ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 12 จากทั้งหมด 25 หน้า แสดงรายการที่ 221 - 240 จากข้อมูลทั้งหมด 486 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
221 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ลักษณะ 2 การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง) | สว | 09/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ลักษณะ ๒ การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง) ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีข้อสังเกตเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวมทั้งควรเร่งรัดประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการบังคับคดีที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมใหม่ให้บุคลกรในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ตามคำพิพากษาและลูกหนี้ตามคำพิพากษา และควรให้หน่วยงานผู้บังคับใช้กฎหมายได้ตรวจสอบกฎกระทรวง ระเบียบ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องว่ามีบทบัญญัติใดขัดหรือแย้งกับร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้หรือไม่ หากมีควรแก้ไขให้สอดคล้องกัน อีกทั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างมาตรา ๓๑๑ ที่กำหนดให้การบังคับคดีสามารถยึดสิทธิของลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามใบอนุญาตประทานบัตร อาชญาบัตร สัมปทาน หรือสิทธิอย่างอื่นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา การที่บุคคลใดจะได้รับอนุญาตประทานบัตร หรือสิทธิอย่างอื่นดังกล่าวมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการรับอนุญาตในเรื่องนั้นโดยเฉพาะในการบังคับคดีดังกล่าว กรมบังคับคดีควรกำหนดแนวปฏิบัติให้เจ้าพนักงานบังคับคดีตรวจสอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการ และข้อสังเกตกรณีผู้ประกันผิดสัญญาปล่อยชั่วคราวไม่ส่งตัวจำเลยต่อศาลตามกำหนดต้องมีการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๑๙ และการบังคับคดีกรณีผู้ต้องโทษปรับที่ไม่ชำระค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙/๑ เป็นมาตรการบังคับในทางอาญา ซึ่งกฎหมายปัจจุบันให้นำกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับ ยังไม่มีประสิทธิภาพ ควรแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดให้เจ้าพนักงานศาลที่ได้รับแต่งตั้งและพนักงานอัยการมีสิทธิในลักษณะเดียวกับผู้ทรงสิทธิตามมาตรา ๓๒๔ (๔) และข้อสังเกตเกี่ยวกับการสนับสนุนอัตรากำลัง งบประมาณ และค่าตอบแทนให้เหมาะสมกับภารกิจตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ ให้แก่กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ลักษณะ ๒ การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง) เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานศาลปกครอง สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
222 | สรุปผลการนำเสนอรายงานประเทศตามพันธกรณีภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ฉบับที่ 2 ด้วยวาจา | ยธ | 09/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการนำเสนอรายงานประเทศตามพันธกรณีภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ฉบับที่ ๒ ด้วยวาจา ซึ่งในการนำเสนอรายงานประเทศฯ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติประจำกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองได้ถามคำถามเกี่ยวกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการ ปัญหา อุปสรรค ข้อท้าทายในการดำเนินงานตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง โดยภายหลังจากนำเสนอรายงานประเทศฯ เสร็จสิ้นแล้ว คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ได้ออกเอกสารข้อสังเกตเชิงสรุป ซึ่งรวบรวมข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ให้กับประเทศไทย ทั้งหมด ๑๘ ประเด็น เพื่อเป็นแนวทางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปพัฒนาการดำเนินงานในประเทศให้มีความสอดคล้องกับกติกาฯ ต่อไป เช่น (๑) ควรทบทวนมาตรการทั้งหมดที่ดำเนินการภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (๒) ขอให้รัฐบาลรับรองว่าจะคุ้มครองการเลือกปฏิบัติอย่างเต็มที่และรับรองว่ากลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ชนพื้นเมืองดั้งเดิม คนไร้รัฐ และผู้อพยพจะไม่ถูกเลือกปฏิบัติและใช้ความรุนแรง (๓) สนับสนุนให้สตรีเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นในทุกภาคส่วน (๔) ควรพิจารณายกเลิกโทษประหารชีวิต แต่หากรัฐบาลจะยังคงโทษประหารชีวิตไว้ในกฎหมาย ขอให้ใช้กับความผิดอาญาที่ร้ายแรงที่สุดเท่านั้น (๕) ควรปล่อยตัวเหยื่อที่ถูกคุมขังตามอำเภอใจ และทบทวนกฎหมายและแนวปฏิบัติ (๖) ควรดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อโอนคดีจากศาลทหารมายังศาลพลเรือน และให้โอกาสในการยื่นอุทธรณ์ (๗) พัฒนาสภาพสถานที่คุมขังเพื่อลดปัญหาคนล้นคุก (๘) ยกเลิกการคุมขังบุคคลที่ใช้สิทธิในการชุมนุมโดยสงบแต่ไม่ได้เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติหรือความสงบเรียบร้อยของสังคม และ (๙) เสริมสร้างความพยายามในการลดจำนวนคนไร้รัฐ เป็นต้น ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อห่วงกังวล ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินงานของแต่ละหน่วยงานในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
223 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติด สมัยที่ 60 | ยธ | 02/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติด (Commission on Narcotic Drugs : CND) สมัยที่ ๖๐ ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๗ มีนาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ได้เสด็จเข้าร่วมการประชุมฯ และทรงเป็นองค์ประธานเปิดกิจกรรมพิเศษ (นิทรรศการ) ของรัฐบาลไทย เพื่อนำเสนอกระบวนการพัฒนาทางเลือกในบริบทของประเทศไทย โดยได้มีพระราชดำรัสในพิธีเปิดฯ มีสาระสำคัญกล่าวถึงเวลากว่า ๗๐ ปีที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงส่งเสริมการปลูกพืชเมืองหนาวเพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น เนื่องจากทรงเห็นสภาพปัญหาความเป็นอยู่และการขาดโอกาสของชาวไทยภูเขาในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการพัฒนาทางเลือกของไทย ซึ่งเน้นการพัฒนาแบบองค์รวม และเน้นคนเป็นศูนย์กลาง จนประสบความสำเร็จ อีกทั้งสหประชาชาติได้รับรองแนวปฏิบัติสหประชาชาติว่าด้วยพัฒนาทางเลือกสู่การปฏิบัติ ที่ประเทศไทยผลักดันจนเป็นต้นแบบที่ส่งเสริมให้ประเทศต่าง ๆ นำไปปฏิบัติเพื่อลดอุปทานยาเสพติดโลกอย่างยั่งยืน ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้กล่าวถ้อยแถลงในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ การแก้ไขปัญหายาเสพติดตามอนุสัญญาสหประชาชาติ การเทิดพระเกียรติและถวายเป็นพระราชสดุดีแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในฐานะทรงเป็นกษัตริย์นักพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาพื้นที่ปลูกพืชเสพติด การนำเสนอความคืบหน้าในการดำเนินการปฏิรูปนโยบายแก้ไขปัญหายาเสพติดของไทย และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง นอกจากนี้ ได้ร่วมการหารือทวิภาคีกับผู้บัญชาการงานยาเสพติดแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี หัวหน้าคณะผู้แทนเยอรมนี เช่น การชื่นชมความร่วมมือในด้านการพัฒนาทางเลือกที่ดำเนินการร่วมกับรัฐบาลไทยมาอย่างยาวนาน โดยปัจจุบันดำเนินงานร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ ฝ่ายเยอรมนีให้ความสนใจในการปรับปรุงกฎหมายและนโยบายยาเสพติดของไทย รวมทั้งประเด็นการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด เป็นต้น ๓. การกล่าวถ้อยแถลงของผู้แทนไทยจากหน่วยงานที่ร่วมเป็นคณะผู้แทนไทย การร่วมพิจารณาร่างข้อมติ จำนวน ๑๐ ฉบับ และร่างข้อตัดสินใจ จำนวน ๒ ฉบับ รวมทั้งการพิจารณาควบคุมสารระหว่างประเทศ จำนวนทั้งสิ้น ๑๒ ชนิด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
224 | รัฐบาลสหรัฐอเมริกาแสดงความประสงค์จะซื้อที่ดินในจังหวัดเชียงใหม่เพื่อก่อสร้างเป็นที่ทำการแห่งใหม่ของสถานกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกา ณ จังหวัดเชียงใหม่ | กต | 25/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการซื้อที่ดินในจังหวัดเชียงใหม่ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เนื้อที่ ๑๕ ไร่ ๗๗ ตารางวา เพื่อก่อสร้างเป็นที่ทำการแห่งใหม่ของสถานกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกา ณ จังหวัดเชียงใหม่ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลียกับรัฐบาลไทยว่าด้วยการยกเว้นภาษีทางอ้อมสำหรับโครงการก่อสร้างหรือซ่อมแซมที่ทำการทางการทูตที่ตั้งอยู่ในออสเตรเลียและไทยบนหลักต่างตอบแทน) ที่มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติที่เหมาะสมแฃละเป็นมาตรฐานเกี่ยวกับการครอบครอง การจำหน่ายที่ดิน และการย้ายสถานที่ทำการทางการทูตของต่างประเทศในประเทศไทยให้ได้ข้อยุติแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยให้นำประเด็นข้อเสนอเกี่ยวกับการพิจารณาทบทวนและปรับอัตราค่าเช่าที่ราชพัสดุของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งเช่าจากกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลังไปพิจารณาร่วมกันต่อไป โดยให้คำนึงถึงความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
225 | ร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยบทบาทของราชการพลเรือนในฐานะผู้เร่งรัดให้วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน 2025 บรรลุผล (ASEAN Declaration of the Role of the Civil Service as a Catalyst for Achieving the ASEAN Community Vision 2025) | นร10 | 18/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบถ้อยคำและสารัตถะในร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยบทบาทของราชการพลเรือนในฐานะผู้เร่งรัดให้วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ๒๐๒๕ บรรลุผล (ASEAN Declaration on the Role of the Civil Service as a Catalyst for Achieving the ASEAN Community Vision 2025) มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาขีดความสามารถและแบ่งปันแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศในประเด็นสำคัญ เช่น การส่งเสริมสิ่งแวดล้อม การบรรเทาและการรับมือกับภัยพิบัติ และการบริหารจัดการคน การสร้างมาตรฐานความเป็นมืออาชีพและความสามารถของข้าราชการในภาคส่วนที่แตกต่างกันและสร้างประชาคมแห่งความเป็นมืออาชีพในแต่ละภาคส่วนเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากขึ้น ๑.๒ ให้เลขาธิการ ก.พ. ในฐานะผู้นำภาคราชการพลเรือนมีหนังสือแจ้งความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาฯ ไปยังสาธารณรัฐสิงคโปร์ ในฐานะประธาน ก.พ. อาเซียนภายในเดือนมีนาคม ๒๕๖๐ ๑.๓ ให้นายกรัฐมนตรีร่วมลงนามในปฏิญญาฯ เพื่อรับรองปฏิญญาฯ ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๐ ในเดือนเมษายน ๒๕๖๐ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรเพิ่มเติมประเด็นให้ครอบคลุมการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมในเรื่องการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน เมืองยั่งยืน และข้อมูลด้านการดำเนินงานซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการรับรองปฏิญญาฯ ให้ผู้แทนจากประเทศสมาชิกได้รับทราบและระดมความคิดเห็นเพื่อผลักดันการดำเนินงานในระดับอาเซียนให้เห็นผลเป็นรูปธรรม รวมทั้งควรส่งเสริมการประสานการดำเนินงานของข้าราชการพลเรือนโดยการมีส่วนร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคม เพื่อร่วมดำเนินงานให้บรรลุวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนในบริบทต่าง ๆ ทั้งการเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ตลอดจนกำหนดแนวทางเพื่อเสริมสร้างความพร้อมให้แก่ข้าราชการโดยการสร้างความตระหนักรู้ในการจัดเตรียมข้อมูลและจัดทำกระบวนการสร้างองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการ การอนุรักษ์ธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพ นอกจากนี้ ควรเพิ่มเติมข้อความ “Ensure that the civil service of ASEAN embrace good governance principles such as civil service integrity, citizen-centricity and innovation, ….” เพื่อให้ร่างปฏิญญาฯ มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในประเด็นการเสริมสร้างธรรมาภิบาลในภาคราชการพลเรือนของประเทศในประชาคมอาเซียน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
226 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) ครั้งที่ 23 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 28/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) ครั้งที่ ๒๓ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๘-๑๐ มีนาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าผู้แทนไทย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๒๓ ที่ประชุมฯ ได้หารือแผนการจัดกิจกรรมในวาระการครบรอบ ๕๐ ปีของการก่อตั้งอาเซียน และสนับสนุนประเด็นที่ฟิลิปปินส์ในฐานะประธานอาเซียนในปี ๒๕๖๐ เสนอให้เป็นมาตรการสำคัญเพื่อดำเนินการให้เสร็จในปีนี้ รวม ๙ เรื่อง เช่น การพัฒนาเครื่องมือสำหรับวัดการอำนวยความสะดวกทางการค้าในอาเซียน การส่งเสริมให้วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) มีส่วนร่วมในห่วงโซ่มูลค่าของบริษัทขนาดใหญ่ และได้รับรองแผนงานเรื่องแนวปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบของอาเซียน รวมทั้งเห็นชอบแนวทางและกรอบการทำงานของเจ้าหน้าที่เศรษฐกิจอาวุโสและแนวทางการให้เอกชนมีส่วนร่วมภายใต้ AEC และได้มีการลงนามพิธีสารเพื่อการแก้ไขความตกลงด้านการลงทุนอาเซียน (ACIA) ฉบับที่ ๒ เพื่อรองรับการแก้ไขคำนิยามเรื่องนักลงทุนที่เป็นผู้มีถิ่นพำนักถาวรและประเด็นลดหรือห้ามเงื่อนไขที่เข้มงวดของรัฐที่มีต่อนักลงทุน รวมถึงกำหนดแนวทางการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและสรุปผลภายในปี ๒๕๖๐ นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้หารือถึงความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศต่าง ๆ ได้แก่ ญี่ปุ่น ฮ่องกง จีน อินเดีย และเกาหลีใต้ โดยมีกำหนดจะลงนามพิธีสารเพื่อผนวกเรื่องการค้าบริการและการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดาในความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ญี่ปุ่น และความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง ภายในปีนี้ ๒. การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-สหภาพยุโรป ครั้งที่ ๑๕ ที่ประชุมฯ เห็นชอบการดำเนินการขั้นต่อไปสำหรับการรื้อฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าเสรีระดับภูมิภาคอาเซียน-สหภาพยุโรป และมอบหมายเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจจัดทำกรอบการทำงานที่กำหนดตัวแปรสำหรับการเจรจาความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-สหภาพยุโรปในอนาคต ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้หารือกับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (ABAC) ซึ่งได้มีการนำเสนอข้อเสนอแนะและการดำเนินโครงการของภาคเอกชนที่มุ่งเน้นให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วนได้รับประโยชน์จากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมขีดความสามารถของผู้ประกอบการรายย่อยในการเข้าถึงตลาดและแหล่งเงินทุนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่มูลค่าโลก และได้หารือกับสภาธุรกิจอาเซียน-สหภาพยุโรป ซึ่งได้นำเสนอแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกและขยายการค้าของอาเซียน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
227 | ท่าทีไทยและกรอบการเจรจาสำหรับการเจรจาตราสารห้ามอาวุธนิวเคลียร์ | กต | 21/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการและรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการต่อท่าทีไทยและกรอบการเจรจาสำหรับการเจรจาตราสารห้ามอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งครอบคลุมประเด็นสำคัญต่าง ๆ ที่ไทยได้ให้ความสำคัญ เช่น (๑) สนับสนุนการจัดทำตราสารห้ามอาวุธนิวเคลียร์โดยคำนึงถึงผลกระทบด้านมนุษยธรรมต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม (๒) พันธกรณีของตราสารฯ ควรสอดคล้อง สนับสนุน และส่งเสริมการดำเนินงานภายใต้สนธิสัญญาต่าง ๆ ที่ไทยเป็นภาคี (๓) เนื้อหาสาระโดยรวมของตราสารฯ ควรมีข้อบทที่สำคัญเช่นเดียวกับอนุสัญญาห้ามอาวุธชนิดอื่น ๆ เพื่อให้มีแนวปฏิบัติด้านการลดอาวุธที่สอดคล้องกัน (๔) เน้นการห้าม (prohibition) เป็นหลัก เพื่อสร้างบรรทัดฐานระหว่างประเทศว่าการมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง รวมทั้งการผลิต จัดหา และพัฒนาเป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรมไม่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ และ (๕) คำนึงถึงขีดความสามารถ บริบท และผลประโยชน์ของชาติ และไม่ขัดต่อนโยบายของรัฐบาลไทยบนพื้นฐานของบรรทัดฐานระหว่างประเทศและหลักการสากล ๑.๒ รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยสำหรับการประชุมเพื่อเจรจาตราสารห้ามอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งมีเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศจะทำหนังสือแต่งตั้งคณะผู้แทนไทย (credentials) เพื่อให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามต่อไป ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาให้มีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ และสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) เข้าร่วมเป็นองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยในการเจรจาไปพิจารณาดำเนินการต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลังที่ไทยเข้าร่วมเป็นภาคีตราสารห้ามอาวุธนิวเคลียร์ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเป็นลำดับแรก ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
228 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... | สว | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... ซึ่งกระทรวงการคลังได้พิจารณาร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงบประมาณ สรุปได้ว่า คณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาจะออกประกาศขอบเขตการให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาตามระดับชั้นและหลักสูตรทุกปีการศึกษา โดยพิจารณาจากมาตรฐานค่าเล่าเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ และได้กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสถานศึกษาที่เข้าร่วมดำเนินงานกับกองทุนฯ และในอนาคตควรมีการรวมกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาและกองทุนเพื่อการศึกษาที่ไม่ต้องชดใช้เงินคืนกองทุนนี้ไว้ด้วยกัน เพื่อให้การบริหารจัดการเกี่ยวกับการช่วยเหลือนักเรียนหรือนักศึกษาเกิดประโยชน์สูงสุดในภาพรวมของประเทศ สำหรับการมอบอำนาจการพิจารณาอนุมัติให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาแก่นักเรียนหรือนักศึกษา คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มอบอำนาจให้แก่ผู้บริหารสถานศึกษา โดยกำหนดหลักเกณฑ์และคู่มือการดำเนินงานสำหรับสถานศึกษาอย่างชัดเจน รวมทั้งการมอบอำนาจให้ปฏิบัติการอื่นใดเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ คณะกรรมการกองทุนฯ จะกำหนดกรอบการดำเนินงานเป็นระเบียบ หรือประกาศ หรือแนวปฏิบัติอย่างชัดเจน นอกจากนี้ กองทุนฯ ยังมีนโยบายสมัครเป็นสมาชิกบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เพื่อใช้เป็นมาตรการหนึ่งในการติดตามการชำระหนี้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
229 | แนวปฏิบัติในการเสนอเรื่องและขออนุมัติดำเนินโครงการลงทุนขององค์การมหาชนที่มีวงเงินลงทุนสูงเกินกว่า 1,000 ล้านบาท | นร12 | 24/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามมติคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ เกี่ยวกับแนวปฏิบัติในการเสนอเรื่องและขออนุมัติดำเนินโครงการลงทุนขององค์การมหาชนที่มีวงเงินลงทุนสูงเกินกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานพิจารณากลั่นกรองเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในโครงการลงทุนขององค์การมหาชนที่มีวงเงินลงทุนสูงเกินกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท และมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกับส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยให้องค์การมหาชนดำเนินการขอความเห็นจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ให้เสร็จสิ้นก่อนแล้วจึงส่งเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี พร้อมความเห็นของหน่วยงานข้างต้นเพื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้ดำเนินการนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า โครงการขององค์การมหาชนที่จะเสนอให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาต้องเป็นโครงการลงทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภายในประเทศที่มีวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ตลอดจนระยะเวลาการดำเนินงานโดยแน่ชัด อันมิใช่เป็นการบริหารงานตามปกติและการก่อสร้างอาคารสำนักงานของหน่วยงานนั้น ๆ รวมทั้งโครงการที่เสนอขออนุมัติควรมีความสอดคล้องกับร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนปฏิรูปประเทศ และแผนแม่บทของกระทรวง/หน่วยงาน และควรมีประมาณการค่าใช้จ่าย แหล่งเงินทั้งจากงบประมาณหรือแหล่งเงินอื่นใดที่ใช้ในการดำเนินการ และแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้ชัดเจน ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. กำหนดหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเสนอโครงการลงทุนขององค์การมหาชนให้มีรายละเอียดครบถ้วน ชัดเจน รวมถึงการจัดเตรียมโครงการของหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ เช่น ภาพรวมการดำเนินงาน ความสอดคล้องกับแผนพัฒนาประเทศ และนโยบายรัฐบาล ความจำเป็นของโครงการ ความเหมาะสมทางด้านกายภาพและเทคนิค ความเหมาะสมทางด้านการเงินและเศรษฐกิจ ผลประโยชน์ตอบแทนที่จะได้รับ ความเหมาะสมด้านการบริหารโครงการ และการบริหารจัดการความเสี่ยง รวมทั้งผลกระทบของโครงการที่มีต่อสิ่งแวดล้อม (ถ้ามี) และซักซ้อมความเข้าใจร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและองค์การมหาชนทุกแห่งเพื่อถือปฏิบัติได้อย่างถูกต้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
230 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลียและรัฐบาลไทยว่าด้วยการยกเว้นภาษีทางอ้อมสำหรับโครงการก่อสร้างหรือซ่อมแซมที่ทำการทางการทูตที่ตั้งอยู่ในออสเตรเลียและไทยบนหลักต่างตอบแทน | กต | 24/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลียกับรัฐบาลไทยว่าด้วยการยกเว้นภาษีทางอ้อมสำหรับโครงการก่อสร้างหรือซ่อมแซมที่ทำการทางการทูตที่ตั้งอยู่ในออสเตรเลียและไทยบนหลักต่างตอบแทน (Bilateral Arrangement for Reciprocal Tax Concessions on Diplomatic Construction or Renovation Projects in Australia and Thailand) (โดยกระทำผ่านการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตระหว่างออสเตรเลียกับไทย) ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนความตกลงฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) กรณีที่ผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนความตกลงฯ ไม่ใช่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติที่เหมาะสมและเป็นมาตรฐานเกี่ยวกับการครอบครอง การจำหน่ายที่ดิน และการย้ายสถานที่ทำการทางการทูตของต่างประเทศในประเทศไทย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
231 | สรุปผลการเป็นเจ้าภาพจัดงาน ITU Telecom World 2016 | ดท | 17/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเป็นเจ้าภาพจัดงาน ITU Telecom World 2016 ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งผลการจัดงาน ITU Telecom World 2016 ได้มีการจัดประชุมเชิงวิชาการ (Forum) เช่น การประชุมระดับผู้นำ เป็นการอภิปรายร่วมกันระหว่างผู้นำด้านอุตสาหกรรมไอซีที และผู้ประกอบการด้านไอซีทีและนวัตกรรมเกี่ยวกับแนวทางการบูรณาการการทำงานร่วมกันเพื่อผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล และการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรี โดยรัฐมนตรีประเทศต่าง ๆ ได้ร่วมอภิปรายและแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับกฎระเบียบ นโยบาย/ยุทธศาสตร์ และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศในการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล รวมทั้งการรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุม “Bangkok Ministerial Roundtable Highlights Document” ซึ่งเป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ และเป็นการร่วมกันกำหนดกรอบแนวทางการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล นอกจากนี้ ได้มีการหารือทวิภาคีในช่วงระหว่างงาน ITU Telecom World 2016 เช่น การหารือทวิภาคีไทย-จีน เกี่ยวกับแผนการลงทุนเรื่องเคเบิ้ลทั้งภายในและระหว่างประเทศ ทั้งบนบกและใต้น้ำ และเน้นย้ำความพร้อมของไทยที่จะเป็นศูนย์กลาง (Hub) เรื่องการเชื่อมโยงในภูมิภาค และการหารือทวิภาคีไทย-ญี่ปุ่น เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้ในการพัฒนาบุคลากรไทย เพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัลและโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
232 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ของกลุ่มจังหวัด | นร12 | 17/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ของกลุ่มจังหวัด ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ก.น.จ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบวงเงินคำขอโครงการตามแนวทางการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ สำหรับโครงการตามแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการที่มีความพร้อมดำเนินการได้ โดยให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดและแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพิ่มเติม โดยมีวงเงินทั้งสิ้น ๑๑๐,๔๓๓,๖๖๘,๕๓๕ บาท แยกเป็น ๑.๑.๑ บัญชี ๑ วงเงิน ๘๒,๔๗๑,๒๒๑,๔๑๙ บาท ๑.๑.๒ บัญชี ๒ วงเงิน ๒๗,๙๖๒,๔๔๗,๑๑๖ บาท ๑.๒ วงเงินคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ของกลุ่มจังหวัดที่ยังไม่ได้รับจัดสรรในครั้งนี้อีกประมาณ ๙๑,๐๐๐ ล้านบาท ให้เสนอเป็นคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยให้กลุ่มจังหวัดจัดทำแผนระยะปานกลาง ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐, พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔) รองรับไว้ด้วย ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐให้การสนับสนุนกลุ่มจังหวัดและจังหวัดในการดำเนินโครงการตามแนวทางการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ ทั้งด้านบุคลากร วิชาการ วัสดุอุปกรณ์ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๓. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติในการเบิกจ่ายงบประมาณของกลุ่มจังหวัด การบริหารจัดการทรัพย์สิน และการมอบอำนาจ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความถูกต้อง ชัดเจน สะดวก รวดเร็ว และเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ๔. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ก.น.จ. ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
233 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงิน แก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. .... | สว | 10/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. .... ซึ่งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อสังเกตที่มีต่อบทนิยามมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับแนวปฏิบัติของสากลประเทศแล้ว และได้นำข้อสังเกตเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาพฤติการณ์ที่เป็นเหตุอันควรสงสัยตามมาตรา ๗ มาพิจารณาประกอบการยกร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับการพิจารณารายชื่อบุคคลที่ถูกกำหนดที่ต้องออกตามความในมาตรา ๗ สำหรับข้อสังเกตเกี่ยวกับการเยียวยาบุคคลในกรณีเพิกถอนรายชื่อบุคคลออกจากรายชื่อบุคคลที่ถูกกำหนดตามร่างมาตรา ๑๒ เห็นว่า มีกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รองรับในการเยียวยาบุคคลที่ได้รับความเสียหายดังกล่าวไว้แล้วจะถือปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวโดยเคร่งครัดต่อไป ตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
234 | ผลการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (Ayeyawady - Chao Phraya - Mekong Economic Cooperation Strategy: ACMECS) ครั้งที่ 7 | กต | 04/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ครั้งที่ ๗ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ มีรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้กล่าวถ้อยแถลงนำเสนอวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์การพัฒนาอนุภูมิภาค ACMECS ที่จะทำให้สมาชิก ACMECS สามารถรวมตัว เติบโต และพัฒนาเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของอาเซียนและของโลก ๑.๒ ที่ประชุมฯ ได้รับรองปฏิญญากรุงฮานอยที่เป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุม ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือที่แนบแน่นกันระหว่างสมาชิก ACMECS ในสาขาความร่วมมือต่าง ๆ ได้แก่ การคมนาคม การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว การเกษตร ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม และการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารภายในของ ACMECS ๑.๓ ประเทศไทยยืนยันการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำ ACMECS ครั้งที่ ๘ ในปี ๒๕๖๑ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรผลักดันการดำเนินความร่วมมือให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมตามแผนปฏิบัติการ ACMECS ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๑๘ และมุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุลในลุ่มแม่น้ำอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง รวมถึงการเพิ่มพูนความร่วมมือกับคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง เพื่อขยายความร่วมมือและแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและทรัพยากรที่เกี่ยวข้องร่วมกับประเทศสมาชิก ACMECS ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
235 | รายงานผลการเข้าร่วมการประชุม World Culture Forum ครั้งที่ 2 ณ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย | วธ | 04/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเข้าร่วมการประชุม World Culture Forum ครั้งที่ ๒ ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ ๑๓-๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันแลกเปลี่ยนและแบ่งปันแนวคิดระหว่างผู้แทนรัฐบาล ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ ผู้จัดทำนโยบาย และภาคประชาสังคมจากทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดแนวทางร่วมกันในการที่จะใช้วัฒนธรรมเป็นตัวขับเคลื่อนเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งการประชุมในครั้งนี้ นับว่าบรรลุวัตถุประสงค์ของการจัดการประชุมในความพยายามที่จะเน้นย้ำบทบาทอันสำคัญของวัฒนธรรมในการพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืน โดยเฉพาะการกำหนดแนวปฏิบัติพื้นฐานภายใต้ปฏิญญาบาหลีซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในการสร้างความร่วมมือร่วมกับประเทศที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวในการผลักดันการใช้วัฒนธรรมในฐานะแรงขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมของทุกกลุ่มภูมิภาค กลุ่มการเมือง กลุ่มเศรษฐกิจ ตลอดจนกลไกความร่วมมือต่าง ๆ อันจะส่งผลต่อการแก้ปัญหาต่าง ๆ ในโลกที่ต้นเหตุได้อย่างยั่งยืน ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
236 | ผลการประชุมเวทีหารือระดับสูงระหว่างหน่วยงานวางแผนระดับประเทศในสมาชิกอาเซียน (ASEAN High - Level Development Planning Conference) | นร11 | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมเวทีหารือระดับสูงระหว่างหน่วยงานวางแผนระดับประเทศในสมาชิกอาเซียน (ASEAN High-Level Development Planning Conference) ระหว่างวันที่ ๒๙-๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ณ กรุงเทพมหานคร ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ประเทศสมาชิกอาเซียนส่วนใหญ่มีการจัดทำวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศในระยะยาว โดยมีช่วงเวลาระหว่างวันที่ ๒๐-๕๐ ปี ทั้งนี้ เกณฑ์การกำหนดระยะเวลาของยุทธศาสตร์จะขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละประเทศ สำหรับแนวทางการกำหนดวิสัยทัศน์ระยะยาว ส่วนใหญ่จะกำหนดเป็นเป้าหมายสั้น ๆ ที่สะท้อนเฉพาะบางมิติของการพัฒนาที่ต้องการมุ่งเน้นให้เด่นชัด และใช้แผนพัฒนาประเทศระยะสั้น (๕ ปี) เป็นเครื่องมือในการดำเนินการไปสู่เป้าหมาย อาทิ การกำหนดเป็นประเทศพัฒนาแล้วของมาเลเซียภายในปี ๒๕๖๓ การพัฒนาประเทศให้หลุดพ้นจากการเป็นประเทศพัฒนาน้อยที่สุดภายในปี ๒๕๖๓ ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นต้น ประเทศต่าง ๆ ใช้กลไกในลักษณะของกรรมการระดับชาติ หรือสภาระดับชาติ ในการจัดทำยุทธศาสตร์ระยะยาว โดยไม่มีกฎหมายรองรับการนำแผนพัฒนาฯ ระยะสั้นไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และมีเพียงกัมพูชาที่ยังไม่เคยมีการจัดทำยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศระยะยาว แต่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเริ่มดำเนินการ ๒. การหารือเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาประเทศในอนาคตเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และบริบทการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาค ในภาพรวม แต่ละประเทศได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาให้บรรลุตามเป้าหมาย SDGs ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อกำกับดูแลและรับผิดชอบการขับเคลื่อนตามเป้าหมาย SDGs (ยกเว้นเมียนมาที่ยังให้ความสำคัญเฉพาะเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) โดยคณะกรรมการที่รับผิดชอบจะประกอบด้วยผู้แทนจากทุกภาคส่วนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย และมีหน่วยงานวางแผนเป็นผู้ประสานงานหลัก โดยปัจจุบันทุกประเทศยังอยู่ในช่วงการเริ่มต้นการดำเนินงาน และอยู่ในขั้นตอนการหารือเพื่อกำหนดตัวชี้วัดที่เหมาะสมสำหรับใช้ในประเทศตนเอง ๓. แนวทางการดำเนินงานต่อไป สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะประสานและสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานวางแผนของสมาชิกอาเซียนเพื่อเรียนรู้ร่วมกัน และสนับสนุนการขับเคลื่อนการพัฒนาตามเป้าหมาย SDGs และวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ๒๐๒๕ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม รวมถึงแนวปฏิบัติที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการผลักดันให้การขับเคลื่อนการพัฒนาตามกรอบยุทธศาสตร์เกิดผลสัมฤทธิ์ โดยในระยะต่อไปการแลกเปลี่ยนและความร่วมมืออาจมุ่งเน้นไปที่ประเด็นเฉพาะเจาะจงที่เป็นประเด็นหลักของการพัฒนาในแต่ละช่วงเวลา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
237 | ผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค (Economic Committee : EC) ครั้งที่ 2/2559 | นร11 | 15/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค (Economic Committee : EC) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) การหารือระดับนโยบายเรื่องความแตกต่างด้านกฎระเบียบและความร่วมมือด้านกฎระเบียบและการค้า รวมทั้งการส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากประชาชนและความโปร่งใสในกระบวนการจัดทำนโยบาย (๒) การขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้วาระใหม่การปฏิรูปโครงสร้างเอเปค (Renewed APEC Agenda for Structural Reform : RAASR) (๓) การดำเนินงานเรื่องความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business EoDB) (๔) แนวปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบ (Good Regulatory Practice : GRP) (๕) การปฏิรูปโครงสร้างและการบริการ (Structural Reform and Service) (๖) การปฏิรูปโครงสร้างและนวัตกรรม (Structural Reform and Innovation) (๗) เครื่องมือสำหรับการปฏิรูปโครงสร้าง (Tools for Structural Reform) (๘) กลุ่มธรรมาภิบาลภาครัฐ (Public Sector Governance : PSG) ซึ่งประเทศไทยได้รับการเสนอให้พิจารณาเป็นผู้ประสานงานหลักในกลุ่ม PSG ในปี ๒๕๖๐ เป็นต้นไป (๙) การวิเคราะห์ทิศทางและแนวโน้มเศรษฐกิจของกลุ่มเอเปค (๑๐) โครงการที่ดำเนินการภายใต้ EC และ (๑๑) รายงานนโยบายเศรษฐกิจเอเปค ปี ๒๕๖๐ ๒. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการประสานหน่วยงานต่าง ๆ ที่ต้องจัดทำแผนปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยคำนึงถึงประเด็นสำคัญทั้ง ๓ เรื่อง ได้แก่ ข้อกำหนดด้านทรัพย์สินทางปัญญา การพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และกฎระเบียบด้านการค้าดิจิทัล |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
238 | รายงานสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ครั้งที่ 23 ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ระหว่างวันที่ 8 - 10 กันยายน 2559 | อก | 08/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ครั้งที่ ๒๓ ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ระหว่างวันที่ ๘-๑๐ กันยายน ๒๕๕๙ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย พร้อมด้วยผู้แทนสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. ที่ประชุมเน้นการหารือแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีในการปรับเปลี่ยน SMEs ให้เป็นหัวจักรในการขับเคลื่อนความเจริญเติบโตและความมั่งคั่ง โดยการมุ่งไปสู่ความทันสมัยของ SMEs ใน ๔ ด้าน ประกอบด้วย การส่งเสริมนวัตกรรม และการเชื่อมโยงเครือข่าย SMEs การสร้างความเข้มแข็งให้ SMEs โดยการแปลงไปสู่ระบบดิจิทัล การส่งเสริม SMEs ที่ดำเนินธุรกิจอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (SMEs สีเขียว) ให้เข้าสู่ห่วงโซ่คุณค่าโลก และการส่งเสริม SMEs สู่ความเป็นสากล โดยไทยได้นำเสนอกรอบแนวทางในการส่งเสริมและการพัฒนา SMEs ของไทยซึ่งสอดรับกับยุทธศาสตร์ Thailand ๔.๐ ของรัฐบาลที่มุ่งเป้าในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และนำเสนอผลสำเร็จจากการจัดการสัมมนาแนวทางส่งเสริม SMEs สีเขียวเพื่อเข้าสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยไทยจะร่วมมือกับสาธารณรัฐเปรูในการต่อยอดและผลักดันให้เกิดยุทธศาสตร์ในระดับเอเปคเพื่อการส่งเสริม Micro, Small and Medium Enterprises (MSMEs) ให้เป็นธุรกิจสีเขียวเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ๒. ที่ประชุมได้มีมติรับรองแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งมีกรอบทิศทางการมุ่งไปสู่ความทันสมัยของ SMEs ซึ่งจะนำเสนอในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๔ ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๙ ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู และให้การรับรองแผนยุทธศาสตร์ฉบับที่ ๓ ของคณะทำงานเอเปควิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ปี ๒๐๑๗-๒๐๒๐)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
239 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ 5 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | รง | 01/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ ๕ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงโคลัมโบ สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ ๔ ในวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๙ ๑.๑ รับทราบความคืบหน้าเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การดำเนินการของสาขาความร่วมมือ ๕ สาขา (ทักษะฝีมือ การดูแลการจัดหางาน การอบรมก่อนเดินทางไปทำงาน การส่งเงินกลับภูมิลำเนา และการวิเคราะห์ตลาดแรงงาน) กรอบความร่วมมือเกี่ยวกับผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส Abu Dhabi Dialogue ในประเด็นการโยกย้ายถิ่นฐานชั่วคราวและการแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อนำไปสู่การพัฒนาต่อไป และการรับรองปฏิญญากาฎมาณฑุภายใต้ข้อตกลง ๓๖ ข้อ รวมทั้งการจัดทำเว็บไซต์ของกระบวนการโคลัมโบเพื่อเป็นแหล่งข้อมูลอ้างอิงเกี่ยวกับการจ้างงานในต่างประเทศและใช้เป็นเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูลต่าง ๆ ๑.๒ การพิจารณาเอกสารต่าง ๆ ได้แก่ (๑) รูปแบบการทำงานของกระบวนการโคลัมโบ ในประเด็นสำคัญ ได้แก่ กลไกการกำหนดงบประมาณตนเอง โดยประเทศสมาชิกจะเริ่มจ่ายค่าบำรุงรายปี ๆ ละ ๔,๕๔๕ ดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ปี ๒๕๖๐ เป็นต้นไป และแนวทางการหมุนเวียนเป็นประธานกระบวนการโคลัมโบใช้ระบบตามความสมัครใจ โดยเรียงตามลำดับตัวอักษร สำหรับการเข้าร่วมของภาคประชาสังคมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ประเทศสมาชิกจะพิจารณาอนุญาตภาคประชาสังคมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นราย ๆ ไป และ (๒) ร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบและให้นำเสนอที่ประชุมฯ ครั้งที่ ๕ ๒. การประชุมรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ ๕ ในวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๙ ๒.๑ การกล่าวถ้อยแถลงของผู้อำนวยการใหญ่องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานกรณีนัยสำคัญของการโยกย้ายถิ่นฐาน ซึ่งกระบวนการโคลัมโบตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้จึงเริ่มต้นพัฒนานโยบายและแนวปฏิบัติเพื่อปรับปรุงความอยู่ดีกินดีและสวัสดิการของแรงงานโยกย้ายถิ่นฐาน ๒.๒ การกล่าวถ้อยแถลงของรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ประเทศไทยสนับสนุนความร่วมมือภายใต้กระบวนการโคลัมโบทั้ง ๕ สาขา โดยประเทศไทยเป็นสมาชิกในสาขา “การดูแลการจัดหางานที่มีจริยธรรม” และทำหน้าที่เป็นประธานในสาขา “การวิเคราะห์ตลาดแรงงาน” ๒.๓ การให้การรับรองในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ปฏิญญาระดับรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ และการให้ประเทศกัมพูชาเป็นสมาชิกลำดับที่ ๑๒ ของกระบวนการโคลัมโบ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
240 | การเตรียมการระหว่างพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดช | นร04 | 19/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการเตรียมการระหว่างพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ดังนี้
๑. ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกฝ่ายปฏิบัติหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้มาร่วมงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพอย่างเข้มแข็งต่อไป ทั้งในเรื่องการเดินทาง สุขภาพอนามัย อาหารการกิน ที่พัก รวมทั้งการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย ๒. ในกรณีที่หน่วยงานใดประสบปัญหาเรื่องใด หรือมีเรื่องควรรายงานรัฐบาล หรือแจ้งข่าวใด ๆ ให้ติดต่อศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ (ศตส.) ซึ่งตั้งอยู่ภายในทำเนียบรัฐบาล โทรศัพท์หมายเลข ๑๑๑๑ ๓. ให้ดูแลรักษาพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ประดิษฐานตามสถานที่ต่าง ๆ เหมือนเช่นเดิม แต่การใช้ถ้อยคำใต้พระบรมฉายาลักษณ์ที่เคยใช้มาแต่เดิม เช่น คำว่า “ทรงพระเจริญ” หรือ “ทีฆายุโก โหตุ มหาราชา” ให้เปลี่ยนถ้อยคำหรือข้อความนั้นให้เหมาะสม ทั้งนี้ หากจะมีการเปลี่ยนพระบรมฉายาลักษณ์หรือติดผ้าดำขาวแสดงความไว้อาลัย การนำพระบรมฉายาลักษณ์เดิมออกและติดตั้งพระบรมฉายาลักษณ์ใหม่ต้องกระทำโดยต่อเนื่องกันทันที โดยให้ส่วนราชการทุกแห่งถือปฏิบัติตามนี้โดยเคร่งครัด ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงเรื่องการสืบราชสันตติวงศ์ไปยังหน่วยงานของไทยในต่างประเทศด้วยว่า เรื่องนี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎมณเฑียรบาล และโบราณราชประเพณี ซึ่งขณะนี้มีความชัดเจนแล้วว่า เมื่อพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลผ่านพ้นไประยะหนึ่งแล้ว จะได้เวลาอันสมควรที่จะดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๓ ต่อไป โดยคณะรัฐมนตรีจะแจ้งไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อมีมติตามรัฐธรรมนูญ ในระหว่างนี้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จะได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อนในส่วนที่จำเป็น ส่วนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นจะทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ภายในกรอบเวลาตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ซึ่งไม่กระทบต่อกรอบเวลาการทำงานต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ ๕. ให้ ศตส. ร่วมกับทุกส่วนราชการเก็บรวบรวมข้อมูลการดำเนินงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดงานพระราชพิธีทั้งหมดเพื่อบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ของชาติต่อไป ๖. ให้กรมประชาสัมพันธ์ร่วมกับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ประสานขอความร่วมมือให้สื่อโทรทัศน์และวิทยุใช้เวลาในช่วงเวลา ๓๐ วัน (จนถึงวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๙) เน้นการเสนอรายการเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจในแง่มุมต่าง ๆ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในรูปแบบการถ่ายทอดความรู้สึกและความประทับใจที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สำหรับการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจให้ดำเนินการในช่วงที่มีการเสด็จพระราชดำเนินพ้นจากช่วงเวลาเหล่านี้แล้ว อาจพิจารณาเสนอรายการปกติได้ แต่ควรเน้นการให้ความรู้การพัฒนามากกว่าการบันเทิง หรืออาจพิจารณาสลับสับเปลี่ยนกับการนำเสนอผลการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลในช่วง ๒ ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามแนวพระราชดำริในเรื่องต่าง ๆ เช่น การเกษตร การชลประทาน การวิจัย การศึกษา การสาธารณสุข การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาสังคม การพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นต้น เมื่อพ้นกำหนดช่วงเวลา ๓๐ วันแล้ว ขอให้สถานีวิทยุโทรทัศน์พิจารณาจัดรายการตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชนเป็นสำคัญ ๗. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สำนักงานราชบัณฑิตยสภา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงประชาชนเกี่ยวกับการใช้ถ้อยคำออกพระนาม การใช้ถ้อยคำภาษาเรียกขานเรื่องต่าง ๆ ที่เหมาะสม การแต่งกาย การปฏิบัติในเวลาเข้าถวายบังคมพระบรมศพในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ตลอดจนวิธีแสดงความจำนงขอมีส่วนร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลถวาย ๘. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนด้านการจราจร การถวายอารักขา และการรักษาความปลอดภัยให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยเฉพาะวันเสด็จพระราชดำเนิน และวันเวลาภายหลังจากที่สำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนเข้าถวายบังคมพระบรมศพได้ ๙. ให้กระทรวงวัฒนธรรมเตรียมการเกี่ยวกับการสร้างพระเมรุโดยขอพระราชวินิจฉัยจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และให้ส่วนราชการอื่น ๆ โดยเฉพาะกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทยเตรียมความพร้อมในส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเตรียมการแต่งตั้งคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยต่อไปด้วย ๑๐. ให้กระทรวงการต่างประเทศดูแลและจัดเตรียมการต้อนรับกรณีที่มีพระประมุข ประมุข และพระราชวงศ์ หรือผู้นำแห่งรัฐต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศเดินทางมาประเทศไทยเนื่องในโอกาสงานพระราชพิธีดังกล่าว ๑๑. ให้กระทรวงวัฒนธรรมจัดพิมพ์หนังสือพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเพื่อแจกจ่ายให้แก่คณะรัฐมนตรีและประชาชน ๑๒. ให้กระทรวงมหาดไทยให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่เจ้าหน้าที่ในพื้นที่เกี่ยวกับแนวปฏิบัติในการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่มีความเข้าใจและพร้อมที่จะชี้แจงแก่ประชาชนในพื้นที่ให้สามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้องต่อไป ๑๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และกระทรวงการคลังชี้แจงทำความเข้าใจเพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในด้านการค้าการลงทุน และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินการต่าง ๆ เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้กระทบต่อนักท่องเที่ยวหรือธุรกิจการท่องเที่ยวในภาพรวม ๑๔. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกวดขันระมัดระวังการเผยแพร่ภาพหรือข้อความที่เข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ หรือยุยงให้เกิดความแตกแยก และขอความร่วมมือจากประชาชนอย่าได้แพร่ภาพหรือข้อความดังกล่าวเป็นอันขาด เนื่องจากเป็นการดำเนินการที่ผิดกฎหมาย ๑๕. การจัดงานรื่นเริงบันเทิงต่าง ๆ ในช่วงเวลา ๓๐ วันแรกนับแต่วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ ให้ผู้จัดพิจารณาตามความเหมาะสม โดยงดเฉพาะส่วนที่เป็นมหรสพหรือความบันเทิง เช่น การแสดงดนตรี แต่ยังสามารถจัดงานประชุม งานมงคลสมรส กฐิน งานลอยกระทง งานบำเพ็ญกุศลหรือศาสนกิจตามประเพณีได้ การเลี้ยงหรือชุมนุมสังสรรค์หรือการแสดงทางวัฒนธรรมที่ทำในอาคาร และเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มตามที่จัดเป็นปกติหรือได้เตรียมการไว้แล้ว เช่น การต้อนรับนักท่องเที่ยว หรือผู้เข้าร่วมประชุม ให้จัดได้ตามความเหมาะสม โดยถือความเหมาะสมและความรู้สึกของประชาชนเป็นหลัก
|
.....