ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 6 จากทั้งหมด 25 หน้า แสดงรายการที่ 101 - 120 จากข้อมูลทั้งหมด 486 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
101 | ผลการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-คงคา ครั้งที่ 11 | กต. | 07/09/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-คงคา
ครั้งที่ ๑๑ เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล
และพิจารณามอบหมายให้ส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางติดตามผลการประชุมฯ
ต่อไป โดยที่ประชุมฯ ได้หารือเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินความร่วมมือร่วมกันในอนาคต
เช่น การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศในการรับมือกับโควิด-๑๙
การเร่งรัดการพัฒนาโครงการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมอินเดีย-เมียนมา-ไทย
(โครงการถนนสามฝ่าย) และการจัดเวทีหารือภาคธุรกิจของกรอบความร่วมมือฯ
รวมทั้งได้รับรองถ้อยแถลงร่วมการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-คงคา
ครั้งที่ ๑๑ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
102 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 30 ปี ของความสัมพันธ์ | กต. | 30/08/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ
เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ ๓๐ ปี ของความสัมพันธ์ และพิจารณาสั่งการให้หน่วยงานที่มีภารกิจที่เกี่ยวข้องนำผลการประชุมฯ
ไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
(นายดอน ปรมัตถ์วินัย) ได้เข้าร่วมประชุมฯ เมื่อวันที่ ๗-๘ มิถุนายน ๒๕๖๔ ณ
นครฉงซิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน และหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีจากต่างประเทศต่าง ๆ
โดยที่ประชุมฯ ได้ร่วมรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ
และหารือในเรื่องต่าง ๆ ที่สำคัญ เช่น การยกระดับสถานะความสัมพันธ์อาเซียน-จีนเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน
การใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน
และการปฏิบัติตามปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้ รวมทั้งได้มีการหารือในระดับทวิภาคีในประเด็นต่าง
ๆ เช่น การจัดหาและผลิตวัคซีนโควิด-๑๙
การลงทุนในระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
และการป้องกันการลักลอบข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย ตามที่กระทรวงการต่างเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
103 | ข้อกำหนดและคำสั่งที่ออกตามความในมาตรา 7 และมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 รวม 3 ฉบับ | นร.05 | 30/08/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบข้อกำหนดและคำสั่งที่ออกตามความในมาตรา ๗ และมาตรา ๙
แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ รวม ๓ ฉบับ ดังนี้ ๑.๑ ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา
๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๓๒) ลงวันที่
๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๔ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการบังคับใช้บางมาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ค่อนข้างทรงตัวและมีแนวโน้มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น
โดยเฉพาะพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด จำนวน ๒๙ จังหวัด ๑.๒ คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) ที่ ๑๒/๒๕๖๔ เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙
แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๑๓) ลงวันที่
๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๔ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินและพนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการให้เป็นตามมาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้ควบคุมยานพาหนะ
เจ้าหน้าที่ประจำยานพาหนะ หรือแรงงานซึ่งเดินทางมากับยานพาหนะ
ซึ่งต้องเดินทางเข้าออกราชอาณาจักร ณ ช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศทางน้ำ ๑.๓ คำสั่งนายกรัฐมนตรี
ที่ ๑๔/๒๕๖๔ เรื่อง การจัดโครงสร้างศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) เพิ่มเติม (ฉบับที่ ๗) ลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๔ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ศูนย์ปฏิบัติการด้านการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อโควิด-19 ในสถานประกอบกิจการและโรงงานอุตสาหกรรม ๒.
มอบหมายให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยศูนย์ปฏิบัติการ
ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการตามข้อ
๘ แห่งข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙
แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๓๒)
ลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๔ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
104 | ร่างกฎกระทรวงข้อมูลการอุดมศึกษา พ.ศ. .... | อว. | 17/08/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงข้อมูลการอุดมศึกษา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และระยะเวลาเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานของสถาบันอุดมศึกษาแก่สาธารณชน
และการจัดส่งข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการศึกษาและมาตรฐานการอุดมศึกษา
การวิจัยและนวัตกรรม การให้บริการทางวิชาการ
และข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องของสถาบันอุดมศึกษาให้แก่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
รวมทั้งกำหนดให้หน่วยงานของรัฐและหน่วยงานภาคเอกชนตามที่สภานโยบายการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติกำหนด
ต้องส่งข้อมูลเกี่ยวกับการอุดมศึกษาให้แก่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม ตามที่ได้รับการร้องขอด้วย ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่เห็นควรปรับแก้ถ้อยคำในร่างข้อ ๒ วรรคสอง จาก “การดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลที่ไม่ต้องเปิดเผยให้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของทางราชการ”
เป็น
“การดำเนินการตามวรรคหนึ่งให้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของทางราชการเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่ไม่ต้องเปิดเผยด้วย”
และปรับแก้ถ้อยคำในร่างข้อ ๔ วรรคสอง จาก “การดำเนินการเกี่ยวกับการจัดส่งข้อมูลที่ไม่ต้องเปิดเผยให้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของทางราชการ”
เป็น
“การดำเนินการตามวรรคหนึ่งให้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของทางราชการเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่ไม่ต้องเปิดเผยด้วย”
รวมทั้งข้อมูลเพิ่มเติมของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงาน
ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรกำหนดกลไกและมาตรการในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาระบบฐานข้อมูลการอุดมศึกษาให้มีความทันสมัย
รวมทั้งควรเชื่อมโยงฐานข้อมูลด้านการอุดมศึกษาและฐานข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมไว้ด้วยกัน
และควรเร่งสร้างแนวปฏิบัติไปดำเนินการตามร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้
และให้ความสำคัญกับการรักษาและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
105 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 11/2564 | นร.04 | 03/08/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด- 19) (ศบค.) ครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๔ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) สรุปได้ดังนี้ ๑) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ๒) ผลการประเมินมาตรการควบคุมแบบบูรณาการ (ล็อคดาวน์) ตามข้อกำหนดในห้วงระยะเวลา ๑๔ วันที่ผ่านมา ๓) แผนการจัดสรรวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เดือนสิงหาคม ๒๕๖๔ จำนวน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ โดส (AstraZeneca จำนวน ๖,๐๐๐,๐๐๐ โดส และ Sinovac จำนวน ๔,๐๐๐,๐๐๐ โดส ) แผนการบริหารจัดการวัคซีน Pfizer บริจาค จำนวน ๑,๕๐๓,๔๕๐ โดส ๔) การยกระดับของพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรและปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 ๕) ให้กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อนุโลมผ่อนผันให้รถขนส่งของบริษัทเอกชนที่สนับสนุนการขนส่งถังบรรจุก๊าซออกซิเจนและก๊าซทางการแพทย์สามารถเดินทางได้ในพื้นที่ต่าง ๆ และทุกห้วงเวลา ๖) ให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นศูนย์ปฏิบัติการภายในโครงสร้างศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๒๙) ๗) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นที่ประชุมไปพิจารณาหารือเกี่ยวกับแนวปฏิบัติเพื่อลดและจำกัดการเคลื่อนย้ายการเดินทาง (Mobility) ของประชาชนในระยะต่อไป และให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำข้อมูลภาพรวมของการติดเชื้อในระดับพื้นที่เพื่อประโยชน์ในการประเมินสถานการณ์และประกอบการพิจารณาเพื่อกำหนดมาตรการที่เหมาะสม รวมทั้ง ขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้าน/ชุมชนที่มีความเข้มแข็ง สามารถป้องกันตนเองได้เป็นอย่างดี เพื่อให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย ตามที่สำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
106 | รายงานความก้าวหน้าโครงการอาคารแสดงประเทศไทย งาน World Expo 2020 Dubai และสถานะด้านงบประมาณ | ดศ. | 03/08/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบความก้าวหน้าโครงการอาคารแสดงประเทศไทย งาน World Expo 2020 Dubai และสถานะงบประมาณ เพื่อรายงานความก้าวหน้าของโครงการดังกล่าว
และข้อมูลค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการจัดงาน World Expo
2020 Dubai ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-๑๙
เพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบแนวปฏิบัติของเจ้าภาพ
และสอดคล้องกับกำหนดการจัดงานใหม่ซึ่งมีการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการเพิ่มอีก
๓๕๔ วัน
โดยค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นแผนงานที่จะขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๕ กรอบวงเงิน ๑๑,๑๑๑,๘๕๐ บาท
และแผนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมพิเศษเพื่อแสดงศักยภาพประเทศไทย
โดยหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ (๑) กรมส่งเสริมการเกษตร กะทรวงเกษตรและสหกรณ์ (๒)
กระทรวงวัฒนธรรม และ (๓) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
และงบประมาณที่จะขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
พ.ศ. ๒๕๖๕ กรอบวงเงิน ๑๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงบประมาณ
ที่เห็นว่าควรดำเนินการติดตั้งระบบสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ ภายในอาคารแสดงประเทศไทย งาน World
Expo 2020 Dubai ในรูปแบบเสมือนจริงเห็นครบทุกมุมมอง
(Virtual Reality) ผ่านออนไลน์ เพื่อให้ผู้ชมงานทั่วโลก สามารถเข้าชมงานได้อย่างทั่วถึง
ทุกที่ ทุกเวลา และสามารถแสดงศักยภาพด้านต่าง ๆ ที่มีอยู่ในงานได้อย่างเต็มประสิทธิผลและคุ้มค่ากับเงินงบประมาณที่ได้ลงทุน
และให้ดำเนินการต่อรองค่าใช้จ่าย เช่น ค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ ค่าดูแลรักษาอาคาร
ค่ารักษาความปลอดภัย เป็นต้น กับประเทศเจ้าภาพและผู้ให้บริการที่ Expo
เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในห้วงระยะเวลาที่มีการเลื่อนกำหนดจัดงานในโอกาสแรก
ตลอดจนแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมกิจกรรมพิเศษจากแหล่งเงินอื่น เช่น
เงินรายได้ หรือภาคเอกชนสมทบ รวมถึงการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ มีผลใช้บังคับ
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า และประโยชน์ที่จะได้รับอย่างสมเหตุสมผลต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
107 | การร่วมทุนในบริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | พน. | 13/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเข้าร่วมลงทุนในบริษัท อินโนเปซ
(ประเทศไทย) จำกัด และให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยลงนามในสัญญาและเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เมื่อผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงพลังงาน (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของกระทรวงการคลังกระทรวงคมนาคม
กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าควรคำนึงถึงความคุ้มค่า
ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และควรจัดทำแผนการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ รัดกุม โดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนและราชการเป็นสำคัญ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุด (หนังสือสำนักงานอัยการสูงสุดที่ อส
๐๐๐๗/๑๕๖๕๖ ลงวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๓) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
และให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ)
ร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวปฏิบัติเกี่ยวกับขั้นตอนและกระบวนการพิจารณาอนุมัติการลงทุนแต่ละประเภทของรัฐวิสาหกิจ
ตามกฎหมายจัดตั้งและกฎหมายที่เกี่ยวข้องของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ
เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวการณ์การลงทุนในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งมีความชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน
โดยคำนึงถึงมิติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้านด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
108 | ข้อกำหนดและคำสั่งที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 รวม 3 ฉบับ | นร.05 | 06/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๔๘
เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา รวม ๓ ฉบับ ดังนี้ ๑. ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา
๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ มีสาระสำคัญเป็นการอนุญาตให้ผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรในพื้นที่ที่กำหนดให้เป็นจังหวัดนำร่องด้านการท่องเที่ยว
เพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว หรือกิจการอื่น ๆ ตามนโยบายของรัฐบาล และกำหนดมาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางดังกล่าวให้เป็นไปตามคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) (ศบค.) ๒. คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) ที่ ๗/๒๕๖๔ เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙
แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๑๑) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดออกตามความในมาตรา
๙ แห่งพระราชกำหนดมาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรตามข้อ ๑
ประกอบด้วยมาตรการก่อนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร มาตรการเมื่อเดินทาง/ระหว่างอยู่ในราชอาณาจักรและมาตรการก่อนเดินทางออกนอกพื้นที่จังหวัดนำร่องด้านการท่องเที่ยวไปยังพื้นที่จังหวัดอื่นภายในราชอาณาจักร
โดยผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรดังกล่าวจะต้องได้รับหนังสือรับรองว่าเป็นบุคคลที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรได้
(Certificate of Entry-COE) เอกสารหรือหลักฐานรับรองการได้รับวัคซีน (Certificate
of Vaccination) และได้รับการตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19 โดยวิธี RT-RCR เป็นต้น ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ฉบับประกาศและงานทั่วไป เล่ม ๑๓๘ ตอนพิเศษ ๑๔๓ ง วันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๔ ๓. คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) ที่ ๘/๒๕๖๔ เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙
แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๑๒ ) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรไม่ว่าจะเป็นการใช้เส้นทางคมนาคมทางบก
ทางเรือ ทางน้ำ หรือทางอากาศ หรือโดยการใช้ยานพาหนะอื่นใด รวม ๑๑ ประเภท
ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโดยเคร่งครัด เช่น COE เข้ารับการกักตัวในสถานที่กักกันซึ่งทางราชการกำหนด
มีกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งรวมถึงกรณีโรคโควิด-19 ในวงเงินไม่น้อยกว่า ๑๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ เป็นต้น ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ฉบับประกาศและงานทั่วไป เล่ม ๑๓๘ ตอนพิเศษ ๑๔๔ ง วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
109 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์เพิ่มเติมรองรับการทำประกันสุขภาพสำหรับชาวต่างด้าวผู้ขอรับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว Non–Immigrant Visa รหัส O-A (ระยะ 1 ปี) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2562 | สธ. | 15/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการปรับปรุงหลักเกณฑ์เพิ่มเติมรองรับการทำประกันสุขภาพสำหรับชาวต่างด้าวผู้ขอรับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว
Non–Immigrant Visa รหัส O-A (ระยะ ๑ ปี)
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๒ โดยมอบหมายสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองออกคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
ปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณากรณีคนต่างด้าวขออนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว
และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศปรับปรุงแนวปฏิบัติการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว
Non–Immigrant Visa รหัส O-A (ระยะ ๑ ปี) รวมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงมหาดไทย
ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับประชาสัมพันธ์ให้ชาวต่างชาติทราบอย่างทั่วถึง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
ที่เห็นว่าควรให้กระทรวงสาธารณสุขส่งเสริมการประกันสุขภาพของประเทศให้พัฒนาตอบสนองความต้องการของคนต่างประเทศควบคู่ไปด้วย
และควรมีการเชื่อมข้อมูลการเข้าออกประเทศของผู้เอาประกันระหว่างสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและบริษัทผู้รับประกันภัยโดยตรง
เนื่องจากเป็นสาระสำคัญในการให้ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย
และเพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับรายละเอียด วิธีการ
และขั้นตอนการดำเนินการตามหลักเกณฑ์การทำประกันสุขภาพสำหรับชาวต่างด้าวผู้ขอรับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว Non–Immigrant Visa รหัส O-A (ระยะ ๑ ปี)
ที่ได้ปรับปรุงในครั้งนี้ให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนได้ทราบอย่างถูกต้อง
และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
110 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 7/2564 | นร. | 25/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ ๗/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔
ซึ่งมีผลการประชุมที่สำคัญ ได้แก่ (๑)
รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 (๒) การปรับมาตรการป้องกันและควบคุมโรคตามระดับพื้นที่สถานการณ์ย่อยทั่วราชอาณาจักร
สำหรับสถานศึกษา และมาตรการแนวปฏิบัติของสถานศึกษาเพื่อดำเนินการเปิดภาคเรียนที่ ๒
ประจำปี ๒๕๖๔ (๓) มาตรการด้านสาธารณสุขในการจัดประชุมรัฐสภา สมัยสามัญ
ประจำปีครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๖๔ (๔) ที่ประชุมเห็นชอบให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
คราวที่ ๑๒ ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๔ จนถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔ (๕) แผนการให้บริการวัคซีนโควิด-19
และ (๙) ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
ตามที่สำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
111 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการให้บริการคนพิการของสายการบินภายในประเทศ ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา | สว. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง
แนวทางการให้บริการคนพิการของสายการบินภายในประเทศ ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม
และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักรับรายงานพร้อมข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ
ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษาแนวทางและข้อเสนอแนะ
เกี่ยวกับแนวทางการให้บริการคนพิการของสายการบินภายในประเทศ ดังนี้ (๑) กพท. ควรเร่งตราอนุบัญญัติซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ.
๒๕๖๒ และกำกับ ติดตาม
ประเมินผลการให้บริการของสายการบินให้เป็นไปตามมาตรฐานและแนวปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
(๒) คค. ควรแก้ไขปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดลักษณะหรือการจัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก
หรือบริการในอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ และบริการขนส่ง
เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ พ.ศ. ๒๕๕๖
ซึ่งออกตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ (๓)
สายการบิน ควรดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารได้รับทราบข้อมูลอย่างชัดเจนโดยได้ดำเนินการสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการ เด็ก ผู้สูงอายุ และคนทุกคนมาอย่างต่อเนื่อง (๔) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ควรให้คนพิการและองค์กรคนพิการได้เข้าไปมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่และมีประสิทธิผล
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
112 | รายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการออกระเบียบและประกาศตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 พ.ศ. .... | ดศ. | 05/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการออกระเบียบและประกาศตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.
๒๕๖๒ ใช้บังคับ โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรายงานว่า
เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จึงทำให้ไม่สามารถดำเนินการออกประกาศหรือระเบียบเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามพระราชบัญญัติดังกล่าวได้
แต่อย่างไรก็ตาม
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้มีการจัดทำกฎหมายลำดับรองดังกล่าวแล้ว
โดยได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว ทั้งนี้
เมื่อมีคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวแล้ว
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมจะได้เสนอร่างกฎหมายต่อไป
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๒.
เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๒ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการใช้บังคับพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๒ พ.ศ. ๒๕๖๓ ออกไปอีก ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๔ จนถึงวันที่ ๓๑
พฤษภาคม ๒๕๖๕
เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งเป็นหน่วยงานและกิจการต่าง ๆ
ทั้งภาครัฐและเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
ซี่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเร่งรัดการดำเนินการเพื่อจัดทำกฎหมายลำดับรอง
หลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องที่จำเป็นต้องมี
เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้
และให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกำกับสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมทำหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้เร่งจัดทำกฎหมายลำดับรอง
หลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งเร่งสื่อสารทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและเตรียมความพร้อมรองรับ
เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ทันทีเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
113 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 11/2564 และครั้งที่ 12/2564 | นร.11 | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๔ และครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๔
เมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๔ ซึ่งพิจารณาอนุมัติโครงการสร้างรายได้ด้วยแฟรนไชส์ฝ่าโควิด-๑๙
ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
และอนุมัติการปรับปรุงรายละเอียดโครงการเราชนะ ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
กระทรวงการคลัง รวมทั้งรับทราบแนวทางการพิจารณากลั่นกรองและติดตามประเมินผลโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
และรายงานสรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ตามผลการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ และข้อเสนอแนะต่อการพิจารณากลั่นกรองโครงการ
และการกำกับดูแลการดำเนินงานตามแผนงานหรือโครงการที่ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
(๑) กรมพัฒนาธุรกิจการค้าควรปรับแนวทาง/กิจกรรมดำเนินโครงการสร้างรายได้ด้วยแฟรนไชส์ฝ่าโควิด-๑๙
ให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ในปัจจุบัน และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ระยะเวลาดำเนินการ และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ และ (๒) ให้กระทรวงมหาดไทยกำชับให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐในส่วนภูมิภาคที่จะจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
ถือปฏิบัติแนวทางที่กำหนดไว้ในคู่มือแนวปฏิบัติการเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
(ภายใต้กลุ่มแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่น
: ระดับพื้นที่) โดยเฉพาะการจัดทำข้อเสนอโครงการที่มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ
และมีการกำหนดแผนดำเนินโครงการที่ได้คำนึงถึงการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ในพื้นที่เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
114 | ขอความเห็นชอบการรับรองร่างแผนงานด้านการศึกษาของอาเซียน ปี พ.ศ. 2564 - 2568 (ASEAN Work Plan on Education 2021 – 2025) | ศธ. | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างแผนงานด้านการศึกษาของอาเซียน ปี พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๘ (ASEAN
Work Plan on Education 2021-2025) รวมถึงผลผลิตที่ประเทศไทยรับเป็นเจ้าภาพ/เจ้าภาพร่วม รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหรือผู้แทนให้การอนุมัติร่างแผนงานฯ
โดยกระทรวงศึกษาธิการจะนำร่างแผนงานฯ เสนอต่อสำนักงานเลขาธิการอาเซียน ในวันที่ ๒๓
เมษายน ๒๕๖๔ ซึ่งร่างแผนงานฯ ประกอบด้วย ๕ ผลลัพธ์ และ ๑๒ ผลผลิต โดยผลลัพธ์และผลผลิตที่ไทยรับเป็นเจ้าภาพ/เจ้าภาพร่วม
ได้แก่ (๑) การพัฒนาด้านความตระหนักรู้เกี่ยวกับอาเซียน
รวมถึงแนวปฏิบัติด้านการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
(๒) การเพิ่มขีดความสามารถในระดับภูมิภาคในการส่งเสริมและการประกันการเข้าถึงการศึกษาเพื่อการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
สำหรับเด็กหญิงและเด็กชาย รวมถึงเด็กและเยาวชนที่ตกหล่น และ (๓) การส่งเสริมการเข้าถึงการศึกษาและฝึกอบรมด้านเทคนิคและการอาชีวศึกษาที่มีคุณภาพเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแผนงานฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒.
ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้แก่ (๑) ประเด็นผลลัพธ์ (outcomes) ที่ ๒-๔ ควรพิจารณาให้มีความเชื่อมโยงกัน
เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาการศึกษาแบบบูรณาการทั้งระบบ (๒) ประเด็นผลผลิต (outputs)
ควรพิจารณาถึงความสอดคล้องกับผลลัพธ์
(outcomes) โดยคำนึงถึงการพัฒนาการศึกษาในแต่ละมิติ
(๓) ประเด็นรายละเอียดกิจกรรม
ควรพิจารณาถึงความซ้ำซ้อนกับแผน/กิจกรรมภายใต้กรอบความร่วมมืออื่น ๆ
เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ (๔)
ควรพิจารณาการนำลการประเมินการดำเนินงานของแผนงานฯ มาประกอบการจัดทำแผนงานด้านการศึกษาดังกล่าว และ (๕) การพิจารณารับเป็น leading country ในแต่ละกิจกรรม ควรพิจารณาถึงประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ผ่านมา รวมไปถึงงบประมาณและทรัพยากรอื่น
ๆ ของหน่วยงานที่จะนำมาใช้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
115 | รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมตลอดทั้งการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบหรือคำสั่ง เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน กรณีขอให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อลูกจ้างรับเหมาค่าแรง | สนง. กสม. | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
รวมตลอดทั้งการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบหรือคำสั่ง
เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน
กรณีขอให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อลูกจ้างรับเหมาค่าแรง
ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงแรงงานได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป ดังนี้ ๑. ประเด็นที่ ๑
กรณีให้มีการทบทวนและปรับปรุงแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานที่ยังมีช่องว่างระหว่างกฎหมายและทางปฏิบัติ
โดยพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติมาตรา ๑๑/๑ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๕๑ ให้มีความชัดเจนทั้งในเรื่องลักษณะความสัมพันธ์ของการจ้างแรงงานในรูปแบบการจ้างเหมาค่าแรง
ขอบเขต และมูลเหตุจำเป็นในการจ้างเหมาค่าแรง และหลักเกณฑ์ในทางปฏิบัติ
ที่ประชุมมีความเห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวมีความชัดเจนและไม่มีประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการตีความตัวบทกฎหมาย
จึงยังไม่ควรปรับปรุงแก้ไขบทบัญญัติดังกล่าว แต่ควรนำมาตรา ๑๑/๑ เข้าสู่กระบวนการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางกฎหมายต่อไป
และให้กำหนดแนวปฏิบัติหรือมาตรการให้นายจ้าง ลูกจ้าง
มีความเข้าใจเกี่ยวกับบทบัญญัติตามมาตรา ๑๑/๑ มากขึ้น ๒. ประเด็นที่ ๒
กรณีให้พิจารณาถึงความเหมาะสมของบทกำหนดโทษตามมาตรา ๑๔๔/๑
แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
ให้ได้สัดส่วนกับความเสียหายจากการที่ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงไม่ได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการตามสิทธิที่พึงมีพึงได้ตามกฎหมาย
โดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิของลูกจ้างรับเหมาค่าแรง
และผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบกิจการ ที่ประชุมมีความเห็นว่า
บทกำหนดโทษที่กำหนดไว้มีความเหมาะสมแล้ว
เนื่องจากการกำหนดโทษดังกล่าวสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ในการกำหนดโทษทางอาญาตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องแนวทางการกำหนดโทษตามมาตรา
๗๗ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐
ประกอบกับพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่กำหนดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายทุกรอบระยะเวลาห้าปี ทั้งนี้
เมื่อครบรอบกำหนดระยะเวลาที่จะต้องนำพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
ทั้งฉบับเข้าสู่กระบวนการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน จะดำเนินการนำข้อเสนอแนะในประเด็นที่
๑ และประเด็นที่ ๒ (มาตรา ๑๑/๑ และมาตรา ๑๔๔/๑ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ. ๒๕๔๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม) เข้าสู่กระบวนการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายด้วย
เพื่อพิจารณาว่าสมควรมีการแก้ไขปรับปรุงหรือไม่ อย่างไรต่อไป ๓. ประเด็นที่ ๓
กรณีให้เผยแพร่หลักเกณฑ์ที่เป็นรูปธรรมในการจัดสิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่เป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติตามมาตรา
๑๑/๑ แก่ผู้ประกอบกิจการอย่างทั่วถึงเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาในเชิงป้องกัน
ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน
ดำเนินการเผยแพร่แนวปฏิบัติตามมาตราดังกล่าวให้หน่วยปฏิบัติ นายจ้าง ลูกจ้าง
และผู้ที่เกี่ยวข้อง (องค์กรพัฒนาเอกชน ภาคประชาสังคม ฯลฯ)
ได้ทราบอย่างทั่วถึงในการปฏิบัติที่ถูกต้องตามกฎหมาย
รวมถึงให้นำไปเขียนไว้ในคู่มือพนักงานตรวจแรงงาน
และหลักสูตรฝึกอบรมพนักงานตรวจแรงงานเพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
116 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การส่งเสริม เพิ่มขีดความสามารถ และสร้างความเป็นธรรมทางการแข่งขันของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา | สว. | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง การส่งเสริม เพิ่มขีดความสามารถ
และสร้างความเป็นธรรมทางการแข่งขันของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce)
ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยในภาพรวมไม่มีข้อขัดข้องกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ และมีความเห็นเพิ่มเติมว่าการสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทยนั้น
มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากจะช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างทั่วถึงและยั่งยืนขึ้น
และการกำหนดแนวปฏิบัติสำหรับการประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ควรตั้งอยู่บนหลักไม่เลือกปฏิบัติและใช้บังคับเป็นการทั่วไปทั้งผู้ประกอบการในประเทศและต่างประเทศ
การพิจารณายกร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยธุรกิจบริการเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ตามความมาตรา
๓๒ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๒ ควรตั้งอยู่บนหลักการไม่เลือกปฏิบัติ
และหลีกเลี่ยงการออกมาตรการที่จะนำไปสู่การสร้างภาระให้กับผู้ประกอบธุรกิจ
ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาศึกษา สำหรับการส่งเสริมธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
(e-Commerce) นั้น ปัจจุบันได้มีการจัดอบรมให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ
SME ซึ่งเห็นควรมีการติดตามผลสัมฤทธิ์ของเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) อยู่ระหว่างการกำหนดแนวทางและรูปแบบการจัดเก็บรายได้จากผู้ประกอบการที่ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ต่างประเทศ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
117 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาญัตติ เรื่อง การศึกษามาตรการป้องกันการเกิดโรคระบาดหรือโรคติดต่อในประเทศไทย ของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร | สผ. | 23/02/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาศึกษาญัตติ
เรื่อง การศึกษามาตรการป้องกันการเกิดโรคระบาดหรือโรคติดต่อในประเทศไทย
ของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร
โดยกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นว่า
รายงานฉบับนี้มีเนื้อหาสาระที่มีความถูกต้องตามหลักวิชาการ และได้ให้คำแนะนำหรือข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานต่าง
ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดหรือดำเนินมาตรการป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019
(โควิด 19) อยู่หลายประเด็น เช่น
การยกระดับอนามัยส่วนบุคคล และการสร้างความรอบรู้ในการดูแลสุขภาพตนเอง
(รวมถึงการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเกิดความตระหนักรู้ถึงสถานการณ์และปฏิบัติตนได้เหมาะสมกับความเสี่ยง)
การแก้ปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย เวชภัณฑ์ และทรัพยากรทางสาธารณสุขที่สำคัญ
การพัฒนาฐานข้อมูลและแอปพลิเคชันเพื่อการเฝ้าระวังและติดตามกลุ่มเสี่ยงหรือผู้สัมผัสโรค
หรือเพื่อการติดตามสถานการณ์และข้อมูลข่าวสารสำคัญที่เกี่ยวข้องโดยทั่วไป
การดูแลสุขภาพและภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์
และการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มนักเรียนชั้นประถมศึกษา
โดยมาตรการเหล่านี้กระทรวงสาธารณสุขจะได้นำไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับหน่วยงานต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปกำหนดเป็นนโยบายและแนวปฏิบัติต่อไป นอกจากนี้
กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังได้มีการพิจารณาดำเนินการมาตรการต่าง
ๆ เพิ่มเติม ซึ่งแม้ว่าจะเป็นมาตรการที่ไม่ได้ระบุไว้ในรายงานฉบับนี้อย่างขัดเจน
แต่ก็มีความสอดคล้องกับหลักการหรือข้อสังเกตหลายประเด็นที่กล่าวถึงตามรายงาน
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
118 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น ด้านแผนงานนโยบายและเทคโนโลยีการจราจร | คค. | 15/02/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงคมนาคมและกระทรวงที่ดิน
โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น (Ministry of
Land, Infrastructure, Transport and Tourism : MLIT) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยสำหรับการลงนามร่างบันทึกความร่วมมือฯ โดยร่างบันทึกความร่วมมือฯ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกรอบความร่วมมือด้านการจราจรเพื่อการพัฒนาขีดความสามารถด้านการวางแผนงานนโยบายและเทคโนโลยีการจราจรในราชอาณาจักรไทย
โดยการแลกเปลี่ยนนโยบาย เทคโนโลยี ข้อมูล ประสบการณ์ และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศระหว่างกัน
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมประสานและบูรณาการรวมกับหน่วยงานรัฐ
เช่น กระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) กรุงเทพมหานคร
กรมโยธาธิการและผังเมือง เป็นต้น ในการถ่ายทอดองค์ความรู้และบูรณาการร่วมกันอย่างเป็นระบบเพื่อให้ความร่วมมือดังกล่าวเกิดประโยชน์ต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางของประเทศไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
119 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 2/2563 | กษ. | 09/02/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช
ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยมีผลการพิจารณาเกี่ยวกับ (๑) การใช้มาตรการปกป้องพิเศษ
(Special Safeguard Measure : SSG)
ภายใต้ความตกลงองค์การการค้าโลก (World Trade Organization :
WTO) และความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade
Area : AFTA) สำหรับสินค้ามะพร้าว ปี ๒๕๖๓ (๒)
การบริหารนำเข้าน้ำมันถั่วเหลืองและแฟรกชันของน้ำมันถั่วเหลือง
มะพร้าวและมะพร้าวฝอย เนื้อมะพร้าวแห้ง
และน้ำมันมะพร้าวและแฟรกชันของน้ำมันมะพร้าว ปี ๒๕๖๔ และ (๓)
การบริหารการนำเข้ามะพร้าวผลตามกรอบความตกลง AFTA ปี ๒๕๖๔
ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์)
ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงพาณิชย์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น
ควรประชาสัมพันธ์ถึงแนวปฏิบัติของการบริหารจัดการการนำเข้าสินค้าพืชน้ำมันและน้ำมันพืชดังกล่าวให้ผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องรับทราบอย่างทั่วถึง
เพื่อให้การนำเข้าสินค้าพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเกิดประโยชน์สูงสุดในการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่อไป
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
120 | แนวปฏิบัติจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ (Thailand AI Ethics Guideline) | ดศ. | 02/02/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบแนวปฏิบัติจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์
(Thailand AI Ethics Guideline)
และให้หน่วยงานราชการใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในการพัฒนา ส่งเสริม
และนำไปใช้ในทางที่ถูกต้องและมีจริยธรรมต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมต่อไป
โดยแนวปฏิบัติจริยธรรมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้หน่วยงานราชการนำไปใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริม
สนับสนุน รวมถึงกำกับดูแลเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ให้มีความน่าเชื่อถือ
มั่นคงปลอดภัย และมีจริยธรรม โดยมุ่งเน้นให้องค์กรนำแนวปฏิบัติจริยธรรมฯ ไปปรับใช้
โดยพิจารณาตามความเหมาะสมของทรัพยากร และระบบการบริหารจัดการภายในองค์กร
รวมถึงความสามารถในการปฏิบัติตามแนวปฏิบัติจริยธรรมฯ
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
โดยให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเร่งสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแนวปฏิบัติจริยธรรมฯ
ทั้งในประเด็นของหลักคิด นิยาม และแนวทางการแปลงแนวปฏิบัติจริยธรรมฯ
ไปสู่การปฏิบัติ
โดยให้พิจารณากำหนดหน่วยงานที่มีความพร้อมเพื่อเป็นหน่วยงานนำร่องในการดำเนินการในระยะแรก
แล้วประเมินผลการดำเนินการก่อนขยายผลการดำเนินการในระยะต่อไป ๒.
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงอุตสาหกรรม
เช่น (๑) ควรให้มีการสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ไปสู่ภาคอุตสาหกรรม
(๒) ควรนำหลักการของมาตรฐานทางจริยธรรมตามพระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ.
๒๕๖๒ มาใช้ประกอบการพิจารณา และ (๓)
ควรมีการกำกับดูแลปัญญาประดิษฐ์ให้ประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสมและมีจริยธรรม เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |