ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 9 จากทั้งหมด 25 หน้า แสดงรายการที่ 161 - 180 จากข้อมูลทั้งหมด 486 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
161 | การรับรองเอกสารหลักการแวนคูเวอร์ในการรักษาสันติภาพและการป้องกันการเกณฑ์และการใช้ประโยชน์จากทหารเด็ก (Vancouver Principles on Peacekeeping and the Prevention of the Recruitment and Use of Child Soldiers) | กห | 26/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการรับรองเอกสารหลักการแวนคูเวอร์ในการรักษาสันติภาพและการป้องกันการเกณฑ์และการใช้ประโยชน์จากทหารเด็ก (Vancouver Principles on Peacekeeping and the Prevention of the Recruitment and Use of Child Soldiers) มีสาระสำคัญในการส่งเสริมหลักการในการคุ้มครองเด็กและการปกป้องเด็กจากการเกณฑ์และบังคับให้เป็นทหารในสถานการณ์การขัดกันด้วยอาวุธ โดยได้เน้นย้ำความสำคัญของการคุ้มครองเด็กในการปฏิบัติการรักษาสันติภาพทั้งของสหประชาชาติและภายใต้องค์การระหว่างประเทศระดับภูมิภาค โดยเอกสารหลักการแวนคูเวอร์ฯ ได้เสนอให้บรรจุประเด็นการคุ้มครองเด็กและการปกป้องเด็กจากการเกณฑ์และบังคับให้เป็นทหารในการกำหนดอาณัติ (Mandate) การวางแผนกองกำลัง การฝึกอบรม การเฝ้าระวังและรายงาน มาตรการในการคุ้มครองและดูแลเด็ก การสอบสวน การรักษาวินัยของกองกำลังที่เข้าร่วมภารกิจ การส่งเสริมบทบาทสตรี การปลดอาวุธและการกลับคืนสู่สังคม และการสนับสนุนให้ประเด็นการบังคับเด็กเป็นทหารเป็นหลักเกณฑ์สำคัญในการพิจารณามาตรการลงโทษของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือกับกลไกของสหประชาชาติและประเทศสมาชิกในการจัดทำแนวปฏิบัติที่ดี และให้ผู้แทนกระทรวงกลาโหมที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารหลักการแวนคูเวอร์ฯ ในการประชุม “2019 United Nations Peacekeeping Ministerial on Uniformed Capabilities, Performance and Protection” ในวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๒ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รวมทั้งมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
162 | สรุปผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 25 (The 25th Meeting of Mekong River Commission Council) | ทส | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๕ (The 25th Meeting of Mekong River Commission Council) ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ เมืองฮาลอง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีอุปทูต ณ กรุงฮานอย เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อหารือและกำหนดนโยบายความร่วมมือในการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน การบริหารองค์กรของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง และกำหนดแนวทางความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจา หุ้นส่วนการพัฒนาและองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยที่ประชุมฯ ได้มีมติอนุมัติแผนปฏิบัติการประจำปี ๒๕๖๒ ของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ประกอบด้วย รายรับ ๑๕.๘๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (จากเงินอุดหนุนของประเทศสมาชิกและอื่น ๆ) และรายจ่าย ๑๕.๘๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อดำเนินกิจกรรมหลัก เช่น การศึกษาวิจัย การจัดทำกลยุทธ์ และการจัดทำแนวปฏิบัติการดำเนินงาน เป็นต้น และขอให้สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงปรับปรุงขอบเขตกิจกรรมโครงการตามความเห็นของประเทศสมาชิก เช่น การพัฒนาศูนย์บริหารจัดการและบรรเทาน้ำท่วม การริเริ่มกิจกรรมพยากรณ์น้ำท่วมในแม่น้ำสาขา การจัดทำคำแนะนำสำหรับการออกแบบระบบชลประทานที่เป็นมิตรต่อการประมง และการพัฒนานักวิชาการรุ่นเยาว์ของประเทศสมาชิก เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ รับทราบความก้าวหน้าในการดำเนินงานตามปฏิญญาเสียมราฐ ๒๕๖๑ ที่สำคัญ เช่น การระบุโอกาสในการพัฒนาและความท้าทายของลุ่มแม่น้ำโขงผ่านการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำและโครงการร่วมระหว่างประเทศสมาชิก การเพิ่มพูนความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาและองค์กรความร่วมมือในภูมิภาค และการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนกับองค์กรภาคเอกชน เป็นต้น รวมทั้งรับทราบสาระสำคัญและข้อเสนอจากการจัดทำกลยุทธ์การพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำอย่างยั่งยืน ๒๕๕๙-๒๕๖๓ ได้แก่ การวางแผนร่วมและโครงข่ายเชื่อมโยงด้านพลังงานจะนำมาซึ่งประโยชน์แก่ประเทศสมาชิกเพิ่มขึ้น และการพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำควรดำเนินการควบคู่กับพลังงานแหล่งอื่น ๆ ซึ่งมุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการพัฒนาและบริหารโครงการ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
163 | มาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2562 - 2565) | นร10 | 19/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) ตามมติ คปร. ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ โดยมาตรการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐให้กับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ๒ มาตรการหลัก ได้แก่ (๑) มาตรการพัฒนาระบบบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐเชิงกลยุทธ์ ประกอบด้วย ๓ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์การบริหารจัดการกำลังคนเพื่อรองรับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ กลยุทธ์การพัฒนาระบบการวางแผนและติดตามประเมินผลการใช้กำลังคน และกลยุทธ์การพัฒนาข้อสนเทศเพื่อการบริหารจัดการกำลังคน และ (๒) มาตรการบริหารอัตรากำลังปกติ ประกอบด้วย การจัดสรรอัตราข้าราชการที่ว่างจากผลการเกษียณอายุ การขอจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ และการบริหารอัตราข้าราชการระหว่างปีงบประมาณ ๑.๒ รับทราบผลการดำเนินการตามมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) ประกอบด้วย (๑) ผลการดำเนินการตามมาตรการบริหารจัดการอัตรากำลังปกติ ซึ่งเป็นการดำเนินการเกี่ยวกับการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ การจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการ การดำเนินการทดแทนอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการด้วยการจ้างงานรูปแบบอื่น และการยุบเลิกอัตราลูกจ้างประจำ (๒) ผลการดำเนินการตามมาตรการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์ สรุปผลการดำเนินโครงการส่งเสริมการวางแผนและบริหารกำลังคนของส่วนราชการ (๓) สรุปความคิดเห็นของส่วนราชการ และ (๔) ข้อเสนอแนะสำหรับการกำหนดทิศทางนโยบายการบริหารกำลังคนภาครัฐในระยะต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรพิจารณาดำเนินการทบทวนกรอบอัตรากำลังคนภาครัฐของแต่ละกระทรวงให้เหมาะสมสอดคล้องกับภารกิจและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป สำหรับมาตรการพัฒนาระบบบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐเชิงกลยุทธ์ ในส่วนของกลยุทธ์การพัฒนาข้อสนเทศเพื่อการบริหารจัดการกำลังคน ควรกำหนดตัวชี้วัดให้ครอบคลุมประเด็นความครบถ้วน และถูกต้องด้วย เพื่อให้ส่วนราชการสามารถมีระบบข้อสนเทศเพื่อการบริหารจัดการกำลังคนที่ถูกต้องเหมาะสม ทันสมัย และเป็นมาตรฐานเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดสรรอัตรากำลังรองรับข้าราชการรุ่นใหม่ โดยมุ่งเน้นการบรรจุข้าราชการที่จบการศึกษาในสาขาที่เป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนการดำเนินงานของภาครัฐให้เป็นรัฐบาลดิจิทัลต่อไป ทั้งนี้ ให้พิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการกำหนดค่าตอบแทนพิเศษเพื่อดึงดูดข้าราชการรุ่นใหม่ดังกล่าวให้เข้ามาสู่ระบบราชการเพิ่มมากขึ้นด้วย ๔. สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการดำเนินการตามมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรการด้านการงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บท ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ โดยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ส่วนภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ปีงบประมาณต่อ ๆ ไป เห็นควรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัดด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๕. ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการบริหารจัดการกำลังคนให้เป็นไปตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ประเด็นปฏิรูปที่ ๔ ที่กำหนดให้กำลังคนภาครัฐต้องมีขนาดที่เหมาะสมและมีสมรรถนะสูง พร้อมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. อย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
164 | ร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ | 12/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยเพิ่มเติมสิทธิพื้นฐานของผู้ถือหุ้นรายย่อยเพื่อให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยสามารถใช้สิทธิในฐานะผู้ถือหุ้นได้อย่างแท้จริง กำหนดมาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่และความรับผิดชอบของกรรมการให้มีความโปร่งใสโดยใช้หลักธรรมาภิบาล กำหนดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น การห้ามไม่ให้ถือหุ้นไขว้ในบริษัท เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการ รวมทั้งปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับการควบบริษัท และกำหนดเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการแปรสภาพบริษัทเป็นบริษัทเอกชน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณารวมกับร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมให้ทันสมัย ๖ ประเด็น) ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑) ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ควรกำหนดแนวปฏิบัติในด้านต่าง ๆ ในกฎหมายลำดับรองให้มีความชัดเจน เพื่อให้บริษัทมหาชนจำกัด ผู้ลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีความเข้าใจและปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง และประชาสัมพันธ์ให้ผู้ถือหุ้นส่วนน้อยได้ตระหนักถึงสิทธิและบทบาทหน้าที่ในการติดตามตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบธรรมาภิบาลอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
165 | ผลการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 18 ณ เมืองเดอร์บัน | กต | 05/03/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean Rim Association : IORA) ครั้งที่ ๑๘ ณ เมืองเดอร์บัน สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ซึ่งมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ โดยสาระสำคัญของการประชุมฯ ประกอบด้วย (๑) การรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ รวม ๓ ฉบับ ได้แก่ แถลงการณ์เอเทควินี ปฏิญญาพิเศษเฉลิมฉลองครบรอบ ๑๐๐ ปี วันคล้ายวันเกิดนายเนลสัน แมนเดลา และปฏิญญาเพื่อเป็นแนวปฏิบัติในการเพิ่มพูนปฏิสัมพันธ์กับประเทศคู่เจรจาของ IORA โดยได้มีการปรับแก้ไขถ้อยคำเพียงเล็กน้อย เช่น การเพิ่มกิจกรรมและกำหนดการประชุมต่าง ๆ ที่ประเทศสมาชิก IORA เป็นเจ้าภาพ การตัดข้อความเกี่ยวกับการรับเมียนมาเข้าเป็นสมาชิกใหม่ และปรับแก้ถ้อยคำให้อ่อนลง จาก “ตกลงที่จะร่วมมือกัน (agreement)” เป็น “มีความเข้าใจ (understanding)” (๒) การแสดงวิสัยทัศน์ของประเทศสมาชิกที่จะขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างกัน (๓) ข้อเสนอของที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสรอบครึ่งปีของ IORA ครั้งที่ ๘ ระหว่างวันที่ ๓๐-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ และการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสของ IORA ครั้งที่ ๒๐ เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ที่ให้รับมัลดีฟส์เป็นประเทศสมาชิกลำดับที่ ๒๒ และรับตุรกีและเกาหลีใต้เป็นประเทศคู่เจรจาลำดับที่ ๘ และ ๙ รวมถึงรับรองสมาคมวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งมหาสมุทรอินเดียตะวันตก (Western Indian Ocean Marine Science Association : WIOMSA) และเลื่อนการพิจารณาเรื่องการสมัครเข้าเป็นสมาชิก IORA ของเมียนมาออกไปจนกว่าจะหาฉันทามติได้ และ (๔) การแสดงวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนความร่วมมือ IORA ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และมอบหมายหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องตามผลการประชุมฯ เร่งดำเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป เช่น ความปลอดภัยและความมั่นคงทางทะเล การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน การจัดการภัยพิบัติ และเศรษฐกิจภาคทะเล เป็นต้น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
166 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... | สว | 26/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยสำนักงานศาลยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยสำนักงานศาลยุติธรรมได้ยกร่างคำแนะนำของประธานศาลฎีกาเกี่ยวกับการไต่สวนมูลฟ้อง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างคำแนะนำของประธานศาลฎีกาเกี่ยวกับการพิจารณาและสืบพยานลับหลังจำเลย พ.ศ. .... รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเสนอร่างกฎหมายในประเด็นการสืบพยานในกรณีที่ผู้ต้องหาหลบหนีไปก่อนมีการฟ้องคดีต่อศาลต่อไปแล้ว สำหรับการกำหนดแนวปฏิบัติในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายสำหรับการส่งสำเนาคำฟ้องและหมายเรียกในศาลชั้นต้นนั้น ศาลได้ปฏิบัติตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาตามข้อสังเกตด้วยแล้ว ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
167 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 25 (25th ALMM) และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย | รง | 18/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ ๒๕ (25th ASEAN Labour Ministers Meeting : the 25th ALMM) และการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ ๑๐ (The 10th ALMM+3) ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (พลตำรวจเอก สุวัฒน์ จันทร์อิทธิกุล) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ ๒๕ ในวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ จัดขึ้นภายใต้หัวข้อหลัก “การส่งเสริมงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการเจริญเติบโตอย่างเท่าเทียมและทุกคนมีส่วนร่วมในประชาคมอาเซียน” ซึ่งที่ประชุมสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกอาเซียนเร่งส่งเสริมให้แรงงานมีความพร้อม มีทักษะ และมีขีดความสามารถในการปรับตัวควบคู่ไปกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมที่สำคัญ เช่น ขอบเขตอำนาจหน้าที่รัฐมนตรีอาเซียน (TOR) รัฐมนตรีแรงงานอาเซียน (ALMM) เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของกรอบความร่วมมือรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนให้มีแนวปฏิบัติเป็นมาตรฐานสากล และแถลงการณ์ร่วมของที่ประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ ๒๕ ซึ่งเป็นเอกสารสรุปผลการประชุม ความคืบหน้าของการขับเคลื่อนเอกสารผลลัพธ์ต่าง ๆ และการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการส่งเสริมการขับเคลื่อนงานด้านแรงงาน เป็นต้น ๒. การประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ ๑๐ ในวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ซึ่งที่ประชุมได้มีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายและแนวปฏิบัติของแต่ละประเทศในการส่งเสริมงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการจ้างงานรูปแบบใหม่ และการเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งได้รับทราบและชื่นชมผลการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างอาเซียนและประเทศบวกสาม ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประเทศญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลีในการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน การให้บริการจัดหางาน และระบบประกันสังคมและประกันการจ้างงาน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
168 | รายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | ปช | 29/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และรายงานสรุปผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑ ๑.๒ ให้หัวหน้าส่วนราชการให้ความสำคัญกับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐและนำผลการประเมินไปปรับปรุงพัฒนาตนเองด้านคุณธรรมและความโปร่งใสอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่กำกับดูแลการปฏิบัติราชการของหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ๑.๓ ให้หน่วยงานที่กำกับดูแลการปฏิบัติราชการของหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (๑) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ดำเนินการด้านการกำกับดูแลการประเมิน ด้านส่งเสริมการยกระดับผลการประเมิน (๒) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน มีบทบาทหน้าที่ในการส่งเสริมการยกระดับผลการประเมินด้านคุณธรรมและความโปร่งใสในการบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคลและด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และ (๓) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ มีบทบาทหน้าที่ในการให้ข้อเสนอแนะด้านส่งเสริมการยกระดับผลการประเมิน โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีการรายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐควบคู่กับการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ ๑.๔ หากมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการใด ๆ ให้ดำเนินการปรับเปลี่ยนงบประมาณของหน่วยงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อใช้ในการดำเนินการไปพลางก่อน และให้จัดทำคำขอจัดตั้งงบประมาณแบบบูรณาการตามแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เป็นต้นไป โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอต่อการดำเนินการเนื่องจากเป็นนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เช่น ควรมีการจัดลำดับความสำคัญของปัญหา ประเด็นที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน บทบาทและหน้าที่และแนวปฏิบัติของหน่วยงานภาครัฐที่ชัดเจน ควรจะสนับสนุนงบประมาณให้เพียงพอต่อการดำเนินการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ควรกำหนดกรอบแนวทางการดำเนินการ การกำกับดูแลการประเมิน และการส่งเสริมการยกระดับผลการประเมิน รวมทั้งควรเร่งปรับปรุงการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับดัชนีอื่น ๆ ที่ยังมีคะแนนไม่สูงนักและยังสามารถปรับปรุงการทำงานเพื่อยกระดับคะแนนให้สูงขึ้นต่อไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดัชนีคุณธรรมการทำงานในหน่วยงาน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
169 | การเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | วท | 02/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการพัฒนาโรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี (Biorefinery) ในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก : เมืองนวัตกรรมชีวภาพ (BIOPOLIS) ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และ (๒) โครงการสร้างเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนระดับพลังงาน ๓ GeV และห้องปฏิบัติการ ของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) โดยให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง [ซึ่งรวมถึงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) และ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๐ (เรื่อง แนวปฏิบัติในการเสนอเรื่องและขออนุมัติดำเนินโครงการลงทุนขององค์การมหาชนที่มีวงเงินลงทุนสูงเกินกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท)] อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เช่น ควรเตรียมความพร้อมด้านอื่น ๆ เพื่อรองรับนวัตกรรมและเทคโนโลยีชั้นสูงควบคู่กันไป โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ส่วนโครงการวิจัยและนวัตกรรมขนาดใหญ่เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) แผนงานบูรณาการวิจัยและนวัตกรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
170 | สรุปสาระสำคัญการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ 10 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | ศธ | 02/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปสาระสำคัญการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ ๑๐ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๙ ตุลาคม-๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ กรุงเนปยีดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งที่ประชุมฯ ได้พิจารณาความก้าวหน้าการดำเนินงานตามวิสัยทัศน์อาเซียน แผนงาน/โครงการกิจกรรมด้านการศึกษาภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน อาเซียนบวกสาม สุดยอดเอเชียตะวันออก และความร่วมมืออาเซียนกับประเทศคู่เจรจา การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ตลอดจนให้ข้อคิดเห็นเพื่อพัฒนาการดำเนินความร่วมมือด้านการศึกษาอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการศึกษาของภูมิภาค และการกำหนดแนวทางการดำเนินความร่วมมือระหว่างกันให้สอดรับกับพลวัตการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้พิจารณารับรองกฎบัตรเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน แผนปฏิบัติการอาเซียน-จีนเพื่อความร่วมมือด้านการศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๓ และแผนปฏิบัติการอาเซียนบวกสามด้านการศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๘ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยร่วมลงนามในกฎบัตรฯ กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของประเทศสมาชิกอาเซียนหรือผู้แทนในโอกาสแรก และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยร่วมลงนาม ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างกฎบัตรฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบ พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงแรงงานเกี่ยวกับประเด็นการพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษา-ภาครัฐบาล-ภาคอุตสาหกรรม เพื่อผลิตกำลังคนรองรับการเป็นอุตสาหกรรม ๔.๐ และการจัดตั้ง ASEAN TVET Development Council เพื่อเร่งยกระดับการพัฒนาการศึกษาด้านอาชีพ (TVET) เพื่อรองรับการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๔ โดยมีความกังวลถึงความเป็นไปได้ของการประสานงานข้ามสาขาระหว่างเสาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนกับเสาเศรษฐกิจ และอำนาจหน้าที่ของ ASEAN TVET Development Council ของ TVET ยังขาดความชัดเจนซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหา ที่ประชุมคณะทำงานเจ้าหน้าที่อาวุโสแรงงานอาเซียนว่าด้วยแนวปฏิบัติที่ก้าวหน้าด้านแรงงานเพื่อเสริมสร้างการแข่งขันในอาเซียนจึงมีมติเห็นควรชะลอการนำเรื่องดังกล่าวสู่การพิจารณาของที่ประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน จนกว่าจะมีความชัดเจนในประเด็นดังกล่าว ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
171 | ร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมให้ทันสมัย 6 ประเด็น) | พณ | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. ๒๕๓๕ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มช่องทางโฆษณาทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์นอกจากทางหนังสือพิมพ์ การส่งเอกสาร การประชุมกรรมการผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ การเรียกประชุมกรรมการ การมอบฉันทะให้บุคคลอื่นเข้าประชุมผู้ถือหุ้นแทนโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-proxy) เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายของบริษัทมหาชนจำกัด และส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของบริษัทมหาชนจำกัดให้มีประสิทธิภาพ มีความทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยแก้ไขเพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อประชาชน สอดคล้องกับรูปแบบการติดต่อสื่อสารในปัจจุบัน ซึ่งดำเนินการผ่านวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยลดภาระ ข้อยุ่งยาก ข้อกฎหมายล่าช้า ให้กับภาคเอกชนและประชาชนตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในส่วนของการแก้ไขเพิ่มเติมให้บริษัทมหาชนจำกัดสามารถประชุมคณะกรรมการโดยการติดต่อสื่อสารด้วยระบบเทคโนโลยี (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๗๙) โดยกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการประชุมดังกล่าว โดยการออกเป็นกฎหมายลำดับรอง นั้น หลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวต้องมีมาตรฐานในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการประชุมไม่ต่ำไปกว่ามาตรฐานซึ่งกำหนดไว้ในประกาศกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่อง มาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๕๗ และประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง แนวนโยบายและแนวปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
172 | การขยายอายุบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนและจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนและสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร | ดศ | 13/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายอายุบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนและจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนและสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมทั้งเห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยน (exchange of letters) เพื่อขยายอายุบันทึกความเข้าใจฯ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ทั้งนี้ การขยายอายุบันทึกความเข้าใจฯ จะเป็นการส่งเสริมกิจกรรมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระหว่างอาเซียนกับจีน และระหว่างอาเซียนกับสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ที่จะส่งผลให้เกิดการพัฒนาในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางสารสนเทศ ความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย และจะเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกอาเซียนรวมถึงไทยในการพัฒนาบุคลากร เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และแนวปฏิบัติที่ดี เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับประเด็นที่จะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติของมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
173 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 51 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | กต | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๕๑ และการประชุมรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๓๑ กรกฎาคม-๔ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ (๑) การสร้างประชาคมอาเซียน ที่ประชุมฯ ได้สนับสนุนข้อเสนอของไทย เช่น การจัดตั้งศูนย์อาเซียนเพื่อการหารือและการศึกษาวิจัยด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนที่กรุงเทพมหานคร ในปี ๒๕๖๒ (๒) ประเด็นด้านความมั่นคงในภูมิภาค ได้แก่ สถานการณ์ในทะเลจีนใต้ ที่ประชุมฯ ยินดีต่อพัฒนาการความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับจีน และความคืบหน้าในการเจรจาจัดทำประมวลแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี ประเทศส่วนใหญ่ยินดีกับพัฒนาการเชิงบวกในควบสมุทรเกาหลี และความสำเร็จของการประชุมสุดยอดของผู้นำกาหลี รวมทั้งยินดีต่อการให้คำมั่นของเกาหลีเหนือในการขจัดอาวุธนิวเคลียร์ และสถานการณ์ในรัฐยะไข่ เมียนมาย้ำว่าปัญหาในรัฐยะไข่ไม่ใช่ปัญหาด้านมนุษยธรรมและไม่ได้มีรากฐานจากความขัดแย้งทางศาสนา แต่เป็นปัญหาด้านการเมือง ความมั่นคง และการโยกย้ายถิ่นฐาน โดยรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนยินดีต่อความคืบหน้าในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมผ่านศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบริหารจัดการภัยพิบัติร่วมกับกลไกที่นำโดยรัฐบาลเมียนมา (๓) ประเด็นด้านเศรษฐกิจในภูมิภาค ประเทศส่วนใหญ่แสดงความกังวลต่อแนวโน้มการปกป้องทางการค้าที่เพิ่มมากขึ้น และเห็นว่าการส่งเสริมระบบการค้าแบบพหุภาคีบนหลักกติกา โดยเฉพาะระบบการค้าภายใต้องค์การการค้าโลกเป็นเรื่องจำเป็น และ (๔) ไทยได้รับการชื่นชมว่าได้ทำหน้าที่ประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-สหภาพยุโรปได้อย่างดี โดยจะรับหน้าที่ประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดียต่อจากเวียดนาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการประชุมฯ ไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าตามผลการประชุมฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการนำเศรษฐกิจไปสู่อุตสาหกรรม ๔.๐ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
174 | การขอความเห็นชอบต่อเอกสารที่จะมีการลงนามหรือการรับรองในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 33 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง | กต | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบเอกสารที่จะมีการลงนามหรือการรับรองในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๓ และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ จำนวน ๑๙ ฉบับ โดยให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมลงนามหรือรับรองเอกสาร จำนวน ๑๕ ฉบับ เช่น ร่างปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติว่าด้วยความช่วยเหลือทางกงสุลโดยคณะทูตของรัฐสมาชิกอาเซียนในประเทศที่สามแก่คนชาติของรัฐสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ เป็นต้น และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสาร จำนวน ๑ ฉบับ ได้แก่ ร่างเอกสารแนวคิด-ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในเอกสารแจ้งตอบรับไปยังสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ลงนามเอกสารในนามอาเซียน จำนวน ๓ ฉบับ เช่น ร่างข้อตกลงระหว่างทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศและสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้านความร่วมมือในสาขาเทคโนโลยีนิวเคลียร์และการประยุกต์ใช้ ความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ ความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์ และการพิทักษ์ความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ เป็นต้น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารที่จะมีการลงนามหรือการรับรองดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
175 | ข้อเสนอแนะของคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากรเกี่ยวกับการแก้ไขอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยระบบฮาร์โมไนซ์เพื่อการจำแนกประเภทและการกำหนดรหัสสินค้า (Recommendation of the Customs Co-operation Council Concerning the Amendment of the International Convention on the Harmonized Commodity Description and Coding System) | กค | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อเสนอแนะของคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากรเกี่ยวกับการแก้ไขอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยระบบฮาร์โมไนซ์เพื่อการจำแนกประเภทและการกำหนดรหัสสินค้า (Recommendation of the Customs Co-operation Council concerning the Amendment of the International Convention on the Harmonized Commodity Description and Coding System) ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขข้อความในข้อ ๘ ของอนุสัญญาดังกล่าว จากเดิม ประเทศสมาชิกที่ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการระบบฮาร์โมไนซ์สามารถตั้งข้อสงวนเพื่อร้องขอให้คณะกรรมการทบทวนประเด็นดังกล่าวได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง เป็น ประเทศสมาชิกสามารถยื่นขอให้มีการทบทวนประเด็นหนึ่ง ๆ ได้ไม่เกิน ๒ ครั้ง และคณะกรรมการระบบฮาร์โมไนซ์จะทำการทบทวนประเด็นหนึ่ง ๆ ได้ไม่เกิน ๒ ครั้ง (ไม่นับรวมการพิจารณาในครั้งแรก) โดยเมื่อคณะกรรมการระบบฮาร์โมไนซ์ได้ทบทวนประเด็นนั้น ๆ ครบตามจำนวนครั้งที่กำหนดแล้ว ให้ถือว่ามติของคณะกรรมการเป็นที่สิ้นสุด และให้ประเทศสมาชิกนำมติของคณะกรรมการระบบฮาร์โมไนซ์ในประเด็นดังกล่าวไปใช้เป็นแนวปฏิบัติในการกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรต่อไป เพื่อให้กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการระบบฮาร์โมไนซ์เป็นไปด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ในการตีความและการใช้ระบบฮาร์โมไนซ์ให้เป็นไปตามแนวทางเดียวกัน รวมถึงเป็นการปฏิบัติให้ถูกต้อง ครบถ้วน ตามพันธกรณีระหว่างประเทศเพื่อเป็นการเร่งรัดกระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการระบบฮาร์โมไนซ์ตามที่ที่ประชุมคณะมนตรีความร่วมมือทางศุลกากร [World Customs Organization (WCO) Council Sessions] ครั้งที่ ๑๓๒ ได้ให้การรับรอง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
176 | การรับรองเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 18 | กต | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบเอกสารที่จะมีการรับรองในการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ ๑๘ (18th Meeting of the Council of Ministers of the Indian Ocean Rim Association : 18th IORA COM) ในวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ เมืองเดอร์บัน สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ได้แก่ (๑) ร่างแถลงการณ์เอเทควินี มีสาระสำคัญเป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของประเทศสมาชิก IORA ที่จะให้ความสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือในระดับภูมิภาคและการรวมตัวทางเศรษฐกิจ (๒) ร่างปฏิญญาเพื่อเป็นแนวปฏิบัติในการเพิ่มพูนปฏิสัมพันธ์กับประเทศคู่เจรจาของสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย มีสาระสำคัญเป็นการระบุถึงความมุ่งมั่นของประเทศคู่เจรจา IORA ในการสนับสนุนการพัฒนาอย่างมีพลวัตและเสริมสร้างความเข้มแข็งของ IORA ผ่านการส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศสมาชิก IORA ในสาขาที่มีความสำคัญในลำดับต้น และ (๓) ร่างปฏิญญาพิเศษ เฉลิมฉลองครบรอบ ๑๐๐ ปี วันคล้ายวันเกิดนายเนลสัน แมนเดลา มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการนำแนวคิด วิสัยทัศน์ และผลงานของนายเนลสัน แมนเดลา อดีตประธานาธิบดีสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิด ๑๐๐ ปี มาเป็นแรงบันดาลใจแก่ประเทศสมาชิก IORA เพื่อนำไปปรับใช้ในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของ IORA ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม 18th IORA COM เป็นผู้ร่วมให้การรับรองเอกสารทั้ง ๓ ฉบับดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารทั้ง ๓ ฉบับดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
177 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister : AEM) ครั้งที่ 50 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister : AEM) ครั้งที่ ๕๐ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม-๑ กันยายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางสาวชุติมา บุณยประภัศร) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ โดยสาระสำคัญของการประชุมฯ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้ร่วมลงนามในเอกสาร ๒ ฉบับ คือ พิธีสารอนุวัติข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ ๑๐ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการอาเซียน (ASEAN Framework Agreement on Services : AFAS) และพิธีสารฉบับที่ ๑ เพื่อแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA) และได้มีการรับรอง/เห็นชอบเอกสารรวม ๗ ฉบับ อาทิ ความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน กรอบการบูรณาการด้านดิจิทัลของอาเซียน หลักการสำคัญเรื่องแนวปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบของอาเซียน บัญชีกฎเฉพาะรายสินค้าในพิกัดศุลกากรระบบฺฮาร์โมไนซ์ ๒๐๑๗ (HS2017) และบัญชีรายการสินค้าสิ่งทอและผลิตภัณฑ์สิ่งทอของพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ๒๐๑๗ (HS2017) แนวปฏิบัติสำหรับการดำเนินการตามข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีของสินค้า นอกจากนี้ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการที่สำคัญ อาทิ การเจรจาจัดทำความตกลงการค้าบริการอาเซียน (ASEAN Trade in Services Agreement : ATISA) การใช้งานระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน (ASEAN Single Window) และการจัดทำร่างพิธีสารแก้ไขความตกลงการลงทุนอาเซียน ฉบับที่ ๔ [The 4th Protocol to Amend the ASEAN Comprehensive Investment Agreement (ACIA)] ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่เห็นควรสนับสนุนการดำเนินการและติดตามผลการประชุมฯ เพื่อส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งของประเทศสมาชิกอาเซียน รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ในปี ๒๕๖๒ ซึ่งไทยจะดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนนั้น ควรตอกย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือในระดับอนุภูมิภาค (Subregional cooperation) ที่มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องและเกิดประสิทธิผล ช่วยลดช่องว่างทางการพัฒนาในภูมิภาคอาเซียนซึ่งจะส่งผลต่อความสำเร็จในการรวมตัวกันเป็นประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการพัฒนาความเชื่อมโยงระหว่างกัน (Connectivity) ทั้งทางด้านโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพและกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
178 | รายงานการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิของเจ้าหนี้และลูกหนี้ และมาตรการเยียวยา "การพัฒนาอย่างยั่งยืน : กลไกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เอกชน และสิทธิหลักประกัน" | ยธ | 10/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรายงานการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิของเจ้าหนี้และลูกหนี้ และมาตรการเยียวยา “การพัฒนาอย่างยั่งยืน : กลไกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เอกชน และสิทธิหลักประกัน” (International Conference on Creditors’/Debtors’ Rights and Remedies, Sustainable Development : Introducing Private Trustees in Bankruptcy and Developing Security Interests Regime) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๔-๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร โดยได้รับความร่วมมือจากองค์กรภาคีของประเทศไทยและระหว่างประเทศ ผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศคู่เจรจา ผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศ ผู้แทนจากสถานทูตของประเทศที่เข้าร่วมประชุม ผู้แทนจากภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยวัตถุประสงค์ของการประชุมฯ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ ข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายและแนวปฏิบัติที่ดีเลิศในการบังคับคดีล้มละลาย โดยเฉพาะในประเด็นกลไกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เอกชน เพื่อนำมาศึกษา วิเคราะห์ถึงรูปแบบและความเหมาะสมในการดำเนินการถ่ายโอนภารกิจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สู่ภาคเอกชนของประเทศไทย อีกทั้งนำความรู้มาใช้ในการพัฒนาระบบการบังคับคดี และเกี่ยวกับสิทธิหลักประกัน เพื่อนำมาศึกษาวิเคราะห์ถึงรูปแบบและความเหมาะสมในการพัฒนาปรับปรุงกฎหมายและระบบสิทธิหลักประกัน ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อผลการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจที่ประเมินโดยธนาคารโลก (Ease of Doing Business) ตามตัวชี้วัดที่ ๕ ด้านการเข้าถึงสินเชื่อ และตัวชี้วัดที่ ๑๐ ด้านการแก้ไขปัญหาการล้มละลาย ของประเทศไทย รวมทั้งการพัฒนากฎหมายและระบบการดำเนินงานเกี่ยวกับการบังคับคดีล้มละลายและสิทธิหลักประกัน อันเป็นการส่งเสริมการประกอบธุรกิจอย่างครบวงจรธุรกิจ โดยเฉพาะการช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
179 | การให้ความเห็นชอบเอกสารของคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน | พณ | 10/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ในฐานะคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของไทยให้ความเห็นชอบเอกสารหลักการสำคัญเรื่องแนวปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบของอาเซียน [The ASEAN Good Regulatory Practices (GRP) Core Principles] ซึ่งเป็นเอกสารที่จะไม่มีการลงนาม มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยพัฒนาแนวปฏิบัติด้านกฎระเบียบของประเทศสมาชิกอาเซียน และส่งเสริมความร่วมมือด้านกฎระเบียบภายในภูมิภาค ซึ่งหลักการสำคัญเรื่อง GRP ของอาเซียน ประกอบด้วยหลักการสำคัญ ๖ ประการ คือ (๑) มีความชัดเจนของนโยบาย วัตถุประสงค์ และกรอบเชิงสถาบัน (๒) สร้างประโยชน์โดยก่อให้เกิดต้นทุนและการบิดเบือนตลาดน้อยที่สุด (๓) มีความสอดคล้อง โปร่งใส และสามารถนำไปปฏิบัติได้ (๔) สนับสนุนความร่วมมือด้านกฎระเบียบในภูมิภาค (๕) สร้างการมีส่วนร่วมระหว่างกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และ (๖) มีการทบทวนความสอดคล้อง ประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
180 | ร่าง Large Grant Agreement (LGA) สำหรับโครงการ Measurable Action for Haze-Free Sustainable Land Management in Southeast Asia (MAHFSA) | ทส | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่าง Large Grant Agreement (LGA) สำหรับโครงการ Measurable Action for Haze-Free Sustainable Land Management in Southeast Asia (MAHFSA) และให้เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ลงนามร่าง LGA สำหรับโครงการ MAHFSA ดังกล่าว ในนามของอาเซียนร่วมกับกองทุนระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาเกษตรกรรม (International Fund for Agricultural Development : IFAD) โดยร่าง LGA สำหรับโครงการ MAHFSA ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อลดปัญหาหมอกควันในภูมิภาคอาเซียนผ่านการส่งเสริมขีดความสามารถในการเฝ้าระวัง คาดการณ์และดำเนินการเกี่ยวกับไฟและหมอกควัน ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการรับมือหมอกควันระหว่างประเทศสมาชิกและหุ้นส่วนภายนอก และสร้างเวทีการประสานงานด้านนโยบายและโครงการต่าง ๆ ด้านการแก้ไขปัญหาหมอกควัน โดยโครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก IFAD จำนวน ๓.๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อแก้ปัญหามลพิษหมอกควันอันเนื่องมาจากป่าพรุ โดยมีพื้นที่ดำเนินการในสาธารณรัฐอินโดนีเซียและประเทศมาเลเซีย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการปัญหามลพิษหมอกควันข้ามแดน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....