ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 29 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 561 - 580 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
561 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายน 2558 และสรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ปี 2558 และแนวโน้มปี 2559 | อก | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ และสรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ปี ๒๕๕๘ และแนวโน้มปี ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ ๐.๑ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน อุตสาหกรรมสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องประดับ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ การกลั่นน้ำมัน และเครื่องปรับอากาศ ด้านการนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย การนำเข้าเครื่องจักรอุตสาหกรรมและเครื่องมือกล มีมูลค่า ๙๔๗.๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๐.๒ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า ๕,๓๗๗.๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๑๕.๑ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ด้านการใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมการผลิต มีปริมาณทั้งหมด ๑๐,๐๖๗.๙ ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๕ จากช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๗ ด้านภาวะการประกอบกิจการของโรงงาน เปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานเริ่มประกอบกิจการลดลงคิดเป็นร้อยละ ๑๓.๔๒ มียอดเงินลงทุนรวมลดลงร้อยละ ๓๔.๓๓ แต่มีการจ้างงานรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๓๙ ภาวะการเลิกกิจการของโรงงาน เปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕๗.๖ ส่วนภาวะการลงทุนสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) มีจำนวนโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก สกท. ทั้งสิ้น ๙๕๙ โครงการ น้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๒๘.๙ มีเงินลงทุน ๑๙๕,๖๓๐ ล้านบาท น้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๗๔.๑ ๒. สรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี ๒๕๕๘ และแนวโน้มปี ๒๕๕๙ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๕๘ ขยายตัวร้อยละ ๒.๙ จากปัจจัยด้านการใช้จ่าย การส่งออกบริการและการลงทุนภาครัฐขยายตัวสูง การใช้จ่ายภาคครัวเรือนและภาครัฐขยายตัวต่อเนื่อง ในขณะที่การส่งออกสินค้ายังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและการลงทุนภาคเอกชนลดลง ในด้านการผลิต สาขาโรงแรมและภัตตาคาร และสาขาก่อสร้างขยายตัวในเกณฑ์ดี สาขาบริการอื่น ๆ ขยายตัวต่อเนื่อง สาขาอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัวและสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น ในขณะที่สาขาเกษตรกรรมได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและเป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ สำหรับแนวโน้มภาคอุตสาหกรรมไทยปี ๒๕๕๙ คาดว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมจะขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๘ เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะเริ่มส่งสัญญาณที่ดีขึ้นอย่างช้า ๆ ส่งผลต่อการส่งออกที่คาดว่าจะดีขึ้น การเร่งขึ้นของการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐจะสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||
562 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนพฤศจิกายน ปี 2558 | พณ | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนพฤศจิกายน ปี ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมเศรษฐกิจโลกและตลาดคู่ค้าหลักในปัจจุบันอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยเฉพาะสหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน โดยในเดือนตุลาคม ๒๕๕๘ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ประกาศปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี ๒๕๕๘ อยู่ที่ร้อยละ ๓.๑ เป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินในปี ๒๕๕๒ และเป็นระดับที่ต่ำกว่าการขยายตัวในปี ๒๕๕๗ ที่ขยายตัวร้อยละ ๓.๔ รวมไปถึงสถานการณ์ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกหดตัวสูง โดยเฉพาะน้ำมัน ส่งผลให้ราคาสินค้าส่งออกโลกจะลดลงกว่าร้อยละ ๑๖.๙ จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้สถานการณ์การค้าโลก รวมทั้งประเทศไทยอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่เมื่อเปรียบเทียบสถานการณ์ส่งออกกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก พบว่าการส่งออกของไทยยังมีสถานการณ์ที่ดีกว่าประเทศอื่น ๆ มาก ๒. มูลค่าการค้าระหว่างประเทศในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ การส่งออกเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ มีมูลค่า ๑๗,๑๖๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๗.๔๒ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน (YoY) และระยะ ๑๑ เดือน (มกราคม-พฤศจิกายน ๒๕๕๘) มีมูลค่า ๑๙๗,๒๗๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๕.๕๑ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) สำหรับมูลค่าการนำเข้าเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ มีมูลค่า ๑๖,๘๖๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๙.๕๓ (YoY) และระยะ ๑๑ เดือน (มกราคม-พฤศจิกายน ๒๕๕๘) มีมูลค่า ๑๘๗,๐๔๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๑๑.๑๖ (YoY) ส่งผลให้ดุลการค้าระหว่างประเทศเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ เกินดุล ๒๙๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ระยะ ๑๑ เดือน (มกราคม-พฤศจิกายน ๒๕๕๘) เกินดุล ๑๐,๒๓๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๓. การส่งออกบริการของไทย ในระยะ ๙ เดือน (มกราคม-กันยายน ๒๕๕๘) มีมูลค่ากว่า ๔๔,๔๒๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๔.๘ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (YoY) โดยเฉพาะรายได้จากการท่องเที่ยว มีมูลค่าการส่งออก ๓๒,๓๐๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๑.๙ (YoY)
|
|||||||||||||||||||||
563 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนพฤศจิกายน 2558 | นร11 | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ มีข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติมด้วยว่า ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำเรื่องนี้ไปชี้แจงในรายการเดินหน้าประเทศไทยเพื่อให้ประชาชนเข้าใจภาวะเศรษฐกิจไทยและภาวะเศรษฐกิจโลก สรุปได้ ดังนี้
๑. เศรษฐกิจไทยเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ การใช้จ่ายภายในประเทศทั้งภาคเอกชนและภาครัฐปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่การฟื้นตัวของภาคการผลิตยังมีแนวโน้มล่าช้ากว่าด้านการใช้จ่าย และภาคการส่งออกยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีขึ้น สะท้อนจากเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจที่สำคัญต่าง ๆ ที่ขยายตัว ประกอบด้วย ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน และดัชนีปริมาณการนำเข้า ในขณะที่ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ดัชนีปริมาณการส่งออก และจำนวนนักท่องเที่ยวปรับตัวลดลง ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ เศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วฟื้นตัวดีขึ้น นำโดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตามการปรับตัวดีขึ้นของภาคอสังหาริมทรัพย์ รายได้ครัวเรือน และตลาดแรงงาน เช่นเดียวกับเศรษฐกิจสหภาพยุโรปและเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ในขณะที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวตามการส่งออกและการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ เช่นเดียวกับเศรษฐกิจประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียที่ชะลอตัวตามการส่งออกและการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ขณะที่การดำเนินนโยบายการเงินเริ่มมีทิศทางที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ ๙ ปี ในขณะที่ประเทศสำคัญอื่น ๆ ส่วนใหญ่ยังคงผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||
564 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... | มท | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ในท้องที่บางส่วนของตำบลวัดหลวง บางส่วนของตำบลไร่หลักทอง บางส่วนของตำบลหน้าพระธาตุ บางส่วนของตำบลวัดโบสถ์ บางส่วนของตำบลบ้านช้าง ตำบลกุฏโง้ง ตำบลพนัสนิคม บางส่วนของตำบลนาวังหิน บางส่วนของตำบลบ้านเซิด บางส่วนของตำบลนามะตูม และบางส่วนของตำบลหมอนนาง อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงานเกี่ยวกับขั้นตอนการตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ควรมีการตรวจสอบรายละเอียดแผนที่ท้ายกฎกระทรวงก่อน เพื่อมิให้เกิดปัญหาพื้นที่ทับซ้อนกับพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินท้องที่บางแห่งในอำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. ๒๕๕๒ รวมทั้งการพัฒนาระบบผลิตพลังงานทดแทนบางประเภทที่เข้าข่ายเป็น “โรงไฟฟ้า” เช่น โครงการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าพลังงานขยะ หรือระบบผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ จะมีลักษณะการเป็น “โรงงาน” ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และอาจจะจัดตั้งไม่ได้ในเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินบางประเภท จึงเห็นควรยกเว้นให้สามารถพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนบางประเภทที่ไม่มีมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมหรือมีแต่น้อยมาก ตามที่หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมจะกำหนดเพื่อเป็นการส่งเสริมการพัฒนาพลังงานทดแทนตามนโยบายของรัฐบาล ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่ากรมโยธาธิการและผังเมืองควรพิจารณากำกับดูแลเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์ที่ดินริมคลองห้วยน้อยและคลองห้วยอีแขก เพื่อรักษาคุณภาพลำน้ำและบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในฤดูน้ำหลาก ตลอดจนควบคุมการขยายตัวของเมือง ไม่ให้ขยายตัวกระจัดกระจาย เพื่อให้สอดคล้องกับภูมิสังคมของพื้นที่และสถานการณ์การพัฒนาเมืองได้อย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
565 | รายงานผลการลงนามความร่วมมือทวิภาคี Joint Crediting Mechanism (JCM) กับประเทศญี่ปุ่น | ทส | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการลงนามความร่วมมือทวิภาคี Joint Crediting Mechanism (JCM) โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ร่วมลงนามความร่วมมือฯ กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ กระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศญี่ปุ่น กรุงโตเกียว ซึ่งในการลงนามความร่วมมือทวิภาคี JCM กับประเทศญี่ปุ่น ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์เกี่ยวกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีระดับสูงมาสู่ประเทศไทย และสร้างโอกาสในการเป็นฐานการผลิตเทคโนโลยีระดับสูงต่อไปในอนาคต การกระตุ้นการลงทุนในประเทศไทยและเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัน การดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงิน รวมถึงการเสริมสร้างศักยภาพด้านการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกจากประเทศญี่ปุ่น ตลอดจนผลประโยชน์ร่วมต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจก อาทิ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดต้นทุนการผลิต ลดมลภาวะและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจ สังคมคาร์บอนต่ำ ตามนโยบายรัฐบาลและแผนระดับชาติ นอกจากนี้ ภายใต้กลไก JCM ประเทศญี่ปุ่นจะให้การสนับสนุนความรู้ทางเทคโนโลยีและงบประมาณไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าโครงการ โดยโครงการของประเทศไทยที่ได้รับคัดเลือกในปี ๒๕๕๘ มีจำนวนทั้งสิ้น ๕ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการลดก๊าซเรือนกระจกในโรงงานทอผ้า (๒) โครงการผลิตไฟฟ้าด้วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์ติดตั้งบนหลังคาโรงงาน (๓) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานของเครื่องปรับอากาศและตู้แช่เย็นในร้านสะดวกซื้อ (๔) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานของระบบโครงสร้างพื้นฐานภายในโรงงานผลิตอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำ และ (๕) โครงการติดตั้งระบบผลิตพลังงานร่วม (ไฟฟ้าและความร้อน) สำหรับโรงงานผลิตรถมอเตอร์ไซต์ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการดำเนินการเพื่อสนับสนุนการพัฒนากลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM) เพื่อส่งเสริมการลงทุนและการใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำในภาคอุตสาหกรรม
|
|||||||||||||||||||||
566 | รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2557 | ทส | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมรายสาขา ประกอบด้วย ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรพลังงาน สิ่งแวดล้อมชุมชน สิ่งแวดล้อมธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมศิลปกรรม ภาวะมลพิษ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่ดินและป่าไม้ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พลังงาน ภาวะมลพิษ และการแปรปรวนของสภาพอากาศ ๒. สถานการณ์สิ่งแวดล้อมประเด็นพิเศษ ประกอบด้วย ๔ เรื่อง ได้แก่ ภัยแล้งกับความมั่นคงด้านน้ำ อาหารและพลังงาน การใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าไม้ ขยะมูลฝอยชุมชนและของเสียอันตราย และการใช้พลังงานหมุนเวียน ๓. ข้อสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย ข้อเสนอการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านต่าง ๆ และข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาระบบการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมโดยรวมของประเทศ
|
|||||||||||||||||||||
567 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การจัดการภัยพิบัติตามธรรมชาติภาวะโลกร้อน) | มท | 19/01/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง การจัดการภัยพิบัติตามธรรมชาติภาวะโลกร้อน) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ได้จัดการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพลังงาน และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยที่ประชุมมีผลการพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอแนะที่ให้ปฏิรูปการสร้างยุทธศาสตร์ต่อยอดให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ที่ประชุมเห็นด้วยกับยุทธศาสตร์การป้องกันและลดผลกระทบหรือยุทธศาสตร์เพื่อลดความเสี่ยง ยุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อม ยุทธศาสตร์การจัดการหลังเกิดภัย และยุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อมเพื่อดูแลผลกระทบจากภาวะโลกร้อน แต่ไม่เห็นด้วยกับยุทธศาสตร์การบริหารจัดการฉุกเฉินที่เสนอให้มีการจัดตั้งคณะทำงานยุทธศาสตร์ โดยมีผู้รับผิดชอบสูงสุดและคณะทำงานที่มีประสบการณ์เพื่อมาบริหารเชิงยุทธศาสตร์ เนื่องจากการจัดการภัยพิบัติรุนแรงขนาดใหญ่ ปัจจุบันมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยหรือนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้มีอำนาจควบคุมและสั่งการได้ตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๐ และพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ภายใต้โครงสร้างของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งมีรูปแบบและกลไกที่เหมาะสมอยู่แล้ว ๑.๒ ข้อเสนอแนะที่ให้พัฒนาและปรับปรุง "ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ" ให้มีกลไกการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพโดยด่วนแล้วพัฒนาเป็น "ศูนย์ป้องกันและจัดการภัยพิบัติแห่งชาติ" ในระยะต่อไป ที่ประชุมไม่เห็นด้วยเนื่องจากภารกิจซ้ำซ้อนกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และการจัดการสาธารณภัยของประเทศได้มีการบูรณาการผ่านคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งมีรูปแบบการบูรณาการที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพดีอยู่แล้ว รวมถึงกลไกการแจ้งเตือนภัยและการแจ้งข่าวสารของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยสามารถเข้าถึงประชาชนทั่วทุกพื้นที่ได้สะดวกและรวดเร็วโดยผ่านกลไกจังหวัด อำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บาน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อีกทั้งเมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้รับหลักการร่างพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อจัดตั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่ให้ถ่ายโอนภารกิจและอำนาจหน้าที่ของศูนย์เตือนภัยพิบัติไปเป็นของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นอกจากนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจะปรับปรุงโครงสร้างและบทบาทหน้าที่ของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติให้มีประสิทธิภาพในการเฝ้าระวัง วิเคราะห์ และแจ้งเตือนภัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการภัยพิบัติของประเทศให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงมหาดไทยให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
568 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 3 ปี 2558 และภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนตุลาคม 2558 | อก | 19/01/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๓ ปี ๒๕๕๘ และภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนตุลาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๓ ปี ๒๕๕๘ การส่งออกและการนำเข้ามีมูลค่าลดลงร้อยละ ๕.๒๖ และ ๑๕.๒๗ ตามลำดับ ซึ่งเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายปี ๒๕๕๖ โดยการค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น ๑๐๕,๑๒๙.๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๒. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนตุลาคม ๒๕๕๘ ๒.๑ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ ๔.๒ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อุตสาหกรรมสำคัญที่ลดลง อาทิ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก น้ำดื่ม ผลิตภัณฑ์พลาสติก และเครื่องนุ่งห่ม ขณะที่อุตสาหกรรมรถยนต์และอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ขยายตัวได้ดี ๒.๒ การเปิดปิดโรงงาน โรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ มีจำนวน ๓๕๒ ราย ลดลงจากเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ร้อยละ ๒๙.๓๒ มียอดเงินลงทุนรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๐๔.๘๖ และมีจำนวนการจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๗.๒๒ ส่วนโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการ มีจำนวน ๑๗๐ ราย ๒.๓ การขอรับการส่งเสริมการลงทุน เดือนมกราคม-ตุลาคม ๒๕๕๘ มีจำนวนโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก The Board of Investment of Thailand : BOI ทั้งสิ้น ๘๒๘ โครงการ เงินลงทุน ๑๗๙,๖๓๐ ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๒๘.๕ และ ๗๑.๕ ตามลำดับ ๒.๔ การนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย ได้แก่ การนำเข้าเครื่องจักรอุตสาหกรรม และเครื่องมือกล มีมูลค่า ๑,๐๕๒.๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๑๗.๔ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน และการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า ๖,๔๐๐.๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๕.๒ จากการนำเข้าอุปกรณ์ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ รวมถึงผ้าผืนด้ายและเส้นใยที่ลดลง ๒.๕ การใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมการผลิต มีปริมาณทั้งหมดจำนวน ๑๐,๑๙๑.๘ ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ร้อยละ ๐.๙ (๑๐,๑๐๐.๙ ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง) โดยกิจการขนาดเล็กและขนาดกลางมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าลดลงจากเดือนที่ผ่านมา ส่วนกิจการขนาดใหญ่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา
|
|||||||||||||||||||||
569 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาการชำระคืนหนี้เงินกู้ค่าออกแบบ ค่าก่อสร้างและค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2553 ออกไปอีก 7 ปี | คค | 19/01/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขยายเวลาให้รัฐบาลรับภาระหนี้แทนการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จากเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ให้รัฐบาลรับภาระจ่ายชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยของเงินกู้ค่าออกแบบ ค่าก่อสร้าง และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) ต่อไปอีก ๗ ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ทั้งนี้ หากประมาณการรายได้แตกต่างไปจากที่คาดการณ์ไว้มากทั้งกรณีที่สูงและต่ำกว่าประมาณการ กระทรวงคมนาคมจะพิจารณานำเสนอการรับภาระหนี้ของรัฐบาลให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งตามความเหมาะสมต่อไป ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้แก่ รฟม. เป็นรายปี หรือจนกระทั่งมีการโอนภาระการชำระหนี้คืนเงินต้นและดอกเบี้ยเงินกู้ดังกล่าวออกจาก รฟม. หรือ รฟม. มีความสามารถในการชำระคืนได้เองก่อนปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนของหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศเมื่อภาวะตลาดเอื้ออำนวย การพิจารณาแนวทางที่จะเพิ่มความสามารถในการจัดหารายได้เชิงพาณิชย์โครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล และสายใหม่ที่กำลังจะเปิดให้บริการเพื่อนำรายได้ดังกล่าวมาชำระคืนหนี้ค่าก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษาแนวทางการจัดตั้งกองทุนเพื่อการชำระหนี้ (Sinking Fund) ในกรณีเมื่อรายได้ที่รับจากการดำเนินงานสูงกว่ารายจ่ายเพื่อนำรายได้ดังกล่าวมาบริหารและชำระคืนหนี้ได้อีกช่องทางหนึ่ง การดำเนินมาตรการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการกิจการโดยเฉพาะในการจัดทำแผนการหารายได้เชิงพาณิชย์ และการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ทั้งในปัจจุบันและอนาคตให้เต็มศักยภาพโดยไม่ขัดกับกฎหมายเพื่อให้ รฟม. สามารถพึ่งพาตนเองได้โดยเร็ว รวมทั้งการจัดทำประมาณการจำนวนผู้โดยสารให้สอดคล้องกับความเป็นจริงเพื่อที่จะสามารถวางแผนทางการเงินขององค์กรได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ตลอดจนกำกับดูแลให้ รฟม. เร่งสร้างรายได้เชิงพาณิชย์ให้มีเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายขององค์กร และสามารถแบ่งเบาภาระงบประมาณในการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยของเงินกู้โดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
570 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ฯ ครั้งที่ 2/2559 วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2559 | อื่นๆ | 19/01/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ (ด้านความมั่นคง ลดความเหลื่อมล้ำ การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๙ และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้รับผิดชอบในการบูรณาการความต้องการใช้ยางของทุกส่วนราชการ และเสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ ฯ พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รองประธานกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ ฯ เสนอ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางแก้ไขปัญหาราคายางโดยเร่งด่วน สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กรอบการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรยางพาราในเบื้องต้น โดยรับซื้อยาง ประเภทยางแผ่นดิบชั้น ๓ น้ำยางดิบ และยางก้อนถ้วย ทั้งนี้ กำหนดราคายางแผ่นดิบชั้น ๓ (USS3) สูงสุดไม่เกิน ๔๕ บาท/กิโลกรัม หรือ ๔๕,๐๐๐ บาท/ตัน สำหรับยางประเภทอื่น ได้แก่ น้ำยางดิบ ยางก้อนถ้วย ให้กำหนดราคาตามเกณฑ์มาตรฐานราคายางตามสัดส่วน โดยเป็นการช่วยเหลือเบื้องต้น ภายในกรอบวงเงิน ๔,๕๐๐ ล้านบาท ๑.๒ หน่วยงานที่รับซื้อยางจากเกษตรกรโดยตรง ได้แก่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ การยางแห่งประเทศไทย และองค์การคลังสินค้า ทั้งนี้ ในการขึ้นทะเบียนบัญชีรายชื่อเกษตรกรชาวสวนยาง ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินการตรวจสอบสถานะเกษตรกรและดำเนินการลงทะเบียน เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๓ งบประมาณในการรับซื้อ ใช้งบประมาณจากกองทุนพัฒนายางพารา ตามพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ ก่อน หากไม่เพียงพอจึงให้ใช้จากสินเชื่อของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยรัฐชดเชยต้นทุนในอัตรา FDR+1 ๑.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการบูรณาการความต้องการใช้ยางของทุกส่วนราชการ และเสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ ฯ พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๙ ๒. ให้การยางแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้การยางแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการนำยางพาราไปใช้ในการดำเนินโครงการของส่วนราชการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยยางพาราที่ได้จัดซื้อจากเกษตรกรสามารถส่งผ่านไปยังกระบวนการแปรรูป/การผลิต เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ยางพาราที่ตรงกับปริมาณความต้องการของส่วนราชการต่าง ๆ และให้ภาครัฐเร่งรัดในการควบคุมพื้นที่การปลูกยางพารา โดยเฉพาะพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์หรือกรณีพื้นที่บุกรุกป่าสงวนหรืออุทยานแห่งชาติ รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการส่งเสริมการปลูกพืชอื่นทดแทนการปลูกยางพารา หรือการปลูกพืชอื่นร่วมกับการปลูกยางพารา เพื่อเป็นทางเลือกและเป็นการเสริมสร้างรายได้เช่นเดียวกับโครงการสนับสนุนสินเชื่อเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยเพื่อประกอบอาชีพเสริม และเร่งรัดการดำเนินโครงการสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรชาวสวนยาง เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยางพาราจากภาวะราคาตกต่ำ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
571 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การบังคับโทษปรับการรอการกำหนดโทษและรอการลงโทษ และแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับโทษของผู้ใช้และผู้ถูกใช้) | นร | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการที่คณะกรรมาธิการจะแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การบังคับโทษปรับ การรอการกำหนดโทษและรอการลงโทษ และแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับโทษของผู้ใช้และผู้ถูกใช้) ตามข้อเสนอของสำนักงานศาลยุติธรรม ดังนี้ ๑.๑ แก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักเกณฑ์อัตราโทษจำคุกที่ให้ศาลรอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษสำหรับผู้กระทำความผิดซึ่งจะถูกลงโทษจำคุก จากกำหนดไว้ “... จำคุกไม่เกิน ๓ ปี” เป็น “... จำคุกไม่เกิน ๕ ปี” เพื่อลดจำนวนผู้กระทำความผิดที่จะต้องถูกส่งเข้าระบบเรือนจำ ๑.๒ แก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำหนดโทษสำหรับผู้ใช้เด็กหรือเยาวชนอายุไม่เกินสิบแปดปี ผู้พิการหรือป่วยเจ็บ ลูกจ้างหรือผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ผู้ที่มีฐานะยากจน หรือผู้ต้องพึ่งพาผู้ใช้ไม่ว่าทางใด กระทำความผิด โดยให้เพิ่มโทษที่จะลงแก่ผู้ใช้กึ่งหนึ่งของโทษที่ศาลกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น เพื่อป้องปรามมิให้มีการใช้ผู้ที่มีความอ่อนแอทางร่างกายหรือจิตใจหรืออยู่ในภาวะจำยอมให้กระทำความผิด ๒. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบเพื่อแจ้งให้คณะกรรมาธิการดังกล่าวทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
572 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนตุลาคม ปี 2558 | พณ | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนตุลาคม ปี ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. มูลค่าการค้าระหว่างประเทศในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ การส่งออกเดือนตุลาคม ๒๕๕๘ มีมูลค่า ๑๘,๕๖๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๘.๑๑ (YoY) เนื่องจากช่วงต้นปี ๒๕๕๗ การส่งออกชะลอตัวจากปัจจัยทางการเมือง และกลับมาฟื้นตัวในช่วงไตรมาสที่ ๔ ของปี ๒๕๕๗ ส่งผลให้ไตรมาสสุดท้ายของปี ๒๕๕๗ การส่งออกมีมูลค่าสูงและเป็นไตรมาสเดียวที่ขยายตัวเป็นบวกที่ร้อยละ ๑.๕๘ (YoY) ในขณะที่การนำเข้าเดือนตุลาคม ๒๕๕๘ มีมูลค่า ๑๖,๔๖๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๑๘.๒๑ (YoY) ส่งผลให้ดุลการค้าระหว่างประเทศเดือนตุลาคม ๒๕๕๘ เกินดุล ๒,๑๐๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๒. มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมเกษตรหดตัวตามราคาสินค้าเกษตรโลก เดือนตุลาคม ๒๕๕๘ ลดลงร้อยละ ๑๐.๓ (YoY) ตามทิศทางของราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่ยังคงชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าสินค้าเกษตรส่งออกสำคัญอย่างยางพารา จะมีปริมาณส่งออกสูงขึ้น แต่ราคายังคงอยู่ในระดับต่ำทำให้มูลค่าการส่งออกหดตัวลง โดยสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรมีมูลค่าการส่งออกที่เปลี่ยนแปลงไป (YoY) ได้แก่ ยางพารา ข้าว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง อาหารทะเลแช่แข็งกระป๋องและแปรรูป ผลไม้สด ผลไม้แช่แข็ง และผลไม้แห้ง น้ำตาลทราย ผลไม้กระป๋องและแปรรูป รวมทั้งไก่แปรรูป ๓. มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหดตัวลง เดือนตุลาคม ๒๕๕๘ ลดลงร้อยละ ๖.๖ (YoY) โดยสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของไทยคือ รถยนต์และส่วนประกอบ ขยายตัวที่ร้อยละ ๐.๒ (YoY) ในขณะที่มูลค่าส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันดิบหรืออุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างการใช้วัตถุดิบซึ่งมาจากการกลั่นปิโตรเลียม ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติกลดลงต่อเนื่องตามภาวะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว และมีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำไปจนถึงสิ้นปี หากไม่รวมสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและทองคำ มูลค่าการส่งออกรวมของไทยในเดือนตุลาคม ๒๕๕๘ จะหดตัวร้อยละ ๖.๗ (YoY)
|
|||||||||||||||||||||
573 | โครงการอบรมเพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิตของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ปี 2558/59 และจากปัญหาราคาสินค้าเกษตร | กษ | 15/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนการปฏิบัติงานโครงการอบรมเพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิตของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘/๕๙ และจากปัญหาราคาสินค้าเกษตร เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภาวะภัยแล้งในปี ๒๕๕๘/๕๙ และผลกระทบจากปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ให้มีรายได้เพียงพอต่อการยังชีพและมีความยั่งยืน สามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการประกอบอาชีพหลักและอาชีพเสริมในช่วงที่ประสบปัญหาภัยแล้งหรือราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เป้าหมายเกษตรกร ๒๒๐,๕๐๐ ราย แบ่งเป็น ๕ รุ่น รุ่นละ ๕๐ ราย ใช้พื้นที่ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ๘๘๒ ศูนย์ ใน ๗๗ จังหวัด เริ่มดำเนินการวันที่ ๑ กุมภาพันธ์-๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยในส่วนของงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่อนุมัติกรอบวงเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการฯ ในวงเงินทั้งสิ้น ๑,๐๖๔,๕๗๔,๐๐๐ บาท และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเตรียมความพร้อมและกำกับดูแลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามระยะเวลาของแผนปฏิบัติงานที่เสนอ เพื่อให้สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้บรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทยประสานงานกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติในการสนับสนุนการสร้างเครือข่ายของประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่เพื่อดำเนินการปฏิรูปการเกษตร การสร้างการเรียนรู้ร่วมกันผ่านศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรทั่วประเทศ โดยมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินการและใช้กลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ด้วย ๓. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ เรื่อง โครงการตามแผนพัฒนาอาชีพเกษตรกรตามความต้องการของชุมชนเพื่อบรรเทาภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘/๕๙ กรณีการปลูกพืชใช้น้ำน้อย โดยอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๖๗,๕๖๖,๖๘๕ บาท ให้กรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
574 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิเด็ก กรณีการเข้าตรวจสอบและควบคุมตัวกลุ่มแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายที่อาศัยอยู่ในชุมชนคอกควาย อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก | สม | 15/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิเด็ก กรณีการเข้าตรวจสอบและควบคุมตัวกลุ่มแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายที่อาศัยอยู่ในชุมชนคอกควาย อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ควรกำชับให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๘ ซึ่งเป็นการให้สิทธิและให้โอกาสแก่เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยหรือเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนของรัฐได้ โดยไม่จำกัดระดับหรือประเภทการจัดการศึกษา ๑.๒ ควรจัดทำคู่มือหรือแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดการศึกษาให้เด็กซึ่งไม่มีสัญชาติไทยหรือเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียน ๑.๓ ควรจัดสรรงบประมาณและบุคลากรให้เพียงพอ และจัดทำหลักสูตรให้เหมาะสมกับอัตลักษณ์เฉพาะของเด็ก เช่น ภาษา ระดับพัฒนาการ ความพิการทางด้านร่างกายและสติปัญญา เป็นต้น ๑.๔ กรณีพบว่าเด็กซึ่งไม่มีสัญชาติไทยหรือเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนต้องให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน พร้อมประสานส่งต่อไปยังหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้รับการคุ้มครองสิทธิ ๑.๕ ควรสนับสนุนให้จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้สำหรับเด็กทุกสัญชาติที่อยู่ในพื้นที่ชายแดน และจัดสรรงบประมาณอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายหัวแก่สถานศึกษา ๑.๖ ควรกำชับให้เจ้าหน้าที่เร่งรัดการจดทะเบียนการเกิดเพื่อให้เด็กทุกคนมีสถานะบุคคลและจัดทำทะเบียนสำหรับบุคคลซึ่งไม่มีสัญชาติไทย รวมทั้งจัดอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาและการออกเอสารางทะเบียนให้เด็กซึ่งไม่มีสัญชาติไทยหรือเด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียน ๑.๗ มีหน่วยงานหลักในการประสานงานให้ความช่วยเหลือหญิงและเด็กเคลื่อนย้าย โดยจัดทำระบบฐานข้อมูลและระบบการช่วยเหลือคุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพให้ชัดเจน รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนงบประมาณให้แก่องค์กรพัฒนาเอกชนด้านเด็กที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ ๑.๘ ควรกำชับให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามมาตรการและแนวทางการดำเนินงานตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพคนต่างด้าวหรือแรงงานต่างด้าว และกำชับให้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลและสถานพยาบาลทุกแห่งดำเนินการออกใบรับรองการเกิดให้แก่เด็กต่างด้าวทุกคน รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้คนต่างด้าวแรงงานต่างด้าวรับทราบและเข้าถึงสิทธิของคนในอันที่จะได้รับประโยชน์จากการประกันสังคม ๒. มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุขเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
575 | ขอความเห็นชอบร่างพิธีสารในการติดต่อประสานงานสำหรับการบริหารจัดการภาวะวิกฤตของตำรวจอาเซียน [The ASEANAPOL Communications and Co-ordination Protocol Crisis Management (ACCPCM)] | ตช | 15/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอร่างพิธีสารในการติดต่อประสานงานสำหรับการบริหารจัดการภาวะวิกฤตของตำรวจอาเซียน [The ASEANAPOL Communications and Co-ordination Protocol for Crisis Management (ACCPCM)] เพื่อจะได้นำร่างพิธีสารฯ เข้าลงนามร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกตำรวจอาเซียนและองค์กรตำรวจสากล ในการประชุมหัวหน้าตำรวจอาเซียนครั้งที่ ๓๖ ซึ่งจะจัดขึ้นประมาณเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ ต่อไป โดยร่างพิธีสารฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูล แลกเปลี่ยนข่าวสาร และข่าวกรองระหว่างประเทศสมาชิกที่ได้รับผลกระทบไปยังประเทศสมาชิกอื่น ๆ และศูนย์ประสานงานองค์การตำรวจสากล เพื่อร้องขอและให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกที่ประสบภาวะวิกฤตทั้งทางด้านเทคนิค การสืบสวนสอบสวน ตลอดจนการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองผ่านระบบศูนย์ข้อมูลตำรวจสากล (I-24/7) และเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างประเทศสมาชิกผ่านระบบศูนย์ข้อมูลตำรวจสากล (I-24/7) และระบบศูนย์ข้อมูลตำรวจอาเซียน (e-ADS) ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการได้โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการแก้ไขดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||
576 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สามของปี 2558 | นร11 | 15/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สามของปี ๒๕๕๘ ซึ่งมีความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญในเชิงบวกทั้งการดูแลเด็กได้ดีขึ้น ประเทศไทยมีความก้าวหน้าอย่างสำคัญในการแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็กและขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย การสร้างโอกาสและการยอมรับให้กับเด็กและเยาวชนกระทำผิดได้กลับสู่สังคม รายได้ครัวเรือนมากกว่ารายจ่าย มีโอกาสในการออมไว้สำหรับวัยสูงอายุมากขึ้นผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินดีขึ้น อย่างไรก็ดี ยังมีความเคลื่อนไหวทางสังคมที่ต้องติดตามเฝ้าระวังเพื่อบรรเทาผลกระทบของปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น ทั้งการจ้างงานภาคเกษตรกรรมที่ลดลง หนี้สินครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง จำนวนผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกที่เพิ่มขึ้น อัตราการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกยังเพิ่มขึ้น รวมทั้งความจำเป็นในการเร่งยกระดับคุณภาพการศึกษาและเรียนรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพคนในทุกช่วงวัย
|
|||||||||||||||||||||
577 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม - มิถุนายน 2558) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 08/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๘) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกอบด้วยเนื้อหา ๒ ส่วน ได้แก่ สรุปภาวะเศรษฐกิจ ปี ๒๕๕๘ เกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๘ เสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน และเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๘ และสรุปการดำเนินงานของ ธปท. เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายการเงิน แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน รวมทั้งแนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายระบบการชำระเงิน
|
|||||||||||||||||||||
578 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนกันยายน ปี 2558 | พณ | 08/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนกันยายน ปี ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมเศรษฐกิจโลกและตลาดคู่ค้าหลักในปัจจุบันอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน โดยล่าสุด (ตุลาคม) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ประกาศปรับลดคาดการณ์ขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี ๒๕๕๘ อยู่ที่ร้อยละ ๓.๑ เป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินในปี ๒๕๕๒ และเป็นระดับที่ต่ำกว่าการขยายตัวในปี ๒๕๕๗ ที่ขยายตัวร้อยละ ๓.๔ รวมไปถึงสถานการณ์ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกหดตัวสูง โดยเฉพาะน้ำมัน ส่งผลให้ราคาสินค้าส่งออกโลกจะลดลงกว่าร้อยละ -๑๖.๙ จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้สถานการณ์การค้าโลกรวมทั้งไทยอยู่ในภาวะชะลอตัว ๒. ภาพรวมมูลค่าการส่งออกของไทยเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ มีมูลค่า ๑๘,๘๑๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ -๕.๕๑ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน (YoY) ส่งผลให้ภาพรวมการส่งออกของไทยช่วงมกราคม-กันยายน ๒๕๕๘ หดตัวที่ร้อยละ -๔.๙๘ อย่างไรก็ตามรายได้จากการส่งออกของไทยในรูปเงินบาทยังคงขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะเดือนกันยายน ๒๕๕๘ มีมูลค่า ๖๖๕,๕๘๗ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๕.๕๒ ด้านมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรเดือนกันยายน ๒๕๕๘ มีมูลค่า ๒,๖๕๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ -๙.๙ (YoY) จากปัจจัยราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกชะลอตัวและผลผลิตอาหารทะเลขาดแคลน ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมมีแนวโน้มการฟื้นตัวดีขึ้น จากทิศทางการฟื้นตัวในสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของไทย ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ ๒๐.๖ (YoY) ตามการเติบโตของการส่งออกรถยนต์นั่ง ส่วนรถกระบะยังคงหดตัว การส่งออกทองคำกลับมาขยายตัวอีกครั้งที่ร้อยละ ๕๘๙.๕ (YoY) เนื่องจากราคาทองคำขยับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้มีการส่งออกเพื่อทำกำไร ๓. การนำเข้าเดือนกันยายน ๒๕๕๘ มูลค่า ๑๖,๐๒๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ -๒๖.๒๐ (YoY) โดยกลุ่มเชื้อเพลิง หดตัวสูงถึงร้อยละ -๔๔.๐ ตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมทั้งการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูป และสินค้าทุน หดตัวสูงถึงร้อยละ -๒๘.๑ และ -๒๓.๑ (YoY) ตามลำดับ อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณามูลค่าการนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ในเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ซึ่งใช้เป็นปัจจัยการผลิตรถยนต์ สินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของไทยยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ ๑๙.๕ (YoY) เป็นสัญญาณบวกต่อแนวโน้มการส่งออกรถยนต์ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ๒๕๕๘ ส่งผลให้ดุลการค้าระหว่างประเทศเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ยังคงเกินดุล ๒,๗๙๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในระยะ ๙ เดือน (มกราคม-กันยายน ๒๕๕๘) เกินดุล ๗,๗๕๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ
|
|||||||||||||||||||||
579 | รายงานสรุปผลการเข้าร่วมประชุมสุดยอดความมั่นคงด้านสุขภาพของโลก ประจำปี พ.ศ. 2558 ของกระทรวงสาธารณสุข | สธ | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการเข้าร่วมประชุมสุดยอดความมั่นคงด้านสุขภาพของโลก ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ระหว่างวันที่ ๘-๙ กันยายน ๒๕๕๘ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเทศที่เข้าร่วมการประชุม องค์การอนามัยโลก องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ และองค์กรสุขภาพสัตว์โลก เห็นพ้องกันว่าการสร้างสมรรถนะตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ และวาระความมั่นคงด้านสุขภาพโลกเป็นเรื่องสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ต่างให้คำมั่นว่าจะพยายามพัฒนาสมรรถนะ ๓ ด้าน คือ การป้องกัน เฝ้าระวัง และตอบโต้ต่อโรคระบาดข้ามพรมแดน (Prevent, Detect, Respond) ตามแผนปฏิบัติการ ๑๑ ข้อของวาระความมั่นคงด้านสุขภาพของโลกอย่างเต็มที่ ๒. สาธารณรัฐเกาหลีได้สรุปบทเรียนการควบคุมการระบาดของโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง สรุปว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้สามารถควบคุมโรคได้ คือ (๑) การร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน (Whole government, whole society approach) (๒) การเปิดเผยและแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างโปร่งใสและรวดเร็ว และ (๓) การสร้างกลไกการประสานงานที่มีประสิทธิภาพกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ๓. ทุกประเทศควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพกำลังคนด้านระบาดวิทยาและการป้องกันควบคุมโรค เนื่องจากคนที่มีศักยภาพต้องใช้เวลาในการพัฒนา ไม่สามารถจัดการให้เกิดขึ้นได้โดยเร็ว การวางแผนความต้องการกำลังคนด้านการควบคุมโรคจะต้องคำนึงถึงการทำงานทั้งในภาวะปกติและภาวะที่ต้องการกำลังคนเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก (surge capacity) การมีกำลังคนเพียงพอสำหรับภาวะฉุกเฉินจึงเป็นประเด็นความมั่นคงของประเทศที่สำคัญด้วย ๔. ระบบจัดการกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขจะต้องสามารถเข้าถึงทรัพยากรได้อย่างรวดเร็ว ทั้งทรัพยากรด้านการเงินและทรัพยากรอื่น ๆ ซึ่งหากระบบการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขเข้าถึงทรัพยากรได้ล่าช้า อาจทำให้การระบาดของโรคติดต่ออันตรายแพร่ระบาดไปจนถึงระดับที่ควบคุมได้ยากหรือควบคุมไม่ได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างรุนแรงได้ ๕. บทเรียนประการหนึ่งที่ได้จากการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาในประเทศแถบแอฟริกาตะวันตก คือความช่วยเหลือจากต่างประเทศเข้าไปสู่ประเทศที่ได้รับผลกระทบล่าช้า เนื่องจากขาดกลไกในการประสานงาน และการขาดกำลังสนับสนุน (surge capacity) ในระดับนานาชาติ ดังนั้น ประเทศพันธมิตรควรพิจารณาหากลไกการประสานงานที่เหมาะสม (หรือองค์กรมาทำหน้าที่) เพื่อให้สามารถจัดการให้ความช่วยเหลือประเทศที่ได้รับผลกระทบได้อย่างรวดเร็วต่อไป ๖. ประเทศพันธมิตรได้รับทราบถึงความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องร่วมมือกันป้องกันเชื้อจุลชีพดื้อยา โดยประเทศต่าง ๆ เช่น สหราชอาณาจักรได้ประกาศให้การสนับสนุนด้านการเงินกับประเทศจำนวนหนึ่งในการจัดตั้งระบบเฝ้าระวังจุลชีพดื้อยาขึ้น นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลกยังมีแนวคิดที่จะผลักดันประเด็นการป้องกันเชื้อจุลชีพดื้อยาเข้าสู่การพิจารณาขององค์การสหประชาชาติด้วย
|
|||||||||||||||||||||
580 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกันยายน 2558 | อก | 24/11/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกันยายน ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ลดลงร้อยละ ๓.๖ เมื่อเทียบกับช่วงเดือนกันของปีก่อน ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ที่ลดลงร้อยละ ๘.๓ อุตสาหกรรมสำคัญที่ลดลง อาทิ HDD เครื่องนุ่งห่ม โทรทัศน์ ผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ และเบียร์ ส่วนอุตสาหกรรมรถยนต์ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ๒. การนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย ด้านการนำเข้าเครื่องจักรอุตสาหกรรมและเครื่องมือกล มีมูลค่า ๙๒๑.๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๒๓.๓ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน และการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า ๕,๙๐๔.๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๑๙.๑ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ๓. การใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมการผลิต มีปริมาณทั้งหมด จำนวน ๑๐,๑๐๐.๙ ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ร้อยละ ๐.๒๖ และเพิ่มขึ้นช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๗ ร้อยละ ๑.๕ โดยกิจการขนาดเล็กและขนาดใหญ่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาและช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๗ ส่วนกิจการขนาดกลางมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าลดลงจากเดือนที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๗ ๔. ภาวะการประกอบกิจการของโรงงาน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ จำนวน ๔๙๘ ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ร้อยละ ๒๘.๓๕ มียอดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๓๓,๐๕๓ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ร้อยละ ๗.๖๙ แต่มีการจ้างงาน จำนวน ๑๑,๗๗๙ คน ลดลงจากเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ร้อยละ ๑๑.๘ และเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการน้อยกว่าเดือนกันยายน ๒๕๕๗ ร้อยละ ๘.๑๒ และมียอดเงินลงทุนรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๔๘ และมีการจ้างงานรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๗ ๕. ภาวะการเลิกกิจการของโรงงาน มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการ จำนวน ๓๑๙ ราย มากกว่าเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ร้อยละ ๒๖.๐๙ มีการเลิกจ้าง จำนวน ๑๖,๖๒๓ คน มากกว่าเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ แต่มีเงินทุนของการเลิกกิจการรวม ๗,๐๕๘ ล้านบาท น้อยกว่าเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ และเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการมากกว่าเดือนกันยายน ๒๕๕๗ ร้อยละ ๑๕๓.๑๗ มีการเลิกจ้างงานมากกว่าเดือนกันยายน ๒๕๕๗ แต่มีเงินทุนของการเลิกกิจการน้อยกว่าเดือนกันยายน ๒๕๕๗
|
.....