ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 20 จากทั้งหมด 25 หน้า แสดงรายการที่ 381 - 400 จากข้อมูลทั้งหมด 486 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
381 | การสัมมนาเรื่อง "ทิศทางประเทศไทยในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" | ทส | 06/11/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอนโยบาย แนวทาง และ
มาตรการที่ได้รับจากการบรรยายของผู้แทนกระทรวง และข้อคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมสัมมนาเรื่อง "ทิศทางประเทศไทย ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ซึ่งเห็นพ้องต้องกันที่จะร่วมกันดำเนินนโยบายและแนวปฏิบัติตาม "ทิศทางไทย สู่ภัยโลกร้อน" สรุปได้ดังนี้ ด้านนโยบาย จะส่งเสริมและสนับสนุนด้วยทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อให้เกิดการ ดำเนินงานด้านต่าง ๆ ที่นำไปสู่การวิจัยและพัฒนาการใช้พลังงานสะอาด การสร้างความสามารถในการปรับตัว เพื่อ รับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่จะเกิดขึ้น ด้านปฏิบัติ จะดำเนินการ โดยอาศัยหลักการพอเพียงในภาค ส่วนต่าง ๆ ดังนี้ (1) ภาคพลังงาน จะเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานสะอาดในการผลิตกระแสไฟฟ้า และภาคการคมนาคมขนส่ง จะส่งเสริมการประหยัดพลังงาน และลดสัดส่วนการพึ่งพาพลังงานที่ต้องนำเข้า (2) ภาค อุตสาหกรรม จะร่วมมือในการลดก๊าซเรือนกระจกด้วยวิธีการส่งเสริมการผลิตและการประกอบการอุตสาหกรรมด้วย การใช้เทคโนโลยีที่สะอาดและทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และการส่งเสริมให้ลดการใช้สารที่ก่อให้เกิด ก๊าซเรือนกระจกในโรงงานอุตสาหกรรม (3) ภาคเกษตรกรรม จะดำเนินการตามแผนบรรเทาภาวะโลกร้อนด้านการ เกษตร พ.ศ. 2550 - พ.ศ. 2554 และ (4) ภาคป่าไม้และพื้นที่สีเขียว จะเพิ่มแหล่งดูดซับก๊าซเรือนกระจกด้วยการ อนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างจริงจัง
|
||||||||||||||||||||||||
382 | การลงนามและรับรองเอกสารสำคัญในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 40 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่กรุงมะนิลา | กต | 24/07/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอการลงนามและรับรองเอกสารสำคัญใน
การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 40 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 29 กรกฎาคม -2 สิงหาคม 2550 ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ลงนามหรือรับรองเอกสาร จำนวน 5 ฉบับ ได้แก่ ร่างเอกสารเรื่องการจัดตั้งคณะกรรมการอาเซียนว่าด้วย การโยกย้ายถิ่นฐานและการพัฒนา ร่างแนวปฏิบัติพื้นฐานสำหรับการให้ความช่วยเหลือทางกงสุลแก่คนชาติของ ประเทศสมาชิกอาเซียนโดยคณะผู้แทนทางการทูตอาเซียนในประเทศที่สามในสถานการณ์วิกฤติ ร่างแผนปฏิบัติ การเพื่อเสริมสร้างการปฏิบัติให้เป็นไปตามสนธิสัญญาว่าด้วยเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ ร่างแผนงานความร่วมมืออาเซียน-แคนาดา ฉบับที่ 2 และร่างสารขยายจำนวนภาคีในสนธิสัญญาไมตรี และความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา ทั้งนี้ หากมี ความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวง การต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
|
||||||||||||||||||||||||
383 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงบทบัญญัติเรื่องอำนาจการดำเนินกิจการของกองทุน) | กค | 12/06/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอร่างพระราชบัญญัติบริหารการขนส่ง
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายเพื่อบูรณาการระบบการบริหารจัดการด้านการขนส่งของประเทศเพื่อใช้ เป็นกฎหมายกลางในการจัดกลุ่มภารกิจด้านนโยบาย ด้านการกำกับดูแล และด้านการประกอบการให้ชัดเจน และใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการทุกกิจกรรมของการขนส่งเพิ่มเติมจากกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมถึง การวางกรอบในการดำเนินกิจการขนส่งที่มีลักษณะเป็นพันธะในการให้บริการสาธารณะ และการเพิ่มบทบาท ของภาคเอกชนในการมีส่วนร่วมในการจัดให้มีโครงสร้างพื้นฐานและการประกอบกิจการขนส่ง และให้ส่งสำนัก งานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับร่างพระราช บัญญัติฉบับนี้ว่า จะซ้ำซ้อน ขัดแย้ง หรือสอดคล้องกับกฎหมายของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการขนส่งที่มีอยู่เดิม และประเด็นการจัดตั้งกองทุนเสริมสร้างประสิทธิภาพการขนส่งขึ้นในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ จะกระทบระบบ การคลังและวินัยทางการเงินการคลังของประเทศ รวมทั้งให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ ความ เห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ให้มีการศึกษาผลกระทบของร่างพระ ราชบัญญัติ ฯ ที่มีต่อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งแต่ละรูปแบบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของเอกชน และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการขนส่ง (Logistic) เพื่อให้สามารถพัฒนาระบบการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพ และประสาน งานขององค์กรกำกับดูแลกิจการขนส่งในแต่ละด้านให้มีแนวปฏิบัติที่สอดคล้องกัน เป็นต้น ไปพิจารณาด้วย แล้ว ส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อ ไป
|
||||||||||||||||||||||||
384 | ร่างพระราชบัญญัติบริหารการขนส่ง พ.ศ. .... | คค | 05/06/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอร่างพระราชบัญญัติบริหารการขนส่ง
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายเพื่อบูรณาการระบบการบริหารจัดการด้านการขนส่งของประเทศเพื่อใช้ เป็นกฎหมายกลางในการจัดกลุ่มภารกิจด้านนโยบาย ด้านการกำกับดูแล และด้านการประกอบการให้ชัดเจน และใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการทุกกิจกรรมของการขนส่งเพิ่มเติมจากกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันรวมถึง การวางกรอบในการดำเนินกิจการขนส่งที่มีลักษณะเป็นพันธะในการให้บริการสาธารณะ และการเพิ่มบทบาท ของภาคเอกชนในการมีส่วนร่วมในการจัดให้มีโครงสร้างพื้นฐานและการประกอบกิจการขนส่ง และให้ส่งสำนัก งานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับร่างพระราช บัญญัติฉบับนี้ว่า จะซ้ำซ้อน ขัดแย้ง หรือสอดคล้องกับกฎหมายของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการขนส่งที่มีอยู่เดิม และประเด็นการจัดตั้งกองทุนเสริมสร้างประสิทธิภาพการขนส่งขึ้นในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ จะกระทบระบบ การคลังและวินัยทางการเงินการคลังของประเทศ รวมทั้งความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ ความเห็น ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้มีการศึกษาผลกระทบของร่าง พระราชบัญญัติ ฯ ที่มีต่อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งแต่ละรูปแบบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของเอกชน และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการขนส่ง (Logistic) เพื่อให้สามารถพัฒนาระบบการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพ รวมทั้งการ ประสานงานขององค์กรกำกับดูแลกิจการขนส่งในแต่ละด้านให้มีแนวปฏิบัติที่สอดคล้องกัน เป็นต้น ไปพิจารณา ด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
385 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่องแนวทางปฏิบัติงานร่วมกันในโครงการต่อต้านการค้ามนุษย์และการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเสี่ยง | พม | 05/06/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอร่างบันทึก
ความเข้าใจระหว่างองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ เรื่อง แนวทางปฏิบัติงานร่วมกันในโครงการต่อต้านการค้ามนุษย์และการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเสี่ยง และให้ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ รวมทั้งให้ปรับ ปรุงแก้ไขถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญก่อนการลงนามโดยหารือกับกรมสนธิสัญญา และกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ปรับแก้ข้อ ความในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนของคำศัพท์ให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับแนวปฏิบัติของไทยที่ผ่านมา ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศก่อนดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
386 | สรุปผลการประชุมร่วมกันระหว่างนายกรัฐมนตรี คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ สภานิติบัญญัติแห่งชาติสภาร่างรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) | นร | 24/04/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
นำร่างพระราชบัญญัติออกเสียงประชามติเสนอคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 24 เมษายน 2550 โดยให้สำนัก งานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานศาลยุติธรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเสนอความเห็น ประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันดังกล่าว และให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการ ยกร่างและเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขประกาศคณะปฏิรูปการปกครอง ฯ ฉบับที่ 30 ต่อคณะรัฐมนตรี โดย มีหลักการให้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ต่อเวลาการทำงานต่อ ไปอีก และให้พ้นตำแหน่งพร้อมกับรัฐบาลที่พ้นหน้าที่ และนับแต่วันที่ครบหนึ่งปี ไม่ให้ คตส. รับเรื่องใหม่เพื่อให้ พิจารณาเรื่องเก่าให้เสร็จ แล้วออกกฎหมายรองรับว่าอะไรที่ดำเนินการแล้ว ให้ส่งเรื่องโอนต่อไปที่ ป.ป.ช. และ ให้ ป.ป.ช. มีอำนาจครอบคลุมอำนาจของ คตส. ด้วย รวมทั้งให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการเกี่ยวกับเรื่อง ต่าง ๆ เสนอต่อคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ร่างพระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้าง ร่างกฎหมาย หลักเกณฑ์ทางการเงินหรือ มาตรการใด ๆ เพื่อคุ้มกันกรรมการ คตส. ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต เมื่อกรรมการพ้นตำแหน่ง และถูกฟ้อง ให้ สามารถเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางจากงบประมาณได้ เช่นเดียวกับแนวปฏิบัติของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
|
||||||||||||||||||||||||
387 | การประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 42 และการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ 2 | ศธ | 10/04/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 42 (42nd SEAMEO Council Conference-SEAMEC) และการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอา เซียน ครั้งที่ 2 (2nd ASEAN Education Ministerial Meeting-ASED) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-16 มีนาคม 2550 ณ เกาะบาหลี อินโดนีเซีย โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเดินทางไปร่วมการประชุม สำหรับสาระสำคัญ ของการประชุม SEAMEC ครั้งที่ 42 ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นระหว่างรัฐมนตรีจากประเทศสมาชิก ได้แก่ เรื่อง การประกันคุณภาพในระดับอุดมศึกษา บทบาทของอุดมศึกษาในการพัฒนาชนบทและกำจัดความยากจน และการ ส่งเสริมอัตลักษณ์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งที่ประชุมได้อภิปรายและตั้งประเด็นการหารือในอนาคต อาทิ การ ส่งเสริมประสิทธิภาพในด้านการบริหารจัดการของสถาบันทางการศึกษา การเสริมสร้างศักยภาพด้านเทคนิคและ อาชีวศึกษา และการประกันคุณภาพทางการศึกษา โดยในส่วนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้นำเสนอ โครงการอินเทอร์เนตสร้างสรรค์และปลอดภัย โดยให้สถานศึกษา ครู นักเรียน ผู้ปกครอง องค์การบริหารส่วนท้อง ถิ่นและภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อหาวิธีป้องกันภัยออนไลน์ในโรงเรียนอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งเสนอจัดการ ประชุมระดับภูมิภาคเพื่อศึกษาแนวปฏิบัติที่เหมาะสมในเรื่องดังกล่าว ส่วนผลการประชุม ASED ครั้งที่ 2 ที่ประชุมได้ รับทราบผลการดำเนินงานตามมติของที่ประชุม ASED ครั้งที่ 1 เมื่อปีที่ผ่านมาใน 4 ประเด็นคือ กรอบความร่วม มือระหว่างอาเซียนและซีมีโอ การส่งเสริมความเป็นอาเซียนแก่นักเรียน การสร้างมาตรฐานการศึกษาในสาขาวิชา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และการเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่เครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน (AUN) นอกจากนี้ ที่ ประชุมได้มีการจัดทำถ้อยแถลงร่วม (Joint Statement) ของการประชุม SEAMEC ครั้งที่ 42 และการประชุม ASED ครั้งที่ 2 มีสาระสำคัญคือ การเสนอให้เพิ่มข้อบทด้านการศึกษาไว้ในกฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) การดำเนิน โครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนอาเซียนต่อ โดยมาเลเซียนรับเป็นเจ้าภาพในปี พ.ศ. 2551 การจัดตั้งเครือข่ายวิทยา ศาสตร์ และคณิตศาสตร์ของโรงเรียนมัธยมศึกษาของอาเซียน การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างซีมีโอและอาเซียน และการเพิ่มความเข้มแข็งของเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน ทั้งนี้ ในระหว่างการประชุม รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ศึกษาธิการของไทยได้เจราความร่วมมือระดับทวิภาคีกับประเทศกัมพูชา ติมอร์ เลสเต อินโดนีเซีย และมาเลเซียเพื่อ หารือเรื่องการส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกันในอนาคต
|
||||||||||||||||||||||||
388 | ร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กำหนดห้ามผู้ขับขี่ใช้โทรศัพท์หรือเครื่องมือสื่อสารอื่นใดในขณะที่รถเคลื่อนที่) | ตช | 03/04/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญคือ ห้ามผู้ขับขี่ใช้โทรศัพท์หรือเครื่องมือสื่อสารอื่นใดในขณะที่รถเคลื่อนที่ ไปพิจารณาศึกษาข้อมูล การเกิดอุบัติเหตุที่เป็นผลมาจาการใช้โทรศัพท์หรือเครื่องมือสื่อสารอื่นในขณะขับรถ ตลอดจนแนวปฏิบัติหรือกฎ หมายของต่างประเทศในเรื่องนี้ และแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำตามร่างมาตรา 5 ซึ่งแก้ไขมาตรา 43(9) และ (10) ให้ ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น กำหนดการจะยกเว้น หรือผ่อนผันในกรณีใดไว้ในพระราชบัญญัติ รวมทั้งให้คำนึงถึงการปฏิบัติ และการบังคับใช้ได้จริง แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||
389 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีด้านแรงงานในกรอบการประชุมเอเชีย - ยุโรป | รง | 16/01/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีด้านแรงงานในกรอบ
การประชุมเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 1 ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่ 3-5 กันยายน 2549 โดยมี ดร.วีระชัย วีระเมธีกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองปลัดกระทรวงแรงงาน (นายสุรินทร์ จิรวิศิษฏ์) และผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน (นายนคร ศิลปอาชา) เข้าร่วมการประชุม สำหรับสาระสำคัญ ของการประชุมได้มีการพิจารณาประเด็นการเจริญเติบโตและการมีงานทำ โดยที่ประชุมได้เห็นพ้องต้องกันว่าควร สร้างหลักประกันความมั่นคง และความยืดหยุ่นในตลาดแรงงาน ส่งเสริมงานที่มีคุณค่า (decent work) พัฒนาเทค โนโลยี การลงทุนด้าน R&D และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อเพิ่มอำนาจการผลิตและการมีทำงานอย่างยั่งยืน และ ได้ย้ำถึงความสำคัญของนโยบายด้านการศึกษาและฝึกอบรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อสร้างหลักประกัน การทำงานและเกิดการบูรณาการในตลาดแรงงาน รวมทั้งเห็นชอบให้ความร่วมมือระหว่างภูมิภาคเป็นแนวทางใน การสร้างความเข้มแข็งด้านมิติทางสังคมในยุคโลกาภิวัฒน์ โดยร่วมมือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์ แนวนโยบาย และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด ผ่านเวทีการปรึกษาหารือในลักษณะแบบนี้ รวมทั้งแสวงหาความร่วมมือจาก หุ้นส่วนทางสังคมและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องในแนวทางที่เหมาะสม สำหรับการประชุมครั้งต่อไป ประเทศอินโดนี เซียขอรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีด้านแรงงานในกรอบ ASEM ครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2551
|
||||||||||||||||||||||||
390 | การมอบหมายให้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | กต | 07/11/2549 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้ง หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศ ในระหว่างวันที่ 30-31 ตุลาคม 2549 เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมีภาร กิจร่วมคณะนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ (ASEAN-China Commemo rative Summit) ที่นครหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 30-31 ตุลาคม 2549 ประกอบกับ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศมีภารกิจเข้าร่วม International Conference on New and Resto red Democracies ครั้งที่ 6 ที่กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ ระหว่างวันที่ 27 ตุลาคม-2 พฤศจิกายน 2549 และให้ ถือเป็นแนวปฏิบัติในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่าง ประเทศไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการ ประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 |
||||||||||||||||||||||||
391 | การมอบหมายให้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | กต | 01/11/2549 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้ง หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศ ในระหว่างวันที่ 30-31 ตุลาคม 2549 เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมีภาร กิจร่วมคณะนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ (ASEAN-China Commemo rative Summit) ที่นครหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 30-31 ตุลาคม 2549 ประกอบกับ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศมีภารกิจเข้าร่วม International Conference on New and Resto red Democracies ครั้งที่ 6 ที่กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ ระหว่างวันที่ 27 ตุลาคม-2 พฤศจิกายน 2549 และให้ ถือเป็นแนวปฏิบัติในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่าง ประเทศไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการ ประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548
|
||||||||||||||||||||||||
392 | การยกเว้นการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน | นร | 17/10/2549 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอการยกเว้นการจัดทำแผนการบริหารราชการ
แผ่นดิน ตามมาตรา 13 และมาตรา 14 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้าน เมืองที่ดี พ.ศ. 2546 สำหรับการจัดสรรงบประมาณ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ โดยให้ จัดสรรงบประมาณตามคำขอของส่วนราชการ และความเห็นของคณะรัฐมนตรีต่อไป และให้ส่วนราชการและ จังหวัดนำคำของบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 ไปดำเนินการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ ประจำปี พ.ศ. 2550 ตามที่กำหนดไว้ ในมาตรา 12 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหาร กิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 และให้นำแนวปฏิบัติข้างต้นไปดำเนินการสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ให้ส่วนราชการเร่งรัดการปฏิบัติงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อสภา นิติบัญญัติแห่งชาติ และให้สำนักงาน ก.พ.ร. ติดตามประเมินผลต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
393 | การขยายเวลาปฏิบัติการของนายทหารไทยในคณะผู้สังเกตการณ์อาเจห์ | กต | 12/09/2549 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอดังนี้ อนุมัติในหลักการให้ส่งนายทหารไทย
จำนวนไม่เกิน 5 นาย เข้าร่วมในคณะผู้สังเกตการณ์อาเจห์ (Aceh Monitoring Mission : AMM) ในช่วงขยาย ปฏิบัติการตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2549 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2550 กับอนุมัติให้กระทรวงกลาโหม โดยกอง บัญชาการทหารสูงสุดรับผิดชอบการคัดเลือกทหารไทยที่จะเข้าร่วมหรือเปลี่ยนแปลงการจัดกำลังที่เกี่ยวข้อง กับการปฏิบัติภารกิจ AMM ของไทยในอาเจห์ โดยให้การปฏิบัติภารกิจของทหารไทยเป็นการปฏิบัติราชการ พิเศษตามที่กระทรวงกลาโหมกำหนด และให้นายทหารที่เข้าร่วม AMM ได้รับสิทธินับอายุราชการเป็นทวีคูณ ตามมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พุทธศักราช 2494 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม โดยให้เริ่มระยะเวลาตั้งแต่วันที่เริ่มการเคลื่อนย้ายออกจากที่ตั้งปกติหรือประเทศไทย เพื่อปฏิบัติภารกิจในอา เจห์ จนกระทั่งถึงวันที่เสร็จสิ้นภารกิจ และเคลื่อนย้ายกลับสู่ที่ตั้งปกติหรือประเทศไทย และให้รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซียตอบรับคำเชิญเข้า ร่วม AMM ช่วงขยายเวลาปฏิบัติงาน ทั้งนี้การตอบรับคำเชิญเป็นการทำความตกลงที่มีข้อผูกมัดทางกฎหมาย ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติเช่นเดียวกับการตอบรับคำเชิญเข้าร่วม AMM ทั้ง 2 ครั้งก่อนหน้านี้ และให้จัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของนายทหารไทยที่เดินทางไปเข้า ร่วม AMM ตามแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และให้กระทรวงกลาโหม โดยกองบัญชาการทหารสูงสุด เป็นผู้ เสนอของบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
394 | รายงานการประชุมรัฐมนตรีเอเปคว่าด้วยการระบาดใหญ่ของโรคไข้หวัดนกและไข้หวัดใหญ่ | สธ | 23/05/2549 | |||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับผลการประชุมรัฐมนตรี
เอเปคว่าด้วยการระบาดใหญ่ของโรคไข้หวัดนกและไข้หวัดใหญ่ (APEC Ministerial Meeting of Avian and Influenza Pandemics) เมื่อวันที่ 4-6 พฤษภาคม 2549 ณ นครดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดย ที่ประชุม ฯ ได้มีการอนุมัติแผนปฏิบัติการเอเปค เรื่อง การป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของไข้หวัด นกและการระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่ (APEC Action Plan on the Prevention and Response Avian and Influenza Pandemics) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินงานของสมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปคหรือ การดำเนินงานความร่วมมือกับเขตเศรษฐกิจอื่นๆ เพื่อพัฒนามาตรการการป้องกันเตรียมความพร้อมและผล กระทบจากไข้หวัดนกและไข้หวัดใหญ่ระบาดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้น โดยแผนปฏิบัติการฯ ได้ประกาศเจตจำนงของ สมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปคที่จะเพิ่มความร่วมมือระหว่างกัน 5 ด้าน คือ ความร่วมมือและการประสานงานพหุ ภาคีต่อปัญหาไข้หวัดนกและไข้หวัดใหญ่ระบาดใหญ่ (Multi-sectoral cooperation and coordination on Avian and Pandemic Influenza) การสร้างแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศและแนวทางการปฏิบัติร่วมในการสื่อสาร ความเสี่ยง (Establishing best practices and common approaches to risk communication) การลด ผลกระทบทางลบจากไข้หวัดนกต่อการเกษตรและการค้า (Mitigating negative effects of avian influenza on agriculture and trade) การดำเนินงานร่วมกับภาคเอกชน เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจ การค้า รวมทั้ง งานบริการสาธารณะที่จำเป็นได้อย่างต่อเนื่อง (Working with the private sector to help ensure con tinuity of business, trade and essential services) และการสร้างเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคและระดับ นานาชาติ (Strengthening regional and international cooperation) ทั้งนี้ ที่ประชุม ฯ ได้เสนอให้คณะ ทำงานเฉพาะกิจด้านสาธารณสุขเอเปค (APEC Health Task Force : APEC HTF) รายงานความก้าวหน้า ของการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวต่อที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปค (SOM) ในปี พ.ศ. 2550
|
||||||||||||||||||||||||
395 | การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีกรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับความตกลงเมืองพี่เมืองน้องและความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของไทยกับต่างประเทศ | นร | 10/01/2549 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีกรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับความตกลงเมือง
พี่เมืองน้อง และความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของไทยกับต่างประเทศ ดังนี้ กรณีความตกลงเมืองพี่เมือง น้องซึ่งเป็นการจัดทำความสัมพันธ์ระดับจังหวัดของไทยกับจังหวัดของประเทศเพื่อนบ้านหรือของประเทศ ที่มีเขตแดนต่อเนื่องกับประเทศเพื่อนบ้าน นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2549 (เรื่อง การกำหนดแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการสถาปนา ความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง) โดยให้ดำเนินการไปได้ และให้กระทรวงมหาดไทยรวบรวมรายงานเสนอ คณะรัฐมนตรีทราบทุก 6 เดือน ส่วนกรณีความตกลงในรูปแบบใด ๆ ที่กรมหรือส่วนราชการที่มีฐานะเป็น กรมจะจัดทำกับหน่วยงานของต่างประเทศ หรือกับองค์กรต่างประเทศ ซึ่งเป็นการจัดทำความสัมพันธ์ใน ระดับหน่วยงานกันเอง ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องส่งเรื่องให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาก่อน โดย กระทรวงการต่างประเทศอาจพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณา ความจำเป็นเหมาะสมของการจัดทำความตกลงนั้น ๆ แล้วแต่กรณี เมื่อได้รับความเห็นชอบแล้วให้ดำเนิน การไปได้ และให้กระทรวงการต่างประเทศรวบรวมผลการพิจารณา และรายงานคณะรัฐมนตรีทราบทุก 6 เดือน โดยยกเว้นสำหรับกรณีการจัดทำความตกลง หรือความร่วมมือทางวิชาการตามปกติที่สถาบัน อุดมศึกษาของรัฐได้ดำเนินการกับสถาบันการศึกษาต่างประเทศ หรือองค์กรต่างประเทศ ไม่ต้องดำเนิน การตามข้อนี้ แต่ให้ดำเนินการไปได้เอง
|
||||||||||||||||||||||||
396 | การดำเนินการประกวดราคาทางอิเล็คทรอนิกส์ (e-auction) | นร | 27/12/2548 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการดำเนินการประกวดราคาทางอิเล็ก
ทรอนิกส์ (e-auction) โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ชะลอการดำเนินการประกวด ราคาทางอิเล็กทรอนิกส์เฉพาะขั้นตอนการให้เอกชนเสนอราคา ในแผนงาน โครงการต่าง ๆ ในความรับผิด ชอบ ที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไปไว้ก่อน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเกี่ยว กับเรื่องนี้แล้ว ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กำลังดำเนินการเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงแก้ ไขกฎ ระเบียบ และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการประกวดราคาทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2548 เรื่อง การแก้ไขปัญหาการสมยอมราคาในการประกวดราคาทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-auction) และคาดว่า จะประกาศใช้เป็นแนวปฏิบัติได้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 เป็นต้นไป โดยในระหว่างนี้ให้ส่วน ราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ สามารถดำเนินการในขั้นตอนอื่น ๆ เช่น การออกประกาศเชิญ ชวนให้ผู้ประกอบการเตรียมเสนอราคา เป็นต้น ไว้ล่วงหน้าไดญ
|
||||||||||||||||||||||||
397 | การแก้ไขปัญหาการสมยอมราคาในการประกวดราคาทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-auction) | นร | 06/12/2548 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า การประกวดราคาทางอิเล็กทรอนิกส์
(e-auction) ของหลายส่วนราชการอาจก่อให้เกิดความคลางแคลงใจว่าอาจมีความไม่โปร่งใส หรืออาจมี การสมยอมราคากันล่วงหน้า เนื่องจากราคาที่เสนอหลายๆ รายมักไม่แตกต่างกันและใกล้เคียงกับราคา กลางที่กำหนดไว้มาก จึงขอให้รัฐมนตรีทุกท่านกวดขันดูแลการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีดังกล่าวให้ เป็นไปอย่างถูกต้องโปร่งใส และยึดประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ และให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร และโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี) เพื่อปรับปรุง แก้ไข กฎ ระเบียบ และแนวปฏิบัติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกวดราคาทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-auction) ให้เหมาะสม รัดกุม ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
398 | โครงการก่อสร้างหอประชุมนานาชาติเทิดพระเกียรติสงขลา | ศธ | 08/11/2548 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 (ฝ่าย
การต่างประเทศ การศึกษา การศาสนาและวัฒนธรรม) ที่มีมติเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างหอประชุมนานา ชาติเทิดพระเกียรติสงขลาของมหาวิทยาลัยสงขลานคริทนร์ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยเห็นชอบ ให้ดำเนินโครงการก่อสร้างหอประชุม ฯ ในวงเงิน 377,433,116 บาท โดยใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวน 359,433,116 บาท (วงเงินที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2547 อนุมัติไว้ 350,000,000 บาท และเงินเผื่อเหลือเผื่อขาด จำนวน 9,433,116 บาท) และเงินรายได้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จำนวน 18,000,000 บาท แต่เนื่องจากไม่ได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2549 ไว้ และเพื่อให้ทัน การเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ในปีพุทธศักราช 2549 ให้กระทรวงศึกษาธิการใช้เงินรายได้ของ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จำนวน 18,000,000 บาท ไปดำเนินการสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 และขอตกลงตามวงเงินที่จะต้องใช้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 และ พ.ศ. 2551 ตามวงเงินที่จะต้องใช้ใน การดำเนินการก่อสร้างดังกล่าวต่อไป โดยให้รับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแผนการบริหารจัดการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ส่วนในการกำหนดวัตถุ ประสงค์ของโครงการก่อสร้างหอประชุม ฯ และชื่ออาคารให้กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานปลัดสำนัก นายกรัฐมนตรีดำเนินการตามประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ คือ ให้กำหนดวัตถุประสงค์ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ในปีพุทธศักราช 2549 เพียงวโรกาสเดียว เพราะเป็นโครงการที่เริ่มดำเนินการก่อสร้างในปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ซึ่งตรงกับปีการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ในปีพุทธศักราช 2549 ในส่วนของชื่อ อาคารที่จะใช้เป็นการถาวรนั้น เห็นว่า ไม่สมควรที่จะพิจารณาชั้นนี้ โดยเห็นควรให้สำนักงานปลัดสำนัก นายกรัฐมนตรี และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รับไปหารือร่วมกับสำนักราชเลขาธิการ เพื่อขอทราบ หลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการขอพระราชทานชื่ออาคาร และดำเนินการตามหนังสือสำนักเลขาธิ การคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0507/ว 147 ลงวันที่ 10 มิถุนายน 2546 เรื่อง การขอพระราชทาน นามอาคาร สิ่งปลูกสร้าง หรือสถานที่ของทางราชการ สำหรับการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ รวมทั้งการบำรุง รักษาศูนย์ประชุม ฯ ให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์รับข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ เรื่องการ ส่งเสริม และเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาบริหารจัดการ เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างเต็มตามศักย ภาพของหอประชุม ตลอดจนประโยชน์ที่จะได้รับในเชิงรายได้ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ซึ่งจะทำให้ สามารถเลี้ยงตัวเองได้ในระยะยาวต่อไป และข้อสังเกตตามประเด็นอภิปรายในส่วนของการพิจารณาการ ใช้ลักษณะนามคำว่า "ศูนย์การประชุม" ในการขอพระราชทานนามอาคาร เพื่อให้สอดคล้องกับการเป็น สถานที่ประชุมในระดับภูมิภาค |
||||||||||||||||||||||||
399 | แนวปฏิบัติในการเรียนซ้ำชั้น | ศธ | 08/11/2548 | |||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับผลการประชุมปฏิบัติ
การแนวทางการพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ณ โรงแรมโซฟิเทล จังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 25-26 กุมภาพันธ์ 2548 เพื่อระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในการเรียนซ้ำชั้นในการนี้ที่ประชุมได้กำหนดแนวปฏิบัติดัง กล่าว ดังนี้ในการจัดการเรียนการสอนให้มีการประเมินผลการเรียนเป็นระยะ ๆ ระหว่างเรียน เพื่อปรับปรุง พัฒนาถ้าพบปัญหาหรือข้อบกพร่องในตัวผู้เรียนต้องซ่อมเสริมทันทีและประเมินผลปลายปี/ปลายภาค เพื่อ ตัดสินผลการเรียน ในกรณีที่ผู้เรียนไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินรายวิชา โดยมีข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อยให้ เรียนซ่อมเสริมและสอบแก้ตัว ในกรณีที่เรียนซ่อมเสริมและสอบแก้ตัวแล้ว ผู้เรียนไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน รายวิชาใดให้เรียนซ้ำรายวิชานั้น ในกรณีพบว่า ผู้เรียนมีระดับผลการเรียนเฉลี่ยของปีที่ผ่านมาต่ำกว่า "1" และไม่ให้ความเอาใจใส่ในการเรียน และคณะอาจารย์ผู้รับผิดชอบเห็นสมควรให้เรียนซ้ำชั้นเนื่องจากจะเป็น ปัญหาต่อผู้เรียนในการเรียนในระดับสูงขึ้น ก็จะจัดให้เรียนซ้ำชั้น แล้วให้ยกเลิกผลการเรียนเดิม และให้ใช้ ผลการเรียนใหม่แทน
|
||||||||||||||||||||||||
400 | การปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการจ้างแรงงานระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา | รง | 27/09/2548 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานการปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจว่า
ด้วยความร่วมมือในการจ้างแรงงานระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา โดยได้มีการประชุมแนวทางการ ปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการจ้างแรงงาน ระดับรัฐมนตรีไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2548 เพื่อประเมินผลและกำหนดแนวทางความร่วมมือในการจ้างแรงงานระหว่าง ทั้งสองประเทศให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผลการประชุมสรุปได้ดังนี้ ฝ่ายกัมพูชาได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้า มาดำเนินการพิสูจน์สัญชาติและออกเอกสารรับรองบุคคล (Certificate of Identity : C.I.) ให้แก่แรงงาน กัมพูชาที่จดทะเบียนไว้กับทางราชการไทย จำนวน 183,541 คน และทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่จะดำเนินการ แก้ไขกฎ ระเบียบภายในของทั้งสองประเทศเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมและนำมาซึ่งผลประโยชน์ ร่วมกัน รวมทั้งจะจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษารายละเอียด กฎหมาย มาตรการและแนวทางในการปฏิบัติ เกี่ยวกับการส่งออก การนำเข้า และการส่งกลับแรงงานกัมพูชา เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติโดยเร็ว ตลอด จนให้หน่วยงานที่มีอำนาจทั้งสองฝ่ายศึกษารายละเอียดการจัดระบบการจ้างแรงงานประเภทมาเช้า-กลับ เย็น และการทำงานตามฤดูกาลบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นการเฉพาะ นอกจากนี้ กัมพูชาได้เสนอ ให้ไทยพิจารณาแก้ไขมาตรา 9 ของบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการจ้างแรงงาน (MOU) เพื่อ ให้แรงงานกัมพูชาสามารถอาศัยและทำงานในประเทศไทยได้อย่างถาวร และอนุญาตให้แรงงานกัมพูชาที่ ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางราชการไทยสามารถได้รับเอกสารรับรองบุคคลและใบอนุญาตทำงานได้ โดย ที่ไทยได้เสนอให้กัมพูชาพิจารณาประเด็นที่ไทยไม่สามารถกระทำการแก้ไขแนวปฏิบัติที่ปรากฏในบันทึก ความเข้าใจ ฯ ตามที่กัมพูชาเรียกร้องได้ เนื่องจากการประชุมก่อนหน้านี้ได้เห็นชอบให้หาแนวทางการแก้ ไขปัญหาที่เกิดจากบันทึกความเข้าใจ ฯ และให้กัมพูชายืนยันหน่วยงานที่มีอำนาจในการดำเนินการด้าน การพิสูจน์สัญชาติและออกเอกสารรับรองบุคคล (C.I.) ตลอดจนแจ้งรายชื่อบริษัทที่จะดำเนินการด้าน การคัดเลือกแรงงานกัมพูชารายใหม่เข้ามาทำงานในประเทศไทย
|
.....