ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 30 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 581 - 600 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
581 | ขอทบทวนโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2558/59 | พณ | 24/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลังกำกับให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรรับผิดชอบและบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๘/๕๙ โดยไม่ทำสัญญาในลักษณะที่ก่อให้เกิดภาวะต่อเกษตรกร ทั้งนี้ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์พิจารณากำหนดมาตรการในการชดเชยค่าใช้จ่ายกรณีเกิดภาวะขาดทุนจากการดำเนินโครงการฯ และเสนอคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||
582 | รายงานการพิจารณาศึกษายุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อมและพัฒนาศักยภาพสตรีเพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียนอย่างยั่งยืน | สว | 17/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษายุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อมและพัฒนาศักยภาพสตรีเพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียนอย่างยั่งยืน และข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อมและพัฒนาศักยภาพสตรีเพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียนอย่างยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) การพัฒนาศักยภาพและการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจของสตรีไทย (๒) การพัฒนาศักยภาพ และเสริมสร้างภาวะผู้นำกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองและการตัดสินใจในระดับต่าง ๆ ของสตรี (๓) การพัฒนาการเสริมสร้างความตระหนักรู้และยอมรับความเสมอภาคระหว่างเพศ (๔) การพัฒนาสุขภาวะ คุณภาพชีวิต และเสริมสร้างความมั่นคงในชีวิต และ (๕) การสร้างกลไกและพัฒนาศักยภาพองค์กรสตรีระดับชาติ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สถาบันพระปกเกล้า สภาพัฒนาการเมือง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของรายงานการพิจารณาศึกษาดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||
583 | ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน (รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิของ ผู้ต้องขังและสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขจากรัฐ กรณีการเข้าถึงสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขของผู้ต้องขัง) | สม | 17/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิของผู้ต้องขังและสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุข กรณีการเข้าถึงสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขของผู้ต้องขัง ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งมีข้อเสนอเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือให้ผู้ต้องขังได้รับการรักษาอาการป่วยจากภาวะทางจิตและได้รับยาที่เหมาะสม และการให้ผู้ต้องขังในประเทศไทยได้เข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานและประสิทธิภาพที่พึ่งจะได้รับอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นสิทธิทางสุขภาพอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ กติการะหว่างประเทศหรือพันธกรณีระหว่างประเทศ ๒. มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แพทยสภา และสภาการพยาบาล เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||
584 | สรุปผลการประชุมเปิดตัวมาตรฐานขั้นต่ำแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง ("ข้อกำหนดแมนเดลา") ในระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ 70 | ยธ | 17/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมเปิดตัวมาตรฐานขั้นต่ำแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง (“ข้อกำหนดแมนเดลา”) ในระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ ๗๐ ระหว่างวันที่ ๔-๙ ตุลาคม ๒๕๕๘ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยมีสาระสำคัญ สรุปได้ ดังนี้
๑. เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ สหประชาชาติได้มีการเปิดตัวข้อกำหนดขั้นต่ำแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังที่ได้รับการแก้ไขใหม่ ในนามของ “ข้อกำหนดแมนเดลา” อย่างเป็นทางการ โดยสาระสำคัญของข้อกำหนดแมนเดลาที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คือ (๑) เป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในแง่สิทธิการเข้าถึงสุขภาวะของผู้ต้องขัง โดยจะต้องได้รับบริการสาธารณสุขตามมาตรฐานเดียวกันกับโลกภายนอก และการดูแลรักษาที่ต่อเนื่อง ซึ่งมีความสำคัญ เนื่องจากอัตราการแพร่เชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อร้ายแรงอื่น ๆ ในเรือนจำนั้นสูงกว่าในประชากรปกติมาก (๒) มีการระบุที่ชัดเจนขึ้นมากเกี่ยวกับการขังเดี่ยว (Solitary Confinement) โดยให้นิยามการขังเดี่ยวว่าเป็นการขังเป็นเวลา ๒๒ ชั่วโมง หรือ ๑ วัน โดยไม่มีการติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่น ขอบเขตของการนำการขังเดี่ยวมาใช้ และการระบุว่าการยึดระยะเวลาการขังเดี่ยวออกไปนั้นหมายถึงการขยายเวลาเกิน ๑๕ วัน และ (๓) มีการระบุคำแนะนำเรื่องการตรวจค้นที่ล่วงล้ำ (Intrusive Search) เป็นครั้งแรก ทั้งการตรวจค้นแบบเปลือยกาย หรือการตรวจค้นทางช่องทวารของร่างกาย และการกำหนดให้ผู้บัญชาการเรือนจำรายงานการเสียชีวิตระหว่างคุมขังโดยเร็ว การหายสาบสูญหรือการบาดเจ็บร้ายแรง และต้องปฏิบัติสืบสวนในสถานการณ์ และสาเหตุของกรณีนั้น ๆ โดยปราศจากอคติ และมีประสิทธิภาพ ๒. มุมมองในด้านสิทธิมนุษยชน สหประชาชาติเห็นว่าข้อกำหนดแมนเดลาควรมีการปรับปรุงเพื่อให้รัดกุมยิ่งขึ้นใน ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) การห้ามไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติ เนื่องจากยังมิได้มีการกำหนดอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติต่อเพศที่ ๓ ในข้อกำหนดแมนเดลา ในขณะที่สนธิสัญญาอื่น ๆ ด้านสิทธิมนุษยชนส่วนใหญ่มีการระบุในเรื่องนี้แล้ว (๒) การใช้ภาษาหรือศัพท์เฉพาะด้านที่แตกต่างจากที่คณะกรรมการสิทธิผู้พิการ (The Committee on the Rights of Persons with Disabilities) ใช้ และ (๓) การใช้โทษจำคุกกับผู้กระทำความผิดในคดีทางแพ่ง ซึ่งขัดแย้งกับมาตรา ๑๑ ในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (the International Covenant on Civil and Political Rights)
|
||||||||||||||||||
585 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. .... | มท | 17/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรยกเว้นให้สามารถพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนบางประเภทที่ไม่มีมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมหรือมีแต่น้อยมากตามที่หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมจะกำหนด เพื่อเป็นการส่งเสริมการพัฒนาพลังงานทดแทนตามนโยบายของรัฐบาล และเนื่องจากจังหวัดอุบลราชธานีมีปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งซ้ำซาก เพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับ ดูแลการใช้ประโยชน์ที่ดินริมฝั่งแม่น้ำ ลำคลองหรือแหล่งน้ำสาธารณะอย่างเข้มงวด ไม่ให้มีการรุกล้ำลำน้ำ รวมทั้งที่เว้นว่างตามแนวขนานลำน้ำ เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบของจังหวัดสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรองรับการขยายตัวของเมืองได้อย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
586 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... | มท | 17/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรยกเว้นให้สามารถพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนบางประเภทที่ไม่มีมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมหรือมีแต่น้อยมากตามที่หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมจะกำหนด เพื่อเป็นการส่งเสริมการพัฒนาพลังงานทดแทนตามนโยบายของรัฐบาล และเห็นควรเพิ่มประเภทและขนาดโรงงานในบัญชีท้ายร่างกฎกระทรวงฯ รวมทั้งเพิ่มประเภทโรงงาน เช่น ประเภท ๑๐๑ โรงงานปรับคุณภาพของเสียรวม ประเภท ๑๐๕ โรงงานคัดแยก ฝังกลบสิ่งปฏิกูล ประเภท ๑๐๖ โรงงานนำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้วหรือของเสียจากโรงงานมาผลิตเป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่โดยผ่านกรรมวิธีการผลิตทางอุตสาหกรรม ตลอดจนเพิ่มประเภทโรงงาน เช่น ประเภท ๘๘ โรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล ชีวภาพ และขยะชุมชน นอกจากนี้ เนื่องจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอย่างรุนแรง เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำกับให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นดูและอนุมัติการใช้ประโยชน์ที่ดินใก้ห้เป็นไปตามผังเมืองรวมอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการบุกรุกทำลายพื้นที่ชายฝั่งทะเล และควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินให้สอดคล้องกับภูมิสังคมของพื้นที่อย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
587 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2558 และแนวโน้มปี 2558 - 2559 | นร11 | 17/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี ๒๕๕๘ และแนวโน้มปี ๒๕๕๘-๒๕๕๙ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี ๒๕๕๘ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ขยายตัวร้อยละ ๒.๙ ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๘ ในไตรมาสก่อนหน้า โดยด้านการใช้จ่าย การใช้จ่ายภาคครัวเรือนขยายตัวร้อยละ ๑.๗ ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๑.๖ ในไตรมาสก่อนหน้า การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของรัฐบาลขยายตัวร้อยละ ๑.๐ การลงทุนรวมลดลงร้อยละ ๑.๒ โดยการลงทุนภาครัฐขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่องร้อยละ ๑๕.๙ ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนลดลงร้อยละ ๖.๖ ด้านภาคต่างประเทศ การส่งออกสินค้ามีมูลค่า ๕๔,๒๒๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๔.๗ โดยปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ ๑.๘ และราคาสินค้าส่งออกลดลงร้อยละ ๒.๙ ส่วนการนำเข้าสินค้ามีมูลค่า ๔๔,๖๐๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๑๔.๕ ด้านการผลิต สาขาโรงแรมและภัตตาคาร และสาขาก่อสร้างขยายตัวในเกณฑ์ดี สาขาบริการอื่น ๆ ขยายตัวต่อเนื่อง สาขาอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัวและสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น ในขณะที่สาขาเกษตรกรรมได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและเป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ สำหรับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำร้อยละ ๐.๙ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยร้อยละ -๐.๘ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๒๒๔,๐๑๐ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๖.๘ ของ GDP ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๘ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๒.๙ ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๐.๙ ในปี ๒๕๕๗ โดยการส่งออกและการผลิตภาคเกษตรทั้งปีมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงมากกว่าที่คาดไว้ แต่มีปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติมจากจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปีที่คาดว่าจะสูงกว่า ๓๐ ล้านคน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของภาครัฐ ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าทั้งปีจะลดลงร้อยละ ๕.๐ การบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๒.๐ และร้อยละ ๔.๖ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -๐.๘ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๖.๓ ของ GDP ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๙ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๐-๔.๐ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก (๑) การเร่งขึ้นของการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ (๒) แรงขับเคลื่อนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (๓) การฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ของเศรษฐกิจโลกและราคาส่งออก (๔) แนวโน้มการอ่อนค่าของเงินบาทซึ่งจะช่วยให้มูลค่าการส่งออกในรูปเงินบาทขยายตัวเร่งขึ้น (๕) การปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ ของราคาสินค้าเกษตรตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก (๖) ราคาน้ำมันที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจะสนับสนุนอำนาจซื้อของประชาชนและภาคธุรกิจ และเอื้ออำนวยต่อการดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง และ (๗) การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว
|
||||||||||||||||||
588 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 17/11/2558 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการระดมทุนในตลาดทุนเพื่อนำมาสนับสนุนการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ โดยเร่งรัดการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ขนาดใหญ่ เป็นต้น ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย (ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) เพื่อให้การบริหารจัดการในส่วนของระบบรถไฟฟ้าและการเดินรถมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงประโยชน์ต่อประชาชนผู้ใช้บริการและประเทศเป็นสำคัญ ๑.๓ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับหน่วยงานด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งรัดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการใช้จ่ายงบประมาณ การลงทุนภาครัฐ การส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชน การนำเข้า-ส่งออก รวมทั้งการส่งเสริมการท่องเที่ยว ๑.๔ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการยกระดับราคาสินค้าเกษตร โดยส่งเสริมการสร้างวงจรการผลิตที่เชื่อมโยงกันและเหมาะสมกับศักยภาพในแต่ละพื้นที่ ทั้งในด้านแหล่งผลิตวัตถุดิบ แหล่งการแปรรูปผลิตภัณฑ์ และแหล่งจัดจำหน่าย ส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นในรูปแบบใหม่และมีความหลากหลายเพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นในแต่ละกลุ่มจังหวัด และเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ให้ใช้กลไก “ประชารัฐ” ที่เปิดโอกาสให้ภาคเอกชน ภาคประชาชน และองค์กรพัฒนาเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการ รวมทั้งให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่ในเรื่องดังกล่าวด้วย ๒. ด้านการต่างประเทศ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการจัดการประชุมร่วมในระดับคณะรัฐมนตรีกับประเทศกลุ่มเป้าหมายทางเศรษฐกิจ (เช่น สหพันธรัฐรัสเซีย สิงคโปร์) เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ทางการค้า เพิ่มบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลก รวมทั้งพิจารณาการจัดทำข้อตกลงร่วมทางด้านการค้า (เช่น การแลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรกรของไทยกับสินค้าของประเทศกลุ่มเป้าหมาย) และความร่วมมือด้านต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทยสร้างการรับรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโรคติดต่อต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลที่สำคัญ เช่น โรคไข้เลือดออก เป็นต้น โดยให้ข่าวสารทั้งในด้านสถานการณ์ภาวะการระบาดของโรคและความรู้เกี่ยวกับการดูแลและป้องกันโรค รวมทั้งเฝ้าระวังและกำจัดพาหะนำโรคด้วย
|
||||||||||||||||||
589 | กรุงเทพมหานครเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอด One Young World Summit 2015 | มท | 10/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอด One Young World Summit 2015 ของกรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนจาก ๑๙๕ ประเทศ และ ๑ เขตเศรษฐกิจ จำนวนประมาณ ๑,๓๐๐ คน จากทั่วโลกที่มีอายุ ๑๘-๓๐ ปี ได้ใช้เป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านต่าง ๆ กับเยาวชนจากทั่วโลกและพัฒนาศักยภาพของตนในเรื่องการแสดงออกถึงความสนใจ และความใส่ใจในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ บนเวทีระดับโลก รวมถึงการนำเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาของเยาวชนที่สะท้อนออกมาของแต่ละประเทศ โดยหัวข้อในการประชุมจะเน้นในเรื่องการศึกษา (Education) สิ่งแวดล้อม (Environment) ธุรกิจในระดับสากล (Global Business) สิทธิมนุษยชน (Human Rights) สันติภาพและความปลอดภัย (Peace & Security) ภาวะผู้นำและการปกครอง (Leadership & Government) สำหรับประโยชน์ที่จะได้รับจากการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในครั้งนี้ เพื่อให้เยาวชนไทยได้มีโอกาสเช่นเดียวกับเยาวชนนานาชาติอื่น ๆ และเป็นโอกาสประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของประเทศไทยซึ่งจะเป็นผลต่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ความเชื่อมั่นในการลงทุน ความพร้อมของเมืองและของประเทศไทยในด้านต่าง ๆ โดยใช้งบประมาณโครงการดำเนินงานในส่วนของกรุงเทพมหานคร เป็นเงิน ๑๐๕,๖๕๐,๘๐๐ บาท และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการจัดประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||
590 | ขออนุมัติโครงการอาคารปรีคลินิกและศูนย์วิจัย สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงาน | ศธ | 10/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการโครงการอาคารปรีคลินิกและศูนย์วิจัย สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศไทยมีสถาบันทางการแพทย์ที่มีศักยภาพในการแข่งขันกับนานาชาติ ทั้งด้านการศึกษา การวิจัย และการบริการทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข มีผลงานวิจัยที่นำไปใช้ในการพัฒนาการให้บริการ และสร้างความเป็นเลิศด้านการจัดการศึกษาในหลักสูตรทางการแพทย์ สามารถสร้างบัณฑิตที่มีพหุศักยภาพสามารถทำให้สังคมไทยมีสุขภาวะที่ดีขึ้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ในส่วนของงบประมาณสำหรับการดำเนินการ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่อนุมัติในหลักการให้ดำเนินโครงการภายในกรอบวงเงิน ๑,๗๔๐,๘๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๑,๒๑๘,๕๖๐,๐๐๐ บาท และเงินนอกงบประมาณ จำนวน ๕๒๒,๒๔๐,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการผลิตแพทย์ร่วมระหว่างคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีกับกระทรวงสาธารณสุขเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล รวมถึงการจัดการบริการสุขภาพในเขตสุขภาพด้วย และในการดำเนินโครงการดังกล่าวจะต้องดำเนินการในลักษณะบูรณาการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า รวมทั้งประโยชน์ที่ประชาชนและทางราชการจะได้รับเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนและการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพในเชิงบูรณาการอย่างยั่งยืน และให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความพร้อม ความจำเป็นและเหมาะสมที่ต้องใช้จ่ายในแต่ละปีงบประมาณต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
591 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 03/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับเพิ่มสัดส่วนการนำเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ไปลงทุนในต่างประเทศและลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในปัจจุบัน และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่สมาชิก กบข. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย กบข. กำกับดูแลการลงทุนอย่างใกล้ชิด รวมทั้งให้บริหารจัดการความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า และให้ชี้แจงทำความเข้าใจเรื่องการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศและการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์กับสมาชิก กบข. เนื่องจากการลงทุนดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรกำหนดเป้าหมาย ผลการดำเนินงาน แนวทางการลงทุน และยกระดับการกำกับดูแลเป็นพิเศษสำหรับการลงทุนในต่างประเทศและการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งประชาสัมพันธ์แก่สมาชิก กบข. ถึงแนวทางการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงและผลกระทบด้านความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการขยายเพดานการลงทุนในต่างประเทศและการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และควรพิจารณาอย่างรอบคอบกับการนำเงินของกองทุนไปลงทุนกับสถาบันการเงิน บริษัท หรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งควรพิจารณาให้ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง และโดยที่ปัจจุบันกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยได้ผ่อนคลายให้ทำได้เป็นจำนวนไม่เกิน ๕๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่าต่อปี จากเดิม ๑๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่าต่อปี กรณีที่มีความต้องการลงทุนเกินจำนวนดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินก่อน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
592 | สถานการณ์หมอกควันข้ามแดนในอนุภูมิภาคอาเซียนตอนล่างและผลกระทบต่อคุณภาพอากาศในประเทศไทย | ทส | 03/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์หมอกควันข้ามแดนในอนุภูมิภาคอาเซียนตอนล่างและผลกระทบต่อคุณภาพอากาศในประเทศไทย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์มลพิษหมอกควันข้ามแดนอันเป็นผลมาจากการเผาพื้นที่พรุในเกาะสุมาตราและบอร์เนียว สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับประเทศในอนุภูมิภาคอาเซียนตอนล่าง ได้แก่ ประเทศมาเลเซีย สาธารณรัฐสิงคโปร์ และภาคใต้ของประเทศไทย โดยข้อมูลคุณภาพอากาศจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศในภาคใต้ของกรมควบคุมมลพิษพบการเพิ่มสูงขึ้นของฝุ่นละอองในภาคใต้ของประเทศไทยเป็นระยะตั้งแต่ช่วงปลายเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ต่อเนื่องถึงปัจจุบัน โดยพบฝุ่นละอองเฉลี่ย ๒๔ ชั่วโมง ณ เวลา ๐๙.๐๐ น. สูงสุด ๓๖๐ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ในวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๘ ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา สูงเกินเกณฑ์มาตรฐานและอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพมาก ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้กำหนดแผนงานและดำเนินการรับมือกับสถานการณ์หมอกควันทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค ๒. สถานการณ์หมอกควันภาคใต้ ในวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๘ ได้ลดระดับลงจนคุณภาพอากาศทุกจังหวัดในภาคใต้อยู่เกณฑ์ดีถึงปานกลาง พบฝุ่นละอองสูงสุดเพียง ๔๘ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ที่อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี และสถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติแล้ว อย่างไรก็ตาม กรมควบคุมมลพิษจะยังคงติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ไปจนกว่าหน้าแล้งในอนุภูมิภาคอาเซียนตอนล่างจะสิ้นสุดลง ไม่พบจุดความร้อนและการปกคลุมของหมอกควันเหนือเกาะสุมาตรา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
|
||||||||||||||||||
593 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนสิงหาคม 2558 | อก | 03/11/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ลดลงร้อยละ ๘.๓ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อุตสาหกรรมสำคัญที่ลดลง อาทิ HDD โทรทัศน์ ผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนอุตสาหกรรมรถยนต์ขยายตัวได้ดีโดยขยายตัวในระดับ ๒ หลัก ๒. การเปิดปิดโรงงาน โรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ จำนวน ๓๘๘ ราย ลดลงจากเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ ร้อยละ ๕.๔ มียอดเงินลงทุนรวมลดลงร้อยละ ๑๔.๙ แต่มีจำนวนการจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๖.๗ และเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๗.๙ ส่วนโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการ จำนวน ๒๕๓ ราย มากกว่าเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ ร้อยละ ๑๐.๙๖ และมากกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ ๑๕๕.๕๖ ๓. การนำเข้าของภาคอุตสาหกรรม ด้านการนำเข้าเครื่องจักรอุตสาหกรรมและเครื่องมือกล มีมูลค่า ๑,๐๑๕.๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๑.๕ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน และด้านการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า ๖,๑๔๑.๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๐.๓ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการนำเข้าเคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ที่ลดลง ๔. การใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมการผลิต มีปริมาณทั้งหมด จำนวน ๑๐,๐๗๕.๑ ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ลดลงจากเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ ร้อยละ ๒.๒๗ แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๓ จากช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๗ หากแยกการใช้ไฟฟ้าตามขนาดของกิจการ พบว่า กิจการขนาดเล็กและขนาดกลางมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าลดลงจากเดือนที่ผ่านมาแต่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๗ ส่วนกิจการขนาดใหญ่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าลดลงจากเดือนที่ผ่านมาและช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||
594 | ร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงว่าด้วยอัตราภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. .... | มท | 27/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอว่า เพื่อให้การจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและมิให้เป็นภาระให้กับประชาชน ควรพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ในอัตราใหม่ จึงขอนำร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. ๒๕๐๘ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงว่าด้วยอัตราภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. .... ไปหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดอัตราภาษีบำรุงท้องที่ให้สอดคล้องกับโครงสร้างภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการของกระทรวงการคลัง และกำหนดกลไกการกำหนดราคาปานกลางของที่ดินและอัตราภาษีที่สอดคล้องกับนโยบายด้านภาษีของรัฐ ทั้งนี้ สำหรับการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ในปี ๒๕๕๙ ให้ใช้ราคาประเมินปานกลางและอัตราภาษีบำรุงท้องที่ที่จัดเก็บในปัจจุบันไปก่อน ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยเสนอพระราชกฤษฎีกาให้นำราคาประเมินปานกลางของที่ดินที่ใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๔ มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี ๒๕๕๙ โดยด่วนต่อไป |
||||||||||||||||||
595 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ยกเลิกหลักเกณฑ์การสอบสวนผู้ต้องหาที่เป็นเด็ก อายุไม่เกินสิบแปดปี) | ยธ | 27/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยยกเลิกหลักเกณฑ์การสอบสวนผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี (ยกเลิกมาตรา ๑๓๔/๒ และแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๑๓๔/๔ วรรคสาม) เนื่องจากได้กำหนดไว้เป็นการเฉพาะแล้วตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติฯ โดยมีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ และพนักงานอัยการเข้ามามีส่วนร่วมในการสอบสวนเด็กหรือเยาวชนด้วย เพื่อเป็นหลักประกันสิทธิในการแสดงความคิดเห็นของเด็กหรือเยาวชน และเป็นการรักษาสภาพจิตใจของเด็กหรือเยาวชนไม่ให้ถามปากคำจากคำถามที่ไม่เหมาะสมและซ้ำซ้อน และความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ในการสอบสวนตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนฯ ให้ชัดเจนและครอบคลุมการสอบสวนผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี โดยต้องมีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่เด็กร้องขอ และพนักงานอัยการอยู่ร่วมด้วย และการสอบสวนที่ไม่ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหานั้นไม่ได้ ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการตีความและปัญหาในทางปฏิบัติ และเพื่อให้ผู้ต้องหาที่เป็นเด็กได้รับความคุ้มครองสิทธิ สวัสดิภาพ มิให้ได้รับผลกระทบทั้งทางร่างกายและสภาวะทางจิตใจจากกระบวนการยุติธรรม ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้เชิญผู้แทนกระทรวงกลาโหมร่วมพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีไปดำเนินการกำหนดมาตรการป้องกันและแนวทางแก้ไขปัญหากรณีผู้กระทำความผิดกฎหมายเป็นเด็กหรือเยาวชนได้กระทำผิดร้ายแรงหรือกระทำผิดซ้ำอีกโดยมิได้เข็ดหลาบ ซึ่งเป็นปัญหาสังคมที่จะต้องเร่งดำเนินการแก้ไขให้เกิดผลสัมฤทธิ์ รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรนำหลักการตามมาตรา ๑๓๔/๒ และมาตรา ๑๓๔/๔ วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติศาลเยาวชนฯ ซึ่งจะทำให้พระราชบัญญัติดังกล่าวมีความสอดคล้องกับหลักการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาที่เป็นเด็กยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
596 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนสิงหาคม ปี 2558 | พณ | 20/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนสิงหาคม ปี ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศของไทย มูลค่าการส่งออกของไทยเดือนสิงหาคม ปี ๒๕๕๘ ยังคงลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว การส่งออกยานยนต์และส่วนประกอบกลับมาขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๒ ในขณะที่สินค้าเกี่ยวข้องกับน้ำมันยังคงมีมูลค่าส่งออกต่ำตามราคาน้ำมัน และสินค้าเกษตรมีมูลค่าส่งออกต่ำตามราคาในตลาดโลก ส่วนข้อมูลการนำเข้าล่าสุดของตลาดที่เป็นคู่ค้าของไทย ยังแสดงว่าไทยสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาด (Market Share) ในตลาดสำคัญไว้ได้ ๒. ปัจจัยที่มีผลต่อการส่งออกของไทย ภาพรวมเศรษฐกิจโลกและตลาดคู่ค้าหลักในปัจจุบันที่ชะลอตัว โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ส่งผลให้การนำเข้าของเกือบทุกประเทศทั่วโลกยังคงหดตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเข้าของประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ ญี่ปุ่น จีน ฝรั่งเศส เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ๓. การค้าระหว่างประเทศภาคบริการในช่วง ๖ เดือนแรก (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๘) การส่งออกบริการของไทยขยายตัวสูง มีมูลค่ากว่า ๓๐,๓๙๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยบริการที่สร้างรายได้ให้กับประเทศได้มากที่สุด ได้แก่ สาขาการท่องเที่ยว มีมูลค่าการส่งออก ๒๒,๐๙๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาเป็นการส่งออกสาขาบริการทางธุรกิจอื่น ๆ และสาขาขนส่ง ในขณะที่การนำเข้าบริการหดตัวเล็กน้อย โดยมีรายจ่ายภาคบริการ ๒๕,๓๕๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยบริการสาขาที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงที่สุด ได้แก่ สาขาขนส่ง มีมูลค่านำเข้า ๑๒,๑๗๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาเป็นการนำเข้าสาขาท่องเที่ยว และสาขาบริการทรัพย์สินทางปัญญา ส่งผลให้ภาพรวมประเทศไทยยังคงได้ดุลจากการค้าภาคบริการกว่า ๔,๐๔๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ
|
||||||||||||||||||
597 | ผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างไม่เป็นทางการ | กห | 20/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างไม่เป็นทางการ ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระหว่างวันที่ ๑๕ ถึงวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีกลาโหมสาธารณรัฐประชาชนจีนได้นำเสนอประเด็นการพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคงสำหรับอาเซียนและสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน ๕ ประเด็น ได้แก่ (๑) การกำหนดทิศทางความร่วมมือร่วมกันในอนาคตภายใต้หลักฉันทามติเพื่อสร้างประชาคมอาเซียน-จีนที่มีอนาคตร่วมกัน (๒) การดำรงไว้ซึ่งความมั่นคงและเสถียรภาพในภูมิภาคโดยสร้างสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงอย่างครอบคลุมทุกมิติ ยั่งยืน และเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน (๓) การรักษาความต่อเนื่องของกลไกความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างสองฝ่าย (๔) การดำเนินงานความร่วมมือให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และ (๕) การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและจัดการกับความเสี่ยงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ทะเลจีนใต้ ๒. รัฐมนตรีกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นในระหว่างการประชุมฯ ว่า (๑) ภัยคุกคามรูปแบบใหม่ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งไม่สามารถคาดการณ์ได้ และมีความสลับซับซ้อนมากขึ้นเป็นประเด็นด้านความมั่นคงที่สำคัญของภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยพิบัติทางธรรมชาติ การก่อการร้าย การแพร่ขยายของแนวความคิดนิยมความรุนแรง และความมั่นคงทางทะเล (๒) ความร่วมมือของฝ่ายทหารเป็นกลไกที่สำคัญในการตอบสนองต่อความท้าทาย รวมทั้งการสร้างความมั่นคงและสันติภาพในภูมิภาค (๓) อาเซียนสนับสนุนให้สาธารณรัฐประชาชนจีนมีบทบาทอย่างแข็งขันและสร้างสรรค์ในภูมิภาค โดยมีอาเซียนเป็นแกนกลาง (๔) ความมั่งคั่งของภูมิภาคมีความเชื่อมโยงกับความมั่นคงโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีทะเลจีนใต้ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าและการเดินเรือที่สำคัญ ทุกฝ่ายควรปฏิบัติตามปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้อย่างเคร่งครัด และเร่งจัดทำแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ให้สำเร็จโดยเร็ว (๕) ทั้งสองฝ่ายควรสนับสนุนการรักษาผลประโยชน์ สร้างศักยภาพ ความเชื่อมั่น และความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน และ (๖) ทั้งสองฝ่ายควรผลักดันความร่วมมือบนพื้นฐานของกลไกด้านความมั่นคงที่มีอยู่ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ๓. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เข้าเยี่ยมคำนับนายเมิ่ง เจี้ยนจู้ สมาชิกกรมการเมือง หัวหน้าคณะกรรมาธิการการเมืองและกฎหมายคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยแจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์ และเสนอโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟใน ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) ดอกเบี้ยไม่สูงกว่าที่สาธารณรัฐประชาชนจีนเสนอให้อินโดนีเซีย (๒) เงื่อนไขการดำเนินการเทียบเท่าหรือดีกว่าที่ญี่ปุ่นเสนอ และ (๓) อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราภายในประเทศ ร้อยละ ๐.๓-๐.๔
|
||||||||||||||||||
598 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นการถาวร) | กค | 13/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นการถาวร) โดยมีหลักการสำคัญเป็นการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นการถาวรจากอัตราร้อยละ ๓๐ ของกำไรสุทธิ เหลืออัตราร้อยละ ๒๐ ของกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเป็นการถาวร ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังประเมินผลการดำเนินมาตรการลดอัตราภาษีในช่วงที่ผ่านมาทั้งการประเมินผลรายมาตรการและการประเมินผลในภาพรวม ให้ครอบคลุมทางด้านการขยายฐานภาษีการลงทุน การจ้างงาน และภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อรายได้ภาครัฐและภาระหนี้สาธารณะในระยะปานกลาง และรายงานต่อคณะรัฐมนตรีตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
599 | นโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ฉบับที่ห้า (พ.ศ. 2559 - 2564) | นร02 | 06/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างนโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ฉบับที่ห้า (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) โดยมีแนวคิดและทิศทางการประชาสัมพันธ์ที่มุ่งสร้างภูมิคุ้มกันในมิติต่าง ๆ เพื่อให้การประชาสัมพันธ์เป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศสู่ความสมดุล มั่งคง มั่งคั่งและยั่งยืนตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ นโยบายรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประเด็นการปฏิรูปของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ทิศทางของยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี และทิศทางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่สิบสอง พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ โดยให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์สร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนไทยทุกภาคส่วนในสังคมตั้งแต่ระดับปัจเจก ครอบครัว ชุมชนและประเทศ ฟื้นฟูระเบียบสังคมและสร้างความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย มุ่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้ เข้าใจและให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการบริหารประเทศ เตรียมพร้อมให้ประชาชนมีความเท่าทันต่อข่าวสารในภาวะวิกฤตสามารถแยกแยะข้อเท็จจริงออกจากความคิดเห็นได้ เสริมสร้างการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานรัฐในห้วงสถานการณ์ฉุกเฉินให้มีเอกภาพควบคู่ไปกับการประชาสัมพันธ์บทบาทประเทศไทยในการเป็นสมาชิกประชาคมอาเซียนและในเวทีประชาคมโลก ตามที่คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ ๒. ให้คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งรัดการนำนโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติไปดำเนินการเพื่อหน่วยงานระดับกระทรวงและหน่วยงานในสังกัดจะได้นำไปประกอบการจัดทำแผนประชาสัมพันธ์ให้มีความสอดคล้องกับแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติในโอกาสแรกโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดตั้งคณะทำงานประชาสัมพันธ์ส่งเสริมภาพลักษณ์ไทย การประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบถึงช่องทางการเข้าถึงข้อมูลและบริการภาครัฐในรูปแบบ Mobile Applications และศูนย์กลางแอปพลิเคชันภาครัฐ (Government Application Center : GAC) การกำหนดดัชนีชี้วัดความสำเร็จของแผน การมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ รวมทั้งการกำหนดประเด็นการประชาสัมพันธ์ที่เป็นวาระแห่งชาติ และจัดลำดับการเผยแพร่ในแต่ละปี/ช่วงเวลา เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ นำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
600 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2558 (ครั้งที่ 3) | พน | 06/10/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ (Energy Efficiency Plan : EEP 2015) พร้อมมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาและให้การสนับสนุนการดำเนินงานของแผนฯ นี้ด้วย เช่น แนวทางการประหยัดพลังงานแบบ ESCO สำหรับภาคราชการ ซึ่งมอบให้กระทรวงพลังงานและสำนักงบประมาณรับไปพิจารณาเพื่อให้ได้ข้อสรุปโดยเร็ว ๒. เห็นชอบให้ยกเลิกสิทธิพิเศษของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม จำนวนตั้งแต่ ๑๐,๐๐๐ ลิตรขึ้นไป กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และให้กระทรวงพลังงานแจ้งคณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ เพื่อดำเนินการตามระเบียบต่อไป ทั้งนี้ ในกรณีเกิดสภาวะวิกฤติด้านพลังงานและสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ยังจะต้องเป็นผู้ดำเนินการจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยทันที และรายงานผลการดำเนินการดังกล่าวให้กระทรวงพลังงานทราบทุกครั้ง ๓. มอบหมายให้กระทรวงพลังงานประสานกับคณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจเพื่อนำหลักการที่จะยกเลิกสิทธิพิเศษของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ตั้งแต่ ๑๐,๐๐๐ ลิตรขึ้นไป ให้แก่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ เพื่อให้สอดคล้องพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้าฉบับปรับปรุงใหม่ต่อไป |
.....