ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 7 จากทั้งหมด 25 หน้า แสดงรายการที่ 121 - 140 จากข้อมูลทั้งหมด 486 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
121 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 2/2564 | นร. | 02/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๔ ซึ่งมีผลการประชุมที่สำคัญ
ได้แก่ (๑) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ (๒)
ความคืบหน้าการจัดหาและการเตรียมความพร้อมการให้บริการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 (๓) การป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ตามแนวชายแดน
(๔) การดำเนินการให้เป็นไปตามข้ออนุมัติของนายกรัฐมนตรีตามการเสนอของคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
(๕)
แนวปฏิบัติในการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการป้องกันและยับยั้งของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ และ (๖) ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
ตามที่สำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
122 | การรับรองแถลงการณ์ร่วมจากการประชุมระดับอนุภูมิภาคว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้ายและความมั่นคงข้ามชาติ (The Sub - Regional Meeting on Counter Terrorism and Transnational Security) ครั้งที่ 3 | นร.08 | 26/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแถลงการณ์ร่วม
(Joint Statement) การประชุมระดับอนุภูมิภาคว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้ายและความมั่นคงข้ามชาติ
(The Sub-Regional Meeting on Counter Terrorism and
Transnational Security) ครั้งที่ ๓ โดยมีสาระสำคัญของแถลงการณ์ฯ
มีรายละเอียด เช่น
การแสวงประโยชน์จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกลุ่มที่มีแนวคิดสุดโต่งที่นิยมความรุนแรง
การแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายอย่างยั่งยืน การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับภัยคุกคามและแนวปฏิบัติที่ดี
และความร่วมมือในการจัดตั้งเวทีหารือระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านนโยบายการต่อต้านการก่อการร้าย
เพื่อหาแนวทางและแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีในการบริหารจัดการประเด็นทางนโยบายที่เกี่ยวกับการต่อต้านการก่อการร้าย
รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของนักรบก่อการร้ายต่างชาติ เป็นต้น
ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ และให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมความร่วมมือกับต่างประเทศด้านความมั่นคงและข้อริเริ่มต่าง
ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการป้องกันภัยคุกคามและแก้ไขปัญหาความมั่นคงทั้งของไทยและของภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
123 | การกำหนดมูลค่าแผนงานและโครงการพัฒนาตามมาตรา 20 (8) แห่งพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ | นร.11 | 26/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบแนวทางการกำหนดมูลค่าแผนงานและโครงการพัฒนาตามมาตรา
๒๐ (๘) แห่งพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑
ตามมติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑
การลงทุนแผนงาน/โครงการพัฒนาของส่วนราชการที่มีมูลค่าตั้งแต่ ๕,๐๐๐ ล้านบาท
และไม่ได้ใช้แหล่งเงินจากเงินงบประมาณ โดยการลงทุนจะใช้จ่ายจากแหล่งเงิน อาทิ เงินกู้
การให้เอกชนร่วมลงทุน และแหล่งเงินอื่น ๆ
เห็นควรมอบหมายให้ส่วนราชการโดยความเห็นชอบของกระทรวงเจ้าสังกัด
จัดทำข้อเสนอแผนงาน/โครงการที่มีรายละเอียดครบถ้วนเพียงพอเสนอให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อพิจารณาเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒
การลงทุนแผนงาน/โครงการพัฒนาของรัฐวิสาหกิจ
เห็นควรให้รัฐวิสาหกิจโดยความเห็นชอบของกระทรวงเจ้าสังกัดต้องจัดทำงบลงทุนเต็มตามโครงการจัดส่งให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ
พ.ศ. ๒๕๕๐ อย่างเคร่งครัด ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งสร้างความเข้าใจกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในการเสนอแผนงานและโครงการพัฒนาที่ชัดเจน
เพื่อให้หน่วยงานสามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๓.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับแนวทางที่สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติเสนอมาในครั้งนี้มีผลบังคับใช้แล้ว
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติควรกำหนดองค์ประกอบของแผนงานและโครงการที่จำเป็นและเหมาะสม
เพื่อให้หน่วยงานรับผิดชอบแผนงานหรือโครงการปฏิบัติตามอย่างครบถ้วนเพียงพอ
และเป็นแนวทางเดียวกันได้อย่างชัดเจนและรวดเร็ว นอกจากนี้
หากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมีข้อมูลเหตุผลการกำหนดวงเงินมูลค่าดังกล่าว
จะส่งผลให้เกิดความเข้าใจ ยอมรับจากหน่วยงานต่าง ๆ ดียิ่งขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
124 | ผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2563 | ดศ. | 05/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ครั้งที่ ๔/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ โดยคณะกรรมการฯ ได้รับทราบเรื่องต่าง
ๆ ที่สำคัญ เช่น การเปิดให้บริการโครงข่ายเน็ตประชารัฐ
การจัดทำแพลตฟอร์มกลางในการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ การฝึกอบรมให้เกษตรกรมีทักษะการใช้โดรนและพัฒนาเป็นสมาร์ทฟาร์ม
และร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๖๔ ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ รวมทั้งเห็นชอบ (ร่าง)
พระราชบัญญัติกิจการอวกาศ พ.ศ. .... ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ไทยมีองค์กรกลางในการกำหนดนโยบายและแผนกิจการอวกาศของประเทศในภาพรวมอย่างมีเอกภาพ
และให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)
เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป และเห็นชอบแนวปฏิบัติจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งมีองค์ประกอบ
เช่น ความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ความโปร่งใสและความรับผิดชอบ
ความมั่นคงและความ เป็นส่วนตัว และความเท่าเทียม หลากหลาย ครอบคลุม และเป็นธรรม
และเห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
125 | บทสรุปผู้บริหาร (Executive Summary) ของประเทศไทยสำหรับการประเมินติดตามการปฏิบัติตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 รอบที่ 2 | ปช. | 22/12/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบบทสรุปผู้บริหาร
(Executive Summary) ของประเทศไทย
สำหรับการประเมินติดตามการปฏิบัติตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต
ค.ศ. ๒๐๐๓ (United Nations Convention against Corruption : UNCAC) รอบที่ ๒ ประกอบด้วย ข้อมูลการต่อต้านการทุจริตและการติดตามทรัพย์สินคืนของประเทศไทย
และข้อเสนอแนะของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United
Nations Office on Drugs and Crime : UNODC) เกี่ยวกับเรื่องมาตรการป้องกันการทุจริตและการติดตามทรัพย์สินคืน
รวมทั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับความสำเร็จและแนวปฏิบัติที่ดีในการดำเนินการดังกล่าว
ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
126 | ผลการดำเนินงานโครงการ Thailand-OECD Country Programme ของนโยบายด้านกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา | นร.09 | 22/12/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการดำเนินงานโครงการ Thailand OECD Country Programme ของนโยบายด้านกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
โดยเอกสารดังกล่าวมีเนื้อหาเป็นการวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานปฏิรูปกฎหมายตามหลักการด้านการพัฒนากฎหมายให้ดีขึ้น
(Better Regulation Principles) ตามมาตรา ๗๗
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ให้เกิดการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการดำเนินการปฏิรูประบบกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ไม่ว่าจะเป็นการวางหลักการกำกับดูแล กฎระเบียบ การตรวจสอบ
และการนำแนวปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบ รวมทั้งเครื่องมือด้านการบริหารจัดการต่าง ๆ
มาปรับใช้ โดยข้อตรวจพบของ OECD แสดงให้เห็นว่า
ประเทศไทยได้ดำเนินการพัฒนากฎหมายตามหลักการดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ
และเป็นส่วนสำคัญต่อความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในช่วง ๒
ทศวรรษที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังเสนอข้อแนะนำ (Key recommendations) เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด
ข้อแนะนำชุดนี้เป็นแนวปฏิบัติทั้งในระยะสั้นและระยะกลางที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดำเนินการอยู่แล้ว
จึงสามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที ซึ่งจะมีผลดีต่อการพัฒนาระบบกฎหมายในระยะยาว
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ๒.
ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดดำเนินการยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็นหรือไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน
หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิต หรือการประกอบอาชีพของประชาชน ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
127 | ความตกลงทางการเงินระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรป เพื่อดำเนินโครงการ Smart Green ASEAN Cities | ทส. | 23/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างความตกลงทางการเงินระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรป เพื่อดำเนินโครงการ Smart
Green ASEAN Cities
และอนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ
รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งความเห็นชอบต่อร่างความตกลงฯ
ในนามประเทศไทย ไปยังสำนักเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ
กรุงจาการ์ตา โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความเป็นเมืองที่ยั่งยืนในอาเซียน
ลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และเพิ่มคุณภาพชีวิตสำหรับพลเมืองอาเซียน โดยสนับสนุนให้เมืองต่าง
ๆ ในอาเซียนใช้ประโยชน์จากแนวทางเมืองอัจฉริยะ โดยมีผลผลิต ๓ ข้อ ได้แก่
การยกระดับการออกแบบ วางแผน
และดำเนินการเพื่อมุ่งสู่เมืองสีเขียวและเมืองอัจฉริยะสำหรับเมืองที่เข้าร่วมดำเนินโครงการฯ
การเสริมสร้างศักยภาพระดับประเทศเพื่อการพัฒนาเมืองสีเขียวและเมืองอัจฉริยะ
(ผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างสหภาพยุโรปและอาเซียน)
และการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมเมืองสีเขียวและเมืองอัจฉริยะระหว่างสหภาพยุโรปและภายในภูมิภาคอาเซียน
ซึ่งสหภาพยุโรปจะสนับสนุนงบประมาณ ๕ ล้านยูโร เพื่อดำเนินโครงการฯ เป็นเวลา ๗๒
เดือน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
128 | ขอความเห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองระหว่างการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 26 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | คค. | 17/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองระหว่างการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่
๒๖ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวของ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๕
พฤศจิกายน ๒๕๖๓ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว
ประกอบด้วย (๑) การทบทวนแผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งกัวลาลัมเปอร์ ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๘
ระยะกลาง (๒) แนวปฏิบัติสำหรับการยกระดับขั้นตอนมาตรฐานในการรายงานข้อมูลอุบัติเหตุทางถนนให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลขององค์การสหประชาชาติ
(๓) ปฏิญญาบรูไนว่าด้วยความปลอดภัยทางถนนของอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๐ (๔)
แผนแม่บทการเดินอากาศอาเซียน (๕) พิธีสาร ๒ สถาบันฝึกอบรมด้านการบิน (๖) แนวปฏิบัติในช่วงสถานการณ์โควิด-19 (๗) รายงานฉบับสุดท้ายภายใต้ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการเดินเรือสำราญระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น
(๘) แนวปฏิบัติสำหรับการบำรุงรักษาร่องน้ำเดินเรือในอาเซียน (๙)
แนวปฏิบัติสำหรับมาตรการด้านความปลอดภัยสำหรับเส้นทางเดินเรือ และ (๑๐)
แผนที่นำทางความร่วมมือด้านการขนส่งระหว่างอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ค.ศ. ๒๐๒๑-๒๐๒๕
มีสาระสำคัญเป็นการสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งอาเซียน ปี
๒๕๕๙-๒๕๖๘ ทั้ง ๕ ด้าน ได้แก่ การขนส่งทางอากาศ การขนส่งทางบก การขนส่งทางน้ำ
การอำนวยความสะดวกในการขนส่ง และการขนส่งที่ยั่งยืน
และแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕
ในการพัฒนาและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของอาเซียน
โดยการยกระดับมาตรฐานการขนส่งในสาขาต่าง ๆ
ให้เป็นสากลเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการค้า การลงทุน
รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือด้านการขนส่งกับประเทศคู่เจรจาของอาเซียน
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารทั้ง ๑๐ ฉบับ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงบประมาณ
เช่น ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โอนเงินจัดสรร
หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๒ ในโอกาสแรกก่อน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
129 | ผลการประชุมระดับสูงผ่านระบบการประชุมทางไกลว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศภายใต้ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง : การต่อสู้กับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน | กต. | 10/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับสูงผ่านระบบการประชุมทางไกลว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศภายใต้ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง
: การต่อสู้กับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๓ ซี่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เข้าร่วมการประชุมและได้ร่วมรับรองถ้อยแถลงร่วมของการประชุมระดับสูงผ่านระบบการประชุมทางไกลว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศภายใต้ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง
: การต่อสู้กับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ซึ่งมีสาระสำคัญไม่แตกต่างจากร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๓
แต่มีการเพิ่มเติมประเด็นต่าง ๆ ให้มีความครบถ้วนและสมบูรณ์ขึ้น ได้แก่ (๑)
การแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์ และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศในการตรวจและรักษาโรคโควิด-๑๙
การยกระดับขีดความสามารถของระบบสาธารณสุข การส่งเสริมการวิจัย และการหารือระหว่างบุคลากรทางการแพทย์
(๒) การเข้าถึงผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุขอย่างเท่าเทียมกัน (๓) การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพและการพัฒนาระบบการแพทย์ทางไกล
(๔) การพัฒนาช่องทางเร่งด่วนสำหรับนักธุรกิจ แรงงานมีฝีมือ และผู้เชี่ยวชาญ
และช่องทางสำหรับการค้าและขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน (๕)
การสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีบนหลักการของการยึดมั่นในกฎกติการะหว่างประเทศ
ความเปิดกว้าง ความโปร่งใส และการไม่เลือกปฏิบัติ การแข่งขันที่ยุติธรรม
การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา (๖) การส่งเสริมความร่วมมือในสาขาเศรษฐกิจดิจิทัล
การใช้ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีฐานข้อมูลขนาดใหญ่ อุตสาหกรรมด้านสุขภาพ
ความมั่นคงทางอาหาร (๗)
การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านยุทธศาสตร์และนโยบายการพัฒนาการส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทางกับยุทธศาสตร์การพัฒนาระดับชาติ
ภูมิภาค และระหว่างประเทศ การสนับสนุนนโยบายที่เป็นมิตรต่อการดำเนินธุรกิจ
การเริ่มฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
การปฏิบัติตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐
และข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ (๘)
การระงับ/พักชำระหนี้ให้แก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุดเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
130 | ร่างบันทึกความเข้าใจการดำเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงเศรษฐกิจและการจ้างงานแห่งสาธารณรัฐฟินแลนด์ | อก. | 10/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจการดำเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน
(Memorandum of Understanding on
Circular Economy) ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงเศรษฐกิจและการจ้างงาน (Ministry of Economic Affairs and
Employment) แห่งสาธารณรัฐฟินแลนด์ และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ของฝ่ายไทย [จะมีการลงนามในช่วงไตรมาสที่ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๖๓
(เดือนธันวาคม ๒๕๖๓)] โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดความร่วมมือเพื่อส่งเสริมความเข้าใจและเสริมสร้างความร่วมมือทวิภาคีด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนในสาขาต่าง
ๆ เช่น การหารือเกี่ยวกับการออกแบบ การวางแผน และการดำเนินการตามกลยุทธ์
การออกกฎหมาย นโยบาย การติดตาม และการวิจัยในสาขาที่มีความสนใจร่วมกัน
การแลกเปลี่ยนกลยุทธ์เกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศของเศรษฐกิจหมุนเวียนในสาขาสำคัญ
และการเสริมสร้างศักยภาพในการถ่ายทอดและแบ่งปันความรู้และเทคโนโลยีผ่านวิธีการที่เหมาะสม
เป็นต้น ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒.
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาปรับแก้ถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
คู่ฉบับภาษาไทย จากคำว่า “มาตรา” เป็น “วรรค” ในทุกแห่งที่ปรากฏ
เพื่อให้สอดคล้องกับเอกสารที่มิใช่สนธิสัญญา
และควรพิจารณาความเชื่อมโยงที่คำนึงถึงหลักการของแนวทางการพัฒนา Bio-Circular-Green
Economy : BCG และความพร้อมในรายละเอียดของการดำเนินการ
เพื่อให้การขับเคลื่อนมีความสอดคล้องกับทิศทางและนโยบายรัฐบาล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
131 | ขออนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณตามแผนการดำเนินงานระยะ 5 ปี ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2564-2568) ของศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ | ศธ. | 03/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณตามแผนการดำเนินงานระยะ
๕ ปี ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๘) ของศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(ซีมีโอ) วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๓๕.๙๑ ล้านบาท เพื่อดำเนินงานตามภารกิจของศูนย์สะเต็มศึกษาฯ
ภายใต้วิสัยทัศน์ว่า “เป็นศูนย์แห่งความเป็นเลิศในระดับภูมิภาคด้านการวิจัยและการพัฒนาศักยภาพด้านสะเต็มศึกษาที่ส่งเสริมนโยบายและแนวปฏิบัติที่รองรับด้วยงานวิจัย”
ซึ่งมีกรอบแนวทางการดำเนินงานตามภารกิจของศูนย์สะเต็มศึกษาฯ ได้แก่ (๑)
การประเมินและวิจัยเกี่ยวกับสะเต็มศึกษา เพื่อพัฒนาศักยภาพของประเทศและภูมิภาคด้านงานวิจัยเกี่ยวกับสะเต็มศึกษา
เพื่อให้ผู้นำทางการศึกษามีข้อมูลประกอบการกำหนดนโยบายที่มีฐานจากงานวิจัย (๒)
การพัฒนาสื่อและศักยภาพบุคลากรทางการศึกษา เพื่อวิจัย
พัฒนาและทดสอบสื่อการจัดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ
และเผยแพร่สู่สถาบันการศึกษาและโรงเรียน อีกทั้งพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาทั้งในระดับผู้นำด้านนโยบาย
ผู้บริหารการศึกษา ผู้อำนวยการสถานศึกษา ครู ศึกษานิเทศก์ในด้านการเป็นผู้นำด้านการจัดการสะเต็มศึกษา
และ (๓) การให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย การสร้างพันธมิตร และการสื่อสาร โดยกระทรวงศึกษาธิการจะจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายและเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒.
ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. เช่น (๑) ควรสนับสนุนตามแผนการดำเนินงานของศูนย์สะเต็มศึกษาฯ
โดยจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายและเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามระยะเวลาของแผนงาน
โดยกำหนดผลสัมฤทธิ์ที่แสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ
การบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของศูนย์สะเต็มศึกษาฯ และ (๒) แผนการดำเนินงานของศูนย์สะเต็มศึกษาฯ
เป็นแผนที่จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินงานภายในเฉพาะศูนย์สะเต็มศึกษาฯ
เท่านั้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องนำแผนดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการพิจารณากลั่นกรองแผนระดับที่
๓ ตามแนวทางการนำเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
โดยสามารถดำเนินการเสนอแผนการดำเนินงานของศูนย์สะเต็มศึกษาฯ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนปกติ
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
132 | การกำหนดวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ | นร.04 | 22/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบการกำหนดวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษและการเลื่อนวันหยุดชดเชยในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม
๒๕๖๓ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้วันพฤหัสบดีที่ ๑๙
และวันศุกร์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาด้วยว่า การกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษดังกล่าวไม่ใช่วันหยุดราชการปกติประจำปี
จึงอาจไม่จำเป็นต้องถือเป็นวันหยุดตามเงื่อนไขสัญญาสัมปทานฯ
ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด ในการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษในวันหยุดราชการประจำปีและวันหยุดนักขัตฤกษ์ ๑.๒
ให้เลื่อนวันหยุดชดเชยวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ จาก วันจันทร์ที่
๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ เป็น วันศุกร์ที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ ๑.๓
ในกรณีที่หน่วยงานใดมีภารกิจในการให้บริการประชาชน หรือมีความจำเป็น
หรือราชการสำคัญในวันหยุดดังกล่าวที่ได้กำหนด หรือนัดหมายไว้ก่อนแล้วซึ่งหากยกเลิก
หรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน
ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร
โดยมิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและกระทบต่อการให้บริการประชาชน ๑.๔ ในส่วนของรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน
และภาคเอกชน ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงแรงงาน
พิจารณาความเหมาะสมของการกำหนดเป็นวันหยุดให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องในแต่ละกรณีต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.
เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติที่ชัดเจนกรณีหน่วยงานของรัฐมีกำหนดการถวายผ้ากฐิน
ณ วัดในต่างจังหวัดในวันเสาร์ หรือวันอาทิตย์ ซึ่งข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างของรัฐ
อาจต้องเดินทางไปเตรียมการล่วงหน้าในวันศุกร์ หรือเดินทางกลับในวันจันทร์
โดยให้ถือเป็นการปฏิบัติราชการตามปกติ และไม่ถือเป็นการลาสำหรับหน่วยงานนั้น ๆ ๓.
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักรับไปศึกษาความจำเป็นเหมาะสมร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม
กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการกำหนดวันหยุดราชการประจำภูมิภาคตามเทศกาลประเพณีท้องถิ่นที่สำคัญของแต่ละภูมิภาคซึ่งไม่มีนัยสำคัญต่อภูมิภาคอื่น
เช่น ประเพณียี่เป็งของภาคเหนือ ประเพณีไหลเรือไฟของภาคอีสาน
ประเพณีสารทเดือนสิบของภาคใต้ รวมทั้งการกำหนดวันหยุดราชการครึ่งวันเป็นกรณีพิเศษ
เช่น ครึ่งบ่ายของวันศุกร์ และครึ่งเช้าของวันจันทร์ ตามข้อเสนอของผู้ประกอบการ
และรายงานผลการศึกษาให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ทราบโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
133 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 18/2563 | นร.11 | 08/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๘/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๓
ที่ได้พิจารณากลั่นกรองข้อเสนอแผนงานหรือโครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ และพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการที่ใช้เงินกู้หรือโครงการที่ใช้เงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
รวมถึงพิจารณาปรับปรุงรายละเอียดของแผนงาน/โครงการที่ใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดฯ
ตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ๒. ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น หน่วยงานเจ้าของโครงการควรเร่งดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์ และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความชัดเจนของโครงการ/รายการ ระยะเวลาดำเนินการ
และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามเกณฑ์
อัตรา และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด ไม่มีความซ้ำซ้อนกับโครงการอื่น ๆ
ของภาครัฐ มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน โดยให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ทั้งนี้ ในส่วนของแนวปฏิบัติในกรณีหน่วยงานรับผิดชอบโครงการไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๓ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๓ (เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๕/๒๕๖๓) นั้น ให้คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้และหน่วยงานรับผิดชอบโครงการดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
134 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาโครงการนำสายสื่อสารลงใต้ดินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร | ปช. | 13/08/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต
กรณีศึกษาโครงการนำสายสื่อสารลงใต้ดินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
สำนักงานกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ บริษัท
ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)
เป็นผู้ร่วมดำเนินการในการนำสายสื่อสารลงใต้ดิน
ทั้งในส่วนของการกำหนดแผนยุทธศาสตร์การก่อสร้าง และการบริหารจัดการท่อร้อยสายสื่อสารให้เป็นแนวทางเดียวกันทั้งประเทศ
เพื่อให้บริการแก่ผู้ประกอบการโทรคมนาคมทุกรายอย่างเท่าเทียมกัน
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ เสถียรภาพของโครงข่ายสื่อสาร
ความมั่นคงของประเทศ และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง ทั้งนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของพื้นที่มีหน้าที่อำนวยความสะดวกในการดำเนินการ ๑.๒ ให้บริษัท
กรุงเทพธนาคม จำกัด
เป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อให้สามารถตรวจสอบการดำเนินงานได้ กรณีตามวรรคหนึ่ง ให้รวมถึงบริษัทหรือนิติบุคคลที่จัดตั้งโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถือหุ้นเกินร้อยละ
๕๐ ๑.๓
พิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาในเรื่องของขั้นตอนการขออนุญาตดำเนินการก่อสร้างท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดิน
ตามมาตรา ๓๙ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
โดยคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
กับหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ควรพิจารณาร่วมกันเพื่อให้อนุญาตการใช้สิทธิแห่งทาง
และอนุญาตให้ใช้พื้นที่ในการก่อสร้าง ทั้งนี้ เพื่อลดปัญหาและความเสียหายต่อประโยชน์ของรัฐ
อันเกิดจากการที่ผู้ประกอบการได้รับอนุญาตใช้สิทธิแห่งทาง
แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพื้นที่ก่อสร้าง
จึงไม่สามารถดำเนินการได้แม้ว่ามีการลงนามในสัญญาว่าจ้างก่อสร้างแล้วก็ตาม ๒.
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย
(กรุงเทพมหานคร) สำนักงานกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเป็นไปตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต่อไป
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร.
และสำนักงานกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเช่น (๑)
ในระดับจังหวัดและท้องถิ่น
เห็นควรให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อบูรณาการการดำเนินการนำสายสื่อสารลงใต้ดินโดยหน่วยงานเจ้าของพื้นที่เป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับบริษัท
ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคหรือการไฟฟ้านครหลวง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (๒)
เห็นควรนำแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินเพื่อรองรับการเป็นมหานครแห่งอาเซียนของการไฟฟ้านครหลวงไปประกอบการพิจารณาในการดำเนินการต่อไปด้วย
และ (๓) เห็นควรจัดทำแผนเพื่อให้เป็นแนวปฏิบัติเดียวกันทั่วประเทศ การจัดทำแผนใด ๆ
ต้องรับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
หน่วยงานที่มีแผนจะนำสายสื่อสารลงใต้ดินขอให้นำส่งแผนมาที่สำนักงานกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
เพื่อพิจารณาความพร้อมและบรรจุเป็นแผนนำสายสื่อสารลงใต้ดินของสำนักงานกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติต่อไป เป็นต้น
ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
135 | ร่างหนังสือความร่วมมือด้านการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สาธารณรัฐเกาหลี | ยธ | 29/07/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างหนังสือความร่วมมือด้านการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ สาธารณรัฐเกาหลี (Note of Cooperation in Countering Drug Crimes between the Office of the Narcotics Control Board of Thailand and the National Intelligence Service Korea) และมอบหมายให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนฝ่ายไทยในการลงนามหนังสือความร่วมมือฯ โดยร่างหนังสือความร่วมมือฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันและสกัดกั้นภัยคุกคามจากอาชญากรรมที่ก่อขึ้นโดยเครือข่ายการค้ายาเสพติดข้ามชาติและสมาชิก รวมถึงองค์กรอื่น ๆ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อปกป้องความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองของประเทศคู่ภาคี โดยมีขอบเขตความร่วมมือ เช่น การรวบรวมและการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมยาเสพติด การให้การสนับสนุนเพื่อต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด เป็นต้น ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการพิจารณากำหนดเป้าหมายของการดำเนินความร่วมมือด้านอาชญากรรมยาเสพติดกับต่างประเทศ โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากแนวปฏิบัติที่ดีจากความร่วมมือด้านอาชญากรรมยาเสพติดกับประเทศต่าง ๆ ที่ประสบความสำเร็จ เพื่อนำมาแก้ไขปัญหาและลดจำนวนการกระทำผิดในคดียาเสพติดของคนไทยในต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและศักดิ์ศรีของไทยในสายตาของประชาคมโลกในฐานะประเทศที่ปลอดจากปัญหายาเสพติดในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
136 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 | กต | 23/06/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ที่เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยที่ประชุมได้ร่วมรับรองถ้อยแถลงของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (Statement of the Special ASEAN-China Foreign Ministers’ Meeting on the Coronavirus Disease 2019) ซึ่งมีสาระสำคัญในการสนับสนุนความร่วมมือด้านต่าง ๆ ได้แก่ (๑) การแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวปฏิบัติ (๒) ความร่วมมือภายใต้กลไกอาเซียนและความร่วมมือกับภาคีนอกภูมิภาค (๓) การสื่อสารต่อสาธารณชนและการมีส่วนร่วมและการตั้งรับของชุมชน (๔) การหารือเชิงนโยบายและการแลกเปลี่ยนพัฒนาการล่าสุดของเชื้อไวรัสผ่านกลไกที่มีอยู่แล้ว (๕) การเสริมสร้างขีดความสามารถในการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อต่าง ๆ (๖) การบรรเทาผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของสินค้าทางการแพทย์ที่เป็นที่ต้องการเร่งด่วนและการพัฒนาการวิจัยยาและวัคซีน (๗) การสนับสนุนกิจการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดผ่านความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัล (๘) การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับการพัฒนาสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง และ (๙) ความมุ่งมั่นที่จะลดผลกระทบด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งหารือร่วมกันในประเด็นแนวทางความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 โดยสาธารณรัฐประชาชนจีนเสนอให้จัดประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ อย่างไรก็ตามที่ประชุมยังไม่มีฉันทามติในประเด็นดังกล่าว โดยสาธารณรัฐอินโดนีเซีย บรูไนดารุสซาลาม และประเทศมาเลเซีย ประสงค์ให้พิจารณาผลลัพธ์ของการประชุมระดับผู้นำที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนก่อน ประกอบกับสาธารณรัฐเกาหลีและประเทศญี่ปุ่นได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดเช่นกัน จึงมีความเป็นไปได้ที่อาจมีการยกระดับการประชุมเป็นกรอบอาเซียนบวกสาม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
137 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563 | ดศ | 16/06/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๓ โดยมีเรื่องสำคัญ เช่น ประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง แผนการบริหารสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม (พ.ศ. ๒๕๖๓) แนวทางการบริหารจัดการทรัพย์สินหลังสิ้นสุดสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ และ (ร่าง) แนวปฏิบัติการรับจดแจ้งวัตถุอวกาศ เป็นต้น ตามที่คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
138 | (ร่าง) แนวปฏิบัติการรับจดแจ้งวัตถุอวกาศ | อว | 02/06/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
139 | ข้อเสนอในการปรับปรุงการออกเอกสารหลักฐานของทางราชการผ่านระบบดิจิทัล และแนวปฏิบัติในการรับ-ส่งหนังสือราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างส่วนราชการที่เป็นนิติบุคคล | นร12 | 02/06/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอเกี่ยวกับการปรับปรุงเพื่อการพัฒนาระบบการออกเอกสารหลักฐานของทางราชการผ่านระบบดิจิทัล และแนวปฏิบัติในการรับ-ส่งหนังสือราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างส่วนราชการที่เป็นนิติบุคคล ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น (๑) สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ในฐานะผู้ให้บริการ MailGoThai ควรบริหารจัดการให้เนื้อที่ในการจัดเก็บข้อมูล ความเร็วของระบบ และการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลให้เกิดความเหมาะสมรองรับการปฏิบัติงานได้อย่างเพียงพอและมีประสิทธิภาพ และ (๒) หน่วยงานหลักควรพิจารณาถึงการใช้งบประมาณและทรัพยากรในการดำเนินการ โดยกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และทำความเข้าใจในการขับเคลื่อนให้เกิดเอกภาพ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย รวมทั้งควรพิจารณาถึงการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ และข้อมูลสำคัญของภาครัฐเป็นสำคัญ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๑ [เรื่อง มาตรการอำนวยความสะดวกและลดภาระแก่ประชาชน (การไม่เรียกสำเนาเอกสารที่ทางราชการออกให้จากประชาชน)] เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๒ (เรื่อง การออกเอกสารหลักฐานของทางราชการผ่านระบบดิจิทัล) และเมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การพัฒนาระบบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์กลางเพื่อการสื่อสารในภาครัฐ) ให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายและระยะเวลาที่กำหนดไว้อย่างเป็นรูปธรรม ๓. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ ๓.๑ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) กำหนดแนวทางในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ส่วนราชการต่าง ๆ ติดต่อราชการระหว่างกันด้วยการรับ-ส่งหนังสือราชการทางระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้เกิดการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๓.๒ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นหน่วยงานหลักพิจารณาร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางในการออกใบอนุมัติ ใบอนุญาตผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มการอำนวยความสะดวกในการให้บริการแก่ประชาชนในการติดต่อขอใบอนุมัติใบอนุญาตประเภทต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้นด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
140 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 พ.ศ. .... | ดศ | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้บางหน่วยงานและบางกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ ในช่วงระยะเวลาที่ยังไม่พร้อมที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายนี้ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเร่งรัดการดำเนินการเพื่อจัดทำกฎหมายลำดับรอง หลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องที่จำเป็นต้องมีเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ ๓. รับทราบรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการจัดทำระเบียบและประกาศออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๔. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายให้สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมทำหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อเร่งดำเนินการออกกฎหมายลำดับรอง และกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งเร่งสื่อสารทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และนำไปสู่การปฏิบัติตามกฎหมายได้ทันที ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๕. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|