ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 8 จากทั้งหมด 25 หน้า แสดงรายการที่ 141 - 160 จากข้อมูลทั้งหมด 486 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
141 | ร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมทางไกลเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศสมาชิกและคู่เจรจาสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) การรับมือ ความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วน | กต | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงเจ้าหน้าที่อาวุโสสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยความร่วมมือและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในการรับมือกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ [Committee of Senior Officials (CSO) Statement on IORA Solidarity and Cooperation in response to COVID-19] และให้อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะเจ้าหน้าที่อาวุโส IORA ของไทย หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองเอกสารดังกล่าว โดยร่างถ้อยแถลงฯ เป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุมทางไกลเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศสมาชิกและคู่เจรจาสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) การรับมือ ความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วน [Indian Ocean Rim Association (IORA) Virtual Meeting of the Committee of Senior Officials (CSO)-Dialogue Partner Engagement on COVID-19 : Responses, Cooperation, and Partnerships] ในวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศสมาชิกในการแสดงความมุ่งมั่นร่วมกันในการรับมือกับการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ โดยมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูล มาตรการและแนวปฏิบัติอันเป็นเลิศ การจัดตั้งช่องทางการแลกเปลี่ยนข้อมูล การเปิดตลาดการค้าการลงทุน ความร่วมมือพหุภาคี การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน การให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศสมาชิกที่เปราะบาง และประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
142 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ การค้า และการพัฒนาแห่งประเทศแคนาดากับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ | อว | 12/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ การค้า และการพัฒนาแห่งประเทศแคนาดากับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างกรอบความร่วมมือเกี่ยวกับการให้บริการและฝึกอบรมแบบในการพัฒนาหลักสูตรด้านความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์และรังสีที่ยั่งยืนและได้รับการรับรอง ซึ่งจะเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศไทยในการป้องกันตนเองจากภัยคุกคามด้านความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์ เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยของวัตถุนิวเคลียร์และรังสีในสถานประกอบการ เช่น เครื่องฉายรังสีต่าง ๆ ในโรงพยาบาลหรือมหาวิทยาลัยให้ได้มาตรฐาน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุโจรกรรมวัตถุดังกล่าว ซึ่งสามารถนำไปผลิตอาวุธ เช่น ระเบิดกัมมันตรังสี (Dirty Bomb) ได้ โดยฝ่ายแคนาดาจะจัดหาความเชี่ยวชาญทางวิชาการให้แก่สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ เพื่อช่วยเหลือประเทศไทยในการพัฒนาโครงการฝึกอบรมในรูปแบบไม่เป็นตัวเงินและแบบให้เปล่ามูลค่าสูงสุด ๑,๒๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์แคนาดา (๒๗,๗๐๘,๐๐๐ บาท) โดยมีกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ และสิ้นสุดภายในระยะเวลา ๒ ปี ๑.๒ เห็นชอบให้เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ (ต้องลงนามก่อนวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ เนื่องจากการดำเนินงานตามร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ และสิ้นสุดภายในระยะเวลา ๒ ปี) ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับร่างบันทึกความเข้าใจฯ ระบุว่าฝ่ายแคนาดาจะให้ความช่วยเหลือที่ไม่ใช่ทางการเงินกับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเป็นมูลค่า ๑,๒๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์แคนาดา จึงน่าจะเข้าข่ายมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๗ เรื่อง แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการขอรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ซี่งให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ เรื่อง การขอรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ อย่างเคร่งครัด รวมทั้งควรสร้างการรับรู้แก่ภาคประชาชนและสังคมเพื่อสร้างความตระหนักและเข้าใจบริบทการพัฒนาและสร้างขีดความสามารถของประเทศด้านความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์และรังสี โดยเฉพาะในมิติของความปลอดภัยและประโยชน์ที่จะได้รับอย่างยั่งยืน รวมถึงการดำเนินงานที่จะมีส่วนช่วยสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ และติดตามประเมินผลการดำเนินการเป็นระยะ เพื่อให้สามารถพิจารณาขยายความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศในสาขาอื่น ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
143 | ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปค เรื่อง การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 | พณ | 05/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปค เรื่องการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-๑๙ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ฯ โดยร่างแถลงการณ์ฯ เป็นเอกสารที่จะเวียนให้รัฐมนตรีการค้าของประเทศสมาชิกเอเปคร่วมรับรองทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์โดยไม่มีการลงนาม ในวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ มีสาระสำคัญเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือในระดับภูมิภาคและการมีบทบาทสำคัญของเอเปคในการร่วมรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-๑๙ อย่างทันท่วงที เช่น การสนับสนุนให้เขตเศรษฐกิจเอเปคดำเนินมาตรการอำนวยความสะดวกเพื่อเร่งการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ และการส่งเสริมให้เอเปคมีวาระด้านดิจิทัล รวมทั้งพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และการค้าบริการที่เกี่ยวเนื่อง เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ) อาจเสนอให้มีการขยายขอบเขตเนื้อหาให้ครอบคลุมแนวทางการเผยแพร่องค์ความรู้และถอดบทเรียนร่วมกันเพื่อส่งเสริมให้เกิดการแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีในการรับมือและป้องกันการระบาดของโรคในอนาคต และแนวทางการเร่งรัดการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยยกระดับการพัฒนาทั้งของไทยและเขตเศรษฐกิจต่าง ๆ ให้สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
144 | ความก้าวหน้าการดำเนินโครงการ Strategic Co - ordination and Monitoring ภายใต้ Country Programme ระหว่างไทยกับ OECD) | นร11 | 03/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินโครงการ Strategic Co-ordination and Monitoring ภายใต้โครงการ Country Programm (CP) ระหว่างไทยกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) ซึ่งเป็นการรายงานผลการดำเนินงานของ OECD Development Centre ในการจัดทำรายงานการทบทวนสถานการณ์ประเทศไทยเชื่อมโยงหลายมิติ (MDCR) ให้กับประเทศต่าง ๆ รับทราบ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวปฏิบัติของประเทศต่าง ๆ ในการกำหนดยุทธศาสตร์ประเทศ รวมทั้งการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้โครงการ CP ทั้ง ๑๖ โครงการ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และกรอบระยะเวลาที่กำหนด ๑.๒ เห็นชอบมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบหลักของทั้ง ๑๖ โครงการ ในการเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามกำหนดเวลา เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางเยือนประเทศไทยของเลขาธิการ OECD ในช่วงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๓ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการ Modernising Education and Skills Development ที่จะมีส่วนสำคัญในการยกระดับการอาชีวศึกษาของไทย ๑.๓ เห็นชอบในหลักการการจัดทำโครงการ CP ระยะที่ ๒ และการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับ (Steering Committee) สำหรับติดตามการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้โครงการ CP ๑.๔ เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการจัดกิจกรรม Thailand Country Programme Launching Event ในช่วงที่เลขาธิการ OECD เดินทางเยือนประเทศไทย โดยให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานงานกับหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการต่าง ๆ ภายใต้โครงการ CP เกี่ยวกับการนำเสนอผลงานในช่วงเวลาดังกล่าว ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น ควรมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของโครงการต่าง ๆ ภายใต้โครงการ CP เพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำโครงการ CP ระยะที่ ๒ รวมทั้งให้ความสำคัญกับสาขาหรือประเด็นปฏิรูปที่มีการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงาน และการพิจารณาจัดทำฐานข้อมูลความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการคัดเลือกโครงการในมิติความซ้ำซ้อน และการประเมินผลในอนาคต สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป ๓. ในส่วนของการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับ (Steering Committee) สำหรับติดตามการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้โครงการ CP นั้น ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า การจัดตั้งคณะกรรมการดังกล่าวน่าจะไม่มีความจำเป็น โดยอาจใช้วิธีการประสานและปรึกษาหารือร่วมกันได้ หรืออาจพิจารณาใช้ประโยชน์จากคณะกรรมการกำกับดูแลในการทบทวนการดำเนินโครงการ CP ระยะที่ ๑ เพื่อพิจารณาผลกระทบและประเมินความคุ้มค่าของโครงการ และใช้ประกอบการพิจารณาความเหมาะสมที่จะจัดทำโครงการ CP ระยะที่ ๒ ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๔. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปหารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศถึงความเหมาะสมในการดำเนินกิจกรรมเพื่อส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยภายใต้บริบทของความรับผิดชอบระหว่างไทยกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
145 | สรุปผลการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 25 (COP 25) การประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ 15 (CMP 15) การประชุมรัฐภาคีความตกลงปารีส สมัยที่ 2 (CMA 2) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงมาดริด ราชอาณาจักรสเปน | ทส | 03/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสรุปผลการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๒๕ [United Nations Framework Convention on Climate Change (UNFCCC), the 25th Session of the Conference of the Parties : COP 25] การประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๑๕ (CMP 15) การประชุมรัฐภาคีความตกลงปารีส สมัยที่ ๒ (CMA 2) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน-๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๒ ณ กรุงมาดริด ราชอาณาจักรสเปน โดยมีผลการประชุมและข้อตัดสินใจ เช่น แนวปฏิบัติและกฎการดำเนินงานสำหรับข้อ ๖ ของความตกลงปารีส (Article 6 of the Paris Agreement) กลไกระหว่างประเทศวอร์ซอสำหรับการสูญเสียและความเสียหายจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Warsaw International Mechanism for Loss and Damage associated with Climate Change Impacts) การประชุมเชิงปฏิบัติการภายใต้หัวข้อ Koronivia Joint Work on Agriculture และการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance) เป็นต้น ๑.๒ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานให้สอคดล้องกับผลการประชุมในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานและเข้าร่วมการประชุมในประเด็นที่เกี่ยวข้อง (๒) พิจารณานำผลการประชุมที่เป็นประโยชน์มาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับการดำเนินงานทั้งในระดับนโยบายและการปฏิบัติภายในประเทศ (๓) ประสานการดำเนินงานร่วมกับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทยให้บรรลุตามเป้าหมายที่ประเทศไทยกำหนด และ (๔) ประสานแจ้งความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปงสภาพภูมิอากาศให้กับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับทราบ และรายงานความคืบหน้าในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เช่น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดท่าทีของไทยต่อการเข้าร่วมกลไกภายใต้ข้อ ๖ ของความตกลงปารีส รวมถึงท่าทีเกี่ยวกับการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตมาสู่การดำเนินการภายใต้ระบอบของความตกลงปารีส ซึ่งรัฐภาคีมีการแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจน เพื่อประกอบการเจรจากำหนดท่าทีไทยในเรื่องดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะมีการเจรจาอย่างเข้มข้นเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ในปี ๒๕๖๓ และพิจารณาให้มีกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เหมาะสมและกระบวนการเสริมสร้างศักยภาพของหน่วยงานต่าง ๆ ภายใต้ประเด็นที่ได้รับมอบหมาย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
146 | ผลการประชุมสมัชชาสมัยสามัญ ครั้งที่ 31 ขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ | คค | 04/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมสมัชชาสมัยสามัญ ครั้งที่ ๓๑ ขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization : IMO) ระหว่างวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน-๔ ธันวาคม ๒๕๖๒ ณ สำนักงานใหญ่ของ IMO กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ) ทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมสมัชชาฯ ได้ให้การรับรองในเรื่องต่าง ๆ เช่น (๑) รับรองงบประมาณที่อิงตามผลลัพธ์ (Result-based Budget) ประจำปี ๒๕๖๓-๒๕๖๔ จำนวน ๗๒,๗๐๐,๐๐๐ ปอนด์ หรือประมาณ ๒,๙๐๐ ล้านบาท (๒) รับรองการแต่งตั้งนาย Kitack Lim จากสาธารณรัฐเกาหลีให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ IMO ต่อไปอีกหนึ่งวาระ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๓-๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๖ และ (๓) รับรองร่างข้อมติต่าง ๆ เช่น หลักจริยธรรมและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการรณรงค์หาเสียงสำหรับการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรี IMO ข้อมติเกี่ยวกับความปลอดภัยทางทะเลและการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเล เป็นต้น ๒. สมัชชาได้มีการเลือกตั้งคณะมนตรีซึ่งเป็นองค์กรระดับบริหารเพื่อทำหน้าที่แทนสมัชชา ซึ่งแบ่งตามกลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม A ประเทศที่มีผลประโยชน์มากที่สุดในการให้บริการด้านการเดินเรือระหว่างประเทศ กลุ่ม B ประเทศที่มีผลประโยชน์มากที่สุดด้านการค้าทางทะเลระหว่างประเทศ และกลุ่ม C ประเทศที่ไม่เข้าเกณฑ์ตามกลุ่ม A และ B แต่มีผลประโยชน์เป็นพิเศษด้านการขนส่งทางทะเลหรือการเดินเรือ และเป็นตัวแทนของภูมิภาค โดยไทยได้สมัครเข้ารับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรีของ IMO กลุ่ม C ซึ่งเป็นองค์กรระดับบริหารเพื่อทำหน้าที่แทนสมัชชา และได้รับเลือกตั้งเป็นสมัยที่ ๘ ติดต่อกัน ๓. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมได้เข้าพบเลขาธิการ IMO เพื่อหารือร่วมกันในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) ความคืบหน้าในการสนับสนุนงาน IMO ของไทยตามข้อเสนอแนะของเลขาธิการ IMO ในช่วงการประชุมสมัชชาสมัยสามัญ ครั้งที่ ๓๐ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ได้แก่ การส่งผู้แทนไทยไปประจำการ ณ กรุงลอนดอน เพื่อทำหน้าที่ผู้ช่วยทูตฝ่ายกิจการทางทะเล (Maritime Attache) ตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๖๒ และการสนับสนุนกิจกรรมความร่วมมือทางวิชาการของ IMO (๒) การให้ความสำคัญกับประเด็นขยะทางทะเล (Marine Debris) โดยไทยได้แจ้งให้เลขาธิการ IMO ทราบถึงนโยบายของรัฐบาลไทยในการลดขยะพลาสติกในทะเล และ (๓) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมได้ยื่นภาคยานุวัติสารเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการกู้เรือ ค.ศ. ๑๙๘๙ (International Convention on Salvage, 1989) ให้แก่เลขาธิการ IMO และย้ำว่าไทยจะสานต่อความมุ่งมั่นในการสนับสนุนงานของ IMO เพื่อยกระดับการขนส่งทางทะเลให้มีความปลอดภัย ยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
147 | แนวปฏิบัติเชิงนโยบายเพื่อสกัดกั้นการลักลอบขนส่งอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ระบบเครื่องส่ง และวัสดุอุปกรณ์ (ทางทะเล ทางอากาศ และทางบก) | นร08 | 04/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวปฏิบัติเชิงนโยบายเพื่อสกัดกั้นการลักลอบขนส่งอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ระบบเครื่องส่ง และวัสดุอุปกรณ์ (ทางทะเล ทางอากาศ และทางบก) โดยพิจารณาถึงความสอดคล้องกับกฎหมายและแนวปฏิบัติภายในประเทศและความตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติต่อไป โดยแบ่งเป็น ๓ ขั้นตอนหลัก ได้แก่ (๑) การดำเนินการก่อนการสกัดกั้น (๒) การดำเนินการสกัดกั้น และ (๓) การดำเนินการหลังการสกัดกั้น ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักข่าวกรองแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มเติมกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายภายในประเทศของการท่าเรือแห่งประเทศไทย จำนวน ๒ ระเบียบ คือ ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทยว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ พ.ศ. ๒๕๔๕ และฉบับแก้ไขปรับปรุงต่าง ๆ และระเบียบท่าเรือแห่งประเทศไทยว่าด้วยวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกสินค้าอันตรายของท่าเรือกรุงเทพ พ.ศ. ๒๕๕๐ เพื่อให้มีหลักกฎหมายที่ใช้ในการดำเนินการที่ครบถ้วนยิ่งขึ้น รวมทั้งปรับถ้อยคำที่ระบุในเอกสารแนวปฏิบัติเชิงนโยบายเพื่อสกัดกั้นการลักลอบขนส่งอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ระบบเครื่องส่ง และวัสดุอุปกรณ์ ทั้งทางทะเล ทางอากาศ และทางบก ในขั้นตอนการประสานงาน การประสานข้อมูล/ข่าวกรอง จาก “ประสานสำนักข่าวกรองแห่งชาติเพื่อตรวจสอบข้อมูล/ข่าวกรองของเรือต้องสงสัย/ข่าวกรองของอากาศยานต้องสงสัย/ข่าวกรองของบุคคลและยานพาหนะต้องสงสัย” เป็น “ประสานสำนักข่าวกรองแห่งชาติตรวจสอบข้อมูล/ข่าวกรองที่เกี่ยวข้องเมื่อได้รับการแจ้งเตือน” ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
148 | โครงการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (Sustainable Manufacturing Center: SMC) ในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก : เมืองนวัตกรรม ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะ (EECi - ARIPOLIS for BCG) | อว | 21/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า โครงการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (Sustainable Manufacturing Center : SMC) ในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก : เมืองนวัตกรรม ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะ (EECi-ARIPOLIS for BCG) เป็นการดำเนินงานเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งตามเป้าหมายการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) ของประเทศ ในการพัฒนาเมืองนวัตกรรมระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (ARIPOLIS) อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่รับผิดชอบโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติที่เป็นองค์การมหาชน และขออนุมัติกรอบวงเงินงประมาณรวม ๕,๔๐๘.๗๗ ล้านบาท ดังนั้น จึงเข้าข่ายการดำเนินงานที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๐ เรื่อง แนวปฏิบัติในการเสนอเรื่องและขออนุมัติดำเนินโครงการลงทุนขององค์การมหาชนที่มีวงเงินลงทุนสูงเกินกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งองค์การมหาชนเจ้าของโครงการต้องดำเนินการขอความเห็นจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้เสร็จสิ้นก่อน แล้วจึงเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ไปดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
149 | แผนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) | กษ | 03/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) โดยมีวิสัยทัศน์ “ประเทศผู้ผลิตยางคุณภาพดี เกษตรกรมีรายได้มั่นคง” ซึ่งในการดำเนินการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ยางพาราฯ ไปสู่การปฏิบัติได้มีการกำหนดกรอบแนวทางในการดำเนินการเป็น ๓ ระยะ คือ (๑) ระยะ ๑-๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) (๒) ระยะ ๖-๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๙) และ (๓) ระยะ ๑๑-๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๗๐-๒๕๗๙) ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรชาวสวนยางและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การเพิ่มประสิทธิภาพและการยกระดับคุณภาพและมาตรฐาน ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การพัฒนาตลาดและช่องทางการจัดจำหน่าย และยุทธศาสตร์ที่ ๕ การพัฒนาปัจจัยสนับสนุน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับกรอบระยะเวลาของแผนยุทธศาสตร์ยางพาราฯ ให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาของยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) ด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เช่น ควรให้มีการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานตามแผนยุทธศาสตร์ยางพาราฯ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้การดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ยางพาราฯ เกิดผลสัมฤทธิ์และเป็นไปตามเป้าหมาย ควรให้การยางแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพหลักประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำรูปรายการมาตรฐานและประมาณราคา รายการปรับปรุงผิวสนามกีฬา รวมทั้งแนวปฏิบัติการจัดจ้างในโครงการส่งเสริมการใช้ยางพาราของหน่วยงานภาครัฐ กรณีมีผู้ว่าจ้างเพียงรายเดียว เพื่อเป็นแบบมาตรฐานกลาง และการยางแห่งประเทศไทยควรศึกษาแนวทางการเพิ่มปริมาณการใช้ยางธรรมชาติในประเทศเพิ่มเติม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการสร้างอุปสงค์ (Demand) ของยางพาราและผลิตภัณฑ์จากยางพารา และส่งเสริมการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐให้เพิ่มมากขึ้น โดยให้กำหนดเป้าหมายการดำเนินการให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม รวมทั้งให้พิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการส่งเสริมการปลูกพืชชนิดอื่นหรือการเลี้ยงสัตว์ผสมผสานกับการปลูกยางพาราเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ในพื้นที่อย่างสูงสุด ๔. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) และสำนักงบประมาณร่วมกันพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหา อุปสรรค และข้อจำกัดในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐสามารถจัดหายางพาราหรือผลิตภัณฑ์จากยางพาราไปใช้ในการดำเนินแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบได้อย่างรวดเร็วและเพิ่มมากขึ้น ๕. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการรวบรวมและจัดทำฐานข้อมูลพื้นที่การเกษตร รวมถึงพื้นที่เพาะปลูกยางพาราที่มีการบุกรุกพื้นที่ป่าและพื้นที่หวงห้ามประเภทอื่น ๆ ให้ครบถ้วน ชัดเจน และถูกต้องตรงกัน และให้นำข้อมูลดังกล่าวพร้อมทั้งแนวทางและมาตรการในการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ในความรับผิดชอบเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ การกำหนดแนวทางและมาตรการดังกล่าวให้คำนึงถึงผลกระทบและความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
150 | ร่างคำมั่นของไทยที่จะประกาศในการประชุมเวทีผู้ลี้ภัยโลก ครั้งที่ 1 | กต | 03/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างคำมั่นของไทยที่จะประกาศในการประชุมเวทีผู้ลี้ภัยโลก (Global Refugee Forum : GRF) ครั้งที่ ๑ ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๒ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส และให้คณะผู้แทนไทยร่วมประกาศคำมั่นฯ ในการประชุม GRF ครั้งที่ ๑ โดยร่างคำมั่นฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นทางการเมืองในการสนับสนุนการนำข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยผู้ลี้ภัย (Global Compact on Refugees : GCR) ไปปฏิบัติ โดยไทยจะนำเสนอแนวปฏิบัติที่ดีในด้านต่าง ๆ เช่น การให้การศึกษาแก่เด็กผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา การส่งเสริมความร่วมมือในการส่งกลับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา การมีระบบคัดกรองผู้ลี้ภัย การใช้มาตรการทางเลือกแทนการคุมขังเด็ก และการส่งเสริมภาพลักษณ์ของไทยในการพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้กระทรวงการต่างประเทศระมัดระวังการจัดทำร่างคำมั่นฯ ให้ชัดเจน โดยกรณีการให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยเป็นเพียงการให้ที่พักพิงชั่วคราวหรือการให้อยู่อาศัยในพื้นที่ควบคุมเท่านั้น ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างคำมั่นฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
151 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสหกรณ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 จำนวน 7 ฉบับ | กษ | 26/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสหกรณ์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๗ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างกฎกระทรวงกำหนดขนาดของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ. .... (๒) ร่างกฎกระทรวงกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามอื่นของกรรมการดำเนินการสหกรณ์และผู้จัดการของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ. .... (๓) ร่างกฎกระทรวงกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดำเนินการของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ. .... (๔) ร่างกฎกระทรวงดำรงเงินกองทุนของชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ. .... (๕) ร่างกฎกระทรวงธรรมาภิบาลของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ. .... (๖) ร่างกฎกระทรวงการจัดทำบัญชี การจัดทำและการเปิดเผยงบการเงินการสอบบัญชีและการแต่งตั้งผู้สอบบัญชี พ.ศ. .... และ (๗) ร่างกฎกระทรวงการจัดเก็บและรายงานข้อมูลของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการดำเนินงานการกำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน เพื่อให้เกิดความมั่นคง มีประสิทธิภาพ และมีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น รวมทั้งป้องกันการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามอื่นของกรรมการดำเนินการสหกรณ์และผู้จัดการของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ. .... เป็นเรื่องเกี่ยวกับกระบวนการจัดฝึกอบรมซึ่งมิใช่การกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามอื่นของกรรมการดำเนินการสหกรณ์และผู้จัดการ จึงเป็นกรณีที่เกินขอบอำนาจของกฎหมายแม่บทตามมาตรา ๘๙/๒ วรรคหนี่ง (๒) และมาตรา ๑๐๕ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒ และความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรกำหนดบทบัญญัติให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กำหนดให้นายทะเบียนสหกรณ์มีอำนาจประกาศกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ ของเกณฑ์การกำกับดูแลความมั่นคงทางการเงินของสหกรณ์ได้ตามความเหมาะสม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรจัดทำแนวปฏิบัติ ประชาสัมพันธ์ให้สหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน และชุมนุมสหกรณ์สหกรณ์ออมทรัพย์และชุมนุมสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนทุกแห่งทราบและถือปฏิบัติ และกำหนดให้สหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนทุกขนาดจัดเก็บและรายงานข้อมูลต่อนายทะเบียนสหกรณ์โดยเร็ว ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
152 | ร่างความตกลงมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี ฉบับปรับปรุง (พ.ศ. ....) | กค | 26/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation Agreement : CMIM) ฉบับปรับปรุง (พ.ศ. ....) รวมทั้งหนังสือแนบท้ายรวม ๔ ฉบับ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนการดำเนินการของกลไก CMIM ตามนัยบทบัญญัติของความตกลงฉบับปัจจุบันที่กำหนดให้ต้องมีการทบทวนทุก ๆ ๕ ปี โดยในครั้งนี้เป็นการปรับปรุงแนวปฏิบัติของ CMIM กรณีที่เป็นความช่วยเหลือทางการเงินร่วมกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) ให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของ IMF เช่น การปรับปรุงระยะเวลาการเบิกจ่ายและการชำระคืนเงินช่วยเหลือ จากเดิมที่เบิกจ่ายและรับเงินคืนเต็มจำนวนเมื่อถึงกำหนดไถ่ถอน (Maturity) เพียงครั้งเดียวภายใน ๑ ปี เป็นให้เบิกจ่ายและรับเงินคืนเป็นงวด ๆ และขยายจำนวนครั้งในการต่ออายุความช่วยเหลือ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าประเทศสมาชิกที่ประสบปัญหาดุลการชำระเงินและการขาดสภาพคล่องของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในระยะสั้นและต้องการรับความช่วยเหลือจากกลไกดังกล่าวจะได้รับความช่วยเหลืออย่างเหมาะสมและทันการณ์ นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงถ้อยคำที่มีความคลุมเครือในทางปฏิบัติให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ๑.๒ อนุมัติการลงนามในความตกลง CMIM ฉบับปรับปรุง และมอบหมายให้ ๑.๒.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทน และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือผู้แทน ลงนามในความตกลง CMIM ฉบับปรับปรุง ๑.๒.๒ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือผู้แทนลงนามในหนังสือยืนยันการสมทบเงิน (Schedule 3-Commitment Letter) ในวงเงิน ๙.๑๐๔ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ๑.๒.๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนลงนามในหนังสือรับทราบการขอรับความช่วยเหลือ (Schedule 5-Letter of Acknowledgement) และหนังสือยืนยันการปฏิบัติตามเงื่อนไขของความตกลง (Schedule 6-Letter of Undertaking) เมื่อประเทศไทยขอรับความช่วยเหลือภายใต้ความตกลง CMIM ฉบับปรับปรุง ๑.๒.๔ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาหรือผู้แทนลงนามในหนังสือให้ความเห็นทางกฎหมาย (Schedule 7-Legal Opinion) เมื่อประเทศไทยขอรับความช่วยเหลือภายใต้ความตกลง CMIM ฉบับปรับปรุง ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลง CMIM รวมทั้งหนังสือแนบท้าย ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
153 | ร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ กลุ่มที่ 3 บทบัญญัติเกี่ยวกับการส่งเสริมการควบโอนกิจการและความรับผิดของกรรมการ | กค | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. ๒๕๓๕ ในส่วนที่เกี่ยวกับการควบโอนกิจการ ความรับผิดและบทกำหนดโทษ สำหรับกรรมการ และผู้มีอำนาจในการจัดการ ในกรณีแสวงหาประโยชน์อันมิชอบ รวมทั้งผู้ก่อหรือให้การสนับสนุนให้กระทำความผิดดังกล่าว เพื่อให้การโอนกิจการและการควบรวมกิจการดำเนินการได้อย่างคล่องตัว รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เสริมสร้างความเข้มแข็งในการประกอบธุรกิจประกันภัย และพัฒนาศักยภาพในการแข่งขัน อันจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น รวมทั้งป้องปรามการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของผู้ที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้นำไปรวมกับร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑) โดยให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สำนักงานศาลยุติธรรม และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ซึ่งมีความเห็นบางประการเกี่ยวกับการส่งหนังสือบอกกล่าวการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ การคัดค้านหนังสือบอกกล่าวการแปลงหนี้โดยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ นิยามของคำว่า “พนักงาน” การกำหนดความรับผิดของกรรมการและผู้มีอำนาจในการจัดการบริษัท บทบัญญัติเกี่ยวกับการสนับสนุนการกระทำความผิด และการกำหนดความผิดที่ไม่อาจเปรียบเทียบได้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า สำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันชีวิตและธุรกิจประกันวินาศภัย ควรหารืออย่างใกล้ชิดกับสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า เพื่อกำหนดแนวปฏิบัติที่เหมาะสมในการกำกับดูแลและป้องกันการกระทำอันเป็นการผูกขาด ลด หรือจำกัดการแข่งขันในการประกอบธุรกิจอย่างไม่เป็นธรรม และควรมีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยทราบและปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวอย่างเคร่งครัด รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ภาคธุรกิจและประชาชนซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัยรับทราบถึงรูปแบบการแจ้งสิทธิแก่ผู้เอาประกันภัยที่จะเปลี่ยนแปลงไปในกรณีที่มีการควบรวมหรือโอนกิจการ เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
154 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารสุดท้ายของการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (NAM Summit) ครั้งที่ 18 และร่างปฏิญญากรุงบากู | กต | 22/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสาร จำนวน ๒ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างเอกสารสุดท้ายของการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (The XVIII Summit of Heads of State or Government of the Non-Aligned Movement : NAM Summit) ครั้งที่ ๑๘ มีสาระสำคัญเป็นการรายงานผลการประชุมซึ่งสะท้อนท่าทีของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดต่อปัญหาและความเคลื่อนไหวในประเด็นระหว่างประเทศต่าง ๆ อย่างครอบคลุม เช่น ด้านระหว่างประเทศ ด้านการเมืองภูมิภาคและอนุภูมิภาค และด้านการพัฒนาสังคมและสิทธิมนุษยชน และ (๒) ร่างปฏิญญากรุงบากู (Baku Declaration) มีสาระสำคัญเป็นการย้ำหลักการต่าง ๆ ที่กลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดให้ความสำคัญ เช่น การสร้างเสริมความเข้มแข็งและการฟื้นฟูกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด การส่งเสริมระบอบพหุภาคี การรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ การพัฒนาที่ยั่งยืน และการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ ให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยร่วมรับรองเอกสารดังกล่าวในการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ครั้งที่ ๑๘ (18th NAM Summit) ณ กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน ๑.๒ หากถ้อยคำเรื่องทะเลจีนใต้ในเอกสารสุดท้ายไม่สอดคล้องกับท่าทีร่วมของอาเซียนในเรื่องนี้ ขออนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศร่วมลงนามในหนังสือแจ้งข้อสงวน (reservation) หรือหนังสืออื่น ๆ ที่เป็นการแจ้งท่าทีของอาเซียนต่อถ้อยคำในเอกสารสุดท้ายเช่นเดียวกับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอื่น ๆ ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนต่อเอกสารสุดท้ายของการประชุม NAM Summit ครั้งที่ ๑๗ ณ เกาะมาร์การิตา สาธารณรัฐโบลีวาร์แห่งเวเนซุเอลา เมื่อปี ๒๕๕๙ ๑.๓ หากปรากฏว่า เนื้อหาหรือถ้อยคำของเอกสารสุดท้ายและปฏิญญากรุงบากูที่ได้รับรองในที่ประชุม NAM Summit ครั้งที่ ๑๘ ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์และท่าทีของไทยในสาระสำคัญ แสดงท่าทีเชิงลบ หรือมีถ้อยคำรุนแรงประมาฌประเทศอื่นใด ขออนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือข้อสงวน (reservation) หรือแสดงท่าทีที่อธิบายอย่างระมัดระวังถึงเหตุผลของไทยซึ่งทำให้ไม่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือถ้อยคำดังกล่าวได้ ซึ่งการแจ้งข้อสงวนเป็นแนวทางที่ไทยปฏิบัติมาโดยตลอด ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
155 | ขอความเห็นชอบคณะรัฐมนตรีต่อขอบเขตอำนาจหน้าที่ (TOR) องค์กรเฉพาะสาขาภายใต้รัฐมนตรีแรงงานอาเซียน | รง | 22/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบขอบเขตอำนาจหน้าที่ (TOR) จำนวน ๔ ฉบับ ซึ่งเป็นเอกสารกำหนดกรอบการดำเนินงานของกลไกภายใต้รัฐมนตรีแรงงานอาเซียน (ASEAN Labour Ministers Meeting : ALMM) เช่น พันธกิจ องค์ประกอบ โครงสร้าง กลไกการดำเนินงาน รวมทั้งบทบาทและหน้าที่ของประธาน เป็นต้น และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานร่วมรับรอง (โดยไม่มีการลงนาม) ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ TOR เจ้าหน้าที่อาวุโสแรงงานอาเซียน (ASEAN Senior Labour Officials Meeting : SLOM) ๑.๒ TOR คณะทำงานเจ้าหน้าที่อาวุโสแรงงานอาเซียนว่าด้วยแนวปฏิบัติที่ก้าวหน้าด้านแรงงานเพื่อเสริมสร้างการแข่งขันในอาเซียน (The Senior Labour Officials Meeting Working Group on Progressive Labour Practices to Enhance the Competitiveness of ASEAN : SLOM-WG) ๑.๓ TOR คณะกรรมการอาเซียนว่าด้วยการปฏิบัติให้เป็นไปตามปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของแรงงานต่างด้าว (ASEAN Committee on the implementation of the ASEAN Declaration on the Protection and Promotion of the Rights of Migrant Workers : ACMW) ๑.๔ TOR เครือข่ายด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยอาเซียน (ASEAN Occupational Safety and Health Network : ASEAN-OSHNET) ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน TOR ทั้ง ๔ ฉบับดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เห็นควรให้กระทรวงแรงงานใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
156 | เอกสารที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ 19 | ดศ | 22/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองระหว่างการเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (ASEAN Telecommunications and Information Technology Ministers Meeting : TELMIN) ครั้งที่ ๑๙ จำนวน ๕ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างปฏิญญาเวียงจันทน์ (๒) ร่างข้อเสนอแนวทางสำหรับกลไกการไหลเวียนข้อมูลข้ามพรมแดนของอาเซียน (๓) ร่างแนวปฏิบัติของอาเซียนเพื่อการฟื้นฟูและซ่อมบำรุงเคเบิลใต้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ (๔) ร่างขอบเขตการปฏิบัติงานการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล และ (๕) ร่างขอบเขตการปฏิบัติงานการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านดิจิทัล โดยร่างเอกสารดังกล่าวจะต้องผ่านการพิจารณาในการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (ASEAN Telecommunications and Information Technology Senior Officials Meeting : TELSOM) ครั้งที่ ๒๐ ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๒ ก่อนได้รับการรับรองในการประชุม TELMIN ครั้งที่ ๑๙ ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๒ ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นควรร่วมกันดำเนินการภายในประเทศเพื่อรองรับกลไกการไหลเวียนข้อมูลข้ามพรมแดนของอาเซียน โดยเฉพาะการปรับปรุงระเบียบ มาตรการและมาตรฐานการดำเนินงาน รวมถึงการกำหนดกฎหมายอนุบัญญัติเพื่อรองรับพระราชบัญญัติการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและแนวทางของอาเซียนอย่างเหมาะสม และควรปรับปรุงมาตรการที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของอาเซียนเพื่อการฟื้นฟูและซ่อมบำรุงเคเบิลใต้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงการรักษาอำนาจอธิปไตย สิทธิอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ รวมทั้งควรร่วมกันดำเนินการในประเด็นการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และอาชญากรรมทางไซเบอร์ซึ่งเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันระหว่างการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านดิจิทัล (ASEAN Digital Senior Officials Meeting : ADGSOM) และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ (ASEAN Senior Officials Meeting on Transnational Crime : SOMTC) และการกำหนดท่าทีของประเทศไทยเพื่อรองรับการทำงานแบบข้ามเสาข้ามหน่วยงาน (Cross-Pillars Cross-Sectoral) ซึ่งเป็นรูปแบบการทำงานภายใต้กรอบอาเซียนที่มีความสำคัญในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
157 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีแรงงานและการจ้างงาน G20 (LEMM) ณ เมืองมัตสึยามา ประเทศญี่ปุ่น | รง | 15/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีแรงงานและการจ้างงาน G20 (Labour and Employment Ministers’ Meeting : LEMM) ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระหว่างวันที่ ๑-๒ กันยายน ๒๕๖๒ ณ เทืองมัตสึยามา ประเทศญี่ปุ่น ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเยี่ยมชมนิทรรศการ เรื่อง อนาคตของงาน ซึ่งเป็นกิจกรรมก่อนการประชุมรัฐมนตรีแรงงานและการจ้างงาน G20 (LEMM) เพื่อประชาสัมพันธ์นวัตกรรมของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งพัฒนาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรสู่สังคมผู้สูงอายุ เช่น หุ่นยนต์พยาบาล กายอุปกรณ์สำหรับผู้ป่วยติดเตียง และแอปพลิเคชันสั่งการด้วยเสียง เป็นต้น ๒. การประชุมรัฐมนตรีแรงงานและการจ้างงาน G20 (LEMM) มีประเด็นสำคัญ ได้แก่ (๑) การรับฟังข้อเสนอจากเยาวชนญี่ปุ่นที่ขอให้รัฐบาลดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงานที่มีคุณค่า และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (๒) การหารือร่วมกับหุ้นส่วนทางสังคม [กลุ่ม L20 (กลุ่มลูกจ้าง) B20 (กลุ่มนายจ้าง) และ W20 (กลุ่มสตรี)] เพื่อรองรับการจ้างงานรูปแบบใหม่ เช่น การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เป็นต้น (๓) รับฟังการอภิปรายเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ เช่น การจ้างงานผู้สูงอายุและการมีระยะเวลาการทำงานที่ยาวนานขึ้น การจ้างงานเยาวชน โอกาสการจ้างงานรูปแบบใหม่ในสังคมผู้สูงอายุ ความเสมอภาคทางเพศ และการจ้างงานรูปแบบใหม่ เป็นต้น (๔) การกล่าวถ้อยแถลงในนามประเทศไทยและประธานอาเซียนต่อที่ประชุมว่า ประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมผู้สูงอายุ และได้ดำเนินการต่าง ๆ เพื่อรองรับการจ้างงานผู้สูงอายุ รวมถึงจะสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับแรงงานสูงอายุในเวทีอาเซียน (๕) การร่วมรับรองปฏิญญาแรงงานและการจ้างงาน G20 ค.ศ. ๒๐๑๙ โดยกระทรวงแรงงานแจ้งว่า ได้มีการปรับปรุงถ้อยคำให้มีความสมบูรณ์ โดยไม่กระทบกับสาระหรือเค้าโครงของปฏิญญาฯ ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๒) เห็นชอบไว้แล้ว เช่น เพิ่มบทบาทและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ในฐานะผู้มีประสบการณ์และมีแนวปฏิบัติที่ดีเพื่อรองรับการจ้างงานรูปแบบใหม่ ๓. การหารือทวิภาคีกับประเทศตุรกี ได้มีการแลกเปลี่ยนแนวทางการส่งเสริมการดำเนินงานในประเด็นด้านแรงงาน เรื่อง การประกันสังคม และการเตรียมการเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยประเทศไทยได้แสดงจุดยืนในการส่งสริมสิทธิแรงงาน เช่น การพัฒนาฝีมือแรงงานทุกช่วงวัย และการจัดหางาน เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
158 | ผลการประชุมด้านกลไกการปฏิรูปกฎหมายของสาธารณรัฐเกาหลี | นร09 | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมด้านกลไกการปฏิรูปกฎหมายของสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๔-๖ กันยายน ๒๕๖๒ ในรูปแบบการอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เชิงลึกระหว่างรองนายกรัฐมนตรี กรรมการกฤษฎีกา กรรมการพัฒนากฎหมาย ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวม ๑๐ คน กับผู้บริหาร นักวิจัย และเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกลไกการปฏิรูปกฎหมายของสาธารณรัฐเกาหลี แห่งสถาบันรัฐประศาสนศาสตร์แห่งสาธารณรัฐเกาหลี (Korea Institute of Public Administration : KIPA) สถาบันวิจัยกฎหมายแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (Korea Legislation Research Institute : KLRI) สำนักงานปฏิรูปกฎระเบียบ (Regulatory Reform Office : RRO) กระทรวงกฎหมายของรัฐบาล (Ministry of Government Legislation : MOLEG) และสำนักงานบริการวิจัยประจำสภานิติบัญญัติ (National Assembly Research Service : NARS) โดยมีหัวข้อการอภิปรายเกี่ยวข้องกับภาพรวมของระบบการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการทางกฎหมาย (Regulatory Impact Analysis : RIA) การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย การวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายและการตรวจสอบความถูกต้องของการวิเคราะห์ต้นทุนและประโยชน์ การปฏิรูปมาตรการทางกฎหมายเพื่อรองรับนวัตกรรมและนโยบายการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ ๔ ของสาธารณรัฐเกาหลี ตลอดจนการใช้เครื่องมือและแนวปฏิบัติในการรับฟังความเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้อง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานำผลการประชุมดังกล่าวมาประยุกต์ให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาปรับปรุงโครงสร้างองค์กร และคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อรองรับการปฏิรูปกฎหมายของประเทศด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
159 | การดำเนินโครงการปฏิรูปกฎหมายและบูรณาการแนวปฏิบัติที่ดีในการตรากฎหมายภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) | นร09 | 09/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการายงานผลการดำเนินโครงการปฏิรูปกฎหมายและบูรณาการแนวปฏิบัติที่ดีในการตรากฎหมายภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการ Implementing Regulatory Reform and Mainstreaming Good Regulatory Practice ได้จัดการสัมมนาภายใต้โครงการความร่วมมือกับ OECD ในหัวข้อเกี่ยวกับการพัฒนาข้อปฏิบัติที่ดีในการตรากฎหมาย ในระหว่างเดือนเมษายน-กรกฎาคม ๒๕๖๒ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับกรณีศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย ระหว่างวันที่ ๒-๔ เมษายน ๒๕๖๒ โดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญของ OECD ได้นำเสนอข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในการออกกฎระเบียบที่ดีของ OECD และผู้เชี่ยวชาญจากออสเตรเลียและเยอรมนีได้นำเสนอประสบการณ์ของแต่ละประเทศในการดำเนินการเพื่อนำไปสู่ระบบการออกกฎระเบียบที่ดี ซึ่งไทยสามารถนำมาประกอบการดำเนินการในเรื่องนี้ต่อไป ๒. การประชุม 5th Meeting of Southeast Asia Regional Policy Network on Good Regulatory Practices (ASEAN-GRPN) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑-๒ กรกฎาคม ๒๕๖๒ โดยเป็นการประชุมเครือข่ายหน่วยงานในอาเซียนเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการปรับตัวของภาครัฐในการตรากฎหมายเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และการนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือของหน่วยงานของรัฐในการกำกับดูแลด้านต่าง ๆ ๓. การประชุมวิชาการระหว่างประเทศ เรื่อง หลักเกณฑ์ด้านกฎระเบียบที่ดีของ OECD ในยุคเทคโนโลยีแห่งความเปลี่ยนแปลง : จากทฤษฎีสู่ปฏิบัติ (Better Regulation Principles in the Age of Disruptive Technology : From Theory to Practice) ในวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๒ โดยได้มีการถ่ายทอดประสบการณ์และแนวทางการปฏิรูปกระบวนการตรากฎหมายของต่างประเทศในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี เพื่อเป็นองค์ความรู้ให้แก่หน่วยงานของรัฐในประเทศนำไปปรับใช้และพัฒนาการมีระบบการออกกฎระเบียบที่ดีต่อไป ๔. การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับกลไกการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย ในวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๒ โดยเป็นการสัมมนาเชิงปฏิบัติการที่ดีต่อเนื่องจากข้อ ๑ เน้นการฝึกปฏิบัติในเรื่องเกี่ยวกับการวิเคราะห์ปัญหาและทางเลือกในการดำเนินการก่อนที่จะเสนอให้มีการตรากฎหมาย โดยผู้เชี่ยวชาญจาก OECD
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
160 | การออกเอกสารหลักฐานของทางราชการผ่านระบบดิจิทัล | นร12 | 02/04/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการออกเอกสารหลักฐานของทางราชการผ่านระบบดิจิทัล โดยอาจพิจารณาให้มีการนำร่องดำเนินการในภารกิจของหน่วยงานที่มีผลกระทบต่อประชาชน ผู้ประกอบการ และนักลงทุนเป็นสำคัญก่อน ตามความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้งนี้ หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความจำเป็นต้องออก/ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับการดำเนินการดังกล่าว ก็ให้ดำเนินการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามความเห็นของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) และร่างพระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. .... ตามความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมด้วย ๒. ในกรณีที่หน่วยงานใดไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบเพื่อรองรับการดำเนินการผ่านระบบดิจิทัลได้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ หรือไม่สามารถพัฒนางานบริการให้เป็นระบบการให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) หรือยกเลิกการใช้กระดาษได้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ตลอดจนในกรณีที่มีปัญหาในทางปฏิบัติ ให้หน่วยงานดังกล่าวเร่งประสานงานกับสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อพิจารณาขยายระยะเวลาการดำเนินการเป็นรายกรณี โดยจัดลำดับความสำคัญ เร่งด่วน และความพร้อมของหน่วยงาน รวมถึงระยะเวลาที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็น (๑) ความพร้อมของหน่วยงานในการออกเอกสารผ่านระบบดิจิทัล เช่น ความพร้อมของระบบอินเทอร์เน็ต เป็นต้น (๒) การบูรณาการร่วมกันเพื่อการพัฒนาระบบและการเชื่อมโยงข้อมูล และ (๓) ความปลอดภัยทางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ไปพิจารณาให้ได้ข้อยุติและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ร่วมกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแนวปฏิบัติที่ชัดเจนและซักซ้อมความเข้าใจกับบุคลากรของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนผู้รับบริการ เพื่อให้การพัฒนางานบริการภาครัฐให้เป็นระบบการให้บริการอิเล็กทรอนิกส์และการออกเอกสารของทางราชการผ่านระบบดิจิทัลมีมาตรฐานในการดำเนินงานในแนวทางเดียวกันและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป |
.....