ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 25 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 20 จากข้อมูลทั้งหมด 486 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | ขออนุมัติการรับรองร่างขอบเขตหน้าที่และแนวปฏิบัติของกองทุนกีฬาอาเซียน | กก. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างขอบเขตหน้าที่และแนวปฏิบัติของกองทุนอาเซียน
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองร่างขอบเขตหน้าที่ฯ และอนุมัติในหลักการให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
โดยกรมพลศึกษาจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนกีฬาอาเซียนรายปีตามอัตราที่กำหนดไว้ในร่างขอบเขตหน้าที่และแนวปฏิบัติของกองทุนกีฬาอาเซียนเป็นประจำทุกปี
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างขอบเขตหน้าที่และแนวปฏิบัติของกองทุนกีฬาอาเซียนในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กรมพลศึกษา) ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนกีฬาอาเซียนรายปี
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๙ เป็นต้นไป ในอัตรา ๕,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ และค่าธรรมเนียมการโอนเงินระหว่างประเทศให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
(กรมพลศึกษา) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง ที่เห็นว่ากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาอาจพิจารณาขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติตามวัตถุประสงค์และขอบเขตที่กฎหมายกำหนด
แทนการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อเป็นการลดภาระงบประมาณของรัฐบาลในการดำเนินการดังกล่าว
ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2 | ขออนุมัติหลักการและวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือเกี่ยวกับที่ดินให้แก่ราษฎรผู้ถือครองและทำประโยชน์ในที่ดินที่หน่วยราชการดูแล เนื่องในการก่อสร้างหรือพัฒนาท่าอากาศยาน | คค. | 05/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี
คณะที่ ๒ (ด้านการต่างประเทศ การคมนาคม การท่องเที่ยว และวัฒนธรรม) ในคราวประชุมครั้งที่
๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ โดยให้กรมท่าอากาศยานนำมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ เรื่อง อนุมัติหลักการและวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือเกี่ยวกับที่ดินให้แก่ราษฎรผู้ถือครองและทำประโยชน์ในที่ดินที่หน่วยราชการดูแล
เนื่องในการสร้างทางหลวง มาปรับใช้ในการพิจารณาการจ่ายเงินค่าขนย้าย
ค่ารื้อย้ายอาคาร บ้านเรือน สิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ยืนต้น พืชล้มลุก ให้แก่ราษฎรผู้ถือครองที่ดินโดยไม่มีเอกสารสิทธิ
ซึ่งได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างหรือพัฒนาท่าอากาศยาน ทั้งนี้
ให้นำหลักเกณฑ์ที่ได้รับอนุมัติ
มาใช้กับการจัดหาที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม รวมเนื้อที่ประมาณ ๑๗๕
ไร่ ๒ งาน ๐๖ ตารางวา สำหรับก่อสร้างต่อเติมความยาวทางวิ่ง
ขยายทางขับและลานจอดเครื่องบิน ขนส่งสินค้าและอาคารคลังสินค้า พร้อมระบบไฟฟ้าสนามบิน
ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ ตำบลร่อนทอง อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์
และโครงการก่อสร้างหรือพัฒนาท่าอากาศยานอื่น ๆ ของกรมท่าอากาศยาน
ที่มีการดำเนินงานในลักษณะเดียวกัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้
ในส่วนของการแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดราคาค่าขนย้าย ค่ารื้อย้ายอาคาร บ้านเรือน
สิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ยืนต้น พืชล้มลุก ให้กระทรวงคมนาคม (กรมท่าอากาศยาน)
พิจารณาปรับปรุงโครงสร้างคณะกรรมการดังกล่าวโดยเฉพาะในส่วนของผู้แทนกรมท่าอากาศยานเพื่อให้องค์ประกอบของคณะกรรมการมีความสมดุล
ตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ให้กระทรวงคมนาคม (กรมท่าอากาศยาน)
รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ข้อสังเกตของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และข้อเสนอแนะของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรให้กรมท่าอากาศยานพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างคณะกรรมการกำหนดค่าทดแทนที่ดินและทรัพย์สิน
(คณะกรรมการฯ) โดยเฉพาะในส่วนของผู้แทนกรมท่าอากาศยานเพื่อให้องค์ประกอบของคณะกรรมการฯ
มีความสมดุล รวมถึงเร่งพิจารณาจัดทำหลักเกณฑ์การคำนวณค่าทดแทนต่าง ๆ ที่เหมาะสม เป็นธรรม
และสอดคล้องกับสภาพการถือครองที่ดินเพื่อให้คณะกรรมการฯ สามารถใช้เป็นแนวปฏิบัติประกอบการพิจารณากำหนดราคาค่าทดแทนให้เป็นไปอย่างรอบคอบ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3 | รายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity & Transparency Assessment: ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | ปช. | 22/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ
(Integrity & Transparency Assessment : ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ๒. ให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรมบัญชีกลาง ผู้ว่าราชการจังหวัด
และนายอำเภอ
ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่กำกับติดตามและผลักดันการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐตามมติคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๔ มกราคม ๒๕๖๕ ดำเนินการสนับสนุน ส่งเสริม
และให้ความช่วยเหลือแก่หน่วยงานภาครัฐที่ยังมีผลการประเมิน ITA ไม่ผ่านตามค่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
ประเด็น (๒๑) การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๖๕๘๐)
(ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) ให้สามารถยกระดับผลการดำเนินงานให้ผ่านค่าเป้าหมายตามที่กำหนดไว้ในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงาน
ก.พ.ร. และข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
ควรนำข้อมูลของหน่วยงานที่มีผลการประเมินอยู่ในระดับผ่านดีเยี่ยมมาถอดบทเรียนปัจจัยความสำเร็จ
และจัดทำเป็นกรณีศึกษาของหน่วยงานที่มีแนวปฏิบัติที่ดีสำหรับหน่วยงานแต่ละประเภท
ทั้งในการดำเนินการภาพรวม
และการดำเนินการรายตัวชี้วัดเพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาให้กับหน่วยงานที่ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน
ให้สามารถนำแนวทางการดำเนินงานไปศึกษาและต่อยอดปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของหน่วยงาน
รวมทั้งควรมีการวิเคราะห์สาเหตุหรือจุดอ่อนของตัวชี้วัดที่ไม่ผ่านเกณฑ์
(ตัวชี้วัดที่ ๘ การปรับปรุงระบบการทำงาน) เพื่อให้หน่วยงานสามารถเร่งพัฒนาการดำเนินการในตัวชี้วัดดังกล่าวนำไปสู่การบรรลุค่าเป้าหมายของแผนย่อยของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
ประเด็น (๒๑) การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบได้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
เห็นว่าการกำหนดหลักเกณฑ์การประเมิน ITA ไม่ควรใช้หลักเกณฑ์เดียวกันในการประเมินกับทุกหน่วยงาน ควรพิจารณาหลักเกณฑ์การประเมินให้สอดคล้องกับลักษณะงานหรือภารกิจของแต่ละหน่วยงานเพื่อให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เช่น
หน่วยงานที่ให้บริการทางวิชาการไม่ควรใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับหน่วยงานที่มีหน้าที่พิจารณาอนุมัติ
อนุญาต เพื่อจะได้สะท้อนผลการปฏิบัติงานที่ตรงต่อภารกิจงานของหน่วยงานนั้น ๆ ๓. ให้ส่งความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร.
และข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4 | แนวทางการผ่อนผันให้แรงงานสัญชาติกัมพูชาเข้ามาทำงานบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา | รง. | 22/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแนวทางการผ่อนผันให้แรงงานสัญชาติกัมพูชาเข้ามาทำงานบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
และเห็นชอบในหลักการร่างประกาศของกระทรวงแรงงาน จำนวน ๑ ฉบับ
รวมถึงอนุมัติในหลักการร่างประกาศของกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑ ฉบับ รวม ๒ ฉบับ เพื่อบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว
และกระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และหน่วยงานในพื้นที่ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้นายจ้าง/ผู้ประกอบการ
แรงงานต่างด้าว และผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบข้อมูลการดำเนินการดังกล่าวอย่างทั่วถึง
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. เห็นชอบ ๒.๑ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การยกเว้นข้อห้ามมิให้คนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำงานในราชอาณาจักร ตามมาตรา ๖๔
แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐ ด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
... ๒.๒ ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักร ตามมาตรา
๖๔ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ... รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลไม่ให้มีการเรียกรับผลประโยชน์กับแรงงานในการดำเนินการขั้นตอนต่าง
ๆ รวมทั้งให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
เห็นว่าแนวทางดังกล่าวถือเป็นมาตรการระยะเร่งด่วนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ
ตลอดจนไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนบริเวณชายแดน
ควรพิจารณาถึงความจำเป็นและความเหมาะสมให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง
จนกว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองจะกลับคืนสู่ภาวะปกติ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าในการดำเนินการกระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการวางแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเพื่อให้แรงงานกลุ่มดังกล่าวสามารถรายงานตัวได้ทันตามกรอบระยะเวลากำหนด
และควรพิจารณาจัดทำแนวทางในการบริหารจัดการความเสี่ยงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว หากสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนมีความยืดเยื้อ
เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการขาดแคลนแรงงานและมีการลักลอบเข้ามาในประเทศอย่างผิดกฎหมาย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5 | ขอความเห็นชอบร่างแผนแม่บทเพื่อพัฒนาเกษตรกรรม ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2568-2575) | สภช. | 15/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแผนแม่บทเพื่อพัฒนาเกษตรกรรม ฉบับที่ ๒
(พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๕) และมอบหมายให้สภาเกษตรกรแห่งชาติเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนแผนแม่บทเพื่อพัฒนาเกษตรกรรม
ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๕) สู่การปฏิบัติ โดยร่างแผนแม่บทฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพเกษตรกรให้มีความเข้มแข็งพร้อมสร้างโอกาสและรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
ขับเคลื่อนเกษตรสีเขียวที่สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
และให้ภาคการเกษตรสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้ ประกอบด้วย ๓
ยุทธศาสตร์ คือ ๑) การสร้างความเข้มแข็งของเกษตร ๒) การพัฒนาเกษตรสีเขียว และ ๓) การเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรสู่ตลาดโลก
ตามที่สภาเกษตรกรแห่งชาติเสนอ ให้สภาเกษตรกรแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงบประมาณ และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รวมทั้งข้อคิดเห็น ข้อสังเกต
และข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นควรกำหนดเป้าหมายรายได้เงินสดสุทธิครัวเรือนเกษตรให้ครอบคลุมจนถึงปี
๒๕๗๕ ตามกรอบระยะเวลาของแผน
และเพื่อให้การขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องควรให้ความสำคัญกับการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติ
รวมถึงการประเมินผลการบรรลุเป้าหมายของแผนดังกล่าว กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อระบบนิเวศของทรัพยากรธรรมชาติในภาพรวมทั้งระบบ
อาทิ การใช้ปุ๋ย สารเคมี และแนวปฏิบัติในการทำเกษตร รวมถึงการทำเกษตรในพื้นที่ลุ่มน้ำ
อันจะส่งผลให้ประเทศบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6 | องค์กรร่วมไทย-มาเลเซียขอความเห็นชอบร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 4 ของสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ แปลง B-17-01 ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย | พน. | 01/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ ๔
ของสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ แปลง B - 17 - 01 ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย
เพื่อให้ออกเป็นร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ ๔ ของสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติแปลง
B - 17 - 01 ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย และให้องค์กรร่วมฯ
โดยหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารองค์กรร่วมฯ ลงนามในร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่
๔ ของสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ แปลง B - 17 - 01
กับผู้ซื้อก๊าซธรรมชาติ และรองหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารองค์กรร่วมฯ
ลงนามในฐานะพยาน เมื่อร่างสัญญาดังกล่าวได้ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว
โดยร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ ๔
ของสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติของแปลง B - 17 - 01 มีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มเติมรายละเอียดและแก้ไขในส่วนของบทบัญญัติต่าง
ๆ เพื่อรองรับปริมาณก๊าซธรรมชาติส่วนเพิ่ม ๓
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ให้กระทรวงพลังงานและองค์กรร่วมไทย -
มาเลเซียรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุดไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติและโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่เกี่ยวข้อง
ขอให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ที่กำหนดในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม อย่างเคร่งครัด และหากการผลิตก๊าซธรรมชาติส่วนเพิ่มเติมตามสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่
๔ ของสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ แปลง B - 17 - 01 ทำให้ต้องมีการทบทวนมาตรการต่าง ๆ
เพื่อป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและเป็นการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงาน
EIA เจ้าของโครงการจะต้องดำเนินการตามแนวปฏิบัติและกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นควรที่คณะรัฐมนตรีจะเร่งรัดให้กระทรวงพลังงานดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการลงนามในสัญญาดังกล่าวโดยเร็วด้วย
เนื่องจากก๊าซธรรมชาติจากแหล่งดังกล่าวมีความสำคัญและมีผลกระทบต่อราคาพลังงานของประเทศ
และความสามารถในการแข่งขันของประเทศในภาพรวม |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7 | รายงานการทบทวนการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ระดับชาติ โดยสมัครใจของไทย พุทธศักราช 2568 | กต. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายงานการทบทวนการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน
ค.ศ. ๒๐๓๐ ระดับชาติ
โดยสมัครใจของไทย พุทธศักราช ๒๕๖๘
และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดส่งรายงานให้ UN DESA ต่อไป และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายนำเสนอรายงานฯ
และตอบข้อซักถาม (ถ้ามี) ต่อที่ประชุม HLPF ประจำปี ๒๕๖๘
ซึ่งร่างรายงาน VNR ประจำปี ๒๕๖๘
มีสาระสำคัญครอบคลุมการดำเนินงานด้าน SDGs ของไทยทั้ง ๑๗
เป้าหมาย โดยเน้นประเด็นสำคัญ ๓ ด้าน ได้แก่ ๑)
การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติเพื่อสะท้อนความคืบหน้าการดำเนินการตาม SDGs ของไทยในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมา (๒๕๕๘ - ๒๕๖๘) โดย สศช. และสำนักงานสถิติแห่งชาติร่วมปรับปรุงข้อมูลตัวชี้วัด
SDGs ให้เป็นปัจจุบัน
และประเมินความก้าวหน้าของประเทศไทยในภาพรวม ๒)
การนำเสนอแนวปฏิบัติที่ดีในการขับเคลื่อน SDGs ของไทย และ ๓)
การวิเคราะห์ความท้าทายและแนวทางการดำเนินการเพื่อเร่งรัดการบรรลุวาระการพัฒนา
ค.ศ. ๒๐๓๐ โดยมีความท้าทายที่สำคัญ เช่น ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐาน
การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรและการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ
และการใช้เทคโนโลยีใหม่ รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรายงานการทบทวนการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน
ค.ศ. ๒๐๓๐ ระดับชาติ โดยสมัครใจของไทย พุทธศักราช ๒๕๖๘
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรสื่อสารผลลัพธ์จากการนำเสนอรายงานฯ
ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8 | การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี | นร.10 | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบการจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
(สคทช.) สำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน ๕ อัตรา ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ
(คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
สำหรับการจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านบุคคลสำหรับอัตราข้าราชการตั้งใหม่ดังกล่าว
ให้ส่วนราชการดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงบประมาณกำหนด
และเพื่อประโยชน์ในการติดตาม
ประเมินผลที่แสดงถึงความคุ้มค่าและประสิทธิภาพของการบริหารอัตรากำลัง ให้ สคทช. กำหนดเป้าหมายผลผลิตและผลลัพธ์จากการได้รับการจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ดังกล่าว
และรายงานผลให้สำนักงาน ก.พ. ทราบ เมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ๑.๒ มอบหมายให้ สคทช.
จัดทำแผนการสรรหาและบรรจุบุคคลเข้ารับราชการตามแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๑ กันยายน ๒๕๖๑ และรายงานให้ คปร. ทราบโดยเร็ว ตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป สำนักงบประมาณ เห็นว่าสำหรับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรของอัตราข้าราชการตั้งใหม่
เห็นควรให้ส่วนราชการพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้แล้วในแผนงานบุคลากรภาครัฐไปดำเนินการในลำดับแรกก่อน
และถือปฏิบัติตามนัยหนังสือสำนักงบประมาณ ที่ นร ๐๗๑๘/ว ๘๕ ลงวันที่ ๑๔ มีนาคม
๒๕๖๘ อย่างเคร่งครัด ส่วนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรที่จะเกิดขึ้นในปีต่อไป ให้ส่วนราชการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเท่าที่จำเป็นตามภารกิจ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนของกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นควร สคทช. เร่งดำเนินการสรรหา
บรรจุ และแต่งตั้งตำแหน่งนักวิชาการแผนที่ภาพถ่าย ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
และควรกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของข้าราชการใหม่ให้ชัดเจน รวมทั้งพัฒนาองค์ความรู้และทักษะให้กับบุคลากรตำแหน่งดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
เพื่อสร้างความพร้อมและความต่อเนื่องในการปฏิบัติงานที่ทำให้ สคทช.
สามารถดำเนินภารกิจเพื่อบรรลุผลสัมฤทธิ์ในข้างต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9 | ร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์) | กค. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.
๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยเพิ่มบทบัญญัติเพื่อรองรับการออกหลักทรัพย์
โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ และกำหนดบทกำหนดโทษกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดเกี่ยวกับหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อรองรับและส่งเสริมให้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการออกผลิตภัณฑ์และการทำธุรกรรมในตลาดทุน
รวมทั้งอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน
อันจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในสังคมดิจิทัลแห่งอนาคต
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
โดยให้ส่งความเห็นของสมาคมธนาคารไทยไปเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลัง
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์
สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสมาคมธนาคารไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงพาณิชย์ ที่เห็นว่าในประเด็นเกี่ยวกับหลักทรัพย์ประเภทหุ้นของบริษัทมหาชนจำกัดที่จัดตั้งขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด
พ.ศ. ๒๕๓๕ และมีหุ้นเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หากคณะกรรมการ ก.ล.ต.
จะประกาศกำหนดให้สามารถออกหุ้น โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้
ควรพิจารณาหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเกี่ยวกับการออกหุ้นอิเล็กทรอนิกส์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ก่อนดำเนินการออกกฎหมายลำดับรองในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้หน่วยงานนั้น ๆ
พิจารณาดำเนินการและเตรียมความพร้อมภายใต้ภารกิจและกรอบกฎหมายได้อย่างถูกต้อง
และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย อาทิ กระทรวงพาณิชย์ (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. ๒๕๓๕ สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่าในมาตรา ๖๒/๒ ซึ่งบัญญัติเกี่ยวกับการออกหลักทรัพย์ตามประเภทที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กำหนดให้ดำเนินการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ว่า
การออกหลักทรัพย์โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ควรมีการจัดทำแนวปฏิบัติ มาตรฐานการออกหลักทรัพย์ที่ชัดเจนในทุกกระบวนการที่เกี่ยวข้อง
เช่น การออก การโอน การส่งมอบ และการวางหลักประกัน เป็นต้น
เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้อง มีมาตรฐานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๔.
ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสมาคมธนาคารไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ประชาสัมพันธ์หลักเกณฑ์
เงื่อนไข กระบวนการ และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการออกหลักทรัพย์ด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดให้ชัดเจนและเข้าใจง่าย
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติรวม ๔ ฉบับ
ที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ที่ยังค้างการพิจารณาอยู่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว สมาคมธนาคารไทย เห็นควรกำหนดนิยาม “หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์”
ให้มีความแตกต่างจาก “สินทรัพย์ดิจิทัล” และการกำหนดให้การดำเนินการต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ต้องเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต.
ส่งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงธนาคารยังไม่สามารถออกผลิตภัณฑ์หรือให้บริการการทำธุรกรรมตลาดทุนที่เกี่ยวกับหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 เรื่อง การทบทวนแนวปฏิบัติการดำเนินการภายในของไทยในการพิจารณาให้ความเห็นชอบเอกสารในกรอบอาเซียน | กต. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. เห็นชอบทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖
กรกฎาคม ๒๕๖๗ (เรื่อง
การทบทวนแนวปฏิบัติการดำเนินการภายในของไทยในการพิจารณาให้ความเห็นชอบเอกสารในกรอบอาเซียน)
เพื่อปรับปรุงขยายขอบเขตให้ครอบคลุมประเภทเอกสาร และเงื่อนไขใหม่ โดยหากเข้าข่ายตามเงื่อนไขที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไว้ให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบของไทย
โดยไม่ต้องนำเอกสารดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีตามมาตรา ๔ (๓)
ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘
โดยมีรายละเอียดครอบคลุมเอกสารต่าง ๆ รวม ๓ รายการ ดังนี้ ๑ ๑
เอกสารระหว่างอาเซียนกับภาคีภายนอกที่เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ลงนามในนามอาเซียน
ในฐานะองค์การระหว่างประเทศระดับรัฐบาล ซึ่งไม่ก่อพันธกรณีต่อประเทศสมาชิก ๑.๒
เอกสารระดับรัฐมนตรีลงมาของอาเซียน หรือระหว่างอาเซียนกับภาคีภายนอก ๑.๓
ร่างหนังสือให้ความยินยอม (Letter of Consent) ต่อการภาคยานุวัติสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia : TAC) โดยรัฐที่จะภาคยานุวัติสนธิสัญญา TAC ๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้รวบรวมผลการดำเนินการและรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ ปีละ
๑ ครั้ง หลังการประชุมสุดยอดอาเซียน การประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้องในช่วงปลายปี
หรือมากกว่าปีละ ๑ ครั้ง หากมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนหรือเหตุสำคัญที่จะต้องรายงานคณะรัฐมนตรีเป็นกรณีพิเศษ ทั้งนี้
ให้ส่วนราชการและหน่วยงานรัฐเจ้าของเรื่องส่งเอกสารในกรอบอาเซียนให้กระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็นชอบด้วยทุกครั้งก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นว่ามีเอกสารที่มีลักษณะเดียวกันในกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศอื่น
ๆ เช่น กรอบอาเซียน + ๓ กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย - แปซิฟิค
กรอบพหุภาคีและกรอบทวิภาคีอื่น ๆ เป็นต้น
ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณามีมติครอบคลุมเอกสารเหล่านี้ด้วย
เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินการภายในของไทย ลดปริมาณงานที่ไม่จำเป็นแก่คณะรัฐมนตรี
และช่วยให้หน่วยงานของไทยสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงทีมากยิ่งขึ้น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าหน่วยงานที่ประสงค์จะทำความตกลงระหว่างประเทศจะต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มกราคม ๒๕๖๗ ที่ให้หารือกับกระทรวงการต่างประเทศให้ถูกต้อง ชัดเจน ก่อนดำเนินการใด
ๆ และปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
และกระทรวงการต่างประเทศจำเป็นต้องวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงได้รับด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11 | แผนการนำงานบริการของหน่วยงานของรัฐมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง | นร.12 | 04/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการและกรอบระยะเวลาของแผนการนำงานบริการของหน่วยงานของรัฐมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง
รวมทั้งวิธีการและกลไกการดำเนินการในการพัฒนาและเชื่อมโยงงานบริการมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๖ (ด้านดิจิทัล สาธารณสุข
ทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ประโยชน์ที่ดินและการบริหารจัดการน้ำ) ในคราวประชุม ครั้งที่
๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๘ ๒.
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการพัฒนาและเชื่อมโยงงานบริการมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง
ในกรอบวงเงิน ๘๙๗.๘ ล้านบาท ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๘/๔๗๕ ลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๘)
ต่อไป ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
(องค์การมหาชน) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามแผนการนำงานบริการของหน่วยงานของรัฐมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยให้หน่วยงานของรัฐ เจ้าของงานบริการที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ด่วนที่สุด
ที่ สกมช ๐๑๐๐/๓๑๙๓ ลงวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๘) รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
(องค์การมหาชน) [หนังสือสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ด่วนที่สุด ที่
สพร ๒๕๖๘/๑๑๙๙ ลงวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๘]
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
เห็นควรให้ปฏิบัติตามประมวลแนวปฏิบัติและกรอบมาตรฐานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
สำหรับหน่วยงานของรัฐและหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ
เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของบริการที่สำคัญของหน่วยงาน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12 | ขอความเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย รัฐบาลแห่งมาเลเซีย และรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยความร่วมมือด้านน้ำมันปาล์ม | กษ. | 20/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย
รัฐบาลแห่งมาเลเซีย และรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยความร่วมมือด้านน้ำมันปาล์ม
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน
สนับสนุนและเอื้ออำนวยการส่งเสริมการค้า
รวมถึงเสริมสร้างประสบการณ์และการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างกัน
บนพื้นฐานของการต่างตอบแทนและผลประโยชน์ร่วมกันในด้านการพัฒนาน้ำมันปาล์ม
มีสาขาความร่วมมือ เช่น การเสริมสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในอนุภูมิภาค
IMT - GT เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม
การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ไห้ความเห็นชอบไว้ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ที่เห็นควรคำนึงถึงพื้นที่ที่ใช้ในการปลูกปาล์ม
ควรเป็นพื้นที่ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องมีการบริหารจัดการต้นปาล์มตามหลักวิชาการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
และหากประสงค์จะดำเนินการในเขตพื้นที่ป่าไม้ ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13 | สรุปผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะ กรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 (เรื่อง ปัญหาการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคา) | พน. | 13/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะ
กรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด ๕ หน้าที่ของรัฐ
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ (เรื่อง
ปัญหาการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคา) ซึ่งมีผลการดำเนินการในด้านต่าง ๆ เช่น ๑)
ด้านแนวปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒) ด้านการกำหนดมาตรฐานแผงโซลาร์เซลล์ ๓) ด้านมาตรฐานผู้ติดตั้ง
และ ๔) ด้านการสื่อสารสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และแจ้งให้ผู้ตรวจการแผ่นดินทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม
สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามหน้าที่และอำนาจของแต่ละหน่วยงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14 | ผลการเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการว่าด้วยสถานภาพสตรี สมัยที่ 69 ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา | พม. | 06/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการว่าด้วยสถานภาพสตรี
สมัยที่ ๖๙ (Commission on the Status
of Women - CSW 69) ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ระหว่างวันที่ ๑๐ - ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๘ ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก
สหรัฐอเมริกา โดยผลการเข้าร่วมประชุมฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑)
การรับรองเอกสารผลลัพธ์ปฏิญญาทางการเมืองเนื่องในโอกาสครบรอบ
๓๐ ปี ของการประชุมระดับโลกว่าด้วยเรื่องสตรี ครั้งที่ ๔ [คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ (๓ มีนาคม ๒๕๖๘)
ให้ความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ให้การรับรองร่างเอกสารดังกล่าว] โดยฉันทามติและไม่มีการลงนาม เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๘ โดยปฏิญญาที่ได้รับการรับรองดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงจากร่างปฏิญญาฯ
ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ซึ่งเป็นการตัดถ้อยคำที่ซ้ำซ้อนและมีการจัดลำดับความสำคัญให้สอดคล้องกับปฏิญญาปักกิ่งและแผนปฏิบัติการ
โดยเน้นย้ำความสำคัญของการมีส่วนร่วมและความเป็นผู้นำของสตรี ๒)
การประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีโดยร่วมอภิปรายแลกเปลี่ยนประเด็นมาตรการและกลไกทางสถาบันระดับชาติด้านความเสมอภาคระหว่างเพศ
รวมทั้งแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิของสตรีและเด็กหญิงที่เผชิญกับการเลือกปฏิบัติในหลายมิติ
๓) การกล่าวถ้อยแถลงในนามประเทศไทย ถึงการครบรอบ ๓๐ ปี ของปฏิญญาปักกิ่งและการตระหนักถึงการดำเนินการตามปฏิญญาฯ
โดยไทยได้ขับเคลื่อนนโยบายภายใต้ปฏิญญาฯ เช่น การจ้างงาน การส่งเสริมคุ้มครองสิทธิของสตรี
เด็กหญิง การออกกฎหมาย สมรสเท่าเทียม การจัดการกับความรุนแรงและการล่วงละเมิดทางเพศ
และ ๔) การหารือทวิภาคีกับผู้แทนระดับสูงและองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่
ผู้บริหารโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติและหัวหน้าคณะสาธารณรัฐสิงคโปร์ในประเด็นการให้ความสำคัญกับการลงทุนทางสังคม
โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางเพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ ปัญหาวิกฤตประชากร
อัตราการเกิดต่ำและการร่วมมือเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ
ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล ครั้งที่ 5 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | ดศ. | 29/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล
ครั้งที่ ๕ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๖ - ๑๗ มกราคม ๒๕๖๘ ณ
กรุงเทพมหานคร โดยผลการประชุมฯ มีสาระสำคัญ เช่น ๑) ผลการประชุมรัฐมนตรี ADGMIN ครั้งที่ ๕ (เช่น
การแลกเปลี่ยนความก้าวหน้าการพัฒนาด้านดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียน การรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุม)
๒) การประชุม ADGMIN กับคู่เจรจา (เช่น รับทราบแผน/ความคืบหน้า/ผลการดำเนินการด้านดิจิทัลระหว่างอาเซียนกับญี่ปุ่น
เกาหลี อินเดีย สหรัฐฯ) ๓) การหารือทวิภาคี (เช่น
การหารือปัญหาอาชญากรรมดิจิทัลข้ามพรมแดนกับเมียนมา การแลกเปลี่ยนความรู้และแนวปฏิบัติด้านดิจิทัลกับอินเดีย
การหารือในประเด็นด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และดิจิทัลกับญี่ปุ่น) และ ๔)
การประชุมระดับรัฐมนตรีไทย - จีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัล ครั้งที่
๒ และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง (เช่น ทั้งสองฝ่ายได้มีการแลกเปลี่ยนนโยบายด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
พัฒนาการ และแนวทางการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง และแสดงความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกันขจัดปัญหาการหลอกลวงออนไลน์
การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกหลอกลวง รวมถึงประชาชนที่โดนหลอกไปทำงาน
การจัดการข่าวปลอม และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล)
ซึ่งการเป็นเจ้าภาพของในการประชุมครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของไทยในเวทีอาเซียนและการเป็นผู้นำในการยกระดับความร่วมมือและการดำเนินงานด้านดิจิทัลของอาเซียน
เพื่อก้าวไปสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างมั่นคงปลอดภัย มีนวัตกรรม และครอบคลุม
รวมทั้งยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่ไทยและส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยรวม
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16 | ขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านมหาสมุทรของเอเปค ค.ศ. 2025 | ทส. | 29/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านมหาสมุทรของเอเปค
ค.ศ. ๒๐๒๕ (Joint Statement on the 2025 APEC Oceans-Related Ministerial Meeting) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
หรือผู้แทนร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ โดยไม่มีการลงนาม โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของสมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปค
และเป็นกรอบการดำเนินการในด้านความยั่งยืนของมหาสมุทรและการประมงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
ผ่านการดำเนินงาน ประกอบด้วย การส่งเสริมความร่วมมือในระดับภูมิภาค
การแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ การพัฒนาศักยภาพ
และการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม และยังเป็นการสะท้อนความพยายามของสมาชิกเขตเศรษฐกิจในการยกระดับและพัฒนาความร่วมมือด้านมหาสมุทรและการประมง
รวมทั้งเพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินงานของสมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปค
ที่จะมุ่งส่งเสริมและกระชับความร่วมมือด้านมหาสมุทรและการประมง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17 | ร่างบันทึกความร่วมมือด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีสารสนเทศระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงการพัฒนาดิจิทัล นวัตกรรม และอุตสาหกรรมการบินและอวกาศแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถาน | ดศ. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีสารสนเทศระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงการพัฒนาดิจิทัล นวัตกรรม
และอุตสาหกรรมการบินและอวกาศแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถาน และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ร่วมลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือฯ
โดยร่างบันทึกความร่วมมือฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีและความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลระหว่างไทยและคาซัคสถาน
เช่น (๑) แบ่งปันประสบการณ์ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาระดับชาติ
(๒) ส่งเสริมความร่วมมือในด้านการบริหารจัดการภาครัฐในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์
และการบริหารสาธารณสุขในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (๓) แบ่งปันแนวปฏิบัติอันเป็นเลิศในการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(๔) ส่งเสริมความร่วมมือในการออกแบบและผลิตระบบอิเล็กทรอนิกส์ (๕)
ส่งเสริมบริษัทสตาร์ทอัพในธุรกิจในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ (๖) แบ่งปันประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่
เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (๗) แบ่งปันความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย และ (๘)
ส่งเสริมความร่วมมือด้านอื่น ๆ ทั้งนี้ ร่างบันทึกความร่วมมือฯ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ลงนามเป็นระยะเวลา
๓ ปี และสามารถขยายออกไปได้ โดยการตกลงร่วมกันเป็นลายลักษณ์อักษร ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในสาขาเทคโนโลยีดิจิทัลระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งรัฐบาลสาธารณรัฐอินเดีย | ดศ. | 01/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีดิจิทัลระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและกระทรวงอิเล็กทรอนิกส์และสารสนเทศของรัฐบาลสาธารณรัฐอินเดีย
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ร่วมลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนข้อมูลในสาขาดิจิทัล
เช่น (๑) ความรู้และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับนโยบายและการกำกับดูแลด้านดิจิทัล (๒)
ส่งเสริมความร่วมมือและการวิจัยในเทคโนโลยีอุบัติใหม่ เช่น AI และ (๓) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการและการฝึกอบรม ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒.
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น
เห็นควรใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
หรือโอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม แล้วแต่กรณี
หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19 | การเตรียมการรองรับสถานการณ์ภัยพิบัติของประเทศไทย | นร. | 01/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์แผ่นดินไหวในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๘ ส่งผลให้หลายพื้นที่ในประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ภาคเหนือและกรุงเทพมหานครรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนเป็นอย่างมาก
รวมทั้งได้เกิดเหตุการณ์อาคารสูงของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในเขตจตุจักรพังถล่มลงมา
ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งในขณะนี้
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและอาสาสมัครจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน
และต่างประเทศได้บูรณาการการทำงานร่วมกัน และระดมสรรพกำลังที่มีในการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการป้องกันและเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติต่าง ๆ
ของประเทศที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต จึงขอมอบหมายดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงมหาดไทย
(กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เร่งดำเนินการจัดทำแผนและมาตรการการป้องกันภัยพิบัติต่าง
ๆ โดยให้แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบและขั้นตอนการปฏิบัติต่าง ๆ (Flowchart) ของแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน
เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าวสามารถดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจได้อย่างถูกต้องและสอดคล้องกัน
แล้วให้นำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วภายใน ๑ เดือน ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย
(กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
เร่งประสานการดำเนินงานกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กรมอุตุนิยมวิทยา)
และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเพื่อให้สามารถส่งข้อความแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าให้เข้าถึงประชาชนได้อย่างทั่วถึง
ชัดเจน ถูกต้อง และรวดเร็วมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
โดยขอให้ใช้ระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน “Virtual
Cell Broadcast” บนอุปกรณ์โทรศัพท์ทุกรูปแบบได้ไปพลางก่อนในระหว่างการรอระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน
“Cell Broadcast Service” ที่กำหนดจะเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกรกฎาคมนี้
ทั้งนี้ เพื่อให้การเตือนภัยต่อสาธารณชนทั้งที่เป็นภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว
อุทกภัย ดินโคลนถล่ม และอุบัติภัยอื่น ๆ เช่น ไฟไหม้ อุบัติเหตุทางการจราจรและขนส่ง
รวมตลอดถึงภัยจากอาชญากรรมทางไซเบอร์ (Cyber Crime) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเท่าทันสถานการณ์มากยิ่งขึ้น ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการและผังเมือง)
เร่งกำหนดมาตรการและแนวปฏิบัติในการติดตาม
ตรวจสอบสภาพความมั่นคงของโครงสร้างอาคารสูงทุกอาคารให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย
รวมทั้งออกใบรับรอง (Certificate) ที่ประชาชนสามารถรับรู้และตรวจสอบได้
เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้งานต่อไป รวมทั้งให้ประสานงานกับกระทรวงอุตสาหกรรม
กรุงเทพมหานคร หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดมาตรฐานและข้อกำหนดในการออกแบบก่อสร้างอาคารให้มีความมั่นคง
แข็งแรง ปลอดภัย สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น ๔.
ให้กระทรวงการต่างประเทศเร่งประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเชิญผู้เชี่ยวชาญจากประเทศต่าง
ๆ ที่มีความพร้อมด้านการเตือนภัยภัยพิบัติและมีแนวปฏิบัติที่ดี เช่น ประเทศญี่ปุ่น
ประเทศนิวซีแลนด์ มาร่วมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของฝ่ายไทย
เพื่อให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะในการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยด่วน ๕.
ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนการเตรียมการรับมือด้านการให้บริการทางการแพทย์ กรณีเกิดอุบัติภัยต่าง ๆ ให้เหมาะสม เพียงพอ
และเท่าทันสถานการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการจัดแพทย์ฉุกเฉิน
เตียงสนาม อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งการจัดจิตแพทย์เพื่อให้การดูแลฟื้นฟูจิตใจผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติภัยต่าง
ๆ ดังกล่าวด้วย ๖.
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์
เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการเกิดอุบัติภัย
รวมทั้งการแจ้งเตือนและแผนรับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ
ให้แก่นักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติที่มาทำงานในประเทศไทยให้ถูกต้อง ชัดเจน
และรวดเร็วด้วย ๗. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งระดมนักวิชาการทางด้านธรณีวิทยา
เพื่อรวบรวมข้อมูลและจัดทำข้อเสนอแนะในมาตรการรับมือและป้องกันภัยพิบัติที่ถูกต้องและรัดกุม
รวมถึงการตรวจสอบระบบอุปกรณ์เตือนภัยพิบัติต่าง ๆ
ที่มีอยู่ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่เสมอด้วย ๘. ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำหลักสูตร/คู่มือการรับมือกับภัยธรรมชาติและอุบัติภัยต่าง
ๆ เพื่อใช้ในการเรียนการสอนและเป็นแนวทางปฏิบัติให้กับนักเรียน/นักศึกษาทุกระดับชั้นต่อไป ๙.
ให้กระทรวงคมนาคมเร่งตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไขเส้นทางคมนาคมทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ
ให้มีความพร้อมใช้งาน เพื่อสามารถให้บริการประชาชนได้ตามปกติโดยเร็ว
รวมถึงให้ตรวจสอบงานก่อสร้างขนาดใหญ่ในความรับผิดชอบให้ได้มาตรฐานความปลอดภัย
และสามารถรองรับภัยธรรมชาติต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ด้วย ๑๐. ให้สำนักนายกรัฐมนตรี
(สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) เร่งประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย
(กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรวบรวมมาตรการในการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนี้ให้ถูกต้อง
ครบถ้วน แล้วดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปโดยด่วน ๑๑. ให้สำนักนายกรัฐมนตรี
(กรมประชาสัมพันธ์) เป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและทั่วถึง
โดยให้เผยแพร่ต่อไปยังช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ให้รวดเร็วและครบถ้วน ทั้งทางโทรทัศน์
วิทยุ แพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Facebook หรือ LINE Application รวมทั้งให้ประสานขอความร่วมมือจากภาคเอกชนที่มีป้ายโฆษณาขนาดใหญ่เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่มีความสำคัญและจำเป็นเร่งด่วน
ตามแต่กรณีด้วย ๑๒. ให้คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง
ซึ่งแต่งตั้งโดยรองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในการก่อสร้างอาคารของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินให้แล้วเสร็จภายใน
๗ วัน โดยหากพบการกระทำความผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20 | แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน ภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (2567-2573) | ทส. | 01/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแผนปฏิบัติการร่วมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส
(๒๕๖๗ - ๒๕๗๓) และมอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และกระทรวงการต่างประเทศดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยแผนปฏิบัติการร่วมฯ
มีสาระสำคัญ ประกอบด้วย ๑) การควบคุมและดับไฟจากการเผาในที่โล่ง เช่น
การพัฒนาแผนที่เสี่ยงการเกิดไฟ การสร้างเครือข่ายดับไฟไตรภาคี
รวมถึงการจัดฝึกอบรมเพิ่มศักยภาพในการทำแผนที่เสี่ยงไฟและการติดตามตรวจสอบการเกิดไฟ
๒) การคาดการณ์และติดตามตรวจสอบสถานการณ์หมอกควัน เช่น พัฒนาระบบพยากรณ์และติดตามการจัดการไฟที่เกิดขึ้น
พัฒนาขั้นตอนการปฏิบัติงานมาตรฐาน (Standard
Operating Procedure : SOP) สำหรับการควบคุมและจัดการหมอกควัน ๓)
การจัดการเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน เช่น
สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการจัดการเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน
และการดำเนินการวิเคราะห์ที่ดิน เพื่อกำหนดพืชผลที่เหมาะสมสำหรับพื้นที่เฉพาะ ๔)
การบังคับใช้กฎหมายและการประสานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น
แนะนำกฎหมายและข้อบังคับ และแนวปฏิบัติต่าง ๆ ของแต่ละประเทศ เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการร่วมฯ
สร้างการสื่อสารสายด่วนระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย
สปป.ลาว และเมียนมา และ ๕) การนำไปปฏิบัติ เช่น การแบ่งปันประสบการณ์ ขยายผลแนวปฏิบัติที่ดี
การระดมทรัพยากรเพื่อใช้ดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการร่วมฯ
และการเปิดรับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ เข้าร่วมเป็นสมาชิกเพิ่มเติม
รวมถึงการสร้างกลไกเพื่อติดตามผลการดำเนินงาน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๗/๑๑๒๔๐ ลงวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๗)
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าในอนาคตหากมีการปรับร่างแผนปฏิบัติการร่วมฯ
ขอให้พิจารณากำหนดเป้าหมายที่จะนำมาซึ่งการบรรลุเป้าหมายการแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันข้ามแดนที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน
รวมทั้งควรพิจารณากำหนดเป้าหมายการลดพื้นที่เผาไหม้ด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรพิจารณาระบุผู้รับผิดชอบแผนงานหรือโครงการ
โดยกำหนดเป้าหมาย ค่าเป้าหมายและตัวชี้วัดอย่างชัดเจน
และควรพิจารณากิจกรรมการดำเนินงานอย่างรอบด้านครอบคลุมประเด็นความยากจน สิทธิ และความเท่าเทียมทางเพศ
สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีร่วมด้วย ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาจัดทำบันทึกความเข้าใจ
(MOU) ระหว่างประเทศไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา
เพื่อร่วมดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนต่อไป
|