ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 4 จากทั้งหมด 25 หน้า แสดงรายการที่ 61 - 80 จากข้อมูลทั้งหมด 486 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
61 | ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ ที่ดินสาธารณประโยชน์แปลง “ทุ่งหนองแด” ตำบลกุดสระ อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี | กษ. | 16/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่เมื่อวันที่
๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ และเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เรื่อง
มาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำพื้นที่ที่ดินสาธารณประโยชน์ แปลง “ทุ่งหนองแด”
ตำบลกุดสระ อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี
เพื่อให้สามารถเข้าดำเนินงานในพื้นที่ พร้อมส่งมอบพื้นที่ให้แก่
สมาคมพืชสวนโลกระหว่างประเทศ AIPH ตามกำหนดกรอบเวลา
ก่อน ๖ เดือน ในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๙ และให้ทันพิธีเปิดงานในวันที่ ๑ พฤศจิกายน
๒๕๖๙ ซึ่งให้เกิดประโยชน์กับการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. ๒๕๖๙ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ทั้งนี้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรมีการสื่อสารแนวปฏิบัติที่ชัดเจน
ตลอดจนมีมาตรการรองรับในระหว่างการจัดงานและภายหลังเสร็จสิ้นงาน
เพื่อเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ของไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดงานพืชสวนโลกอย่างมีความรับผิดชอบ
อันจะเป็นประโยชน์ในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานของไทยในอนาคต ควรพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อทางหลวงแผ่นดิน
หมายเลข ๒ เช่น
ปริมาณจราจรที่จะเพิ่มขึ้นทั้งในระหว่างเตรียมการจัดงานและระหว่างจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกฯ
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนที่มาร่วมงานและประชาชนโดยทั่วไปได้ ควรให้ความสำคัญต่อการพิจารณากำหนดมาตรการบริหารจัดการพื้นที่ดำเนินการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกฯ
ที่สอดคล้องกับขีดความสามารถในการรองรับของพื้นที่ (Carrying Capacity) ตลอดจนกำหนดมาตรการและแนวทางในการบำรุงรักษาพื้นที่ให้ยังคงสภาพที่สมบูรณ์
สามารถใช้ประโยชน์ภายหลังการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกให้เกิดประโยชน์ต่อเนื่องทั้งทางด้านเศรษฐกิจ
สังคม และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน
ชุมชน โดยรอบได้อย่างยั่งยืนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๖ กันยายน ๒๕๖๖ (เรื่อง การจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. ๒๕๖๙) รวมทั้งการขออนุญาตเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินสาธารณประโยชน์ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
62 | การประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 18 | กต. | 18/09/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างปฏิญญาบาห์เรน
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างปฏิญญาฯ โดยร่างปฏิญญาฯ เป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย
ครั้งที่ ๑๘ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองระดับรัฐมนตรีประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือเอเชียในการขับเคลื่อนความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างครอบคลุมและยั่งยืน
โดยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติ
อีกทั้งเน้นย้ำความสำคัญของการใช้แนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว (one health
approach) ในการบรรลุเป้าหมายด้านสาธารณสุข
ตลอดจนส่งเสริมการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ยั่งยืนหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ด้วยการยกระดับความร่วมมือด้านการค้า การขนส่งและความเชื่อมโยง ดิจิทัล
การท่องเที่ยว วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมทั้งการสนับสนุนภาคธุรกิจและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
เพื่อให้ประเทศสมาชิกและภูมิภาคเอเชียเกิดการฟื้นฟูอย่างยั่งยืน
และเสริมสร้างการเติบโตร่วมกันจนนำไปสู่การเป็นประชาคมเอเชีย
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
63 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สว. | 29/08/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา โดยกระทรวงแรงงานได้จัดทำคำชี้แจง แนวปฏิบัติ
และตัวอย่างข้อตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้างให้ลูกจ้างนำงานไปทำที่บ้านหรือทำงานผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศจากที่ใด
ๆ ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๖๖ และได้มีการเผยแพร่ให้นายจ้าง
ลูกจ้าง ประชาชน และผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ
แล้ว
สำหรับประเด็นการทบทวนกฎกระทรวงว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานในงานที่รับไปทำที่บ้าน
พ.ศ. ๒๕๔๗ กระทรวงแรงงานจะรับไปพิจารณาพร้อมกับการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายต่อไป
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
64 | การรับรองร่างกรอบงานเครือข่ายหมู่บ้านอาเซียน (ASEAN Villages Network Framework) | มท. | 29/08/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการต่อร่างกรอบงานเครือข่ายหมู่บ้านอาเซียน (ASEAN Villages Network Framework) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ในฐานะรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน
มีหนังสือแจ้งความเห็นชอบรับรองร่างกรอบงานเครือข่ายหมู่บ้านอาเซียนไปยังสำนักเลขาธิการอาเซียนภายหลังจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแล้ว
โดยร่างกรอบงานเครือข่ายหมู่บ้านอาเซียนเป็นเอกสารที่รัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจนจะให้การรับรองและจะมีการเสนอเป็นวาระเพื่อทราบในการประชุมสุดยอดอาเซียน
ครั้งที่ ๔๓ (43rd ASEAN Summit) ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่
๔-๗ กันยายน ๒๕๖๖ ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เป็นการกำหนดรายละเอียดแนวทางการขับเคลื่อนงานในระดับหมู่บ้านของอาเซียนผ่านกลไกเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ
อาทิ หลักการและสาขาที่ให้ความสำคัญ ผลลัพธ์เชิงยุทธศาสตร์ การใช้ระบบ
และแผนปฏิบัติการระหว่างปี ๒๕๖๖-๒๕๖๘
โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจนในภูมิภาคอาเซียนและมีเป้าหมายหลักเพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของพลเมืองอาเซียน
มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านให้มีความเข้มแข็งในลักษณะจากล่างขึ้นบน (bottom-up)
ซึ่งเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพลเมืองจากฐานราก
และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้หญิงและกลุ่มเปราะบางอื่น ๆ รวมทั้งเสริมสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับหุ้นส่วนภายนอก
โดยใช้เวทีการเรียนรู้และความร่วมมือเป็นตัวขับเคลื่อนเพื่อแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดี
ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาเชิงพื้นที่
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างกรอบงานเครือข่ายหมู่บ้านอาเซียนในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
65 | กรอบท่าทีประเทศไทยสำหรับการประชุมสมัชชากองทุนสิ่งแวดล้อมโลก ครั้งที่ 7 | ทส. | 23/08/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบท่าทีประเทศไทยสำหรับการประชุมสมัชชากองทุนสิ่งแวดล้อมโลก
ครั้งที่ ๗ ที่มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๒-๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๖ ณ นครแวนคูเวอร์
ประเทศแคนาดา และเห็นชอบในหลักการเอกสารการปรับแก้ไขเอกสารการดำเนินงานของกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก
และเอกสารการจัดตั้งและกรอบการสนับสนุนของ Global
Biodiversity Framework Fund โดยกรอบท่าทีฯ มีสาระสำคัญเป็นการสนับสนุนการดำเนินงานของกองทุนสิ่งแวดล้อมโลกเพื่อการดำเนินงานตามพันธกรณีของอนุสัญญาระหว่างประเทศที่กองทุนสิ่งแวดล้อมโลกทำหน้าที่เป็นกลไกทางการเงิน
การสนับสนุนให้ประเทศพัฒนาแล้วและแหล่งเงินทุนต่าง ๆ ให้การสนับสนุนในรูปแบบต่าง ๆ
การเห็นชอบในหลักการต่อการปรับแก้ไข Instrument for the Establishment of a
Restructured Global Environment Facility ตามข้อเสนอของที่ประชุมคณะมนตรีกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก
ครั้งที่ ๖๓ และครั้งที่ ๖๔
เพื่อปรับปรุงแนวปฏิบัติในการดำเนินงานของกองทุนสิ่งแวดล้อมโลกให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
และการเห็นชอบในหลักการต่อการจัดตั้งกองทุน Global Biodiversity Framework
Fund เพื่อสนับสนุนเป้าหมายกรอบงานคุนหมิง-มอนทรีออลว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลก
ตามข้อมติที่ประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ ๑๕
ที่ประเทศไทยได้ร่วมให้การรับรองข้อมติดังกล่าวแล้ว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศในประเด็นเกี่ยวกับการปรับแก้ไขเอกสารการดำเนินงานของกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก
และเอกสารการจัดตั้งและกรอบการสนับสนุนของ Global Biodiversity Framework
Fund ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารการปรับแก้ไขเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
66 | แนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวภายหลังวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 | รง. | 08/08/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวภายหลังวันที่ ๓๑ กรกฎาคม
๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
โดยสำหรับการกำหนดวันสิ้นสุดการอนุญาตให้คนต่างด้าวได้รับการผ่อนผันให้อยู่และทำงานในราชอาณาจักร
ให้เป็นไปตามข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี ซึ่งในระหว่างที่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ได้เข้ารับหน้าที่ด้วยการถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์แล้ว
แต่ยังมิได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเพื่อเข้าบริหารราชการแผ่นดิน
ให้คนต่างด้าวได้รับการผ่อนผันให้อยู่และทำงานในราชอาณาจักรเป็นวันที่ ๓๐ กันยายน
๒๕๖๖ ๒. เห็นชอบ
๒.๑ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๖ (ฉบับที่ ....) พ.ศ. ....
๒.๒ ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๖ (ฉบับที่ ....) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้คนต่างด้าวที่ได้ดำเนินการตามแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๖
สามารถอยู่และทำงานในราชอาณาจักรต่อไปได้ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยให้แก้ไขวันสิ้นสุดการอนุญาตให้คนต่างด้าวได้รับการผ่อนผันให้อยู่และทำงานในราชอาณาจักรเป็นวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๖ ตามข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่ควรเร่งรัดเตรียมความพร้อมการดำเนินการตามแนวปฏิบัติการนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงานระหว่างรัฐ
(MOU) ในด้านต่าง ๆ อาทิ
การตรวจสุขภาพ การทำประกันสุขภาพหรือขึ้นทะเบียนประกันสังคม
การจัดเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล และการจัดทำหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางและประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร
ให้แก่คนต่างด้าวกลุ่มเป้าหมาย และควรพิจารณาวิเคราะห์คนต่างด้าวในภาคการผลิตและบริการรายสาขา
และจัดทำแผนบริหารจัดการคนต่างด้าว เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องการอยู่และการทำงานของคนต่างด้าวเป็นไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
67 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าฝั่งซ้ายลำโดมใหญ่ และป่าเขาพระวิหาร บางส่วน ในท้องที่ตำบลโซง อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร) | ทส. | 08/08/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าฝั่งซ้ายลำโดมใหญ่
และป่าเขาพระวิหาร บางส่วน ในท้องที่ตำบลโซง อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าฝั่งซ้ายลำโดมใหญ่
และป่าเขาพระวิหาร บางส่วน ในท้องที่ตำบลโขง อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี
เพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำลำห้วยบอนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดอุบลราชธานี
เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำในการอุปโภคบริโภคให้กับราษฎรในพื้นที่
โดยมีจำนวนเนื้อที่รวม ๔๒ ไร่ ๕๑ ตารางวา ตามที่กระทรวงงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ที่เห็นควรเพิ่มเติมข้อความ
“แนวแบ่งเขตระหว่างประเทศบนแผนที่ไม่ถือกำหนดเป็นทางการ”
ในแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ อันเป็นไปตามแนวปฏิบัติที่ผ่านมา
รวมทั้งหากต่อไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะขยายพื้นที่หรือเปลี่ยนแปลงพื้นที่ที่จะใช้ดำเนินโครงการดังกล่าวนั้น
ควรกำกับดูแลการดำเนินการดังกล่าวมิให้กระทบต่อแนวเขตแดนที่อยู่ระหว่างการดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนของ
JBT ไทย-กัมพูชา ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ที่เห็นว่าตำแหน่งและพิกัดของพื้นที่เสนอขอเพิกถอนเป็นบริเวณที่ไม่มีประเด็นข้ามเขตแดนและไม่กระทบต่อท่าทีของไทยในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน
แต่ควรเพิ่มเติมข้อความ “แนวแบ่งเขตระหว่างประเทศบนแผนที่ไม่ถือกำหนดเป็นทางการ”
ในแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ อันเป็นไปตามแนวปฏิบัติที่ผ่านมา รวมทั้งหากต่อไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะขยายพื้นที่หรือเปลี่ยนแปลงพื้นที่ที่จะใช้ดำเนินโครงการดังกล่าวนั้น
ควรกำกับดูแลการดำเนินการดังกล่าวมิให้กระทบต่อแนวเขตแดนที่อยู่ระหว่างการดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนของ
JBT ไทย-กัมพูชา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
68 | ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการจัดที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยให้ชุมชน ในพื้นที่ป่าชายเลน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | ทส. | 08/08/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวภายหลังวันที่ ๓๑ กรกฎาคม
๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
โดยสำหรับการกำหนดวันสิ้นสุดการอนุญาตให้คนต่างด้าวได้รับการผ่อนผันให้อยู่และทำงานในราชอาณาจักร
ให้เป็นไปตามข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี ซึ่งในระหว่างที่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ได้เข้ารับหน้าที่ด้วยการถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์แล้ว
แต่ยังมิได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเพื่อเข้าบริหารราชการแผ่นดิน
ให้คนต่างด้าวได้รับการผ่อนผันให้อยู่และทำงานในราชอาณาจักรเป็นวันที่ ๓๐ กันยายน
๒๕๖๖ ๒. เห็นชอบ
๒.๑ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพเศษ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๖ (ฉบับที่ ....) พ.ศ. ....
๒.๒ ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๖ (ฉบับที่ ....) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้คนต่างด้าวที่ได้ดำเนินการตามแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๖
สามารถอยู่และทำงานในราชอาณาจักรต่อไปได้ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยให้แก้ไขวันสิ้นสุดการอนุญาตให้คนต่างด้าวได้รับการผ่อนผันให้อยู่และทำงานในราชอาณาจักรเป็นวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๖ ตามข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่ควรเร่งรัดเตรียมความพร้อมการดำเนินการตามแนวปฏิบัติการนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงานระหว่างรัฐ
(MOU) ในด้านต่าง ๆ อาทิ
การตรวจสุขภาพ การทำประกันสุขภาพหรือขึ้นทะเบียนประกันสังคม
การจัดเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล และการจัดทำหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางและประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร
ให้แก่คนต่างด้าวกลุ่มเป้าหมาย และควรพิจารณาวิเคราะห์คนต่างด้าวในภาคการผลิตและบริการรายสาขา
และจัดทำแผนบริหารจัดการคนต่างด้าว เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องการอยู่และการทำงานของคนต่างด้าวเป็นไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
69 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถาปนิก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สว. | 11/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถาปนิก
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา ซึ่งมีประเด็นข้อสังเกตฯ ดังนี้ (๑)
สภาสถาปนิกควรผลักดันให้ประเทศต้นทางมีหน้าที่ตรวจสอบและรับรองคุณสมบัติตามกฎหมายของสถาปนิกจากประเทศของตน
และควรผลักดันให้มีการนำประเด็นเรื่องความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นไปหารือและระบุไว้ในความตกลงระหว่างประเทศให้ชัดเจนด้วย
โดยสภาสถาปนิกจะดำเนินการผลักดันให้เกิดแนวปฏิบัติในกลุ่มประเทศอาเซียนและกลุ่มประเทศอื่น
ๆ โดยกำหนดให้ประเทศต้นทางมีหน้าที่ตรวจสอบและรับรองคุณสมบัติตามกฎหมายของสถาปนิกจากประเทศของตนเพื่อประโยชน์ของประเทศสมาชิกในการดำเนินการให้เป็นไปตามความตกลง
(๒) คณะกรรมการจรรยาบรรณควรปรับปรุงระเบียบคณะกรรมการจรรยาบรรณให้เหมาะสมโดยกำหนดกรอบระยะเวลาในการพิจารณาวินิจฉัยให้ชัดเจน
และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อรองรับภารกิจการดำเนินการเรื่องจรรยาบรรณด้วย
โดยสภาสถาปนิกจะดำเนินการปรับปรุงระเบียบคณะกรรมการสภาสถาปนิก
ว่าด้วยการพิจารณาและวินิจฉัยจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพสถาปัตยกรรมให้เป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ
และ (๓) สภาสถาปนิกควรพิจารณาปรับปรุงการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมโดยกำหนดให้ค่าธรรมเนียมการออกใบแทนใบอนุญาตและค่าธรรมเนียมการออกหลักฐานรับรองการได้รับใบอนุญาตมีอัตราที่แตกต่างกันและแยกตามระดับความสำคัญของเอกสาร
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
70 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารสุดท้าย (Draft Final Document) และร่างปฏิญญากรุงบากูของการประชุมคณะกรรมการประสานงานในระดับรัฐมนตรีของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Ministerial Meeting of the Coordinating Bureau of the Non-Aligned Movement: CoB-NAM) | กต. | 05/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบและอนุมัติร่างเอกสารสุดท้าย (Draft
Final Document) และร่างปฏิญญากรุงบากูของการประชุมคณะกรรมการประสานงานในระดับรัฐมนตรีของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
(Ministerial Meeting of the Coordinating Bureau of the Non-Aligned
Movement : CoB-NAM) จะมีขึ้นระหว่างวันที่
๕-๖ กรกฎาคม ๒๕๖๖ ณ กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน โดยร่างเอกสารสุดท้ายฯ
มีสาระสำคัญเกี่ยวกับท่าที พัฒนาการ
และการดำเนินการของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในเรื่องต่าง ๆ ในระดับโลกและภูมิภาค
อาทิ ปัญหาการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สิทธิมนุษยชนและการพัฒนาที่ยั่งยืน
และการปฏิรูปสหประชาชาติ และร่างปฏิญญาบากูฯ มีสาระสำคัญย้ำหลักการต่าง ๆ ที่กลุ่ม
NAM ให้ความสำคัญ เช่น การเคารพในอำนาจอธิไตย
การระงับกรณีพิพาทโดยสันติ การงดเว้นจากการคุกคามและใช้กำลัง
การร่วมกันตอบสนองต่อข้อท้าทายของโลกปัจจุบัน และการธำรงไว้ซึ่งคุณค่าของระบอบพหุภาคีและความร่วมมือระหว่างประเทศ
โดยให้เอกอัครราชทูต ณ กรุงอังการา ซึ่งได้รับมอบหมายจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย
และผู้แทนพิเศษ (Special Envoy)
ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว หากถ้อยคำในเรื่องทะเลจีนใต้ในเอกสารสุดท้ายฯ
ไม่สอดคล้องกับท่าทีร่วมของอาเซียนในเรื่องนี้
อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศร่วมลงนามหนังสือแจ้งข้อสงวน (reservation) หรือหนังสืออื่น ๆ
ที่เป็นการแจ้งท่าทีของอาเซียนต่อถ้อยคำในเอกสารสุดท้ายเช่นเดียวกับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอื่น
ๆ ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของรัฐมนตรีอาเซียนต่อเอกสารสุดท้ายของการประชุม
CoB-NAM ที่ผ่านมา
และหากปรากฎว่าเนื้อหาหรือถ้อยคำของเอกสารสุดท้ายฯ
และร่างปฏิญญาบากูที่ได้รับรองในที่ประชุม CoB-NAM
ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์และท่าทีไทยในสาระสำคัญ แสดงท่าทีเชิงลบ
หรือมีถ้อยคำรุนแรงประณามประเทศอื่นใด อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งข้อสงวน
(reservation)
หรือแสดงท่าทีที่อธิบายอย่างระมัดระวังถึงเหตุผลของไทยซึ่งทำให้ไม่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือถ้อยคำดังกล่าวได้
ทั้งนี้ การแจ้งข้อสงวนเป็นแนวทางที่ไทยปฏิบัติมาโดยตลอด ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารสุดท้ายและร่างปฏิญญากรุงบากูของการประชุมคณะกรรมการประสานงานในระดับรัฐมนตรีของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหุตผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
71 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การเทียบโอนความรู้และประสบการณ์สำหรับอาชีวศึกษา เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ของคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา | สว. | 30/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง
การเทียบโอนความรู้และประสบการณ์สำหรับอาชีวศึกษา
เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ของคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา
ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ว่า
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นพ้องกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว
โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาได้มีแนวทางในการสร้างความเข้าใจในกฎ ระเบียบ
หลักเกณฑ์และแนวทางในการปฏิบัติในเรื่องการเทียบโอนความรู้และประสบการณ์เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ถือปฏิบัติ
ได้แก่ ประกาศคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติในการเทียบโอนความรู้และประสบการณ์รายวิชาของสถานศึกษา
และประกาศคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เรื่อง
หลักเกณฑ์และวิธีการจัดการอาชีวศึกษากลุ่มเทียบโอนความรู้และประสบการณ์รายวิชาของสถานศึกษาอาชีวศึกษา
รวมถึงได้เร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจในกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ต่าง ๆ
บนหน้าเว็บไซต์ http://bsq.vec.go.th ให้กับสถานศึกษาและสถานประกอบการ และได้มีการจัดทำมาตรฐานอาชีพ
จำนวน ๕๒ สาขาวิชา
โดยคัดเลือกจากสาขาวิชาชีพที่สอดรับกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่
๑๒ และฉบับที่ ๑๓ และยุทธศาสตร์ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG)
หรือนโยบายหลักอื่น ๆ ของรัฐบาล ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
72 | สรุปผลการประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) ครั้งที่ 52 | ศธ. | 23/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(สภาซีเมค) ครั้งที่ ๕๒ ระหว่างวันที่ ๘-๑๐
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์
โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช)
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุมฯ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ (๑)
การประชุมวาระเฉพาะและการประชุมเต็มคณะ ที่ประชุมมีมติให้ศูนย์/เครือข่ายระดับภูมิภาคของซีมีโอและสำนักงานเลขาธิการซีมีโอดำเนินงานตามขอบข่ายวาระการศึกษาของซีมีโอด้านการศึกษา
วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม เช่น
การส่งเสริมวิจัยระดับอุดมศึกษา การเรียนรู้แบบสะเต็มการศึกษา
และการพัฒนาหลักสูตรในศตวรรษที่ ๒๑ ในโอกาสนี้ คณะผู้แทนไทยได้กล่าวย้ำความสำคัญของการบูรณาการ
“ศาสตร์และศิลป์แห่งชีวิต”
ไว้ในการจัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาสู่การจัดการเรียนรู้แบบศาสตร์และศิลป์ที่ผสมผสานในลักษณะ
“STEAM” ทั้งนี้
ที่ประชุมกำหนดให้มีการประชุมสภาซีเมค ครั้งที่ ๕๓ ในช่วงเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ ณ
บรูไน และ (๒) การประชุมเชิงยุทธศาสตร์ระดับรัฐมนตรีศึกษาของซีมีโอ ครั้งที่ ๖
ที่ประชุมเห็นพ้องและแสดงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมประเด็นด้านนโยบายของภูมิภาค
แนวปฏิบัติด้านการเรียนรู้พื้นฐาน การรู้หนังสือและการคำนวณการเรียนรู้ตลอดชีวิต
การพลิกโฉมด้วยระบบดิจิทัล
การให้ความสำคัญลำดับต้นแก่ผู้เรียนกลุ่มเปราะบางด้วยการพัฒนาวิธีการแบบเรียนร่วมการเสริมสร้างขีดความสามารถของครูและบุคลากรทางการศึกษา
การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาในยุคดิจิทัล
และการเสริมสร้างแนวคิดริเริ่มในการติดตามและประเมินผล ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
73 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้กาแฟเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตและมีหนังสือรับรองในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ. | 02/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
กำหนดให้กาแฟเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตและมีหนังสือรับรองในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
การส่งกาแฟออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑
เพื่อเป็นการสนับสนุนการส่งออกกาแฟคั่วที่ผลิตจากเมล็ดกาแฟไทยผสมกับเมล็ดกาแฟต่างประเทศ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ โดยไม่ขัดข้องในหลักการต่อร่างประกาศฯ
หากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นว่าเหมาะสม
สอดคล้องกับนโยบายและผลประโยชน์ของไทย
สามารถปฏิบัติได้ภายใต้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายระเบียบข้อบังคับที่มีอยู่
ตลอดจนสอดคล้องกับพันธกรณีของไทยภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งได้จัดสรรงบประมาณเพื่อการนี้ไว้แล้ว เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
74 | การรับรองร่างปฏิญญาของการประชุมรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมกลุ่ม 77 บวกสาธารณรัฐประชาชนจีน | วธ. | 02/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการรับรองร่างปฏิญญาของการประชุมรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมกลุ่ม
๗๗ บวกสาธารณรัฐประชาชนจีน และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมรับรองร่างปฏิญญาของการประชุมรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมกลุ่ม
๗๗ บวกสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยร่างปฏิญญาการประชุมรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม
มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมกลุ่ม
๗๗ บวกสาธารณรัฐประชาชนจีน
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อไตร่ตรองถึงความท้าทายรูปแบบใหม่ของภาควัฒนธรรมในประเทศสมาชิก
ตลอดจนมุ่งส่งเสริมความคิดริเริ่มที่จะดำเนินการในมิติด้านสังคมและเศรษฐกิจของวัฒนธรรม
เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงทางสังคม
การสนับสนุนกลไกความร่วมมือและทางเลือกเพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมในฐานะสินค้าสาธารณะแห่งโลก
รวมถึงส่งเสริมการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีและเสริมสร้างขีดความสามารถในประเทศกำลังพัฒนา
ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาของการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมกลุ่ม
๗๗ บวกสาธารณรัฐประชาชนจีน
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
75 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสมัยที่ 7 (CED 7) ระดับรัฐมนตรี | ทส. | 04/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสมัยที่
๗ (The Seventh Session of the Committee on Environment and Development :
CED 7) ระดับรัฐมนตรี ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพมหานคร
และผ่านระบบการประชุมทางไกล ระหว่างวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน-๑ ธันวาคม ๒๕๖๕
โดยมีรองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายเถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ)
เป็นผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ (๑) การประชุมฯ แบ่งออกเป็น ๒
ระดับ ได้แก่ การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส และการประชุมระดับรัฐมนตรี
โดยได้เน้นย้ำถึงความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกเพื่อแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ
เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหามลพิษข้ามแดน
และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพจากการใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศ นอกจากนี้
มีการจัดเสวนาโต๊ะกลม (Roundtable) เพื่อนำเสนอนโยบายหรือข้อริเริ่ม
รวมถึงประเด็นสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก
และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีในประเด็นด้านการอนุรักษ์
ฟื้นฟู และปกป้องมหาสมุทร และ (๒) ที่ประชุมฯ ได้ร่วมกันรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ
๒ ฉบับ ได้แก่
ปฏิญญาระดับรัฐมนตรีว่าด้วยการปกป้องโลกของเราผ่านความร่วมมือระดับภูมิภาคและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก
และแผนปฏิบัติการระดับภูมิภาคว่าด้วยมลพิษทางอากาศ ทั้งนี้ เอกสารทั้ง ๒ ฉบับ มีการปรับเปลี่ยนถ้อยคำในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไว้แล้ว
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
76 | การแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ นครโฮบาร์ต เครือรัฐออสเตรเลีย คนใหม่ (นางวิมลิน บีทตี้) | กต. | 28/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางวิมลิน บีทตี้ (Mrs. Wimalin Beattie) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์
ณ นครโฮบาร์ต เครือรัฐออสเตรเลีย สืบแทน นายอภิรัตน์ อจลบุญ กงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำนครโฮบาร์ต
เครือรัฐออสเตรเลีย ที่ครบวาระการดำรงตำแหน่ง และปรับสถานะสถานทำการทางกงสุลจาก
สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำนครโฮบาร์ต เป็นสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ นครโฮบาร์ต
เพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของเครือรัฐออสเตรเลีย
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
77 | ร่างระเบียบสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ว่าด้วยการร่วมลงทุนในโครงการซึ่งนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ พ.ศ. .... | อว. | 07/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ
ว่าด้วยการร่วมลงทุนในโครงการซึ่งนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการร่วมลงทุนในโครงการที่นำผลงานและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์
เพื่อให้สถาบันการอุดมศึกษาของรัฐ
และหน่วยงานของรัฐที่มีภารกิจและวัตถุประสงค์ด้านการวิจัยและนวัตกรรม
และหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่สำนักงานนโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติประกาศกำหนด สามารถร่วมลงทุนกับภาคเอกชนเพื่อนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์
ตามที่สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
โดยให้ตัดความว่า “หรือผ่านการตรวจพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย” ในร่างข้อ ๒๒
ออก ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นควรพิจารณาเนื้อหาให้สอดคล้องกับระเบียบว่าด้วยการร่วมลงทุนระหว่างรับและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการนำวิจัยผลงานและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดด้วย
และควรแก้ไขความว่า “จึงออกระเบียบไว้โดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี
ดังต่อไปนี้” เป็น “ออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้” เนื่องจากมาตรา ๓๑ วรรคหนึ่ง
แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรมฯ มิได้บัญญัติให้ออกระเบียบต้องกระทำโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น ควรทำความเข้าใจกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เกิดความชัดเจนในการนำไปบังคับใช้
โดยอาจออกแนวปฏิบัติสำหรับการบังคับใช้ระเบียบดังกล่าวและชี้แจงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเข้าใจที่ถูกต้อง
ควรออกมาตรการในการส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐสถาบันอุดมศึกษาหรือสถาบันวิจัยต่าง ๆ
ในประเทศ
มุ่งเน้นงานวิจัยและนวัตกรรมที่สอดคล้องตามความต้องการของภาคการผลิตและบริการ
รวมถึงแก้ไขปัญหาหรือการพัฒนาเชิงพื้นที่ ซึ่งจะเป็นการสร้างและกระจายประโยชน์ในภาพรวมให้แก่ประเทศมากยิ่งขึ้นในระยะต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
78 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำคลองสะพานหิน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ. | 07/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำคลองสะพานหิน
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำคลองสะพานหิน
ในท้องที่ตำบลแหลมกลัด อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทานจากผู้ใช้น้ำที่นำน้ำไปใช้เพื่อกิจการโรงงาน
การประปา หรือกิจการอื่นนอกจากภาคเกษตรกรรม เพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลปริมาณน้ำ
และให้การใช้น้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
ที่เห็นว่าควรพิจารณาปรับแก้แผนที่ท้ายกฎระทรวง โดยตัดสัญลักษณ์และข้อความ
“เขตเส้นพรมแดนตามกฎหมายระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา” ออก
เพื่อให้การจัดทำแผนที่ท้ายกฎกระทรวงฯ สอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่ผ่านมา ซึ่งไม่ปรากฎสัญญาลักษณ์และข้อความดังกล่าว
อาทิ แผนที่ท้ายกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองระบายน้ำมูโนะ
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ๓๕๖๕ และแผนที่ท้ายกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองปูยู
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้น
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
ที่เห็นว่าส่วนราชการในพื้นที่ควรกำกับดูแลมิให้การดำเนินการดังกล่าวกระทบต่อแนวเขตแดนที่อยู่ระหว่างการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนของ
JBC ไทย-กัมพูชา รวมทั้งปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๔๒ ที่กำหนดให้
“ส่วนราชการที่รับผิดชอบการก่อสร้างถนนหรือการกระทำใด ๆ
บริเวณชายแดนซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสันปันน้ำและหลักเขตแดน
ต้องประสานกับกรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย
กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อร่วมตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนก่อนที่จะดำเนินการ” ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
79 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา จำนวน 12 ตอน | คค. | 07/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณ
ภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์
โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา จำนวน ๑๒
ตอน วงเงิน ๔,๙๗๐,๗๑๐,๖๖๖ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์
โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ได้แก่
(๑) ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓ เป็น
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๖ จำนวน ๓ ตอน ได้แก่ ตอนที่ ๕ ,ตอนที่
๒๐ และตอนที่ ๒๔ (๒) ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๕๙-๒๕๖๓ เป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๗ จำนวน ๕ ตอน ได้แก่ ตอนที่ ๒, ตอนที่ ๑๘ ตอนที่ ๑๙ ตอนที่ ๓๔ และตอนที่ ๓๙ และ (๓)
ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓ เป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘ จำนวน ๔ ตอน ได้แก่ ตอนที่ ๑, ตอนที่ ๔,
ตอนที่ ๒๑, และตอนที่ ๒๓ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง)
รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เช่น
ให้กรมทางหลวงดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่
๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๖๑ เกี่ยวกับแนวปฏิบัติกรณีรายงานการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
พิจารณาการเปิดให้บริการโครงการฯ บางช่วงของเส้นทางที่แล้วเสร็จ
เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรในบริเวณพื้นที่โครงการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม
(กรมทางหลวง)
เร่งรัดการดำเนินการแก้ไขสัญญาเพิ่มเติมและกำกับการก่อสร้างงานโยธาในส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนดไว้
รวมทั้งตรวจสอบงานก่อสร้างในส่วนที่ดำเนินการก่อสร้างไปก่อนการแก้ไขสัญญาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
และดำเนินการให้ถูกต้อง ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
80 | มติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพกลุ่มแรงงานข้ามชาติและมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพกลุ่มเด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติ | สช. | 27/12/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพกลุ่มแรงงานข้ามชาติและมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพกลุ่มเด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติ
โดยมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพกลุ่มแรงงานข้ามชาติ
เช่น การบูรณาการแรงงานข้ามชาติเข้าสู่นโยบายพัฒนาประเทศ
การพัฒนาหลักประกันสุขภาพที่มีเสถียรภาพครอบคลุมแรงงานข้ามชาติทุกกลุ่ม
โดยคำนึงถึงระยะเวลาในการพำนักอยู่ในไทย และการพัฒนาหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิครอบคลุมแรงงานข้ามชาติ
และมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพกลุ่มเด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติ
เช่น การพัฒนาปรับปรุงมาตรการ หลักเกณฑ์
แนวปฏิบัติการรับรองการเกิดและมาตรการเชิงรุก
การจดทะเบียนครบขั้นตอนทันทีหลังการเกิดเพื่อรองรับสิทธิในสัญชาติ
และการปรับปรุงกฎหมาย และพัฒนาบริการสาธารณสุข
สิทธิประโยชน์ทางการแพทย์ที่จำเป็นขั้นพื้นฐาน ตามที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ
สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร.
และสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เช่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจพิจารณาและออกแบบแหล่งที่มาของเงินสนับสนุนการคุ้มครองและส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิทางสุขภาพสำหรับกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว
โดยคำนึงถึงสถานะทางการเงินการคลังของประเทศ
และระดับความสามารถในการร่วมจ่ายเงินของนายจ้างและกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวตามสมควร ให้หน่วยรับประมาณที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
มาดำเนินการในโอกาสแรก สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน
ควรคำนึงถึงการวางแนวทางรองรับผลกระทบที่อาจมีต่อความเสี่ยงทางการคลังของประเทศในระยะยาว
ควรมีการบูรณาการการทำงานและรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน
ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน เพื่อมิให้ขัดกับกฎหมายที่มีอยู่ เช่น
กฎหมายว่าด้วยการกำหนดสัญชาติ
รวมทั้งควรมีการบูรณาการวางแผนการบริหารจัดการการเงินการคลังด้านสุขภาพภาครัฐให้มีความสมดุล
เพียงพอรองรับการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของกลุ่มคนดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และมีความยั่งยืนในอนาคต มติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพกลุ่มแรงงานข้ามชาติ
เช่น ประเด็น “การบูรณาการแรงงานข้ามชาติสู่นโยบายพัฒนาประเทศ”
ควรเน้นการวางแผนการจัดการและการบูรณาการในนโยบายพัฒนาประเทศ “ในระยะยาว ระยะกลาง
และระยะสั้น” ภายใต้บริบทที่สังคมไทยเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น
และมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพกลุ่มเด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติ
เช่น ควรพิจารณาในประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนาระบบประกันสุขภาพที่เหมาะสมกับกลุ่มเด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติ
รวมถึงระบบสนับสนุนการเข้าถึงระบบประกันสุขภาพ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |