ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 11 จากทั้งหมด 25 หน้า แสดงรายการที่ 201 - 220 จากข้อมูลทั้งหมด 486 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
201 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติระบบการชำระเงิน พ.ศ. .... | สว | 12/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติระบบการชำระเงิน พ.ศ. .... โดยกระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประสานงานร่วมกันเพื่อเตรียมการยกเลิกกฎหมายเดิมที่ใช้กำกับดูแลระบบการชำระเงินในปัจจุบัน โดย ธปท. ได้ประสานกับกรมบังคับคดีเพื่อกำหนดแนวปฏิบัติและออกประกาศกำหนดเป็นหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดสรรเงินรับล่วงหน้าคืนให้แก่ผู้ใช้บริการ และได้มีการประชุมชี้แจงเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติระบบการชำระเงินฯ ตลอดจนหลักเกณฑ์การกำกับดูแลต่อผู้ประกอบธุรกิจระบบการชำระเงินและบริการการชำระเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับของกฎหมายนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อมวลชน และช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ของ ธปท. และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นต้น นอกจากนี้ ธปท. ได้มีการติดตามข้อมูลเกี่ยวกับ Cryptocurrency (การติดตามดูแลการพัฒนาของหน่วยข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นสื่อในการชำระเงิน) รวมถึงติดตามพัฒนาการด้านการกำกับดูแลของธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการพิจารณาแนวนโยบายในการดำเนินการ และได้มีการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสื่อสารเพื่อให้ความรู้ต่อสาธารณชน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
202 | หลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสกรรมการ พนักงาน และลูกจ้างของบริษัทในเครือที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐวิสาหกิจ | กค | 04/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแนวทางการบริหารและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจและบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์การจ่ายโบนัส เพื่อช่วยให้บริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจมีแนวปฏิบัติในการจัดสรรโบนัสกรรมการ พนักงาน และลูกจ้างที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยใช้วิธีเทียบเคียงกับหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินโบนัสกรรมการ พนักงาน และลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้แล้วเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอเพิ่มเติมขอแก้ไขข้อความในหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๘๐๘.๑/๑๙๘๗๙ ลงวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ข้อ ๒.๒ เป็นดังนี้ “ (๑) เกณฑ์การจ่ายโบนัสพนักงาน -ให้จ่ายโบนัสพนักงานในอัตราไม่เกินร้อยละ ๙ ของกำไรสุทธิ แต่ไม่เกิน ๕ เท่าของเงินเดือน -กรณีที่วงเงินไม่เกินร้อยละ ๙ ของกำไรสุทธิ ต่ำกว่า ๑ เท่าของเงินเดือน แต่มีกำไรสุทธิมากกว่า ๑ เท่าของเงินเดือน ให้จ่ายโบนัสพนักงานในอัตรา ๑ เท่าของเงินเดือน ...” ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงพลังงานและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้รัฐวิสาหกิจแม่รายงานผลการจัดสรรโบนัส และรายงานข้อมูลบริษัทตามแนวทางการบริหารและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจและบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจให้กระทรวงเจ้าสังกัดทราบ รวมทั้งรัฐวิสาหกิจกำกับดูแลบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อภาระค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ชี้แจงและทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องนี้ให้รัฐวิสาหกิจ และบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทราบ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจใดมีปัญหาในการปฏิบัติใด ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีนี้ ให้หารือไปยัง สคร. โดยให้ สคร. เป็นผู้ตอบข้อหารือและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาจนได้ข้อยุติ เว้นแต่ในกรณีที่เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) และ/หรือคณะรัฐมนตรี ให้กระทรวงการคลัง โดย สคร. นำเรื่องดังกล่าวเสนอ คนร. และ/หรือคณะรัฐมนตรี พร้อมทั้งจัดทำข้อเสนอแนะและแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นตามขั้นตอนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
203 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ครั้งที่ 2 (The 2nd ASEAN Ministerial Conference on Cybersecurity) และงาน The 2nd Singapore International Cyber Week | ดศ | 21/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ครั้งที่ ๒ (The 2nd ASEAN Ministerial Conference on Cybersecurity) และงาน The 2nd Singapore International Cyber Week ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๒ กันยายน ๒๕๖๐ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ครั้งที่ ๒ ที่ประชุมฯ ได้ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมการประสานงานระหว่างเวทีการประชุมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสามเสาในประชาคมอาเซียนเพื่อหารือประเด็นด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ และเพื่อรับมือกับภัยคุกคามทางสารสนเทศที่มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยอาเซียนต้องใช้ความพยายามร่วมกันเพื่อการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพและหลีกเลี่ยงการทำงานที่ซ้ำซ้อนระหว่างกัน โดยฝ่ายไทยได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและได้เสนอประเด็นความร่วมมือที่สำคัญ เช่น สนับสนุนให้อาเซียนร่วมกันผลักดันและสร้างความพร้อมเพื่อยกระดับการพัฒนาด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้มีการหารือพิเศษกับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศคู่เจรจาอาเซียน ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และสหรัฐอเมริกา โดยประเทศคู่เจรจาของอาเซียนได้ให้ความสำคัญกับการหารือระหว่างภูมิภาคที่ควรมีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ และเน้นย้ำถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศระหว่างอาเซียนและคู่เจรจาของอาเซียน เพื่อลดช่องว่างทางนโยบายด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศและส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพ ๒. งาน The 2nd Singapore International Cyber Week เป็นงานที่เปิดโอกาสให้รัฐมนตรีและผู้บริหารด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศจากประเทศต่าง ๆ ที่เข้าร่วมงานได้กล่าวถ้อยแถลง โดยมีประเด็นสำคัญ เช่น การเตรียมความพร้อมเพื่อพัฒนาบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ซึ่งคาดการณ์ว่า ในปี ๒๕๖๕ จะขาดแคลนบุคลากรในด้านดังกล่าวจำนวน ๑.๘ ล้านคนทั่วโลก รวมทั้งการส่งเสริมให้เกิดมาตรฐานสากลในการรักษาความปลอดภัยทางสารสนเทศ ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้หารือทวิภาคีกับสหรัฐอเมริกา ลาว เมียนมา และสิงคโปร์ โดยมีการหารือที่สำคัญ เช่น (๑) ไทยได้เชิญชวนให้บริษัทด้าน Cybersecurity ของสหรัฐอเมริกาเข้ามาลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยในโครงการ Digital Park Thailand (๒) ลาวได้เสนอให้มีการจัดทำบันทึกความเข้าใจร่วมกันระหว่างไทยและลาวว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (๓) เมียนมาขอให้ไทยสนับสนุนและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการพัฒนาด้านต่าง ๆ เช่น รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ การเงินเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) และ (๔) ไทยและสิงคโปร์หารือเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจความร่วมมือด้านไอซีทีระหว่างไทยและสิงคโปร์ โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาบุคลากรและการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
204 | การร่วมรับรองร่างปฏิญญาบัวโนสไอเรส (Buenos Aires Declaration) ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุม Global Conference on the Sustained Eradication of Child Labour ครั้งที่ 4 | รง | 14/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาบัวโนสไอเรส (Buenos Aires Declaration) มีเนื้อหาเน้นความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วนเพื่อขจัดแรงงานเด็กและการบังคับใช้แรงงานผ่านหลักสิทธิมนุษยชน และการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม เช่น การเก็บข้อมูลและสถิติที่มีประสิทธิภาพ การให้ความคุ้มครองที่เหมาะสมแก่เด็กกลุ่มต่าง ๆ การพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคม การกำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพในการขจัดปัจจัยที่เอื้อต่อการใช้แรงงานเด็ก รวมถึงการลดความเสี่ยงที่เด็กจะตกเป็นเหยื่อการใช้แรงงานด้วย ๑.๒ เห็นชอบที่ไทยจะรับรองร่างปฏิญญาฯ ในที่ประชุม Global Conference on the Sustained Eradication of Child Labour ครั้งที่ ๔ ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ กรุงบัวโนสไอเรส สาธารณรัฐอาร์เจนตินา โดยมีเอกอัครราชทูต ณ กรุงบัวโนสไอเรส เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมและเป็นผู้รับรองร่างปฏิญญาฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
205 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการตรวจเรือ การกักเรือ การเสนอแผนแก้ไข และค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ พ.ศ. .... | คค | 31/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการตรวจเรือ การกักเรือ การเสนอแผนแก้ไข และค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวปฏิบัติสำหรับพนักงานเจ้าหน้าที่ในการขึ้นไปบนเรือและตรวจเรือต่างประเทศที่เข้ามาในน่านน้ำไทยเพื่อตรวจสอบการปฏิบัติเกี่ยวกับสภาพการจ้าง สภาพการทำงาน และสภาพความเป็นอยู่ของคนประจำเรือ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. ๒๕๕๘ และสอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วย แรงงานทางทะเล ค.ศ. ๒๐๐๖ ที่กำหนดมาตรฐานระหว่างประเทศในการคุ้มครองดูแลเกี่ยวกับสวัสดิการและชีวิตความเป็นอยู่ของคนประจำเรือให้ดีขึ้น และวางหลักเกณฑ์ด้านแรงงานทางทะเลสำหรับเรือต่างชาติที่มาจอดเทียบท่าเรือในฐานะรัฐเจ้าของท่าเรือ (Port State) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรปรับแก้ไขร่างกฎกระทรวงฯ ในบางข้อเพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาฯ ซึ่งรวมถึง Standards และ Guidelines ของอนุสัญญาฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมเจ้าท่าประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทราบและถือปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเมื่อมีการบังคับใช้กฎกระทรวงฯ และควรเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรประสานงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินการตามกฎกระทรวงฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ควรจัดทำฐานข้อมูลการตรวจเรือให้เป็นระบบ เพื่อใช้ประโยชน์ในการประเมินความเสี่ยงและคัดกรองเรือที่เข้ามาภายในเขตน่านน้ำไทยในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
206 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. .... | สว | 17/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. .... โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายของประเทศ ซึ่งควรมีการสร้างเสริมพลังงานของประชาชน การให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบการศึกษา และการสร้างจิตสำนึกรักชาติของประชาชน รวมทั้งการกำหนดประเด็นการรักษาและผดุงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของสังคมไทย สำหรับข้อสังเกตเกี่ยวกับการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ คณะรัฐมนตรีจะได้พิจารณาแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในด้านอื่นหรือสาขาที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ และในการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเฉพาะด้านจะคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความต้องการระดับพื้นที่และทิศทางภาพรวมของประเทศ ความหลากหลายของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และช่วงอายุของกรรมการ นอกจากนี้ ในส่วนกระบวนการบริหารจัดการยุทธศาสตร์ชาติเกี่ยวกับการให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายและจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ จะได้จัดทำแนวปฏิบัติรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน โดยวิธีการปรึกษาหารือเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะ (Public Consultation) รวมทั้งจะได้พัฒนาระบบติดตาม การตรวจสอบและการประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติแบบปิดที่เน้นการบูรณาการจากการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ตลอดจนจะได้จัดทำและเผยแพร่ผลการดำเนินงานให้ประชาชนทราบ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
207 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าภาคหลวงแร่ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | อก | 17/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าภาคหลวงแร่ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดพิกัดอัตราค่าภาคหลวงแร่ที่จะเรียกเก็บจากการผลิตแร่แต่ละชนิดตามที่กำหนด ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมตามบัญชีแนบท้ายร่างกฎกระทรวง โดยกำหนดค่าธรรมเนียมไว้ ๖ ประเภท ได้แก่ (๑) ค่าธรรมเนียมในการออกอาญาบัตร ประทานบัตร และใบอนุญาต (๒) ค่าธรรมเนียมรายปี (๓) ค่าธรรมเนียมการรังวัด (๔) ค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตประทานบัตร และค่าโอนสิทธิการทำเหมือง (๕) ค่าธรรมเนียมเบ็ดเตล็ด และ (๖) ค่าธรรมเนียมในการตรวจสอบ ทดลอง หรือวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้ ไม่เกินอัตราค่าธรรมเนียมที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับแนวปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบกิจการเหมืองแร่เกี่ยวกับการจัดเก็บรายได้จากค่าภาคหลวงแร่และค่าธรรมเนียมการให้บริการที่มีการปรับอัตราใหม่ภายหลังจากที่มีการประกาศบังคับใช้โดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
208 | รายงานการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการบังคับคดีแพ่ง | ยธ | 17/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการบังคับคดีแพ่งในหัวข้อ “การแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อนำไปสู่แนวปฏิบัติที่ดีเลิศ” (International Conference on Enforcement of Civil Judgment : Sharing Experiences towards Best Practices) ระหว่างวันที่ ๗-๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ ณ กรุงเทพมหานคร อันเป็นกิจกรรมในโครงการพัฒนาประสิทธิภาพด้านการบังคับคดีแพ่งที่สะท้อนถึงขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องกับการจัดอันดับความยาก-ง่าย ในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business : EoDB) ของธนาคารโลก (World Bank) โดยจากผลประชุมดังกล่าวกระทรวงยุติธรรมได้กำหนดนโยบายการดำเนินงานด้านการบังคับคดีแพ่ง ได้แก่ (๑) การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางกฎหมายแพ่งที่สำคัญเพื่อเป็นการศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ การจัดการประชุมเสวนาในเรื่องที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการเชื่อมโยงข้อมูลทางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาปรับปรุงเพื่อนำไปสู่แนวปฏิบัติที่ดีต่อไป (๒) การประสานความร่วมมือในการพัฒนางานด้านบังคับคดีแพ่งระหว่างหน่วยงานผู้ปฏิบัติในประเทศสมาชิกอาเซียนและการผลักดันให้ความร่วมมือมีผลในกรอบอาเซียน และ (๓) การพัฒนาประสิทธิภาพของการบังคับคดีแพ่ง และปรับปรุงอันดับของประเทศไทยภายใต้ Ease of Doing Business ในด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง (Enforcing Contracts) ให้ดีขึ้น รวมทั้งกระทรวงยุติธรรมจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคองเกรสนานาชาติของสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ [International Union of Judicial Officers (UIHJ)] ครั้งที่ ๒๓ ณ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๑-๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
209 | สรุปผลการประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) ครั้งที่ 49 | ศธ | 03/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) ครั้งที่ ๔๙ ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีศึกษาในประเทศสมาชิกซีมีโอได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้และหารือร่วมกันเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่ดีในการส่งเสริมวาระการศึกษาของซีมีโอด้านการจัดการศึกษาและการดูแลเด็กปฐมวัย การจัดการอุปสรรคในการเข้าถึงการศึกษา การเตรียมความพร้อมการศึกษาเพื่อเผชิญกับสภาวะฉุกเฉิน การส่งเสริมการศึกษาและฝึกอบรมด้านเทคนิคและอาชีวศึกษา การปฏิรูประบบการพัฒนาครู การเสริมสร้างความร่วมมือด้านการอุดมศึกษาและการวิจัย และการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ ๒. ประเทศไทยได้เสนอเรื่องการจัดตั้งศูนย์ระดับภูมิภาคแห่งใหม่ในประเทศไทย จำนวน ๒ แห่ง ได้แก่ ศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อความยั่งยืนของซีมีโอ (SEAMEO Regional Centre for Sufficiency Economy Philosophy for Sustainability : SEAMEO SEPS) และศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาของซีมีโอ (SEAMEO Regional Centre for STEM Education : SEAMEO STEM-ED) ๓. ที่ประชุมฯ ได้รับรอง “Jakarta Framework for Action for SEAMEO Education Agenda Towards Achieving Sustainable Development Goals ในระหว่างการประชุม Strategic Dialogue for Education Ministers on Education Agenda 3 (SDEM 3)” เพื่อประเทศสมาชิกได้ยึดถือเป็นแนวทางความร่วมมือระหว่างกัน อันจะเป็นการพัฒนาการศึกษาของภูมิภาคต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
210 | ข้อมูลข่าวสารตามเกณฑ์มาตรฐานความโปร่งใสและตัวชี้วัดความโปร่งใสของหน่วยงานของรัฐเป็นข้อมูลข่าวสารที่ต้องจัดเตรียมไว้ให้ประชาชนตรวจดูได้ ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (8) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 | นร01 | 03/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. ให้หน่วยงานภาครัฐถือปฏิบัติและดำเนินการตามประกาศคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการเรื่อง กำหนดให้ข้อมูลข่าวสารตามเกณฑ์มาตรฐานความโปร่งใสและตัวชี้วัดความโปร่งใสของหน่วยงานของรัฐเป็นข้อมูลข่าวสารที่ต้องจัดไว้ให้ประชาชนตรวจดูได้ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๘) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ อย่างเคร่งครัด ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ รับความเห็นของกระทรวงพลังงาน สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาขอบเขตและความเหมาะสมของเอกสารรายงานการจัดซื้อจัดจ้างที่ต้องเผยแพร่ และพิจารณาความเหมาะสมในการเปิดเผยผลการประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีของบุคลากรในหน่วยงาน โดยเฉพาะในกรณีของผลการปฏิบัติงานรายบุคคล รวมทั้งเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และเงื่อนไขให้หน่วยงานของรัฐต้องปรับปรุงข้อมูลข่าวสารให้มีความทันสมัยเป็นปัจจุบัน และควรมีการสอบถามหรือสำรวจความต้องการของข้อมูลที่ต้องการให้หน่วยงานของรัฐ เปิดเผยและมีการปรับปรุงข้อมูลข่าวสารที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ตลอดจนให้คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการสร้างความรู้ความเข้าใจให้หน่วยงานภาครัฐตระหนักในความสำคัญของการปฏิบัติภารกิจเรื่องข้อมูลข่าวสารตามเกณฑ์มาตรฐานความโปร่งใสและตัวชี้วัดของหน่วยงานของรัฐเป็นข้อมูลข่าวสารที่ต้องจัดเตรียมไว้ให้ประชาชนตรวจดูได้ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๘) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ ๒๕๔๐ และควรมีการประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐและนำมาใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงการดำเนินงาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒.๒ สร้างการรับรู้และความเข้าใจกับหน่วยงานของรัฐถึงความจำเป็นในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของราชการ รวมทั้งกำหนดกลไกและช่องทางในการให้คำปรึกษา คำแนะนำสำหรับหน่วยงานภาครัฐในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของราชการเพิ่มเติมด้วย ๒.๓ กำหนดกลไกในการติดตามการดำเนินการตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ และประกาศคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมจากแนวปฏิบัติที่ใช้ในปัจจุบัน โดยให้รวมถึงการกำหนดให้มีกลไกการตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนของการเผยแพร่ข้อมูลของหน่วยงานของรัฐให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วนำเสนอคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการพิจารณาเพื่อใช้เป็นแนวทางในการกำกับ ติดตาม และตรวจสอบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของราชการของหน่วยงานของรัฐต่อไป ๒.๔ พิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเสนอแนะ ติดตาม และตรวจสอบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของราชการเพิ่มขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
211 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 19/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง ๑.๑ ให้ฝ่ายความมั่นคงเน้นย้ำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีความเข้มงวดในการตรวจตราผู้สัญจรผ่านแดน โดยกำหนดมาตรการและแนวปฏิบัติให้ชัดเจน เคร่งครัด เช่น การกำหนดให้รถยนต์ที่ผ่านจุดตรวจต้องเปิดกระจกทั้งฝั่งคนขับและผู้โดยสาร รวมทั้งให้พิจารณากำหนดมาตรการตรวจสอบจุดเสี่ยงที่อาจมีการลักลอบผ่านแดน โดยเฉพาะพื้นที่เอกชนที่ติดชายแดนที่อาจยังไม่มีมาตรการด้านความมั่นคงรองรับ ทั้งนี้ ให้พิจารณาความจำเป็นในการใช้อำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบผ่านแดนดังกล่าวด้วย ๑.๒ ให้คณะกรรมการบริหารการบูรณาการแผนและระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ทั่วประเทศ พิจารณาความจำเป็นเหมาะสมและจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินการติดตั้งกล้อง CCTV บริเวณจุดผ่านแดนหรือตามแนวชายแดนด้านต่าง ๆ ให้เพียงพอ ทั่วถึง รวมทั้งให้มีการตรวจสอบกล้อง CCTV ดังกล่าว ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่เสมอด้วย ๑.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการเจรจากับฝ่ายมาเลเซียเกี่ยวกับความเหมาะสมในการขยายเวลาการเปิดจุดผ่านแดน โดยในเบื้องต้นอาจเปิดจุดผ่านแดน ๒๔ ชั่วโมง ให้เฉพาะการขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์เท่านั้น โดยให้กำหนดประเภทรถยนต์และวัตถุประสงค์ของการขนผ่านให้รัดกุมและชัดเจนด้วย ทั้งนี้ สำหรับการเดินทางของผู้สัญจรผ่านแดนเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ เห็นควรให้คงจำกัดเวลาไว้ตามเดิม ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) รับไปศึกษาและพิจารณาทบทวนแนวทางการดำเนินงาน บทบาท และภารกิจของสภาบันการเงินต่าง ๆ ของรัฐทั้งระบบ เพื่อให้สถาบันการเงินของรัฐเป็นองค์กรของรัฐที่สามารถดำเนินกิจการได้อย่างเหมาะสม ทั้งในด้านการให้บริการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินนโยบายสำคัญต่าง ๆ ของรัฐบาล และการให้บริการทางการเงินในฐานะสถาบันการเงินทั่วไป โดยไม่กระทบต่อสถานะทางการเงินโดยรวมของสถาบันการเงินของรัฐนั้น ๆ และให้รายงานผลการศึกษาต่อนายกรัฐมนตรีภายใน ๑ เดือน ๒.๒ ตามที่ได้มีการประกาศใช้บังคับกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ (การจัดเก็บภาษีจากสินค้าสุราและยาสูบ) เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๐ แล้ว นั้น ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำกับดูแลผู้ประกอบการเพื่อมิให้มีการแสวงประโยชน์จากการกักตุนและขึ้นราคาสินค้าสุราและยาสูบในลักษณะที่เป็นการเอารัดเอาเปรียบประชาชน ทั้งนี้ ให้ประสานกับฝ่ายความมั่นคงในการดำเนินการตรวจสอบและกำกับดูแลผู้ประกอบการให้ทั่วถึงด้วย ๒.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการให้มีการจัดตั้งตลาดกลางคืนเป็นศูนย์กลางการขายส่งสินค้าเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ชุมชน เช่น สินค้าเกษตรอินทรีย์ สินค้าเกษตรที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน (เช่น มาตรฐาน GAP) สินค้าบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (สินค้า GI) ระหว่างผู้ผลิต/เกษตรกรและผู้จำหน่ายสินค้าปลีกในพื้นที่ให้ครบทุกจังหวัดภายในปี ๒๕๖๑ โดยพิจารณากำหนดพื้นที่ที่มีความเหมาะสม ทั้งนี้ อาจพิจารณานำกลไกประชารัฐมาสนับสนุนการดำเนินการด้วย ๒.๔ ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางในการจัดให้มีหลักสูตรการเรียนรู้ โดยมุ่งเน้นการสร้างเสริมอาชีพในสาขาต่าง ๆ ให้แก่ประชาชน และความต้องการของตลาดแรงงานไทย เช่น หลักสูตรเพื่อพัฒนาเกษตรรุ่นใหม่ (Smart Farmer) หลักสูตรเพื่อส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ธุรกิจตั้งต้น (Startup) และภาคการท่องเที่ยวและบริการ ๒.๕ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขับเคลื่อนให้มีโรงเรียนชาวนาเพิ่มขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์สำหรับเกษตรกร เช่น การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการเพาะปลูกข้าว ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาความรู้ความสามารถของเกษตรกรไปสู่การเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ (Smart Farmer) ต่อไป ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาทบทวนและปรับปรุงแผนการใช้จ่ายงบประมาณในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการลงทุนขนาดใหญ่ และให้พิจารณาดำเนินโครงการ/งานที่สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณและไม่ก่อให้เกิดภาระผูกพันในปีต่อ ๆ ไป เป็นลำดับแรก เพื่อให้งานบรรลุผลและเกิดประโยชน์แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๑ ๓.๒ เพื่อให้การดำเนินงานของรัฐบาลในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นปีแห่งการปฏิรูปเน้นการทำงานเชิงยุทธศาสตร์ (Agenda) นอกเหนือจากงานตามภารกิจปกติ (Function) จึงมอบหมายให้รัฐมนตรีทุกท่านสรุปผลการปฏิบัติงานที่รับผิดชอบในช่วงการบริหารงานของรัฐบาลทั้งในส่วนของงานตามภารกิจ (Function) และงานตามยุทธศาสตร์สำคัญของรัฐบาล (Agenda) ที่ต้องมีการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น เช่น การบริหารจัดการน้ำ การลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ว่ามีการดำเนินการเรื่องใด อย่างไร ใครเป็นผู้รับผิดชอบหลัก และให้จัดทำแผนงานสำคัญที่จะดำเนินการต่อไปเป็นรายไตรมาสเสนอรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการแผ่นดินก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไปภายใน ๑ เดือน ๓.๓ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณาปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศซึ่งอยู่ภายใต้คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดองให้เป็นการดำเนินงานภายใต้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ ซึ่งจัดตั้งตามพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามลำดับ ทั้งนี้ เพื่อลดภาระด้านการบริหารจัดการ รวมทั้งขั้นตอนการทำงานและปริมาณงานที่อาจซ้ำซ้อนกัน สำหรับสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (PMDU) นั้น ให้คงปฏิบัติหน้าที่ขับเคลื่อนเรื่องสำคัญเชิงนโยบายต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
212 | ประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ | กค | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแนวทางการจัดประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งประกอบด้วย (๑) วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าประชารัฐและร้านอื่น ๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด โดยให้วงเงิน ๒๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน สำหรับผู้มีสิทธิที่มีรายได้เกินกวา ๓๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อปี และวงเงิน ๓๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน สำหรับผู้มีสิทธิที่มีรายได้ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาทต่อปี (๒) วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มจากร้านค้าตามที่กระทรวงพลังงานกำหนด จำนวน ๔๕ บาทต่อคนต่อ ๓ เดือน (๓) วงเงินค่าโดยสารรถองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ระบบ e-Ticket/รถไฟฟ้า จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน (๔) วงเงินค่าโดยสารรถบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน และ (๕) วงเงินค่าโดยสารรถไฟ จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน ๒. ในส่วนของงบประมาณที่ใช้ดำเนินการตามแนวทางการจัดประชารัฐสวัสดิการดังกล่าวให้ดำเนินการภายในวงเงิน ๔๖,๐๐๐ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรกำหนดระเบียบกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราการช่วยเหลือของแต่ละสวัสดิการโดยสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และหากเห็นว่ากองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากเป็นแนวทางที่เหมาะสม ก็เห็นควรพิจารณาดำเนินการให้มีกฎหมายจัดตั้งกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากเป็นการเฉพาะต่อไป รวมทั้งควรยกเลิกประกาศ/มาตรการ หรือคำสั่งในส่วนที่ซ้ำซ้อนกับการกำหนดแนวปฏิบัติในการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อให้การใช้สิทธิประโยชน์จากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้ถือบัตรอย่างแท้จริง ตลอดจนติดตามตรวจสอบการใช้สิทธิ์ของบุคคลที่ได้รับสวัสดิการที่รัดกุมโดยเฉพาะการพิสูจน์ตัวตน หรือการยืนยันสิทธิในการใช้บัตร และทบทวนวงเงินสวัสดิการแต่ละประเภทให้สอดคล้องกับความต้องการของครัวเรือน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. ให้กระทรวงการคลังกำกับดูแลการให้ความช่วยเหลือด้านการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง โดยจะต้องไม่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้มีสิทธิได้รับสวัสดิการในเขตกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัด ๔. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับแนวทางการจัดประชารัฐสวัสดิการผ่านตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่กลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งซักซ้อมความเข้าใจกับหน่วยปฏิบัติ เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น เพื่อให้การดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวเป็นไปอย่างถูกต้อง เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ๕. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อติดตามผลการดำเนินการและการเบิกจ่ายงบประมาณในภาพรวม และให้รายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีทราบทุก ๓ เดือน ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการดังกล่าวมีอำนาจในการพิจารณาทบทวน ปรับปรุง หรือเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางจัดประชารัฐสวัสดิการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
213 | การสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง | นร05 | 22/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า กระทรวงมหาดไทยโดยจังหวัดต่าง ๆ หลายจังหวัดได้ดำเนินการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง หรือบ้านพี่เมืองน้องกับจังหวัดต่าง ๆ ของประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งประเทศที่มีเขตแดนต่อเนื่องกับประเทศเพื่อนบ้านไว้แล้ว และล่าสุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ [เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง (ระหว่างจังหวัดอุบลราชธานีกับกรุงทิมพู ราชอาณาจักรภูฏาน)] เห็นชอบในหลักการให้จังหวัดของไทยสามารถดำเนินการสถาปนาความสัมพันธ์ในระดับจังหวัดของไทยกับจังหวัด/เมือง/มณฑลของทุกประเทศได้ โดยให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการให้เป็นไปตามแนวปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์เมืองคู่แฝดระหว่างจังหวัดนครพนมกับจังหวัดฮาติงห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การกำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้อง) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘ [เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้อง (Sister City) ระหว่างแม่สอดและเมียวดีเพื่อผลักดันการค้าชายแดนไทย-เมียนมา ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด จังหวัดตาก] ดังนั้น จึงมีมติให้กระทรวงมหาดไทย (ทุกจังหวัดที่ได้สถาปนาความสัมพันธ์แล้ว) พิจารณาดำเนินการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้การสถาปนาความสัมพันธ์ดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและเป็นประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่ายอย่างเหมาะสม และมีความต่อเนื่อง เช่น การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว การจัดแสดงและซื้อขายสินค้า การจัดประชุม/สัมมนาและแลกเปลี่ยนทางวิชาการ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
214 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ลักษณะ 2 การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง) | สว | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ลักษณะ ๒ การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง) โดยกรมบังคับคดีได้ดำเนินการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติและจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ รวมทั้งได้ตรวจสอบกฎกระทรวง ระเบียบ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องแล้ว ไม่พบบทบัญญัติที่ขัดหรือแย้งกับร่างพระราชบัญญัตินี้ และได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องอาชญาบัตร ประทานบัตร และสัมปทาน เพื่อพิจารณาจัดทำแนวปฏิบัติของเจ้าพนักงานบังคับคดีในการยึดสิทธิดังกล่าว สำหรับกรณีผู้ประกันผิดสัญญาปล่อยชั่วคราวและการบังคับคดีผู้ต้องโทษปรับที่ไม่ชำระค่าปรับจะได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อวางแนวทางดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ ได้พิจารณาร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ในการสนับสนุนอัตรากำลัง งบประมาณ และค่าตอบแทนให้เหมาะสมกับภารกิจแล้ว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
215 | การสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง (ระหว่างจังหวัดอุบลราชธานีกับกรุงทิมพูราชอาณาจักรภูฏาน) | มท | 08/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องระหว่างจังหวัดอุบลราชธานีกับกรุงทิมพู ราชอาณาจักรภูฏาน และอนุมัติให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจการสถาปนาความสัมพันธ์ดังกล่าว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศที่ขอปรับแก้ถ้อยคำในบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของไทยในการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องฉบับมาตรฐาน และความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการพิจารณาให้จังหวัดของไทยสามารถดำเนินการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องกับจังหวัด/เมือง/มณฑล ของทุกประเทศได้ หากการดำเนินการดังกล่าวส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการศึกษา อันสอดคล้องกับบริบทด้านการสร้างความสัมพันธ์กับต่างประเทศในปัจจุบันนั้น แต่ขอให้คำนึงถึงความมั่นคงทางสุขภาพของประชาชนชาวไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. เห็นชอบในหลักการให้จังหวัดของไทยสามารถดำเนินการสถาปนาความสัมพันธ์ในระดับจังหวัดของไทยกับจังหวัด/เมือง/มณฑลของทุกประเทศได้ โดยให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการให้เป็นไปตามแนวปฏิบัติในการดำเนินการสถาปนาความสัมพันธ์ฯ และสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์เมืองคู่แฝดระหว่างจังหวัดนครพนมกับจังหวัดฮาติงห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๙ [เรื่อง การกำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง และมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘ [เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้อง (Sister City) ระหว่างแม่สอดและเมียวดีเพื่อผลักดันการค้าขายชายแดนไทย-เมียนมา ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด จังหวัดตาก] ในเรื่องการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ในการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องกับประเทศต่าง ๆ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาขยายขอบเขตความร่วมมือให้ครอบคลุมถึงการอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ รวมทั้งการกำหนดกลไกในการแก้ไขปัญหาร่วมกันในระดับพื้นที่เมื่อเกิดปัญหาใด ๆ ระหว่างกันขึ้นด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
216 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ 1/2560 | นร11 | 01/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กนพ. เสนอ โดยมีผลการพิจารณาและมติที่สำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้เอกชนเช่าที่ราชพัสดุที่ได้มาตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๗๔/๒๕๕๙ ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบุรีและนครพนม และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ชี้แจงทำความเข้าใจกับนักลงทุนเกี่ยวกับรายละเอียดอัตราค่าเช่าและค่าธรรมเนียม รวมทั้งเงื่อนไขในการเช่าให้ละเอียด ชัดเจน และครบถ้วน ๑.๒ เห็นชอบมาตรการเร่งรัดการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก กาญจนบุรี และนครพนม ซึ่งให้ยกเว้นค่าเช่าที่ดินราชพัสดุเป็นเวลา ๒ ปี นับตั้งแต่วันจัดทำสัญญาเช่า และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณามาตรการเร่งรัดการลงทุนและสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อให้เกิดการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนมากขึ้น ๑.๓ เห็นชอบแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการอำนวยความสะดวกของการตรวจสอบเอกสารและพิธีการศุลกากรผ่านการควบคุมของเจ้าหน้าที่ ระบบ CIQ (Customs, Immigration and Quarantine) และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งนำพื้นที่มาก่อสร้างด่านศุลกากรแม่สอด แห่งที่ ๒ และเร่งเจรจากับมาเลเซียเพื่อกำหนดจุดผ่านแดน ณ ด่านสะเดาแห่งใหม่ ๑.๔ เห็นชอบการแก้ไขคำสั่ง กนพ. ที่ ๒/๒๕๕๘ เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานอนุกรรมการ และผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมปรับปรุงคำสั่งดังกล่าว และดำเนินการร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศในการประชาสัมพันธ์เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๑.๕ เห็นชอบแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระดับพื้นที่ ประกอบด้วย ๓ กลไก คือ (๑) กำหนดแนวปฏิบัติในการประสานงานระหว่างอนุกรรมการภายใต้ กนพ. และกลไกระดับพื้นที่ (๒) ให้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระดับพื้นที่ติดตามและขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษในระดับพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และ (๓) วางแนวทางการจัดเก็บและเผยแพร่ข้อมูลเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๑๐ พื้นที่ และเชื่อมโยงกับหน่วยงานในส่วนกลาง ๑.๖ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้รับนโยบายและความเห็นของ กนพ. ไปประกอบการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายของศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านลงทุน (One Stop Service : OSS) และการแก้ไขปัญหากรณีภาระค่าใช้จ่าย (ค่าสาธารณูปโภค) ในศูนย์ OSS การเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบแรงงานต่างด้าว และการดำเนินโครงการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่ได้รับจัดสรรงบประมาณระหว่างปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ สามารถดำเนินการได้ตามแผน เป็นต้น ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับกรณีที่กรมศุลกากรมีความต้องการอัตรากำลังเจ้าหน้าที่เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่ออนุมัติกรอบอัตรากำลังนั้น มิใช่อำนาจหน้าที่ของสำนักงาน ก.พ.ร. จึงขอแก้ไขเป็นสำนักงาน ก.พ. ไปดำเนินการ ๓. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุม กนพ. ต่อไป โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
217 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทย และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | ทส | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (Memorandum of Understanding on Natural Resources and Environment of Cooperation between the Ministry of Natural Resources and Environment of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Natural Resources and Environment of the Lao People’s Democratic Republic) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดขอบเขตของความร่วมมือ เช่น การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน การป้องกันและควบคุมมลพิษ และการจัดการสารเคมีและของเสียอันตราย การจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การป้องกันและการแก้ไขข้อขัดแย้งเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ เป็นต้น สำหรับรูปแบบความร่วมมือ เช่น การแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และแนวปฏิบัติที่ดีในด้านต่าง ๆ การแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ การจัดสัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการ เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมอบหมายเป็นผู้ลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปรับแก้ถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจฯ คำว่า “Parties” เป็น “Participants” และคำว่า “Article” เป็น “Paragraph” ในทุกแห่งที่ปรากฏ ซึ่งหากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเห็นว่ายอมรับได้ กระทรวงการต่างประเทศก็ไม่มีข้อขัดข้อง และเนื่องจากขอบเขตความร่วมมืออาจเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วนควรจะมีการประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้รับทราบถึงการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ เพื่อให้การดำเนินการต่อไปได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ได้กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
218 | ร่างกรอบความร่วมมือหุ้นส่วนระหว่างไทยกับสหประชาชาติ ฉบับปี ค.ศ. 2017 - 2021 | กต | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกรอบความร่วมมือหุ้นส่วนระหว่างไทยกับสหประชาชาติ (United Nations Partnership Framework : UNPAF) ฉบับปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๒๑ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับหน่วยงานสหประชาชาติในประเทศไทยสำหรับช่วงระยะเวลา ๕ ปีข้างหน้า (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) โดยมียุทธศาสตร์เกี่ยวกับความร่วมมือเชิงกระบวนการ (process-oriented) ได้แก่ (๑) การกำหนดและบังคับใช้นโยบาย (๒) การส่งเสริมบทบาทของภาคประชาสังคม (๓) การให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในฐานะหุ้นส่วนในการพัฒนา และ (๔) การขยายการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ ๑.๒ ให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในร่าง UNPAF ฉบับปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๒๑ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างกรอบความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นว่า หากมีการเพิ่มเติมเรื่องความร่วมมือในการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมในยุทธศาสตร์ผลลัพธ์ที่ ๓ ก็จะแสดงให้เห็นถึงการนำแนวปฏิบัติด้านการดำเนินธุรกิจ และการลงทุน ที่ครอบคลุมทุกภาคส่วนและยั่งยืนมาใช้ด้วย นอกจากนี้ เพื่อให้สอดรับกับนโยบายไทยแลนด์ ๔.๐ ที่มุ่งเน้นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม อาจจะเพิ่มประเด็นเรื่องการขยายการแลกเปลี่ยนด้านนวัตกรรมในยุทธศาสตร์ผลลัพธ์ที่ ๔ ด้วย และในยุทธศาสตร์ผลลัพธ์ที่ ๔ อาจพิจารณานำประเด็นด้านอุบัติภัยบนท้องถนนและความเสี่ยงจากการขนส่งสารเคมีอันตรายเข้าสู่เวทีระดับภูมิภาคที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้าน Logistics ของอาเซียนมีสถิติการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนถึงขั้นเสียชีวิตอยู่ในอันดับสูงของโลก หากนำประเด็นเหล่านี้เข้าสู่ระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการในการดำเนินการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
219 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการคมนาคมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ ในท้องที่อำเภอบางพลี อำเภอเมืองสมุทรปราการ และอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... | สว | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการคมนาคมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางพิเศษสายบางพลี-สุขสวัสดิ์ ในท้องที่อำเภอบางพลี อำเภอเมืองสมุทรปราการ และอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... โดยกระทรวงคมนาคมพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า หน่วยงานได้กำหนดแนวเขตเวนคืนเฉพาะที่จำเป็นในการดำเนินโครงการ โดยคำนึงถึงองค์ประกอบด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านวิศวกรรม ด้านความปลอดภัยของผู้ใช้ทาง ตลอดจนการจราจร เพื่อให้มีผลกระทบต่อเอกชนเพียงเท่าที่จำเป็น เพื่อประโยชน์สาธารณะในการแก้ไขปัญหาการจราจรให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และทุกหน่วยงานเห็นด้วยที่จะมีกฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์เรื่องการคืนอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืนไว้ให้ชัดเจนเพื่อเป็นแนวปฏิบัติที่ถูกต้องตรงกัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
220 | รายงานการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยดำเนินการไม่ถูกต้องตามขั้นตอนในการขอเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างโครงการวิจัยสู่ภาคเอกชน โดยไม่ได้ขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนที่จะดำเนินการ | ศธ | 16/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยดำเนินการไม่ถูกต้องตามขั้นตอนในการขอเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างโครงการวิจัยสู่ภาคเอกชน ณ โครงการพัฒนาที่ดิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สระบุรี ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน ๓ รายการ (ค่าก่อสร้างอาคารส่งเสริมศักยภาพการใช้ชีวภาพและชีวมวลในการผลิตเชื้อเพลิงและเคมีภัณฑ์เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตเชิงอุตสาหกรรมและเพื่อการส่งออกเทคโนโลยี ค่าก่อสร้างอาคารศูนย์นวัตกรรมอาหารผลิตภัณฑ์สุขภาพ และเกษตรครบวงจร และค่าก่อสร้างอาคารปฏิบัติการ จังหวัดสระบุรี) โดยไม่ได้ขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนที่จะดำเนินการ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การเปลี่ยนแปลงเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างทั้ง ๓ รายการดังกล่าว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในการบริหารสัญญา โดยเห็นว่าวงเงินที่เพิ่มขึ้นนั้นใช้งบประมาณเงินรายได้ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเอง ประกอบกับงบประมาณที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับจัดสรรในครั้งนั้นมิใช่งบประมาณผูกพันข้ามปีงบประมาณ จึงนำระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาใช้ในการบริหารสัญญาดังกล่าว ซึ่งไม่ได้กระทบต่อวัตถุประสงค์ในการก่อสร้างและเป็นไปเพื่อประโยชน์ของทางราชการและไม่ทำให้ราชการเสียประโยชน์ สอดคล้องกับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนในวิธีปฏิบัติประกอบกับไม่ได้กระทบต่อวัตถุประสงค์ของโครงการและเป็นไปเพื่อประโยชน์ของทางราชการ ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้มีหนังสือกำชับไปยังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ใช้ความระมัดระวังและคำนึงถึงขั้นตอนในการดำเนินการและปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง และแนวปฏิบัติ รวมถึงหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|