัฒนาที่ยั่งยืนบนฐานการพึ่งตนเองด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม กรณีภาคใต้ ฯลฯ) | สช | 20/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2552 มติ 2 เรื่อง แผนพัฒนาที่ยั่งยืนบนฐานการพึ่ง ตนเองด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม กรณีภาคใต้ มติ 4 เรื่อง ยุติการส่งเสริมการขายยาที่ขาดจริยธรรม : เพื่อลด ความสูญเสียทางเศรษฐกิจ และสุขภาพของผู้ป่วย มติ 5 เรื่อง ยุทธศาสตร์นโยบายแอลกอฮอล์ระดับชาติ และมติ 8 เรื่อง การจัดการปัญหาภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน ซึ่งคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ในการประชุมครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2553 เห็นชอบแล้ว และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติในส่วนที่ เกี่ยวข้อง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เสนอ 2. ให้ สช. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วน ที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนี้ 2.1 มติ 2 ควรเพิ่มนโยบายการสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับเยาวชนภาคใต้ได้สามารถเรียนรู้วิชา ชีพที่เชื่อมต่อกับการประกอบอาชีพ พัฒนาทักษะวิชาชีพที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตจริงควบคู่ไป การให้ความสำคัญกับการ พัฒนาอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ตามความต้องการและความจำเป็นของท้องถิ่นโดยไม่กระทบวิถี ชีวิตและสุขภาพชุมชนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวปฏิบัติในการเชื่อม โยงวิถีชีวิต เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และการเมืองที่มีความสมดุล มั่นคง เป็นธรรม ยั่งยืน พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงตาม หลักของความพอประมาณ 2.2 มติ 5 และมติ 8 ควรสนับสนุนให้มีการเรียนรู้หรือกิจกรรมนอกหลักสูตร เพื่อเพิ่มพื้นที่เรียนรู้ ในรูปแบบของทักษะชีวิต ทักษะสังคม (Socialization) กิจกรรมที่เน้นการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมความเป็นผู้นำที่ ทำให้เยาวชนสามารถเรียนรู้การใช้ชีวิตในสังคมอย่างมีเหตุผล เพื่อเพิ่มทางเลือกของเยาวชน นักศึกษา ในการใช้เวลา ว่างให้เกิดประโยชน์ และห่างไกลภาวะความเสี่ยงต่าง ๆ ในสังคม 2.3 ในการจัดทำร่างแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืนมีความสอดคล้องและให้ ความสำคัญตามประเด็นในมติสมัชชาสุขภาพแล้ว ทั้งนี้ การทบทวนร่างแผนแม่บทฯ และแผนพัฒนาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ควรมอบให้คณะกรรมการพัฒนาเขตอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์เป็นผู้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2552 เนื่องจากมีหน้าที่ในการพิจารณาและกำหนดนโยบาย แผนงาน โครงการและมาตรการในการพัฒนาอุตสาห กรรมภาคการผลิตเชิงนิเวศน์ให้สามารถดำรงอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืนในภาพรวมทั้งระบบ 2.4 การดำเนินงานตามมติ 5 ควรให้มีการทบทวนมาตรการด้านสุขภาพที่ดำเนินการอยู่ปัจจุบันทั้ง ระบบ ทั้งนี้ การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ต้องดำเนินการร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน ชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครือข่ายประชาคมด้านสุขภาพ โดยคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เช่น ปัจจัยทาง ด้านเศรษฐกิจและสังคม สภาพแวดล้อม พฤติกรรมสุขภาพ ระบบบริการสุขภาพ เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
362 | กรอบแนวทางการกำหนดรูปแบบและกลไกการประกันรายได้เกษตรกรแห่งชาติ | พณ | 20/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) รับไปจัดตั้งคณะทำงานเพื่อ
ดำเนินการจัดทำเป็นแนวปฏิบัติ (Operation Manual) เกี่ยวกับเรื่อง การดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรใน ทุกประเภทสินค้า เพื่อให้มีรูปแบบกลไกการปฏิบัติที่ชัดเจน เป็นระบบ และมีเอกภาพในภาพรวมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
363 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีด้านแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 21 | รง | 29/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีด้านแรงงานอาเซียน
ครั้งที่ 21 (21st ASEAN Labour Ministers Meeting : ALMM) ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ซึ่ง จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-24 พฤษภาคม 2553 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเข้าร่วมในการประชุม ฯ สรุป สาระสำคัญของการประชุมฯ ได้ดังนี้ 1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้รายงานภาพรวมความคืบหน้าการดำเนินงานด้านแรงงานของอา เซียน ซึ่งเน้นประเด็นแนวปฏิบัติด้านแรงงานก้าวหน้า ความปลอดภัยและอนามัยในการทำงานและแรงงานอพยพ แผนงาน ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) Blueprint 2. ที่ประชุมฯ ได้มีการคัดเลือก ALMM Chairperson และ ALMM Vice Chairperson คนใหม่ โดยเห็นชอบ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเป็น ALMM Chairperson และรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงแรงงานกัมพูชาเป็น ALMM Vice Chairperson 3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้กล่าวรายงานถึงความพยายามของรัฐบาลไทยในการฟื้นฟูเศรษฐ กิจ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของไทยปี พ.ศ. 2550-2554 การน้อมนำพระราชดำริของพระบาทสม เด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเรื่อง เศรษฐกิจแบบพึ่งพาตนเองและการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาดำเนินการ รวมทั้ง การดำเนินงานของกระทรวงแรงงานเพื่อให้แรงงานได้รับสิทธิประโยชน์และความมั่นคงในการทำงาน การเพิ่มผลิต ภาพของกำลังแรงงาน การพัฒนากรอบมาตรฐานสมรรถนะรายสาขาอาชีพ การขยายความคุ้มครองทางสังคมไป ยังแรงงานนอกระบบ และการพัฒนาร่างแผนงานที่มีคุณค่า 4. ที่ประชุมได้รับรองแผนงานรัฐมนตรีแรงงานปี พ.ศ. 2553-2558 (ASEAN Labour Ministers'' Work Programme 2010-2015) เนื่องจากเป็นแผนงานที่ได้กำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินงานของประเทศสมาชิก กิจ กรรม ผู้รับผิดชอบ ปฏิบัติการดำเนินงานฯ ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งประเทศไทยจำเป็นจะต้องรายงานความคืบหน้าการ ดำเนินงานในเวทีการประชุมต่าง ๆ ของอาเซียนอย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
364 | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศนำคณะเอกอัครราชทูตต่างประเทศเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ | กต | 22/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการนำคณะเอกอัครราชทูตกลุ่ม
ประเทศลาตินอเมริกา แอฟริกา และยุโรปเดินทางไปเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระหว่างวันที่ 20-21 กุมภาพันธ์ 2553 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้นำคณะฯ เดินทางเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อรับทราบ สถานการณ์ที่แท้จริงในพื้นที่โดยรับฟังข้อมูลจากหน่วยงานของภาครัฐและองค์กรภาคประชาสังคมในพื้นที่ ดังนี้ 1. เข้าพบแม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เพื่อรับทราบสถานการณ์ความ ไม่สงบในพื้นที่ ดูงานกิจกรรมของศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ณ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี รวมถึงโครง การญาลันนันบารู ซึ่งเป็นโครงการอบรมเยาวชนกลุ่มเสี่ยงที่เสพหรือมีแนวโน้มที่จะข้องเกี่ยวกับยาเสพติด โดยการ ใช้หลักศาสนาเข้าโน้มนำจิตใจ 2. เยี่ยมชมโครงการสภาสันติสุขตำบลปิยะมุมัง อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้ นำ 4 เสาหลักเพื่อร่วมมือกันสร้างสันติสุขและแสดงถึงความร่วมมือกันระหว่างชุมชนไทยมุสลิมและชุมชนไทยพุทธ ในพื้นที่ 3. เข้าพบปะคณะกรรมการกลางอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี ณ มัสยิดกลาง จังหวัดปัตตานี เพื่อแลก เปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับสถานะความเป็นอยู่ของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งบทบาทของผู้นำ ศาสนาในชุมชนท้องถิ่น 4. เข้ารับฟังบรรยายสรุปจากนักวิชาการ และผู้แทนองค์กรภาคประชาสังคม ณ มหาวิทยาลัยสงขลา นครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ซึ่งมีหัวข้อการบรรยาย อาทิ เรื่อง การศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งสถาบัน การสอนศาสนาตามวิถีดั้งเดิม (ปอเนาะและตาดีกา) เรื่อง สถิติและแนวโน้มการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดน ภาคใต้ และทัศนคติของประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุก เฉิน พ.ศ. 2548 เป็นต้น ตลอดจนรับฟังการบรรยายสรุปการทำงานและมุมมองของภาคประชาสังคม 5. เข้าพบปะหารือกับดาโต๊ะยุติธรรมประจำสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และสมาชิกสภาที่ปรึกษาเสริม สร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สสต.) ณ ศาลากลาง จังหวัดยะลา เพื่อรับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับการ ใช้กฎหมายอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบัน แนวทางพัฒนาการใช้กฎหมายอิสลามในประเทศไทย บท บาทการดำเนินงานที่สำคัญของสภาที่ปรึกษาเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ 6. เยี่ยมชมศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ภาค 4 เพื่อรับฟังบรรยายสรุปเรื่องแนวปฏิบัติในการเชิญผู้ต้องสงสัยมาซักถามที่สอดคล้องกับหลักกฎหมายสิทธิ มนุษยชนสากลอย่างเคร่งรัด และรับทราบกิจกรรมของศูนย์ฯ ในด้านการสอนเกษตรชีวภาพตามแนวทางเศรษฐ กิจพอเพียง การเชิญผู้นำศาสนาท้องถิ่นมาสอนศาสนา และการจัดกิจกรรมสันทนาการ เช่น การเล่นกีฬา การ ประกอบอาหารฮาลาลร่วมกัน เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
365 | สาระสำคัญ 65 โครงการที่ต้องดำเนินการตามมาตรา 67 วรรคสอง และแนวทางการแก้ไขปัญหา | อก | 23/02/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการว่างงาน
อันเนื่องมาจากศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งระงับ 65 โครงการ ที่ต้องดำเนินการตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนี้ 1. มาตรการเตรียมการรองรับปัญหาการเลิกจ้าง 1.1 ติดตามและเฝ้าระวังสถานประกอบกิจการในพื้นที่ที่ประสบปัญหาหรือได้รับผลกระทบจากการ ระงับโครงการ 1.2 จัดเตรียมตำแหน่งงานว่างในประเภทกิจการ/ลักษณะงานเดียวกัน หรือใกล้เคียงกันเพื่อรองรับ ผู้ถูกเลิกจ้าง 1.3 กำหนดทิศทางการตรวจแรงงาน 2. มาตรการบรรเทาความเดือดร้อนและการช่วยเหลือ 2.1 จัดตั้งจุดบริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) 2.2 ให้คำแนะนำ ชี้แจงเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่ลูกจ้างพึงได้รับ 2.3 กรณีนายจ้างไม่จ่ายสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย ให้ลูกจ้างยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน เพื่อให้ดำเนินการเรียกสิทธิประโยชน์ตามแนวปฏิบัติ ฯ และให้เจ้าหน้าที่ชี้แจงถึงสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ที่ลูกจ้าง พึงมี 2.4 มาตรการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด 2.5 อำนวยความสะดวกให้กับลูกจ้าง หากลูกจ้างประสงค์ให้เจ้าหน้าที่เป็นทนายความแก้คดี 2.6 ให้บริการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด 2.7 ประสานนายจ้าง/สถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบ จัดฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะ ความรู้ ความสามารถของลูกจ้างเพื่อชะลอการเลิกจ้าง 2.8 จัดฝึกอาชีพเสริมและการประกอบอาชีพอิสระให้แก่ผู้ถูกเลิกจ้าง ว่างงาน 2.9 ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าดำเนินการช่วยเหลือลูกจ้าง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
366 | การเปลี่ยนชื่อส่วนราชการ (กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) (จำนวน 4 ฉบับ 1. ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อ "สำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว" เป็น "กรมการท่องเที่ยว" พ.ศ. .... ฯลฯ) | กก | 16/02/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และ ให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ 1.1 ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อ "สำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว" เป็น "กรมการท่องเที่ยว" พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้เปลี่ยนชื่อสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว เป็น กรมการท่องเที่ยว และเปลี่ยนชื่อตำแหน่ง ของผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว เป็น อธิบดีกรมการท่องเที่ยว และรองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนา การท่องเที่ยว เป็น รองอธิบดีกรมการท่องเที่ยว 1.2 ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อ "สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ" เป็น "กรมพลศึกษา" พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้เปลี่ยนชื่อสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ เป็น กรมพลศึกษา และ เปลี่ยนชื่อตำแหน่งของผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ เป็น อธิบดีกรมพลศึกษา และรองผู้ อำนวยการสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ เป็น รองอธิบดีกรมพลศึกษา 2. กรณีร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พ.ศ. .... และ ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ ที่กระทรวง การท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ให้ดำเนินการตามแนวปฏิบัติในการเสนอร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการภายในกรม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาส่งร่างกฎกระทรวง จำนวน 2 ฉบับดังกล่าว ให้สำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณาแล้วส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดำเนินการต่อไป 3. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อส่วนราชการดัง กล่าวโดยเสนอเพิ่มเติมภารกิจและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการที่เปลี่ยนแปลงใหม่ตามร่างกฎกระทรวง ฯ ตามข้อ 2 จากเดิมซึ่งมีภารกิจหลักในงานนโยบาย งานให้คำปรึกษา หรืองานวิชาการแต่เพียงอย่างเดียว โดยเพิ่มเติมให้มีภาร กิจในงานปฏิบัติและให้บริการประชาชนด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะงานที่ปฏิบัติในปัจจุบัน นั้น จะต้องไม่เป็น การเพิ่มอัตรากำลังและภาระของงบประมาณ และให้คำนึงถึงบทบาทการดำเนินการของภาครัฐในการสนับสนุนงาน ด้านการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหลัก ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 เรื่อง การ ปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ ไปดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
367 | นโยบายบริการโลหิตแห่งชาติ พ.ศ. 2553 | นร | 02/02/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการนโยบายบริการโลหิตแห่งชาติ พ.ศ. 2553 ของสภากาชาดไทย ตามที่สำนักเลขา ธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยนโยบายบริการโลหิต ฯ มีเป้าประสงค์นโยบาย ดังนี้ 1.1 เป้าประสงค์นโยบายที่ 1 การบริหารจัดการงานบริการโลหิตของประเทศมีประสิทธิภาพ และมี การประสานงานอย่างเป็นเอกภาพ โดยศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เป็นองค์กรหลัก 1.2 เป้าประสงค์นโยบายที่ 2 มีโลหิตในปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของประเทศ 1.3 เป้าประสงค์นโยบายที่ 3 ผู้ป่วยได้รับโลหิตที่ปลอดภัยตามหลักการขององค์การอนามัยโลกโดย เริ่มจากการจัดหาโลหิตในประชากรที่มีความเสี่ยงต่ำ การคัดกรองผู้บริจาคโลหิต และโลหิตทุกยูนิตต้องผ่านการ ตรวจคัดกรองการติดเชื้อตามมาตรฐานและตรวจความเข้ากันได้ของโลหิตบริจาคกับผู้ป่วย 1.4 เป้าประสงค์นโยบายที่ 4 งานบริการโลหิตมีคุณภาพในทุกกระบวนการและทุกระดับ 1.5 เป้าประสงค์นโยบายที่ 5 มีการใช้โลหิตอย่างเหมาะสม มีเกณฑ์และแนวปฏิบัติไปในทางเดียวกัน 1.6 เป้าประสงค์นโยบายที่ 6 มีกฎ ระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงานบริการโลหิตตามความ เหมาะสมและจำเป็น รวมทั้งการบังคับใช้ ติดตาม แก้ไข ปรับปรุง ทบทวน กฎระเบียบและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เป็นระยะ ๆ 1.7 เป้าประสงค์นโยบายที่ 7 การวิจัยและพัฒนางานบริการโลหิตได้รับการส่งเสริมสนับสนุนอย่าง ต่อเนื่อง 1.8 เป้าประสงค์นโยบายที่ 8 การผลิตผลิตภัณฑ์จากพลาสมาเพื่อใช้รักษาผู้ป่วย ได้รับการส่งเสริม และพัฒนา เพื่อลดการนำเข้าจากต่างประเทศ โดยมีศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เป็นองค์กรหลัก 1.9 เป้าประสงค์นโยบายที่ 9 บริการเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตจากอาสาสมัครผู้บริจาคเซลล์ต้นกำ เนิด ให้แก่ผู้ป่วยได้รับการพัฒนาเพื่อมุ่งสู่คุณภาพตามมาตรฐานสากล 2. ให้สภากาชาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้สภากาชาดไทยเป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนการดำเนินงานให้มีความครอบคลุมถึงเป้าหมาย ตัวชี้วัด รูปแบบและ วิธีการบริหารจัดการ รวมถึงประมาณการค่าใช้จ่ายที่ชัดเจนในแต่ละช่วงเวลา รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเพิ่มแนวทางการพัฒนาทักษะบุคลากรให้รองรับกับการ ปรับระบบบริการโลหิต และจัดทำแผนการจัดเก็บและการบริหารจัดการโลหิต/ผลิตภัณฑ์โลหิต ในกรณีที่เกิดภาวะ ฉุกเฉินและภัยพิบัติ เพื่อให้การบริการโลหิตในสถานการณ์วิกฤตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 2 เรื่อง การจัดหาโลหิตเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
368 | การโอนใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียนบางกอกพัฒนาให้แก่มูลนิธิโรงเรียนบางกอกพัฒนา | กต | 12/01/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2506 ที่อนุมัติให้กรมวิเทศสหการรับเป็นเจ้าของโรง เรียนบางกอกพัฒนา โดยถือแนวปฏิบัติอย่างเดียวกับที่กระทรวงการต่างประเทศรับเป็นเจ้าของโรงเรียนมหาไถ่ (โรง เรียนร่วมฤดีวิเทศศึกษา) ซึ่งปัจจุบันได้โอนใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียนร่วมฤดีวิเทศศึกษา ให้แก่มูลนิธิคณะสงฆ์พระมหา ไถ่แห่งประเทศไทย และได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีตามมติเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2550 แล้ว ทั้งนี้ ให้สำนัก งานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (สพร.) กระทรวงการต่างประเทศมีอำนาจในการโอนใบอนุญาตดัง กล่าวให้แก่มูลนิธิโรงเรียนบางกอกพัฒนา ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ 2. ให้กระทรวงการต่างประเทศตรวจสอบคุณสมบัติของมูลนิธิโรงเรียนบางกอกพัฒนา ซึ่งต้องเป็นไปตาม พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 มาตรา 22 ก่อนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
369 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ | 29/12/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัด
กระทรวง กระทรวงยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามแนวปฏิบัติในการเสนอร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราช การภายในกรม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 โดยส่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้ ก.พ.ร. พิจารณาภายใน 2 สัปดาห์ แล้วส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
370 | รายงานการปฏิบัติงานของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครองประจำปี 2551 | ศป | 22/12/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานศาลปกครองรายงานการปฏิบัติงานของศาลปกครองและสำนัก
งานศาลปกครองตามแผนยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน 6 ยุทธศาสตร์ ประจำปี พ.ศ. 2551 ดังนี้ 1. ยุทธศาสตร์ที่ 1 การยกระดับมาตรฐานงานคดีและการบังคับคดีปกครอง 1.1 สถิติคดีของศาลปกครอง โดยในส่วนของศาลปกครองชั้นต้นมีปริมาณคดีสู่การพิจารณา 4,254 คดี พิจารณาคดีแล้วเสร็จ 3,873 คดี อยู่ระหว่างการพิจารณา 381 คดี สำหรับศาลปกครองสูงสุดมีปริมาณคดีสู่ การพิจารณา 1,998 คดี พิจารณาคดีแล้วเสร็จ 1,538 คดี อยู่ระหว่างการพิจารณา 460 คดี 1.2 การให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับคดีปกครอง 8,200 ราย 1.3 การบังคับคดีปกครอง มีคดีที่ต้องดำเนินการบังคับคดี 1,119 คดี บังคับคดีแล้วเสร็จ 361 คดี อยู่ระหว่างการบังคับคดี 758 คดี 2. ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาระบบบริหารทรัพยากรมนุษย์และการสร้างวัฒนธรรมองค์กร ได้มีการ อบรมสัมมนาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของบุคลากรในกลุ่มตุลาการศาลปกครอง และข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง 3. ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาองค์ความรู้และระบบการจัดการองค์ความรู้ที่มีประสิทธิภาพ ได้พัฒนา องค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมทางปกครองทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ 4. ยุทธศาสตร์ที่ 4 การเสริมสร้างโอกาสการเข้าถึงความยุติธรรมทางปกครอง โดยสร้างเครือข่ายและ จัดกิจกรรมเพื่อเผยแพร่ให้ความรู้ ความเข้าใจ และเสริมสร้างโอกาสการเข้าถึงความยุติธรรมแก่ประชาชน 5. ยุทธศาสตร์ที่ 5 การเผยแพร่แนวปฏิบัติราชการที่ดีเพื่อลดและป้องกันการเกิดข้อพิพาททางปกครอง ได้เผยแพร่แนวทางการปฏิบัติราชการที่ดีเพื่อลดและป้องกันการเกิดข้อพิพาททางปกครอง ส่งผลให้หน่วยงานทาง ปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีแนวทางการปฏิบัติราชการที่ดี รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับแนวทาง การปฏิบัติราชการ 6. ยุทธศาสตร์ที่ 6 การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการองค์กร มีระบบการบริหารจัดการองค์กร ที่มีประสิทธิภาพและทันสมัย โดยนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการสนับสนุนการดำเนินงานด้านต่าง ๆ อย่างเหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
371 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่างๆ ระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 | นร | 20/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 และ รายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.) คณะต่าง ๆ ประจำ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ซึ่งผลการประเมินตนเองในภาพรวมของคณะกรรมการ ฯ รายคณะ อยู่ในเกณฑ์ระดับดี เยี่ยม รวมทั้งเห็นชอบกับข้อเสนอของ ค.ต.ป. ที่ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดทำ แผนการตรวจสอบและประเมินผลด้านต่าง ๆ และการดำเนินการตามแผน การจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ รายงานการเงิน และการสอบทานกรณีพิเศษ ตามที่เลขาธิการ ก.พ.ร. กรรมการและเลขานุการ ค.ต.ป. เสนอ 2. มอบให้ ค.ต.ป. ส่วนราชการที่เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการตามข้อเสนอของ ค.ต.ป. รับความเห็นของ กระทรวงการคลังในประเด็นข้อเสนอของ ค.ต.ป. ที่กำหนดให้ส่วนราชการและจังหวัดมอบหมายให้ผู้ปฏิบัติงานด้าน บัญชี การเงินของส่วนราชการและจังหวัดที่ผ่านการอบรมด้านบัญชีของระบบ GFMIS ต้องปฏิบัติงานตามที่ได้อบรม มาเป็นระยะเวลา 2 ปี จะโยกย้ายเปลี่ยนแปลงได้ต่อเมื่อสามารถถ่ายทอดความรู้ด้านบัญชีของระบบ GFMIS ให้กับ บุคลากรเพื่อนร่วมงานที่ได้มอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่แทน โดยหัวหน้าส่วนราชการและจังหวัดกำกับดูแลอย่างใกล้ ชิด ควรกำหนดให้ส่วนราชการและจังหวัดส่งเสริมให้ข้าราชการทุกคนที่ต้องรับผิดชอบปฏิบัติงานด้านบัญชี การเงิน ได้มีโอกาสรับการอบรมจากกรมบัญชีกลางอย่างสม่ำเสมอโดยทั่วถึงหรือสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินการจัดฝึก อบรมภายในส่วนราชการเองด้วย และข้อเสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกำกับดูแลผู้ปฏิบัติงานด้านบัญชี การเงินอย่าง ใกล้ชิด นั้น เนื่องจากงบการเงินจังหวัดที่จัดทำขึ้นจนถึงปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 เป็นงบการเงินจังหวัดที่แยกแสดง ตามพื้นที่ โดยรวบรวมงบทดลองของส่วนราชการทุกแห่งในพื้นที่ของจังหวัด และมิได้มีการปรับปรุงรายการซ้ำซ้อน ระหว่างงาน ทั้งนี้ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 งบการเงินจังหวัดที่จะจัดทำขึ้นมี 2 แบบ คือ งบการเงินจังหวัดที่ แยกแสดงตามพื้นที่ (ผู้รับผิดชอบดำเนินการจัดทำคือ สำนักงานคลังจังหวัด) และงบการเงินจังหวัดในฐานะเจ้าของ งบประมาณจังหวัดซึ่งจะแสดงฐานะการเงิน รายได้ ค่าใช้จ่าย จัดทำรายการทางบัญชีที่เกิดจากการใช้งบประมาณ รายจ่ายของจังหวัดของส่วนราชการและของหน่วยงานภายในจังหวัด ซึ่งมิได้มีการปรับปรุงรายการซ้ำซ้อนระหว่าง หน่วยงาน (ผู้รับผิดชอบดำเนินการจัดทำคือ สำนักงานจังหวัด) รวมทั้งรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรายงานความก้าวหน้า การดำเนินงานตามข้อเสนอแนะทุก 6 เดือน จะเป็นการรายงานซ้ำซ้อนกับรายงานผลการตรวจสอบและประเมิน ผลภาคราชการที่ ค.ต.ป. ประจำกระทรวง ต้องจัดทำทุก ๆ 6 เดือน จึงสมควรมอบหมายให้ ค.ต.ป. ประจำกระทรวง เป็นผู้ติดตาม และรายงานผลการปรับปรุงการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะดังกล่าวต่อ ค.ต.ป. ตามแนวปฏิบัติที่ได้ กำหนดไว้แล้ว ไปพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
372 | การปรับปรุงหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร | นร | 20/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบหลักการการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหารที่ได้ปรับปรุงใหม่ และ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องซึ่งมีอำนาจดำเนินการตามกฎหมายยึดถือเป็นแนวปฏิบัติ และให้คณะกรรมการพัฒนา ระบบราชการเป็นผู้พิจารณาเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีในการจำแนกประเภทให้แก่หน่วยงานของรัฐที่จัดตั้ง ขึ้นใหม่ และแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ 2. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงบ ประมาณ และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เกี่ยวกับกรณีรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในเกณฑ์ที่อาจปรับสถานภาพ เป็นองค์การมหาชน จำนวน 10 แห่ง ประกอบด้วยองค์การสวนสัตว์ สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การกีฬาแห่งประเทศไทย สถาบันการบิน พลเรือน องค์การสวนพฤกษศาสตร์ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ องค์การจัดการน้ำเสีย และองค์การ ตลาดเพื่อเกษตรกร เนื่องจากรัฐวิสาหกิจเหล่านี้มีกฎหมายจัดตั้งเป็นการเฉพาะตามสถานะการดำเนินงานที่แตก ต่างกัน และปัจจุบันมีระบบการกำกับดูแลที่ชัดเจนโดยเฉพาะระบบประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะมี การประเมินผลสัมฤทธิ์ของงานเป็นประจำทุกปี หากปรับสถานภาพหน่วยงานเหล่านั้นเป็นองค์การมหาชนอาจ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินงานในหลายด้าน ตลอดจนสภาพการจ้างงานของบุคลากรในองค์กร และการ ดำเนินงานขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายต่าง ๆ จึงเห็นควรคงสถานภาพหน่วยงานดังกล่าวเป็นรัฐวิสาหกิจ เช่นเดิม ส่วนกรณีที่เสนอให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเป็นผู้พิจารณาเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีใน การจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นใหม่ นั้น ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ขอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องและนำเสนอคณะรัฐมนตรีในคราวเดียวกันเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ไปพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
373 | การแก้ไขปัญหาการคุ้มครองสิทธิของชาวต่างชาติในประเทศไทย | นร | 30/06/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีแจ้งเกี่ยวกับกรณีชาวต่างชาติร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติ
ตามกฎ ระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของชาวต่างชาติ เช่น สิทธิการถือครองและกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ การขอใบอนุญาตทำงาน รวมทั้งการขอต่ออายุและการยกเลิกวีซ่า เป็นต้น โดยการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ที่ยังไม่สอด คล้องถูกต้องตรงกัน ทำให้เกิดการเผยแพร่ข่าวสารที่ทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในหมู่ชาว ต่างชาติ ควรที่จะมีการตรวจสอบ พิจารณาทบทวน กฎ ระเบียบ และแนวปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติทั้ง หมดให้เหมาะสม ชัดเจน และให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันในทางปฏิบัติมากยิ่งขึ้น โดยให้กระทรวงมหาดไทยรับ เรื่องนี้ไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงแรงงาน เป็นต้น แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
374 | รายงานผลการประชุม High-Level ASEM-CSR Conference "Shaping CSR-Opportunities for the Well-Being of the ASEM Workforce" (ระหว่างวันที่ 13 - 18 มีนาคม 2552) | รง | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส ASEM เรื่อง
การสร้างความรับผิดชอบของภาคธุรกิจต่อสังคม-โอกาสเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของกำลังแรงงาน (High-Level ASEM -CSR Conference "Shaping CSR-Opportunities for the Well-Being of the ASEM Workforce" ระหว่างวันที่ 13- 18 มีนาคม 2552 ณ เมือง Potsdam สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โดยผลการประชุม ฯ ประกอบด้วย 1. การประชุมเต็มคณะเรื่อง "CSR จากมุมมองของหุ้นส่วนทางสังคมและรัฐบาล" เป็นการประชุมไตรภา คีที่เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องให้หุ้นส่วนทางสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในกรอบการเจรจา ASEM ด้านแรงงานและ การจ้างงาน และการดำเนินการด้าน CSR ซึ่งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องควรปฏิบัติตามมาตรฐานทางกฎหมายโดยสมัครใจ และควรมีการหารือด้าน CSR ในทุกระดับเพื่อส่งเสริมให้มีการเติบโตและการจ้างงานในระยะยาว 2. การประชุมกลุ่มที่ 1 หัวข้อกฎระเบียบระหว่างประเทศและประสบการณ์ของประเทศต่าง ๆ ในการส่ง เสริม CSR ที่ประชุมได้กล่าวถึงปัญหาที่บริษัทต่าง ๆ ไม่ดำเนินการตามมาตรฐาน CSR ระหว่างประเทศ และความ จำเป็นที่สถานประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กต้องดำเนินการด้าน CSR ให้มากขึ้น 3. การประชุมกลุ่มที่ 2 หัวข้อ CSR ใน Supply Chain รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานของไทยได้กล่าว ถึงการดำเนินการด้าน CSR ใน Supply Chain ของไทย โดยยกตัวอย่างโครงการพระราชดำริ แนวปฏิบัติที่ดีที่สุด ด้าน CSR ของบริษัทต่าง ๆ ของไทย บทบาทของกระทรวงแรงงานด้าน CSR ในการกำหนดมาตรฐานแรงงานไทย และกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้านแรงงานที่มุ่งเน้นให้นายจ้างและภาคประชาสังคมร่วมมือกันเพื่อนำไปสู่ CSR ปัจจุบันมี สถานประกอบการหลายแห่งดำเนินการด้าน CSR ด้วยความสมัครใจ อย่างไรก็ตามบริษัทขนาดเล็กอาจมีปัญหา ด้าน CSR เนื่องจากมีประสบการณ์ด้านนี้น้อยกว่าบริษัทขนาดใหญ่หรือบริษัทข้ามชาติที่มีประสบการณ์ด้าน CSR ที่ยาวนานและได้พัฒนา CSR อย่างค่อยเป็นค่อยไป 4. การประชุมกลุ่มที่ 3 หัวข้อความได้เปรียบด้านทำเลและการแข่งขัน : ระบบการคุ้มครองทางการค้า ผลการประชุมสรุปได้ว่ากลยุทธ์ CSR ที่ดีจะก่อให้เกิดความสามารถในการแข่งขัน มีความสำคัญต่อความเชื่อถือและ ชื่อเสียงของสถานประกอบการ อีกทั้งเป็นการลงทุนที่ยั่งยืนที่นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
375 | ยุทธศาสตร์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ | วธ | 03/06/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการ สร้างภาพลักษณ์ สร้างงาน และสร้างรายได้ให้กับประเทศ โดยกำหนดเป็นกรอบทิศทางและแนวปฏิบัติในการส่ง เสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติ ระยะเวลา 3 ปี (ปี พ.ศ. 2552 -พ.ศ. 2554) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำยุทธศาสตร์ ฯ ไปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม เสนอ โดยเพิ่มกระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ฯ ด้วย 2. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวง พาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ให้เพิ่มเติม ในประเด็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยกับต่างประเทศในยุทธ ศาสตร์ที่ 5.4 การพัฒนาตลาดภาพยนตร์และวีดิทัศน์เพื่อเพิ่มโอกาสของผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ตลาดภาพยนตร์ และวีดิทัศน์ทั้งในและต่างประเทศ และเห็นควรนำแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์มาใช้เป็นกรอบแนวทางในการจัดทำ แผนงาน/โครงการเพื่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาบนพื้นฐานของการใช้องค์ความ รู้ การศึกษา การสร้างสรรค์งาน และการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาที่เชื่อมโยงกับรากฐานทางวัฒนธรรม เทคโนโลยี และนวัตกรรมสมัยใหม่ และให้ความสำคัญกับความเชื่อมโยงกับสาขาการผลิตสินค้าและบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง กับอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ รวมทั้งให้จัดลำดับความสำคัญของแนวทาง การพัฒนาให้ชัดเจน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ ฯ เร่งรัดดำเนินการมาตรการที่มีความจำเป็นเร่ง ด่วนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 เนื่องจากระยะเวลาดำเนินการตามยุทธศาสตร์จะสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2554 และเร่ง จัดทำร่างยุทธศาสตร์ในระยะ 5 ปี ข้างหน้าควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์มีความต่อเนื่องใน ระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
376 | มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตราย | ทส | 03/06/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ 1.1 มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอัน ตราย ประกอบด้วย 1.1.1 มาตรการที่เกี่ยวข้องกับโรงงานผู้ก่อกำเนิดกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตราย 1.1.2 มาตรการที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการขนส่ง 1.1.3 มาตรการที่เกี่ยวข้องกับโรงงานผู้ประกอบการบำบัดกำจัดหรือรีไซเคิล 1.1.4 มาตรการสนับสนุน 1.2 ให้กระทรวง กรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวพร้อมทั้งให้คณะ อนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรมประสานและติดตามการดำเนินการตามมาตรการ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรายงานต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีต่อไป 2. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ประกอบ ด้วยกระทรวงคมนาคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และสำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการนำมาตรการด้านภาษีเข้ามาสนับสนุนเพื่อ สร้างแรงจูงใจและตอบแทนให้ผู้ที่ปฏิบัติตามกฎหมาย โดยอาจมีการลดหย่อนภาษีให้ตามปริมาณของเสียบำบัด ในแต่ละปี และเห็นควรมีเจ้าหน้าที่กำกับดูแลการจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตรายอย่างเพียงพอ มีความ รู้ ความชำนาญเป็นอย่างดี และดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวดกับผู้ประกอบการที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย รวมทั้งมีการบูรณาการแนวปฏิบัติและผลที่จะได้รับจากมาตรการ ฯ ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนการดำเนิน การ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
377 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ 4/2552 | นร | 03/06/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐ กิจ (กรอ.) ครั้งที่ 4/2552 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2552 ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ โดยที่ประชุมมีมติในเรื่องต่างๆ สรุปได้ดังนี้ 1.1 ปัญหาการใช้ระบบจัดซื้อจัดจ้างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ที่ประชุมมีมติมอบหมาย กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รับข้อเสนอของประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ไป ประกอบการพิจารณาดำเนินการประเมินผลการบังคับใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการ อิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และแนวทางการปรับปรุง /แก้ไขระเบียบ ฯ ให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยหารือกับหน่วยงานปฏิบัติระดับกระทรวง หน่วยงาน กลาง (เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ) และภาคเอกชน ให้แล้วเสร็จ ภายใน 2 เดือน และรายงานต่อคณะกรรมการ กรอ. ต่อไป 1.2 แนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสำหรับอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารา ที่ประชุมมี มติมอบหมายสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยรับไปพิจารณาจัดทำข้อเสนอที่ชัดเจนและครบถ้วน ตลอดห่วงโซ่ การผลิต กรณีที่มีข้อเสนอเกี่ยวข้องกับภารกิจของคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ให้นำเข้าสู่การพิจารณา ของคณะกรรมการนโยบายยาง ฯ ก่อนที่จะนำเสนอคณะกรรมการ กรอ. ต่อไป 1.3 ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและการลงทุนอันเนื่องมาจากความไม่ชัดเจนในแนวปฏิบัติของภาค รัฐ กรณีการประกาศเขตควบคุมมลพิษในพื้นที่มาบตาพุด ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเล ตะวันออกประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาหาแนวทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับประเด็นความไม่ชัดเจนใน แนวทางปฏิบัติของภาครัฐจากการประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษ 1.4 ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง โรงงานที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ที่ ประชุมมีมติมอบหมายกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเจ้าภาพหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาข้อยุติในแนวทาง ปฏิบัติที่ชัดเจนตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ภายใน 1 เดือน และให้นำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ต่อไป 1.5 ความคืบหน้าโครงการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ประชุมมีมติรับทราบ และมอบหมายธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลัง ติดตามความคืบหน้าในการ ปล่อยสินเชื่อให้แก่ SMEs รวมทั้งปรับปรุงและผ่อนปรนหลักเกณฑ์การปล่อยเงินกู้เพื่อสร้างโอกาสให้ SMEs ที่มี ศักยภาพมีสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจในภาวะเศรษฐกิจหดตัวในปัจจุบัน 1.6 ความคืบหน้าการดำเนินงานตามมาตรการภาษีเพื่อการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ที่ประชุมมีมติรับ ทราบและมอบหมายสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานกับสำนักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรีนำเรื่อง การลดหย่อนค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมอสังหาริมทรัพย์ ของกรมที่ดิน เพื่อบรรจุเข้าเป็นวาระการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพุธที่ 3 มิถุนายนศกนี้ 1.7 ความคืบหน้าการดำเนินงานตามมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยว ที่ประชุมมีมติรับทราบ และ มอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พิจารณา ความเป็นไปได้ในการขยายระยะเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราออกไปอีก หลังพ้นกำหนด 3 เดือน ในวันที่ 4 มิถุนายน 2552 รวมถึงระยะเวลาที่อนุญาตให้พำนักในประเทศไทย โดยให้ครอบคลุมภึงกลุ่มเป้าหมาย ต่าง ๆ เช่น ผู้เข้ามาใช้บริการทางการแพทย์ นักศึกษาต่างชาติในไทย และนักธุรกิจ เป็นต้น และให้สำนักงานคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสำรวจและศึกษาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวของประเทศเพื่อกำหนด แนวทางการส่งเสริมพัฒนาให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด รวมทั้งทบทวนโครงการพัฒนาตามแผนฟื้นฟู เศรษฐกิจระยะที่ 2 ให้รองรับการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ 2. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดการสำรวจศึกษาศักยภาพ แหล่งท่องเที่ยวของประเทศ รวมทั้งทบทวนโครงการพัฒนาตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
378 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 3/2552 | นร | 10/02/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการ
และเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (รศก.) เสนอ ดังนี้ 1. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการ รศก. ครั้งที่ 3/2552 วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2552 และเห็น ชอบมติคณะกรรมการ รศก. รวม 3 เรื่อง ดังนี้ 1.1 ปัญหาการนำเข้าซัลเฟอร์ของอุตสาหกรรมผลิตยางรถยนต์ มอบหมายให้กระทรวงการคลัง เป็นหน่วยงานหลักหารือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาถึงความจำเป็นในการกำหนดวัตถุอันตราย และแนวปฏิบัติของการนำเข้าวัตถุอันตราย รวมทั้งหารือร่วมกันในการตีความเรื่องสิทธิตามข้อตกลงเขตการ ค้าเสรีของหน่วยงานภาครัฐให้เป็นความเห็นเดียวกัน และใช้เป็นแนวปฏิบัติที่ชัดเจน โดยมอบหมายกระทรวง พาณิชย์ตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างเจตนารมณ์ในการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับการประกาศกฎ ระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหารือร่วมกับกรมสรรพากรให้ ได้ข้อยุติเรื่อง วิธีการคำนวณการใช้สิทธิการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลของภาคเอกชนที่ได้รับสิทธิประโยชน์ การส่งเสริมการลงทุน 1.2 ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและ บริการของประเทศ พ.ศ. .... ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างระเบียบ ฯ โดยให้เพิ่มเติมปลัดกระทรวงคมนาคมเป็น กรรมการในคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ และให้จัดตั้ง คณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ เพื่อให้สามารถดำเนินงาน ได้ทันทีในระหว่างที่รอประกาศใช้ระเบียบ ฯ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินแผนงาน/โครงการ ด้านโลจิสติกส์ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณให้แล้วเสร็จตามเป้าหมาย รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณา และจัดลำดับความสำคัญของโครง การ โดยคำนึงถึงความพร้อมของโครงการ 1.3 โครงการจัดมหกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจ มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักใน การบูรณาการโครงการ ฯ ของกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินงานของกระทรวงดังกล่าวมีความสอด คล้องกันในช่วงเวลาที่เหมาะสม และไม่ควรเกินเดือนมีนาคม 2552 2. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ส่งร่างระเบียบสำนักนายก ว่าด้วยการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ พ.ศ. .... ให้คณะกรรมการตรวจ สอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
379 | มาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) | ศธ | 14/10/2551 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้ข้าราชการสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน 3,077 คน เข้าร่วมมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) เป็นกรณีพิเศษ ตามที่ กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยงบประมาณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ. ขอ ตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป และให้ดำเนินการเกลี่ยและจัดสรรอัตรากำลัง คัด เลือกบุคลากรที่มีคุณภาพเพื่อมาบรรจุทดแทนให้ตรงตามสาขาวิชาที่ขาดแคลน ตรงตามความต้องการและจำนวน ความขาดแคลนของสถานศึกษา ตลอดจนให้วางแผนการบริหารจัดการดำเนินมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของ กระทรวงศึกษาธิการในปีต่อ ๆ ไป รวมทั้งติดตามประเมินผลการดำเนินงานอย่างเป็นระบบเพื่อประโยชน์ในการ จัดการเรียนการสอนซึ่งจะส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียน 2. ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณ ที่ให้ดำเนินการตามหลักการของมาตรการ ฯ ตามมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2550 โดยการอนุมัติให้ข้าราชการในสังกัดเข้าร่วมมาตรการ ฯ ภายในวงเงิน งบประมาณของกระทรวง ฯ ที่สามารถบริหารจัดการรองรับการดำเนินมาตรการ ฯ และให้ความสำคัญกับการคัด สรรและบรรจุครูใหม่ที่มีวุฒิการศึกษาตรงตามสาขาวิชาที่ขาดแคลน รวมทั้งวางแผนการบริหารจัดการดำเนินการ ตามมาตรการ ฯ ในปีต่อไปให้เป็นระบบ และเนื่องจากคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาค รัฐ (คปร.) ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ พร้อมทั้งได้อนุมัติผู้เกษียณอายุก่อนกำหนด จำนวน 8,955 คน โดย จำนวนดังกล่าวสามารถบริหารจัดการได้ภายในวงเงินงบประมาณ หากเพิ่มผู้เกษียณอายุก่อนกำหนดอีกจำนวน 3,077 คน จะทำให้เพิ่มภาระงบประมาณซึ่งไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำต่อส่วนราชการ อื่นที่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ และอาจเป็นแนวทางให้ส่วนราชการอื่นจะยึดเป็นแนวปฏิบัติต่อไป ไปพิจารณาดำเนิน การด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
380 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดวิธีการแบบปลอดภัยในการประกอบธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... | ทก | 05/08/2551 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอร่างพระราช
กฤษฎีกากำหนดวิธีการแบบปลอดภัยในการประกอบธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนด วิธีการแบบปลอดภัยเพื่อเป็นการสร้างมาตรฐานและบรรทัดฐานเบื้องต้นในเรื่องการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของ ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้ในทำการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อลดความเสี่ยงใด ๆ อันอาจเกิดขึ้นในการ ทำธุรกรรมดังกล่าว และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยรับความเห็นและข้อสังเกตของ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับคำนิยามตามร่างพระราชกฤษฎีกา ฯ เช่น คำว่า "ระบบคอมพิวเตอร์" เป็นคำที่มีใช้ อยู่ในกฎหมายอื่นแล้ว เช่น พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ดังนั้น เพื่อ ความสอดคล้องในการบังคับใช้ ควรกำหนดให้มีความใกล้เคียงกับกฎหมายที่มีอยู่แล้วหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นอก จากนี้ รายละเอียดของแนวปฏิบัติของวิธีการแบบปลอดภัยควรคำนึงถึงความสามารถต่อการปฏิบัติและงบประมาณ เพื่อดำเนินการตามแนวปฏิบัติ และไม่ขัดแย้งกับกรอบการปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ไป พิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับข้อสังเกตของคณะ รัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ เมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้ได้ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว การ ดำเนินการวิธีการแบบปลอดภัย ตามร่างมาตรา 8 ควรระมัดระวังมิให้เกินขอบเขตตามที่กฎหมายบัญญัติ และควร ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2550 เรื่องการพัฒนาระบบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์กลางเพื่อการสื่อสารในภาครัฐ ในการพัฒนาระบบจดหมายอิเล็กทรอ นิกส์กลางเพื่อการสื่อสารในภาครัฐสำหรับใช้รับ-ส่งข้อมูลในระบบราชการให้เป็นระบบเดียวกัน |
.....