ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 10 จากทั้งหมด 25 หน้า แสดงรายการที่ 181 - 200 จากข้อมูลทั้งหมด 486 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
181 | รายงานผลการเข้าร่วมประชุมระดับสูงทางการเมืองว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านพลังงาน (High-Level Political Forum on Sustainable Development: Energy) | พน | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานรายงานผลการเข้าร่วมประชุมระดับสูงทางการเมืองว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านพลังงาน (High-Level Political Forum on Sustainable Development : Energy) เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยการประชุมดังกล่าวจัดขึ้นภายใต้หัวข้อหลักคือ “Transformation towards Sustainable and Resilient Societies” เป็นการประชุมประจำปีที่จัดโดยสหประชาชาติ (UN) มีเป้าหมายเพื่อเป็นเวทีให้ประเทศต่าง ๆ ได้ร่วมทบทวนความคืบหน้าการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน (2030 Agenda for Sustainable Development : 2030 Agenda) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) รวมทั้งเข้าร่วมการประชุมด้านพลังงานในเวทีนานาชาติรวม ๔ การประชุม ประกอบด้วย
๑. การประชุมเตรียมการระดับโลกว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ ๗ (พลังงาน) (The Global SDG7 Conference) จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๑-๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร เป็นเวทีการประชุมระดับโลกเพื่อหารือนโยบายและแนวปฏิบัติด้านพลังงานที่ยั่งยืน ๒. การประชุม Asian and Pacific Energy Forum (APEF) ครั้งที่ ๒ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๓-๕ เมษายน ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร เป็นเวทีการประชุมเพื่อทบทวนและอภิปรายถึงความคืบหน้าในการดำเนินการด้านความมั่นคงทางพลังงานตามนโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ ๗ (พลังงานสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้) ๓. การประชุม International Energy Forum Ministerial Meeting ครั้งที่ ๑๖ (IEF16) จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๑-๑๒ เมษายน ๒๕๖๑ ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย เป็นเวทีการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นความมั่นคงทางด้านพลังงาน การพัฒนาอย่างยั่งยืน การรักษาเสถียรภาพน้ำมัน การลงทุนด้านพลังงานในยุคการเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านพลังงาน ๔. การประชุม Berlin Energy Transition Dialogue ครั้งที่ ๔ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ เมษายน ๒๕๖๑ ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เป็นเวทีการหารือในระดับผู้กำหนดนโยบาย นักวิชาการ และภาคธุรกิจ เกี่ยวกับนโยบายพลังงงานและแนวทางการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานรูปแบบใหม่ ที่มุ่งเน้นการอนุรักษ์พลังงานและเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
182 | การจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2561 | นร01 | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๑ เพื่อเชิญชวนทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศร่วมแสดงความจงรักภักดี และรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณด้วยการจัดกิจกรรมบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยยึดแนวปฏิบัติเดิมที่ได้ดำเนินการมาแล้วในปี ๒๕๖๐ เช่น พิธีทำบุญตักบาตร พิธีทางศาสนาของศาสนาต่าง ๆ หรือกิจกรรมอื่น ๆ ตามความเหมาะสม ในห้วงก่อนหรือหลังวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
183 | การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 เรื่อง การยกระดับการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศสู่ Thailand 4.0 | นร12 | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์กลางในการบริหารองค์การมหาชนด้านการวิจัย เพื่อให้องค์การมหาชนที่จัดตั้งโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะนำไปใช้เป็นแนวปฏิบัติต่อไป รวมทั้งให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติเป็นองค์การมหาชนด้านการวิจัย และสามารถดำเนินการได้ตามหลักเกณฑ์กลางที่กำหนดไว้ โดยหลักเกณฑ์กลางดังกล่าวมีสาระสำคัญครอบคลุม ๒ ประเด็นหลัก ได้แก่ (๑) ลักษณะขององค์การมหาชนที่จะถือว่าเป็นองค์การมหาชนด้านการวิจัย เช่น กฎหมายจัดตั้งองค์การมหาชนกำหนดให้มีภารกิจ “ดำเนินการวิจัย” เป็นหลัก มีงบประมาณเพื่อดำเนินการวิจัยเป็นหลัก มีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรวิจัยเป็นหลัก และจำนวนบุคลากรวิจัยมากกว่าบุคลากรสายงานอื่น และ (๒) แนวทางการบริหารองค์การมหาชนด้านการวิจัย ได้แก่ การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชนที่ยังคงหลักการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ แนวทางการจ่ายเงินเพิ่มพิเศษแก่ผู้อำนวยการองค์การมหาชน ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรขององค์การมหาชนที่กำหนดว่าหากเกินกว่าร้อยละ ๓๐ ของแผนการใช้จ่ายเงิน ก็ให้เสนอคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณายกเว้นให้เป็นรายกรณี การประเมินผลการปฏิบัติงาน และแนวทางการดำเนินการเพื่อเข้าร่วมเป็นองค์การมหาชนด้านการวิจัย ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรกำหนดตัวชี้วัดด้านการวิจัยที่สามารถวัดผลการปฏิบัติงานด้านการวิจัยที่มีประสิทธิภาพและแสดงถึงความคุ้มค่า รวมทั้งควรเพิ่มตัวชี้วัดระดับของการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ให้ชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ (ที่กำหนดให้สำนักงาน ก.พ.ร. จัดให้มีกลไกในการทบทวนความเหมาะสมของสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรขององค์การมหาชนแต่ละแห่งอย่างต่อเนื่อง โดยให้คำนึงถึงภารกิจ รายได้ และเงินทุนสะสมของแต่ละองค์การมหาชน รวมทั้งยึดหลักการที่มิให้มีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเกินกว่าจำเป็น และไม่เป็นภาระงบประมาณของประเทศ/และนำเสนอคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเพื่อพิจารณาเป็นประจำทุกปีด้วย เพื่อให้การบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์การมหาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้พิจารณาให้ครอบคลุมถึงความเหมาะสมของสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรขององค์การมหาชนด้านการวิจัยด้วย ๓. ให้คณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๙ เกี่ยวกับการพิจารณาปรับปรุงระบบค่าตอบแทนของบุคลากรภาครัฐในภาพรวมทั้งระบบ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาระบบบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐให้สามารถดึงดูด รักษา จูงใจผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานได้อย่างเป็นมืออาชีพสอดคล้องตามแผนปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๕) ต่อไป ๔. ให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และองค์การมหาชนด้านการวิจัย สถาบันการศึกษา และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมประสานงานและบูรณาการการดำเนินโครงการ/แผนงานด้านการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมในเรื่องต่าง ๆ ร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนและยกระดับการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เกิดความซ้ำซ้อน และตอบสนองต่อเป้าหมายในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศสู่ Thailand 4.0 ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
184 | ขอความเห็นชอบและลงนามพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ฉบับที่ 8 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน | กค | 18/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ฉบับที่ ๘ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน (ASEAN Framework Agreement on Services : AFAS) และตารางข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ซึ่งเป็นภาคผนวกแนบท้ายพิธีสารฯ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงตารางข้อผูกพันในสาขาหลักทรัพย์ สาขาย่อยบริการจัดการลงทุน (Asset Management) ในการอนุญาตให้มีสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติในบริษัทจัดการลงทุน (Asset Management Company) ได้ถึงร้อยละ ๑๐๐ ของทุนที่ชำระแล้ว โดยยกเลิกเงื่อนไขที่กำหนดให้ต้องมีสถาบันการเงินที่จัดตั้งภายใต้กฎหมายไทยถือหุ้นอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของทุนที่ชำระแล้ว ในระยะ ๕ ปีแรก หลังจากที่ได้รับใบอนุญาต เป็นการยกระดับข้อผูกพันให้เทียบเท่ากฎหมายและแนวปฏิบัติที่ใช้บังคับในปัจจุบัน ทั้งนี้ จะมีการลงนามในร่างพิธีสารฯ ในช่วงการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี ๒๕๖๑ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามในร่างพิธีสารฯ และตารางข้อผูกพันฯ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญ และไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) และเมื่อลงนามแล้วให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา แล้วเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบพิธีสารฯ และตารางข้อผูกพันฯ ก่อนแสดงเจตนาเพื่อให้มีผลผูกพัน ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามในร่างพิธีสารฯ ๔. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการเพื่อให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและได้รับการเยียวยาที่จำเป็นอันเกิดจากผลกระทบของการทำหนังสือสัญญาดังกล่าวตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก่อนเสนอคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ๕. ให้กระทรวงการคลังประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดในร่างพิธีสารฯ และตารางข้อผูกพันฯ ๖. ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนว่าไทยพร้อมที่จะให้พิธีสารฯ มีผลผูกพันต่อไป เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบต่อพิธีสารฯ และตารางข้อผูกพัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
185 | การรับรองร่างแนวปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายโลกที่ปราศจากการก่อการร้าย (Code of Conduct:Towards Achieving a World Free of Terrorism) | กต | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการรับรองร่างแนวปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายโลกที่ปราศจากการก่อการร้าย (Code of Conduct : Towards Achieving a World Free of Terrorism) และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยร่างแนวปฏิบัติฯ มีเนื้อหาครอบคลุมประเด็นด้านการต่อต้านการก่อการร้ายในทุกมิติ เช่น (๑) การปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการก่อการร้าย (๒) การยับยั้งมิให้ผู้ก่อการร้ายดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายภายในดินแดนของตน (๓) การเสริมสร้างความร่วมมือที่ครอบคลุมและรอบด้านเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย และ (๔) การสนับสนุนการทำงานด้านการต่อต้านการก่อการร้ายของสหประชาชาติ เป็นต้น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอเพิ่มเติมว่า คาซัคสถานในฐานะเป็นผู้ริเริ่มจัดทำร่างแนวปฏิบัติฯ ในห้วงการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ ๗๓ ในระหว่างวันที่ ๒๗-๒๙ กันยายน ๒๕๖๑ จะเปิดให้รัฐสมาชิกสหประชาชาติร่วมลงนามรับรองร่างแนวปฏิบัติฯ โดยร่างแนวปฏิบัติฯ ไม่ถือเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ แต่เป็นเพียงการแสดงเจตนารมณ์ร่วมของรัฐผู้ลงนามในการร่วมมือกันป้องกันและปราบปรามการก่อการร้ายให้หมดไป จึงขอความเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาลงนามรับรองร่างแนวปฏิบัติฯ ได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแนวปฏิบัติฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
186 | โครงการอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 | กค | 28/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี ๒๕๖๐ เพื่อส่งเสริมให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ โดยเฉพาะข้อมูลที่ส่งเสริมการพัฒนาตนเองและข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพ รวมทั้งเป็นการเพิ่มช่องทางการสื่อสารระหว่างภาครัฐกับประชาชน โดยจะให้บริการอินเทอร์เน็ตสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่แก่ผู้มีรายได้น้อย ผ่านกลไกการดำเนินโครงการที่กระทรวงการคลังได้หารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) และสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงาน กสทช. สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันเพื่อจัดทำแผนการดำเนินโครงการดังกล่าวในรายละเอียด เช่น แนวปฏิบัติในการดำเนินโครงการฯ ระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ รูปแบบชุดข้อมูลแนวทางการประชาสัมพันธ์โครงการฯ เป็นต้น แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ในการจัดทำแผนการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำประเด็นต่อไปนี้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๑.๑ ให้นำฐานข้อมูลผู้ได้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐที่ได้จัดทำไว้เป็นรายบุคคลมาวิเคราะห์เพื่อให้เห็นถึงความต้องการของผู้เข้าร่วมโครงการฯ แต่ละบุคคลหรือแต่ละกลุ่มเป้าหมาย เพื่อใช้ในการออกแบบข้อมูลที่ตอบสนองความต้องการของผู้ได้รับสิทธิตามโครงการฯ แบบรายบุคคลหรือรายกลุ่มเป้าหมาย และพัฒนาช่องทางการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าร่วมโครงการฯ ๑.๒ ให้ประสานงานกับสำนักงาน กสทช. เพื่อขอความร่วมมือให้หารือร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยคำนึงถึงประเด็นที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (๑) ควรสนับสนุนให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เข้าร่วมโครงการฯ จัดสรรการให้บริการที่เหมาะสมกับผู้มีรายได้น้อยและภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ และ (๒) ให้ระมัดระวังความซ้ำซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นของการให้บริการอินเทอร์เน็ตภายใต้โครงการอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี ๒๕๖๐ ที่กระทรวงการคลังเสนอมาในครั้งนี้กับโครงการเน็ตประชารัฐที่ดำเนินการอยู่แล้ว ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน กสทช. เช่น ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมนำฐานข้อมูลผู้ได้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐมาวิเคราะห์เพื่อใช้ออกแบบข้อมูลที่ตอบสนองความต้องการของผู้ได้รับสิทธิแบบรายบุคคลหรือรายกลุ่มเป้าหมาย และควรประชาสัมพันธ์การใช้อินเทอร์เน็ตอย่างถูกต้องและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการฯ และให้สำนักงาน กสทช. หารือร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของภาครัฐและประชาชน และความซ้ำซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นกับโครงการเน็ตประชารัฐที่ดำเนินการอยู่แล้ว รวมทั้งให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการดำเนินโครงการฯ เพื่อนายกรัฐมนตรีทราบในลักษณะข้อมูลออนไลน์ผ่านศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี และให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดกลไกในการประเมินผลโครงการฯ ในภาพรวม เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดกลไกในการประเมินผลโครงการสวัสดิการแห่งรัฐในภาพรวม เพื่อให้สามารถวัดผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการฯ ได้อย่างชัดเจน และนำมาประกอบการพิจารณาปรับปรุงรูปแบบการจัดสวัสดิการของภาครัฐในระยะต่อ ๆ ไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
187 | การร่วมรับรองเอกสารในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister : AEM) ครั้งที่ 50 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 21/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองระหว่างการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister : AEM) ครั้งที่ ๕๐ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๖ สิงหาคม-๑ กันยายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ จำนวน ๗ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน (๒) ร่างกรอบการบูรณาการด้านดิจิทัลในอาเซียน (๓) ร่างหลักการสำคัญเรื่องแนวปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบของอาเซียน (๔) ร่างบัญชีกฎเฉพาะรายสินค้าในพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ฉบับปี ๒๐๑๗ และบัญชีรายการสินค้าสิ่งทอและผลิตภัณฑ์สิ่งทอของพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ฉบับปี ๒๐๑๗ (๕) ร่างแนวปฏิบัติสำหรับการดำเนินการตามข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีของสินค้า (๖) ร่างแผนการดำเนินงานด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจของกรอบอาเซียนบวกสาม ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๓ และ (๗) ร่างเป้าหมายความสำเร็จของการเจรจาในปีนี้ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารทั้ง ๗ ฉบับดังกล่าว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และข้อสังเกตของกระทรวงการคลังที่เห็นควรผลักดันให้อาเซียนให้ความสำคัญในการเร่งรัดให้ประเทศสมาชิกดำเนินการในเรื่องที่ยังคงค้างให้แล้วเสร็จโดยเร็ว อาทิ การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (ASEAN-Wide Self-Certification) และการเชื่อมโยงระบบ ASEAN Single Window สำหรับความร่วมมือด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียนควรคำนึงถึงการปรับประสานมาตรฐานหรือแนวทางการดำเนินงานที่ยังแตกต่างกันมากของประเทศสมาชิก เช่น การทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ การคุ้มครองผู้บริโภค เป็นต้น เพื่อให้อาเซียนสามารถเดินหน้าการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากความร่วมมือภายใต้แผนประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๒๐๒๕ ได้อย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. กรณีร่างความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียนที่จะต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนการลงนาม ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับประเด็นมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไปดำเนินการต่อไปอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
188 | รายงานสรุปผลการหารือเชิงนโยบายในการส่งเสริมความร่วมมือและการผลักดันแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดตามแนวชายแดนไทย - เมียนมา | ยธ | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานสรุปผลการหารือเชิงนโยบายในการส่งเสริมความร่วมมือและการผลักดันแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ระหว่างรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงเนปยีดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งมีผลการหารือที่สำคัญ ได้แก่ การดำเนินการต่อพื้นที่แหล่งผลิตยาเสพติดและสกัดกั้นสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์มิให้เข้าสู่แหล่งผลิตบริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ การสนับสนุนแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา การยกระดับความร่วมมือด้านความมั่นคงในทุกด้าน โดยเฉพาะตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา และการริเริ่มให้มีการจัดประชุมในระดับรัฐมนตรีระหว่างกันด้านความมั่นคงอย่างเป็นประจำ และการประชุมว่าด้วยเรื่องการควบคุมเคมีภัณฑ์ระหว่าง ๔ ประเทศ (ไทย เมียนมา ลาว และจีน) ๑.๒ เห็นชอบแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดเป้าหมายและแนวปฏิบัติที่ชัดเจนและมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ในการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยเฉพาะในพื้นที่เป้าหมายตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับข้อเสนอแนะของสำนักข่าวกรองแห่งชาติที่เห็นควรระบุให้ชัดเจนถึงความจำเป็นที่ไทยและเมียนมาต้องร่วมมือกันตรวจสอบต้นตอหรือสาเหตุที่แท้จริงซึ่งทำให้การแพร่ระบาดของยาเสพติดยังคงเพิ่มสูงขึ้น เพื่อให้การวางแนวทางแก้ไขปัญหายาเสพติดตรงประเด็นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย และความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการร่วมฯ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายสำหรับแผนงานบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๕๙ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด บูรณาการการดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดทั้งระบบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น เพื่อลดภาระงบประมาณในการแก้ไขปัญหานี้ในภาพรวม รวมทั้งเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและไว้เนื้อเชื่อใจแก่ประชาชนในความมุ่งมั่นของภาครัฐที่จะแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างถูกต้องและจริงจัง เช่น การเฝ้าระวัง ตรวจสอบ และตรวจจับผู้ลักลอบขน/ค้ายาเสพติด ควรมีเครื่องมือและสุนัขดมกลิ่นที่เพียงพอ โดยอาจพิจารณานำสุนัขพันธุ์ไทยที่มีศักยภาพมาฝึกในการตรวจและดมกลิ่นยาเสพติดเพิ่มมากขึ้น การจับกุม คุมขังผู้กระทำความผิด ควรจำแนกผู้กระทำความผิดออกจากผู้กระทำผิดในฐานความผิดประเภทอื่น ๆ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการถ่ายทอดหรือเชื่อมโยงกระบวนการค้ายาเสพติดระหว่างผู้กระทำความผิดด้วยกัน การบำบัดรักษาและการเตรียมความพร้อมให้กับผู้กระทำความผิดเมื่อผู้กระทำความผิดใกล้พ้นโทษ ควรมีการฝึกอาชีพที่เหมาะสมเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับให้ผู้กระทำผิดสามารถกลับคืนสู่สังคมได้โดยไม่หวนกลับไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดอีก โดยควรมีการติดตามและประเมินในเรื่องนี้ด้วย เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
189 | ผลการดำเนินการตามมาตรา 5/8 แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 เรื่อง หลักเกณฑ์การกู้ยืมเงิน การถือหุ้นหรือการเข้าเป็นหุ้นส่วน การเข้าร่วมทุนในกิจการของนิติบุคคลอื่น และการจำหน่ายทรัพย์สินจากบัญชีเป็นสูญขององค์การมหาชน | นร12 | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ยกเลิกหลักเกณฑ์การกู้ยืมเงิน การถือหุ้นหรือการเข้าเป็นหุ้นส่วน การเข้าร่วมทุนในกิจการของนิติบุคคลอื่น การจำหน่ายทรัพย์สินจากบัญชีเป็นสูญขององค์การมหาชน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ ๑.๒ ผลการดำเนินการตามมาตรา ๕/๘ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ เรื่อง หลักเกณฑ์การกู้ยืมเงิน การถือหุ้นหรือการเข้าเป็นหุ้นส่วน การเข้าร่วมทุนในกิจการของนิติบุคคลอื่น การจำหน่ายทรัพย์สินจากบัญชีเป็นสูญขององค์การมหาชนของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ซึ่งได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ โดยปรับถ้อยคำให้สอดคล้องและตรงตามเจตนารมณ์กับพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ปรับวงเงินการกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้นให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน กำหนดกรอบวงเงินกรณีการเข้าร่วมทุนและผู้มีอำนาจอนุมัติวงเงินที่องค์การมหาชนเข้าร่วมทุนให้เป็นอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งและภายในวงเงินตามที่กำหนด โดยมิต้องเสนอขออนุมัติคณะรัฐมนตรีทุกกรณี เพื่อให้มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น ตลอดจนกำหนดให้องค์การมหาชนที่จะเข้าร่วมทุนต้องจัดทำคำชี้แจงประกอบการเสนอคณะกรรมการ รัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรีพิจารณา และกำหนดให้การจำหน่ายพัสดุเป็นสูญต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยกำหนดเป็นแนวปฏิบัติเรื่องการจำหน่ายหนี้สูญขององค์การมหาชน รวมทั้งปรับปรุงรูปแบบของหลักเกณฑ์ให้เป็นไปตามแบบของการร่างกฎหมาย และให้องค์การมหาชนที่จัดตั้งโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม นำไปใช้เป็นแนวปฏิบัติต่อไป ๑.๓ เห็นชอบให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเป็นผู้วินิจฉัยในกรณีที่องค์การมหาชนไม่สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การกู้ยืมเงินเพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินงาน เห็นควรให้กระทำเฉพาะเท่าที่จำเป็น และการกู้ยืมเงินควรต้องนำไปใช้จ่ายเพื่อการลงทุนเท่านั้น การกำหนดนิยามคำว่า “การเข้าร่วมทุน” การแก้ไขถ้อยคำในข้อ ๙ การคงหลักการในส่วนการถือหุ้นหรือการเข้าเป็นหุ้นส่วนการเข้าร่วมทุนไว้ในหลักเกณฑ์ฉบับใหม่นี้ด้วย โดยต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และเป็นไปตามภารกิจขององค์การมหาชนนั้นด้วย การพิจารณาความสอดคล้องกับกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ เมื่อสำนักงาน ก.พ.ร. ปรับปรุงหลักเกณฑ์ตามความเห็นและข้อสังเกตดังกล่าวแล้ว ให้นำเสนอคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณาให้ความเห็นชอบ แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
190 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2561 เรื่อง การปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี | กค | 27/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี (๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑) เรื่อง การปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีในส่วนของข้อ ๑ ที่กำหนดให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องส่งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้กระทรวงการคลังและ/หรือสำนักงบประมาณก่อน เพื่อพิจารณาเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี แล้วให้ส่งเรื่องดังกล่าวพร้อมความเห็นของกระทรวงการคลังและ/หรือสำนักงบประมาณไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการ/หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ๒.๑ ให้ส่วนราชการ/หน่วยงานของรัฐในฐานะผู้รับผิดชอบการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการ เป็นผู้พิจารณาว่ากิจกรรม มาตรการ หรือโครงการที่จะเสนอต่อคณะรัฐมนตรีนั้น ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคตตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง การดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการที่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต พ.ศ. ๒๕๖๑ หรือไม่ และในการเสนอเรื่องดังกล่าวข้างต้นต่อคณะรัฐมนตรี ให้ส่วนราชการ/หน่วยงานของรัฐจัดเตรียมข้อมูลตามแบบฟอร์มที่กระทรวงการคลังได้จัดทำขึ้น เพื่อประกอบการขออนุมัติการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการนั้นต่อคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด ๒.๒ ให้ส่วนราชการ/หน่วยงานของรัฐที่ได้รับมอบหมายตามนัยมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ จัดทำประมาณการต้นทุนทางการเงินและการบริหารจัดการที่รัฐจะต้องรับภาระทั้งหมดสำหรับกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการนั้น ๆ เพื่อประกอบการเสนอขออนุมัติการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี พร้อมทั้งให้แจ้งคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐและกระทรวงการคลังทราบด้วย และให้กระทรวงการคลังแจ้งอัตรายอดคงค้างของภาระที่รัฐต้องรับชดเชยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าวเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลังในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐเร่งดำเนินการจัดทำแนวปฏิบัติและหลักเกณฑ์ในการติดตามประเมินผลตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พร้อมทั้งให้ชี้แจงทำความเข้าใจแก่ส่วนราชการ/หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
191 | ขอความเห็นชอบให้มหาวิทยาลัยอมตะ (Amata University) จัดการศึกษาหลักสูตรของมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวันในประเทศไทย | ศธ | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้มหาวิทยาลัยอมตะ (Amata University) จัดการศึกษาในหลักสูตร Master of Science (M.S.) in Engineering (Intelligent Manufacturing System) ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน (National Taiwan University : NTU) ในประเทศไทย ตามความในข้อ ๔ แห่งคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๙/๒๕๖๐ เรื่อง การส่งเสริมการจัดการศึกษาโดยสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ ลงวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยคณะกรรมการพัฒนาการจัดการศึกษาโดยสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ (คพอต.) ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับแนวปฏิบัติของหน่วยราชการและรัฐวิสากิจในการติดต่อกับฝ่ายไต้หวัน เช่น การดำเนินการใด ๆ จะต้องกระทำด้วยวัตถุประสงค์เพื่อเศรษฐกิจ วิชาการ สังคม และวัฒนธรรม และไม่ให้มีการจัดทำเอกสารใด ๆ กับฝ่ายไต้หวัน ในลักษณะเป็นความตกลงระหว่างประเทศ (รัฐบาลไทยและรัฐบาลไต้หวัน) ก่อนดำเนินการในขั้นตอนอื่น ๆ ต่อไป และให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น หากผู้สำเร็จการศึกษาจาก NTU ประสงค์จะเข้ารับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือนจำเป็นต้องดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการรับรองคุณวุฒิและการกำหนดเงินเดือน ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๐๔.๓/ว ๑๔ ลงวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ และการส่งเสริมสนับสนุนหรือมีมาตรการจูงใจให้ผู้สำเร็จการศึกษาได้ทำงานในประเทศไทย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดย คพอต. ประสานงานกับบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การจัดทำข้อตกลงเพิ่มเติมที่บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) จะจัดทำกับ NTU มีความสอดคล้องกับข้อตกลงการจัดการศึกษา โดยสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศที่จัดทำระหว่าง คพอต. และบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
192 | ขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเพื่อการพัฒนาปาเลสไตน์ ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 3 | กต | 19/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเพื่อการพัฒนาปาเลสไตน์ ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๓ (Draft Joint Statement of the Third Ministerial Meeting of the Conference on Cooperation among East Asian Countries for Palestinian Development) ที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเพื่อการพัฒนาปาเลสไตน์ (Conference on Cooperation among East Asian Countries for Palestinian Development : CEAPAD) ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๓ ในวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญครอบคลุมประเด็นสำคัญต่าง ๆ ได้แก่ การส่งเสริมข้อริเริ่มของ CEAPAD ให้เป็นเวทีที่มีประสิทธิภาพในการประสานงาน การแบ่งปันประสบการณ์และองค์ความรู้ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกให้กับปาเลสไตน์ การจับคู่ระหว่างสาขาการพัฒนาที่ได้รับความสำคัญและตรงตามความต้องการของปาเลสไตน์กับทรัพยากรของประเทศเอเชียตะวันออกที่สามารถให้ความช่วยเหลือแก่ปาเลสไตน์ การจัดทำแผนการดำเนินงาน ๓ ปี ซึ่งสมาชิก CEAPAD จะให้ความช่วยเหลือแก่ปาเลสไตน์ตามสาขาที่มีทรัพยากรและความเชี่ยวชาญ การยกระดับสำนักเลขานุการของปาเลสไตน์ที่รับผิดชอบการประสานงานระหว่างสมาชิก CEAPAD และการสนับสนุนสำนักงานบรรเทาทุกข์และจัดหางานของสหประชาชาติสำหรับผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ในตะวันออกใกล้ (United Nations Relief and Works Agency for Palestine Refugees in the Near East : UNRWA) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ รวมถึงการมีแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการประชุม CEAPAD ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มรายละเอียดในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ได้แก่ (๑) กำหนดประเด็นความสำคัญ และ/หรือสาขาที่จำเป็นเร่งด่วนในการให้ความช่วยเหลือ (Prioritized Sectors) เพื่อประโยชน์ในการจัดทำแผน ๓ ปี และ (๒) กำหนดรูปแบบการบริหารจัดการ การจัดสรรทุน และลักษณะของการดำเนินการของกองทุน (Trust Fund) ภายใต้กลไก CEAFAM (CEAPAD Facilitation Mechanism) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศในฐานะเจ้าภาพในการจัดประชุมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเพื่อการพัฒนาปาเลสไตน์ ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๓ ดำเนินบทบาทและแสดงท่าทีของประเทศไทยด้วยความรอบคอบ รัดกุม ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๑ (เรื่อง การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเพื่อการพัฒนาปาเลสไตน์ ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๓) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
193 | ผลการดำเนินการตามมาตรา 5/8 แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 เรื่อง แนวทางการควบคุมดูแลกิจการของคณะกรรมการองค์การมหาชน | นร12 | 28/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ยกเลิกแนวทางการบริหารของคณะกรรมการองค์การมหาชน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒ และเห็นชอบผลการดำเนินการตามมาตรา ๕/๘ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ เรื่อง แนวทางการควบคุมดูแลกิจการของคณะกรรมการองค์การมหาชน ซึ่งได้มีการกำหนดแนวปฏิบัติในการควบคุมดูแลกิจการของคณะกรรมการองค์การมหาชนตามมาตรา ๒๔ และมาตรา ๒๔/๑ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งการส่งเสริมให้คณะกรรมการองค์การมหาชนมีเครื่องมือกำกับการปฏิบัติงาน และแนวทางการควบคุมกิจการขององค์การมหาชน และให้องค์การมหาชนที่จัดตั้งโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม นำไปใช้เป็นแนวปฏิบัติต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ. เช่น การแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและคณะอนุกรรมการ ควรเพิ่มจำนวนที่ปรึกษาของคณะกรรมการเป็นจำนวนไม่เกิน ๔ คน การปรับการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเป็นไม่ให้เกินกว่าร้อยละสามสิบของงบประมาณค่าใช้จ่ายตามแผนการใช้จ่ายเงินที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการองค์การมหาชนในปีงบประมาณนั้น การปรับถ้อยคำเกี่ยวกับการกำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการองค์การมหาชนให้สอดคล้องกับมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ และการกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการไว้ด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เร่งชี้แจงกับองค์การมหาชนที่ต้องนำแนวทางการบริหารของคณะกรรมการองค์การมหาชนไปใช้เป็นแนวปฏิบัติให้ชัดเจนและมีความเข้าใจตรงกัน เพื่อให้บรรลุผลตามเป้าประสงค์ของสำนักงาน ก.พ.ร. ต่อไป ๓. ในส่วนของการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรไม่ให้เกินกว่าร้อยละสามสิบของงบประมาณค่าใช้จ่ายตามแผนการใช้จ่ายเงินที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการองค์การมหาชนในปีงบประมาณ ยกเว้นองค์การมหาชนที่มีมติคณะรัฐมนตรีกำหนดไว้เป็นการเฉพาะนั้น ให้สำนักงาน ก.พ.ร. จัดให้มีกลไกในการทบทวนความเหมาะสมของสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรขององค์การมหาชนแต่ละแห่งอย่างต่อเนื่อง โดยให้คำนึงถึงภารกิจ รายได้ และเงินทุนสะสมของแต่ละองค์การมหาชน รวมทั้งยึดหลักการที่มิให้มีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเกินกว่าความจำเป็น และไม่เป็นภาระงบประมาณของประเทศ และนำเสนอคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเพื่อพิจารณาเป็นประจำทุกปีด้วย เพื่อให้การบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์การมหาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๔. สำหรับประเด็นการใช้ระบบสัญญาจ้างกับเจ้าหน้าที่ขององค์การมหาชนทุกตำแหน่ง ให้องค์การมหาชนระบุรายละเอียดการจ้างงานในสัญญาจ้างให้ชัดเจน โดยเฉพาะการจ่ายค่าตอบแทนพิเศษตามผลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่ขึ้นอยู่กับผลประกอบการขององค์การมหาชน แต่ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนพิเศษทุกปี เพื่อป้องกันการตีความที่แตกต่างกันระหว่างหน่วยงานกับเจ้าหน้าที่ รวมทั้งให้กำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณระยะเวลาของสัญญาจ้างและหลักเกณฑ์การประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อการเลื่อนหรือการดำรงอยู่ในตำแหน่งต่าง ๆ อย่างเหมาะสมและเป็นธรรม เพื่อให้สัญญาจ้างมีสาระสำคัญที่ครบถ้วนสมบูรณ์ มีมาตรฐานเดียวกัน และสามารถพัฒนาบุคลากรขององค์การมหาชนได้ตามเป้าหมายของหน่วยงานด้วย ๕. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณาทบทวนความจำเป็นในการคงอยู่หรือยุบเลิกองค์การมหาชนที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่และวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งหน่วยงาน ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การทบทวนความจำเป็นในการคงอยู่หรือยุบเลิกองค์การมหาชน) เป็นประจำทุกปีงบประมาณ เพื่อให้เกิดการประเมินผลสัมฤทธิ์และปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐอย่างต่อเนื่อง และให้พิจารณาส่งเสริมให้ภาคเอกชนและภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการภาครัฐ (Citizen Engagement) ในสาขาและรูปแบบต่าง ๆ เช่น การสร้างเครือข่ายประชารัฐ และการถ่ายโอนภารกิจด้านการปฏิบัติไปให้หน่วยงานภายนอกภาครัฐ เป็นต้น เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ รวมทั้งคำนึงถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของภาครัฐและประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นสำคัญ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
194 | การแต่งตั้งเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกดำรงตำแหน่งประธานองค์กรระงับข้อพิพาทของ WTO | พณ | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลก (WTO) และองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกให้ดำรงตำแหน่งประธานองค์กรระงับข้อพิพาทของ WTO โดยเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ ที่ประชุมคณะมนตรีใหญ่ WTO ได้มีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลก และองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ให้ดำรงตำแหน่งประธานองค์กรระงับข้อพิพาทของ WTO มีวาระดำรงตำแหน่ง ๑ ปี ซึ่งตามแนวปฏิบัติของ WTO ประธานองค์กรระงับข้อพิพาทจะก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีใหญ่ WTO ในปี ๒๕๖๒ ต่อไป ดังนั้น นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ จะเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับการไว้วางใจจากประเทศสมาชิกให้ดำรงตำแหน่งประธานองค์กรสูงสุดของ WTO ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
195 | การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุม High-Level Political Meeting ภายใต้กรอบความริเริ่มเพื่อความมั่นคงจากการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง | นร08 | 08/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ประเทศไทยรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุม High-Level Political Meeting ภายใต้กรอบความริเริ่มเพื่อความมั่นคงจากการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (Proliferation Security Initiative : PSI) ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส จำนวน ๔ ฉบับ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการเสริมสร้างความพร้อมต่อ PSI (Ensuring a Robust Initiative) เป็นการให้สมาชิกยืนยันในการดำเนินความร่วมมือตามกรอบ PSI อย่างต่อเนื่อง อาทิ การประชุมระหว่างประเทศสมาชิกในระดับต่าง ๆ เพื่อสร้างเสริมขีดความสามารถเกี่ยวกับการไม่แพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (Weapons of Mass Destruction : WMD) การร่วมมือตามความสมัครใจในปฏิบัติการสกัดกั้นการแพร่ขยาย WMD ในกรอบ PSI รวมถึงการติดต่อสื่อสารกับหน่วยงานระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องตามความเหมาะสม เพื่อประสานงานหรือรับความช่วยเหลือในการตอบสนองต่อปัญหาการแพร่ขยาย WMD ๑.๒ แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการเสริมสร้างศักยภาพและการปฏิบัติที่สำคัญยิ่งในการสกัดกั้น (Enhancing Critical Interdiction Capabilities and Practices) เป็นการส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกร่วมกันสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสร้างเสริมขีดความสามารถในการสกัดกั้นการแพร่ขยาย WMD ระหว่างกัน รวมถึงการแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือระหว่างประเทศสมาชิก PSI ๑.๓ แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการขยายการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ (Expanding Strategic Communications) เป็นการระบุให้มีการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศสมาชิกและประเทศที่ไม่ใช่สมาชิก เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ขยาย WMD ประสานข้อมูลข่าวสารและแนวปฏิบัติที่ดีในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และเผยแพร่หลักการสกัดกั้นของ PSI โดยรวมถึงการสื่อสารเพื่อแสวงหาความร่วมมือกับภาคเอกชน ๑.๔ แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการเสริมสร้างขีดความสามารถในการดำเนินการ (Strengthening Authorities for Action) เป็นการระบุให้ประเทศสมาชิกดำเนินการภายใต้ขอบเขตของกฎหมายภายในประเทศ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ขยาย WMD ตามหลักการสกัดกั้นของ PSI โดยตระหนักว่า การดำเนินการเหล่านี้ช่วยส่งเสริมการปฏิบัติตามพันธกรณีข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่เกี่ยวข้องกับการไม่แพร่ขยาย WMD รวมทั้งให้ประเทศสมาชิกได้คำนึงถึงผลกระทบและความท้าทายอันเกิดจากพัฒนาการของเทคโนโลยีหรือวิธีการแบบใหม่ในการแพร่ขยาย WMD ด้วย ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
196 | การขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 เพื่อเป็นเงินอุดหนุนทั่วไปของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า | พณ | 01/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๔๑,๖๔๘,๒๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ (สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า) รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับ ดูแล ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งการจัดทำฐานข้อมูล การศึกษา วิเคราะห์ วิจัย เกี่ยวกับสินค้า บริการ และพฤติกรรมในการประกอบธุรกิจ ควรมุ่งเน้นการศึกษาเชิงลึกธุรกิจแต่ละประเภทที่มีแนวโน้มจะก่อให้เกิดการผูกขาดตลาด ตลอดจนกำหนดแนวทางการทำงานที่ชัดเจน เป็นระบบ และให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า รวมถึงวางแนวปฏิบัติในการวินิจฉัยเรื่องร้องเรียนและสอบสวนการกระทำความผิดที่สอดคล้องตามหลักสากล อีกทั้งควรมีการติดตาม ประเมินผล และเผยแพร่ผลการดำเนินงานภายใต้แผนงานการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้สาธารณชนรับทราบเป็นระยะ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
197 | การให้สัตยาบันต่อพิธีสารปี ค.ศ. 2014 ส่วนเสริมอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 29 ว่าด้วยแรงงานบังคับ ค.ศ. 1930 | รง | 01/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบพิธีสารปี ค.ศ. ๒๐๑๔ ส่วนเสริมอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ ๒๙ ว่าด้วยแรงงานบังคับ ค.ศ. ๑๙๓๐ มีสาระสำคัญเพื่อจัดการกับปัญหาการใช้แรงงานบังคับที่ครอบคลุม ๕ ด้าน ได้แก่ การบังคับใช้กฎหมาย การป้องกัน การคุ้มครอง การชดเชยช่วยเหลือเยียวยาและเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของผู้เสียหายจากการถูกบังคับใช้แรงงาน รวมทั้งการสร้างความเข้มแข็งด้านความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งด้านกฎหมายวิชาการและการแลกเปลี่ยนข้อมูล รวมถึงการแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดี และเรียนรู้ในการต่อต้านการใช้แรงงานบังคับและแรงงานเกณฑ์ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำสัตยาบันสารเพื่อให้พิธีสารฯ มีผลผูกพัน ทั้งนี้ ให้ยื่นสัตยาบันสารเมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบพิธีสารฯ และร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการใช้แรงงานบังคับ พ.ศ. .... ได้มีการประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว เว้นแต่เป็นกรณีที่มีระยะเวลาให้รัฐสมาชิกดำเนินการภายหลังการให้สัตยาบันได้ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
198 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารสุดท้ายของการประชุมกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 18 และร่างปฏิญญากรุงบากู | กต | 27/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารสุดท้าย (Draft Final Document) ของการประชุมกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑๘ (18th Mid-Term Ministerial Meeting of the Non-Aligned Movement : NAM) และร่างปฏิญญากรุงบากู (Draft Baku Declaration) และให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมรับรองร่างเอกสารทั้งสองฉบับในการประชุมดังกล่าวที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๓-๖ เมษายน ๒๕๖๑ ณ กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน โดยร่างเอกสารสุดท้ายของการประชุมฯ มีสาระสำคัญสอดคล้องกับข้อมติของสหประชาชาติ และเอกสารสุดท้ายของการประชุมสุดยอด NAM ครั้งที่ ๑๗ เมื่อปี ๒๕๕๙ ซึ่งเน้นย้ำถึงการดำเนินการตามพันธกิจของ NAM เช่น การไม่แทรกแซงกิจการภายใน การเคารพในสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน การปลดปล่อยอาณานิคม และการงดเว้นการใช้กำลังในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นต้น เพื่อยับยั้งความพยายามในการชี้นำหรือครอบงำของประเทศพัฒนาแล้ว และปกป้องผลประโยชน์ของประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งผลักดันให้กลุ่ม NAM มีบทบาทในการปฏิรูปสหประชาชาติด้วยการสร้างเอกภาพและความเข้มแข็งของ NAM ผ่านการประสานท่าทีระหว่างสมาชิก เพื่อแสดงท่าทีที่สอดประสานในเวทีระหว่างประเทศ ส่วนร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเป็นการเน้นย้ำถึงหลักการที่กลุ่ม NAM ให้ความสำคัญ เช่น สิทธิการกำหนดใจตนเองของประชาชน การระงับกรณีพิพาทโดยสันติ และการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นต้น ๑.๒ หากถ้อยคำเรื่องทะเลจีนใต้ในเอกสารสุดท้ายของการประชุมฯ ไม่สอดคล้องกับข้อเสนอของกลุ่มอาเซียน อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศร่วมลงนามในหนังสือแจ้งข้อสงวน (reservation) ต่อถ้อยคำดังกล่าวในเอกสารสุดท้ายของการประชุมฯ เช่นเดียวกับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอื่น ๆ ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนต่อร่างเอกสารสุดท้ายของการประชุมสุดยอด NAM ครั้งที่ ๑๗ เมื่อปี ๒๕๕๙ ๑.๓ หากถ้อยคำเกี่ยวกับสถานการณ์ในรัฐยะไข่ที่ถูกบรรจุในเอกสารสุดท้ายของการประชุมฯ ไม่สอดคล้องกับท่าทีไทย แสดงท่าทีเชิงลบ หรือมีถ้อยคำรุนแรงประณามสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งข้อสงวนของไทย (reservation) หรือแสดงท่าทีที่อธิบายอย่างระมัดระวังถึงเหตุผลของไทยซึ่งทำให้ไม่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับถ้อยคำดังกล่าวได้ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารสุดท้ายของการประชุมฯ และร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาถ้อยคำเกี่ยวกับสถานการณ์ในรัฐยะไข่ในร่างเอกสารสุดท้ายของการประชุมฯ อย่างรอบคอบก่อนลงนามในหนังสือแจ้งข้อสงวน (reservation) ของไทยในประเด็นนี้ หากถ้อยคำดังกล่าวอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมและอยู่บนพื้นฐานของหลักปฏิบัติที่เป็นที่ยอมรับในเวทีระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศก็สามารถพิจารณารับรองร่างเอกสารดังกล่าวได้ แต่หากถ้อยคำดังกล่าวมีลักษณะเป็นการประณามประเทศที่เกี่ยวข้องอย่างรุนแรง และอาจก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบกับไทยและกลุ่มอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศก็สามารถพิจารณาลงนามในหนังสือแจ้งข้อสงวน (reservation) หรือแสดงท่าทีที่อธิบายอย่างระมัดระวังถึงเหตุผลของไทยซึ่งทำให้ไม่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับถ้อยคำดังกล่าวได้ ทั้งนี้ ให้ยึดผลประโยชน์ของไทยและกลุ่มอาเซียนเป็นหลัก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
199 | กรอบเจรจาการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ทรัพยากรพันธุกรรมภูมิปัญญาท้องถิ่น และการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม (WIPO IGC) ภายใต้กรอบองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก | พณ | 13/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างกรอบเจรจาการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ทรัพยากรพันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม [WIPO (World Intellectual Property Organization) Intergovernmental Committee on Intellectual Property and Genetic Resources, Traditional Knowledge and Folklore : WIPO IGC] เพื่อให้คณะผู้แทนเจรจาของไทยสามารถใช้เป็นพื้นฐานในการเจรจาการประชุม WIPO IGC หรือจนกว่าจะสรุปผลการเจรจา WIPO IGC ได้ หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของการเจรจาอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ การประชุม WIPO IGC ครั้งต่อไป (ครั้งที่ ๓๔) กำหนดจัดระหว่างวันที่ ๑๙-๒๓ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ สำนักงานใหญ่ WIPO นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การกำหนดแนวปฏิบัติเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติให้การเปิดเผยแหล่งที่มาในการขอสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรพันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรพันธุกรรมอย่างชัดเจนให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การกำหนดระยะเวลาในการบังคับใช้กฎหมาย (Transition period) ของร่างกรอบเจรจาการประชุม WIPO IGC สำหรับประเทศต่าง ๆ ให้คำนึงถึงระดับความพร้อมและศักยภาพของแต่ละประเทศเป็นสำคัญ การบูรณาการทำงานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรวบรวมและเชื่อมโยงข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยที่สมบูรณ์ครบถ้วนและเป็นระบบ สร้างความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและสนับสนุนให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยเฉพาะประชาชนและชุมชนตระหนักถึงความสำคัญ และสามารถใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นได้อย่างจริงจัง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกรอบเจรจา WIPO IGC ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ในการเจรจา WIPO IGC ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการเจรจาบนพื้นฐานของนโยบายรัฐบาลในการห้ามทำการผลิตสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม (GMO) เชิงพาณิชย์ และเน้นการคุ้มครองในการปกป้องภูมิปัญญาท้องถิ่น และทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพของชุมชน ทั้งในด้านการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ [เรื่อง กรอบเจรจาการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ทรัพยากรพันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม (WIPO Intergovernmental Committee on Intellectual Property and Genetic Resources, Traditional Knowledge and Folklore : WIPO IGC) ของไทย ในปี ๒๕๕๙-๒๕๖๐] อย่างเคร่งครัดต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
200 | ขอความเห็นชอบต่อร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชากับศูนย์ทุ่นระเบิดภูมิภาคอาเซียนว่าด้วยการเป็นเจ้าบ้าน และการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ศูนย์ทุ่นระเบิดภูมิภาคอาเซียน และร่างแผนงานของศูนย์ทุ่นระเบิดภูมิภาคอาเซียน ประจำปี ค.ศ. 2017 - 2018 | กต | 16/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชากับศูนย์ทุ่นระเบิดภูมิภาคอาเซียนว่าด้วยการเป็นเจ้าบ้าน และการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ศูนย์ทุ่นระเบิดภูมิภาคอาเซียน [Agreement between the Government of The Kingdom of Cambodia and The ASEAN Regional Mine Action Center (ARMAC) on Hosting and Granting Privileges and Immunities to the ARMAC] และแผนงานของศูนย์ทุ่นระเบิดภูมิภาคอาเซียน ปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ (ASEAN Regional Mine Action Centre Work Plan 2017-2018) โดยร่างความตกลงฯ เป็นการกำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่ของ ARMAC และกัมพูชาในฐานะประเทศเจ้าบ้าน เช่น ARMAC จะต้องดำเนินการตามกฎหมายและกฎระเบียบของกัมพูชา โดยมีหน้าที่ความรับผิดชอบในการดูแลรักษาสถานที่ทำการ การชำระค่าใช้จ่ายการให้บริการด้านสาธารณูปโภคต่าง ๆ การบริหารจัดการกองทุนและงบประมาณ และการบริหารจัดการบุคลากรของสำนักงาน เป็นต้น ส่วนกัมพูชาจะต้องให้ ARMAC มีสถานะเท่าเทียมกับหน่วยงานภาครัฐของกัมพูชา การอำนวยความสะดวกด้านสาธารณูปโภค และการรักษาความปลอดภัยตามแนวปฏิบัติเดียวกันกับที่กัมพูชาให้แก่สำนักงานผู้แทนทางการทูตหรือองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ รวมทั้งการให้เอกสิทธิ์และการคุ้มกัน การยกเว้นภาษีสังหาริมทรัพย์ และบุคลากรต่างชาติที่ปฏิบัติหน้าที่ใน ARMAC ในส่วนของแผนงานฯ เป็นเอกสารที่ระบุเป้าหมายและโครงการดำเนินงานของ ARMAC เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้อำนวยการบริหาร ARMAC สามารถดำเนินการตามเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒. ให้ประธานคณะกรรมการบริหาร ARMAC หรือผู้แทนของ ARMAC ซึ่งได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริหาร ARMAC เป็นผู้ลงนามในความตกลงฯ (ความตกลงฯ ยังไม่ได้กำหนดวันที่จะลงนาม)
|
.....