ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 23 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 441 - 460 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
441 | รายงานตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 ประจำปี 2559 | สสส. | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๙ ของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลงานเด่นในปี ๒๕๕๙ ประกอบด้วย ๑๔ ผลงานซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างเสริมสุขภาพของประชาชน เช่น การรณรงค์ลด ละ เลิกบุหรี่และสุรา การสร้างสุขภาวะให้แก่แรงงานนอกระบบ และการสร้างศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบด้านสุขภาวะที่มีชีวิต ส่งผลให้สถานการณ์สุขภาพของประชาชนไทยดีขึ้นตามลำดับ โดยแนวโน้มการสูบบุหรี่ลดลงจากร้อยละ ๓๒.๐๐ ในปี ๒๕๓๔ เหลือร้อยละ ๑๙.๙๐ ในปี ๒๕๔๘ สัดส่วนของผู้ดื่มแอลกอฮอล์ในระดับอันตรายลดลงจากร้อยละ ๙.๑๐ ในปี ๒๕๔๗ เหลือร้อยละ ๓.๔๐ ในปี ๒๕๕๗ และอัตราการมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี จากร้อยละ ๖๖.๓๐ ในปี ๒๕๕๕ เป็นร้อยละ ๗๑.๖๐ ในปี ๒๕๕๘ หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ ๗ ในช่วง ๔ ปีที่ผ่านมา ๑.๒ การบริหารงบประมาณของ สสส. ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ได้มีการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพรวม ๔,๓๐๒ ล้านบาท จำแนกการใช้จ่ายงบประมาณเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ เบิกจ่ายทุนสนับสนุนโครงการสร้างเสริมสุขภาพรวมค่าใช้จ่ายบริหารโครงการ จำนวน ๓,๘๗๖ โครงการ งบประมาณ ๓,๙๑๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๑ ของงบประมาณรายจ่ายทั้งหมด และค่าใช้จ่ายในการบริหารสำนักงาน ๓๙๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙ ของงบประมาณรายจ่ายทั้งหมด ๒. มอบหมายให้ สสส. รับข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐที่เห็นควรปรับปรุงบางประการในส่วนของการติดตามและแก้ไขเรื่องร้องเรียน การสร้างการรับรู้ถึงวัฒนธรรมคุณธรรมในองค์กร และการวางระบบก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่อย่างชัดเจน โดยให้ศึกษาวิเคราะห์ถึงปัญหาเพื่อนำสาเหตุมาพิจารณาปรับปรุงอย่างเร่งด่วน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
442 | สรุปสาระสำคัญการประชุมคณะกรรมการบริหาราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ 7/2560 | นร05 | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสาระสำคัญการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ (บยศ.) ครั้งที่ ๗/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๐ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ตามที่ฝ่ายเลขานุการ บยศ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานของกระทรวงสาธารณสุขในช่วง ๓ ปีที่ผ่านมา เช่น การนำร่องโครงการคลินิกหมอครอบครัว การบริการจัดการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิ์ทุกที่ (UCEP) และการพัฒนางานสมุนไพรสนับสนุนการสร้างรายได้โดยสร้างเมืองสมุนไพรต้นแบบ (Herbal city) จำนวน ๑๓ แห่ง และเป้าหมายที่จะดำเนินการในช่วงต่อไป (ระยะเวลา ๑ ปี ๔ เดือน) เช่น (๑) การต่อยอดการดำเนินโครงการ Smart citizen (๒) การพัฒนาอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ (๓) การพัฒนาเขตสุขภาพพิเศษ และ (๔) การพัฒนาโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ๙๕๙ แห่ง เพื่อลดมลพิษ ลดการใช้พลังงาน ลดภาวะโรคร้อน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการ (๑) การจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (District Health Board : DHB) เพื่อบูรณาการและกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณด้านสาธารณสุขในระดับพื้นที่ (๒) การดำเนินโครงการคลินิกหมอครอบครัว เพื่อให้การดูแลประชาชนแบบปฐมภูมิ (๓) ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กรมบัญชีกลาง (ในฐานะหน่วยงานเจ้าของงบประมาณสำหรับสิทธิการรักษาพยาบาลสำหรับข้าราชการ) และสำนักงานประกันสังคมหารือร่วมกันถึงแนวทางการจ่ายเงินเพื่อสนับสนุนให้แก่คลินิกหมอครอบครัวเพิ่มเติมจากในปัจจุบันที่จ่ายได้เฉพาะโรงพยาบาลที่ทำการรักษา (๔) สร้างแรงจูงใจให้แพทย์ ๓ สาขา ประกอบด้วย สาขาเวชศาสตร์ครอบครัว สาขาระบาดวิทยา และสาขาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน (เพื่อรองรับการดำเนินโครงการคลินิกหมอครอบครัว ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข และการดูแลผู้ป่วย UCEP) โดยการออกระเบียบเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษของผู้ปฏิบัติงานด้านการสาธารณสุขฉบับใหม่ และสนับสนุนความก้าวหน้าด้านวิชาชีพ และ (๕) ให้กระทรวงสาธารณสุขประสานความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาเขตสุขภาพพิเศษ เพื่อดูแลงานสาธารณสุขชายแดน งานสาธารณสุขทางทะเลและเกาะ และเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก รวมถึงพื้นที่เฉพาะอื่น ๆ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และรับข้อสังเกตที่ประชุมไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
443 | แนวทางการดำเนินการประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาลโดยโฆษกกระทรวงตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (6 ตุลาคม 2558) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2560 | นร | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการดำเนินการประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาลโดยโฆษกกระทรวง ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (๖ ตุลาคม ๒๕๕๘) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะประธานกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ มีประเด็นการประชาสัมพันธ์ที่สำคัญ ดังนี้
๑. ผลงานตามนโยบายและยุทธศาสตร์ (๑) เดือนที่ผ่านมา (กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐) ได้แก่ การเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในด้านต่าง ๆ การสร้างจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ และแรงงานต่างชาติ และ (๒) เดือนต่อไป (เมษายน ๒๕๖๐) ได้แก่ การส่งเสริมให้เกษตรกรน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่มาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตและการทำการเกษตร การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิแรงงาน และภาวะการค้าระหว่างประเทศ ๒. ผลงานตามประเด็นการปฏิรูป (๑) เดือนที่ผ่านมา (กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐) ได้แก่ ยุทธศาสตร์ชาติ การปฏิรูปประเทศ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง การรณรงค์ส่งเสริมการเคารพสิทธิผู้อื่น มาตรการควบคุมป้องกันโรคติดต่อ โรคติดต่ออุบัติใหม่ ภัยสุขภาพ โรคฤดูร้อน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยว และมาตรการจัดระเบียบสังคม และการแก้ปัญหาสาธารณภัย และ (๒) เดือนต่อไป (เมษายน ๒๕๖๐) ได้แก่ ความคืบหน้าโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย ๓. ผลงานการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน (๑) เดือนที่ผ่านมา (กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐) ได้แก่ การชี้แจงประเด็นการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน การป้องกันปัญหาหมอกควันและการเผาในที่โล่งในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน การให้ข้อมูลเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหิน และนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ และ (๒) เดือนต่อไป (เมษายน ๒๕๖๐) ได้แก่ การดำเนินการและความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาราคาข้าว การรายงานสถานการณ์การละเมิดสิทธิเสรีภาพและมนุษยชน และการรณรงค์ป้องกันการบาดเจ็บจากการจราจรช่วงเทศกาลสงกรานต์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
444 | สรุปการเยือนสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) | ศธ | 23/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการเยือนสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) ระหว่างวันที่ ๑๘-๑๙ เมษายน ๒๕๖๐ ตามคำเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของฟิลิปปินส์ มีประเด็นสำคัญในการตรวจเยี่ยมและรับฟังการบรรยายสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ระดับภูมิภาคขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีมีโอ) เยี่ยมชมสถาบันวิจัยข้าวระหว่างประเทศ และหารือข้อราชการกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของฟิลิปปินส์ ใน ๖ ประเด็น ได้แก่ (๑) การขยายการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับมัธยมศึกษาตอนปลายให้ครบ ๑๒ ปี (๒) การศึกษาเพื่อป้องกันการติดยาเสพติด (๓) การศึกษาด้านการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีและด้านการสาธารณสุข (๔) การรับมือกับภาวะโลกร้อน (๕) การศึกษานอกระบบ และ (๖) การปราบปรามคอร์รัปชัน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
445 | (ร่าง) แผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. 2564 - 2573 (Thailand's Nationally Determined Contribution Roadmap on Mitigation 2021 - 2030) | ทส | 23/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ (ร่าง) แผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๗๓ (Thailand’s Nationally Determined Contribution Roadmap on Mitigation 2021-2030) เพื่อเป็นกรอบการดำเนินงานที่จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศร้อยละ ๒๐ หรือที่ ๑๑๑ ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภายในปี พ.ศ. ๒๕๗๓ โดยดำเนินการใน ๓ สาขาหลัก (๑๕ มาตรการ) ได้แก่ สาขาพลังงานและขนส่ง สาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ และสาขาการจัดการของเสีย ซึ่งเป็นสาขาที่หน่วยงานมีความพร้อมและมีศักยภาพที่สามารถลดก๊าซเรือนกระจก ณ ปี พ.ศ. ๒๕๗๓ ทั้งสิ้น ๑๑๕.๖ ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ๑.๒ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนศักยภาพการดำเนินงานตาม (ร่าง) แผนที่นำทางฯ เพื่อสนับสนุนศักยภาพการดำเนินงานของหน่วยงานโดยครอบคลุมข้อจำกัด ความต้องการด้านการสนับสนุน และระบบ/กรอบการติดตามและรายงานผลการดำเนินงานของมาตรการต่าง ๆ ๑.๓ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกของหน่วยงานเพื่อบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ตาม (ร่าง) แผนที่นำทางฯ ๑.๔ มอบหมายให้สำนักงบประมาณสนับสนุนและจัดสรรงบประมาณแก่หน่วยงานในการเตรียมความพร้อมและปฏิบัติการตามแผนดังกล่าว รวมถึงพิจารณาการจัดสรรงบประมาณในรูปแบบบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติในประเด็นการสร้างแรงจูงใจโดยการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการเพื่อสนับสนุนส่งเสริมให้เอกชนให้ความสนใจในการมีส่วนร่วมหรือลงทุนเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก และข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อน ระยะที่ ๒ ในส่วนของการพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เครื่องมือและกลไกในการลดก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งการส่งเสริม สนับสนุน และการบังคับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตาม (ร่าง) แผนที่นำทางฯ อย่างเข้มงวดและตรวจสอบประเมินผลได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย สำหรับงบประมาณในการเตรียมความพร้อมและปฏิบัติการตาม (ร่าง) แผนที่นำทางฯ สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณไว้ในแผนงานยุทธศาสตร์จัดการผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศและภัยพิบัติแล้ว แต่เนื่องจากในชั้นนี้ (ร่าง) แผนที่นำทางฯ ยังขาดแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะใช้เป็นกรอบในการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จึงเห็นควรให้จัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนศักยภาพการดำเนินงานตาม (ร่าง) แผนที่นำทางฯ และแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมทั้งเป้าหมายและตัวชี้วัดให้แล้วเสร็จก่อน แล้วจึงนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณากำหนดประเด็นสำคัญในการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการรับรู้ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องและประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินการตาม (ร่าง) แผนที่นำทางฯ และร่วมกันบูรณาการและสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อให้สามารถดำเนินการตามแผนได้ครอบคลุมในทุกมิติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
446 | ร่างกฎกระทรวงควบคุมสถานประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ พ.ศ. .... | สธ | 23/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างกฎกระทรวงควบคุมสถานประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และมาตรการในการควบคุมสถานประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นว่า การกำหนดนิยามในร่างกฎกระทรวงฯ ข้อ ๒ ควรเพิ่มเติมนิยาม “มลพิษทางกลิ่น”หมายความว่า สภาวะของกลิ่นอันเกิดจากการประกอบกิจการของสถานประกอบกิจการที่ทำให้มีผลกระทบหรืออาจมีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน สำหรับการนำร่างกฎกระทรวงฯ ไปบังคับใช้กรณี ข้อ ๓ ค่ามาตรฐานมลพิษที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยคำแนะนำของคณะกรรมการสาธารณสุข หากเป็นประเภทและขนาดกิจการเดียวกันกับกิจการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีการประกาศกำหนดมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดตามมาตรา ๕๕ โดยค่ามาตรฐานนั้นจะต้องไม่ต่ำกว่าค่ามาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดตามมาตรา ๕๖ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ไปพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
447 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2560 และแนวโน้มปี 2560 | นร11 | 23/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๐ และแนวโน้มปี ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๐ ขยายตัวร้อยละ ๓.๓ ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ ๓.๐ ในไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกขยายตัวจากไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๕๙ ร้อยละ ๑.๓ ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้จ่ายภาคครัวเรือน การส่งออกบริการและสินค้า และการลงทุนภาครัฐขยายตัวดีขึ้น โดยเฉพาะด้านการส่งออกสินค้าขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๖.๖ ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ ๑๗ ไตรมาส ๒. เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำร้อยละ ๑.๒ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยร้อยละ ๑.๓ บัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๑๓,๓๑๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (๔๖๘,๑๔๗ ล้านบาท) หรือคิดเป็นร้อยละ ๑๒.๓ ของ GDP เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๐ อยู่ที่ ๑๘๐.๙ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๐ มีมูลค่าทั้งสิ้น ๖,๑๖๖.๕ พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๐.๗ ของ GDP ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๐ มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ ๓.๓-๓.๘ ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ ๓.๒ ในปี ๒๕๕๙ โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๖ การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๓.๐ และร้อยละ ๔.๔ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วงร้อยละ ๐.๘-๑.๓ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๘.๙ ของ GDP ๔. ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี ๒๕๖๐ ควรให้ความสำคัญกับ (๑) การใช้จ่ายของรัฐบาลและการดำเนินโครงการลงทุนภาครัฐให้ได้ตามเป้าหมาย (๒) การสนับสนุนการส่งออกให้สามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ร้อยละ ๕.๐ (๓) การสนับสนุนการขยายตัวของรายได้เกษตรกรและการดูแลผู้มีรายได้น้อย (๔) การสร้างความเชื่อมั่นและสนับสนุนการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน และ (๕) การสนับสนุนการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
448 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 23/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านต่างประเทศ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนระหว่างประเทศไทยและประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก (Pacific Island Countries) ให้เกิดความยั่งยืนและแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแนวทางการพัฒนาพลังงานชีวภาพ (Bioenergy) และแนวทางตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปส่งเสริม ให้ข้อมูล ความรู้ และความเข้าใจแก่ประชาชนของประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาประเทศต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางและความเป็นไปได้ในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการประมงไทยเข้าไปประกอบธุรกิจประมง โดยเฉพาะการจับและแปรรูปสัตว์น้ำในประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก เช่น สาธารณรัฐวานูอาตู สาธารณรัฐนาอูตู และสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม รวมทั้งพิจารณาความเป็นไปได้ในการนำผลผลิตจากประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกมาแปรรูปและพัฒนาให้เป็นสินค้าส่งออกของประเทศไทยต่อไปด้วย ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาตามกรอบอำนาจหน้าที่เพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยกลุ่มต่าง ๆ ที่จะมีการจำแนกตามระดับรายได้ให้ได้รับรายได้เพิ่มขึ้นอย่างทั่วถึง โดยให้กำหนดเป้าหมายการดำเนินการให้ชัดเจน และบูรณาการร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องโดยใช้ข้อมูลการขึ้นทะเบียนผู้มีรายได้น้อยที่เป็นปัจจุบันมาประกอบการพิจารณาดำเนินการให้เหมาะสม ถูกต้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์อาจดำเนินการเรื่องการจัดหาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย กระทรวงศึกษาธิการอาจดำเนินการเรื่องการส่งเสริมและให้โอกาสทางการศึกษาสำหรับผู้มีรายได้น้อย เป็นต้น เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของการดำเนินนโยบายในภาพรวมของรัฐบาลที่ต้องการให้การช่วยเหลือและยกระดับรายได้ของผู้มีรายได้น้อย ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้สอดคล้องกับงบประมาณที่มีอยู่ด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์ติดตามข้อมูลข่าวสารและความคืบหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Strategic Economic Partnership : TPP) และการเข้าเป็นภาคีความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคของอาเซียน (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) และสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ประชาชนตามความเหมาะสมต่อไป ๓. ด้านสังคม ให้กระทรวงแรงงานสำรวจข้อมูลภาวะการว่างงานของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีผู้ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาและเริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงานเป็นครั้งแรกเพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุของการว่างงาน และกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาการว่างงานที่เหมาะสมต่อไป ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ให้ทุกส่วนราชการติดตามสถานการณ์และเตรียมความพร้อมรับมือพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงนี้ในหลายพื้นที่ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๔.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยประสานไปยังหน่วยงานในพื้นที่ให้เตรียมการป้องกันปัญหาน้ำท่วมฉับพลันที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งเร่งสำรวจพื้นที่เสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชน เช่น ต้นไม้ใหญ่ ป้ายโฆษณาที่อาจชำรุดและไม่แข็งแรงเพียงพอ และให้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเพื่อป้องกันการเกิดอันตรายต่อประชาชน สำหรับพื้นที่ใดที่อาจเกิดภาวะน้ำท่วมขึ้น ให้ประสานความร่วมมือไปยังหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ (สถาบันอาชีวศึกษา) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อดำเนินการให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวโดยเร็วด้วย ๔.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมประสานขอความร่วมมือภาคเอกชนเพื่อพิจารณาให้การสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์ที่มีความพร้อมในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาน้ำท่วม เช่น การสนับสนุนเครื่องสูบน้ำ รถขนาดใหญ่เพื่อขนย้ายประชาชนออกจากพื้นที่ ๔.๓ ให้กระทรวงคมนาคมเตรียมความพร้อมในการสำรวจเส้นทางการจราจรที่อาจชำรุดเสียหายในช่วงที่มีฝนตกหนัก โดยให้จัดเตรียมบุคลากร เครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด ๕. ให้ทุกหน่วยงานตรวจสอบและปรับปรุงระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) ที่อยู่ในความรับผิดชอบให้สามารถใช้งานได้อย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นการป้องปรามมิให้มีการกระทำผิดกฎหมาย รวมทั้งให้สามารถตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังเพื่อสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิดกฎหมายได้ ๖. ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการร่วมกันรวบรวมงานวิจัยต่าง ๆ ที่สามารถนำไปต่อยอดการดำเนินการในเชิงพาณิชย์หรือนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่ทำให้ไม่สามารถนำงานวิจัยดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ได้ และให้รายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓ เดือน นั้น ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) และกระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าว และให้ร่วมกันรวบรวมผลงานหรืองานวิจัยที่ได้รับรางวัลชนะเลิศต่าง ๆ เช่น ผลงานจากการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมระดับโลก (The Intel International Science and Engineering Fair 2017 : Intel ISEF) เพื่อนำไปต่อยอดการดำเนินการในเชิงพาณิชย์หรือนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรมด้วย ๗. ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาจัดซื้อ/จัดหาครุภัณฑ์ที่ผลิตหรือใช้วัตถุดิบในประเทศก่อนเป็นลำดับแรก เพื่อส่งเสริมภาคการผลิตในประเทศและเกิดการลงทุนในประเทศมากขึ้นต่อไป ๘. ในการจัดทำเอกสารเผยแพร่หรือสื่อประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ของส่วนราชการ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณากำหนดรูปแบบการจัดทำและวิธีการเผยแพร่ให้เหมาะสมสอดคล้องกับการนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงตรงตามเจตนารมณ์ของการจัดทำ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
449 | ร่างยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นระดับชาติ พ.ศ. 2560 - 2569 ตามพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 | สธ | 16/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นระดับชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๙ ตามพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. ๒๕๕๙ ซึ่งมีเป้าหมายในการลดอัตราการคลอดในหญิงอายุ ๑๐-๑๔ ปี (ไม่เกินร้อยละ ๐.๐๕) และอายุ ๑๕-๑๙ ปี (ไม่เกินร้อยละ ๒.๕) โดยกำหนดยุทธศาสตร์ที่จะดำเนินการออกเป็น ๕ ด้าน ได้แก่ (๑) พัฒนาระบบการศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ด้านเพศวิถีศึกษาและทักษะชีวิตที่มีคุณภาพ และมีระบบการดูแลช่วยเหลือที่เหมาะสม (๒) ส่งเสริมบทบาทครอบครัว ชุมชน และสถานประกอบกิจการในการเลี้ยงดู สร้างสัมพันธภาพและการสื่อสารด้านสุขภาวะทางเพศของวัยรุ่น (๓) พัฒนาระบบบริการสุขภาพทางเพศและอนามัยการเจริญพันธุ์ที่มีคุณภาพและเป็นมิตร (๔) พัฒนาระบบการดูแล ช่วยเหลือ การคุ้มครองสิทธิอนามัยการเจริญพันธุ์ และการจัดสวัสดิการสังคมในกลุ่มวัยรุ่น และ (๕) ส่งเสริมการบูรณาการการจัดการฐานข้อมูลงานวิจัยและการจัดการความรู้ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) ประธานกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเสนอ สำหรับงบประมาณเพื่อการดำเนินการยุทธศาสตร์ฯ ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ส่วนค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้คณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นดังกล่าวต้องเน้นการเชื่อมประสานระหว่างกระทรวง หน่วยงาน รวมถึงภาคส่วนหลักที่เกี่ยวข้องให้เกิดการบูรณาการอย่างเป็นรูปธรรม และส่วนสำคัญที่มีผลให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน คือ การป้องกันโดยการปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้องเหมาะสมแก่เด็กและเยาวชน และการสร้างระบบการศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ด้านเพศวิถีศึกษาที่มีคุณภาพ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาโดยการมีระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วนในสังคม นอกจากนี้ เห็นควรกำหนดช่วงระยะเวลาการดำเนินงานใน ๕ ปีแรกที่มุ่งเน้นการวางรากฐานการส่งเสริมและป้องกันเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในระยะยาว อาทิ การปรับเปลี่ยนค่านิยมและพฤติกรรมทางเพศให้เหมาะสมกับวัยรุ่น ส่งเสริมการดูแลสุขภาพด้วยตนเองเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงด้านสุขอนามัยทางเพศที่จะส่งผลต่อการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น รณรงค์และเผยแพร่ชุดข้อมูลด้านสุขภาพที่เกี่ยวกับอนามัยทางเพศที่ถูกต้องตามหลักวิชาการแก่วัยรุ่นอย่างต่อเนื่อง ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งเรื่องนี้ให้คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติทราบเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการเตรียมการยุทธศาสตร์ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
450 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 21 และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 3 | กค | 25/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน (ASEAN Finance Ministers’ Meeting : AFMM) ครั้งที่ ๒๑ และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน (ASEAN Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Joint Meeting : AFMGM) ครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๖-๗ เมษายน ๒๕๖๐ ณ เมืองเซบู สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเข้าร่วมประชุม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม AFMM ครั้งที่ ๒๑ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าในความร่วมมือด้านต่าง ๆ เช่น (๑) ระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน (ASEAN Single Window : ASW) ของประเทศไทยสามารถใช้งานได้ทั้งภายใต้สภาวะการทดสอบและการใช้งานจริง (๒) ประเทศสมาชิกได้รับรองแผนการดำเนินการด้านภาษีอากร ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๒๕ ครบทุกประเทศแล้ว และ (๓) ที่ประชุมสนับสนุนการทำงานของกองทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Infrastructure Fund : AIF) ในการร่วมมือกับธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) ธนาคารโลก และหุ้นส่วนความร่วมมือต่าง ๆ ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทยได้ลงนามในพิธีสารฉบับที่ ๒ ว่าด้วยการกำหนดที่ทำการพรมแดน (Protocol 2 Designation of Frontier Points) ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการขนส่งสินค้าข้ามแดนในภูมิภาคอาเซียนมีความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ๒. การประชุม AFMGM ครั้งที่ ๓ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าในความร่วมมือด้านการเงินต่าง ๆ เช่น (๑) การดำเนินการตามแผนการรวมกลุ่มด้านการเงินของอาเซียน (๒) การพัฒนาตลาดทุนเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและมีความเชื่อมโยงในภูมิภาค ซึ่งรวมถึงการลงทุนในโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยการริเริ่มพันธบัตรสีเขียว และ (๓) การเปิดเสรีการค้าบริการทางการเงินภายในอาเซียน ซึ่งสมาชิก ๔ ประเทศ ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประเทศสิงคโปร์ และประเทศไทย ให้สัตยาบันพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ภายใต้กรอบความตกลงด้านการค้าบริการของอาเซียน ฉบับที่ ๗ แล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ฉบับที่ ๘ ซึ่งคาดว่าการลงนามจะมีขึ้นในการประชุม AFMGM ครั้งต่อไปในปี ๒๕๖๑ ที่ประเทศสิงคโปร์ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือถึงการพัฒนาศักยภาพและบทบาทของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+๓ (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office : AMRO) เพื่อป้องกันการเกิดวิกฤตและให้ความช่วยเหลือประเทศสมาชิกได้ทันท่วงทีด้วย ๓. สำนักเลขาธิการอาเซียน ธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) ADB และ AMRO ได้นำเสนอรายงานสภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยสรุปว่า เศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียนยังสามารถเติบโตได้ดี แม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกอาเซียนจะกระชับความร่วมมือและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการลงทุนในภูมิภาคให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจภายในประเทศ การใช้จ่ายของภาคสาธารณะ และการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนในระยะต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
451 | เกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ ประเภทธรณีสัณฐานและภูมิลักษณวรรณา ภูเขา และน้ำตก | ทส | 18/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ ประเภทธรณีสัณฐานและภูมิลักษณวรรณา ภูเขา และน้ำตก ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ซึ่งเป็นการจัดทำค่าเกณฑ์ที่แสดงถึงคุณภาพของสภาวะแวดล้อม ภายใต้แนวคิดที่ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อม ต้องอยู่ภายใต้ระดับที่ยอมรับหรือกำหนดขึ้น อันจะไม่ทำให้แหล่งธรรมชาติเกิดความเสื่อมโทรม เพื่อรักษาคุณค่าของสิ่งแวดล้อมแหล่งธรรมชาตินั้นไว้เพื่อประโยชน์แก่สังคมโดยรวม ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ประกอบด้วย
๑. ปัจจัยชี้วัดแต่ละด้าน รวม ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านองค์ประกอบของระบบนิเวศ/สิ่งแวดล้อม (๒) ด้านองค์ประกอบภูมิสถาปัตยกรรมและสถาปัตยกรรม (๓) ด้านผลผลิตจากการบริการสิ่งแวดล้อมของแหล่ง และ (๔) ด้านการบริหารจัดการ ๒. ระดับเกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม กำหนดเป็น ๓ ระดับ ได้แก่ (๑) ระดับสูงหรือดี คือ ไม่มีผลกระทบหรือมีระดับผลกระทบน้อย (๒) ระดับปานกลาง คือ มีระดับผลกระทบปานกลาง และ (๓) ระดับต่ำ คือ มีระดับผลกระทบมากหรือรุนแรง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
452 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง ปี 2559 ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ | กค | 18/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ปี ๒๕๕๙ ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. ศูนย์ข้อมูลฯ สามารถดำเนินงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย โดยรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ และนำข้อมูลเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ รวมทั้งมีการให้ความรู้เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลัง ปี ๒๕๕๙ ได้มีการจัดทำวารสารศูนย์ข้อมูล โดยปรับรูปแบบนำเสนอข้อมูลผ่าน Infographics รวมทั้งได้แทรกรหัส QR Code เพื่อเชื่อมกับฐานข้อมูลบน www.reic.or.th การจัดหลักสูตรประกาศนียบัตร ๑ ครั้ง การจัดทำข้อมูลทรัพย์มือสองกรมบังคับคดี และจัดทำพิกัดที่ตั้งที่อยู่อาศัยมือสอง เผยแพร่บน www.clickthaihome.com ๒. สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลัง ปี ๒๕๕๙ ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยอยู่ในสภาวะหดตัว เนื่องจากมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนองอสังหาริมทรัพย์ซึ่งประกาศใตั้งแต่วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๘-๒๘ เมษายน ๒๕๕๙ สิ้นสุดลง นอกจากนี้ การสิ้นสุดของมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมดังกล่าวยังส่งผลให้ผู้ประกอบการมีค่าความเชื่อมั่นลดลงทั้งในด้านผลประกอบการ กาลงทุน การจ้างงาน ต้นทุนการประกอบการและการเปิดโครงการใหม่ ดังนี้น ดัชนีความคาดหวังในอีก ๖ เดือนข้างหน้า ประจำไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๕๙ มีค่าเท่ากับ ๕๙.๖ ปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่แล้วซึ่งมีค่าเท่ากับ ๖๔.๗ โดยยังสูงกว่าค่ากลางที่ร้อยละ ๕๐ เนื่องจากผู้ประกอบการมีความคาดหวังในเชิงลบจากต้นทุนการประกอบการในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
453 | รายงานการสร้างหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2559 | สธ | 18/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการสร้างหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการสร้างหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ๑.๑ ประชากรไทยผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จำนวน ๔๘.๓๗ ล้านคน (ข้อมูล ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙) ลงทะเบียนสิทธิแล้ว จำนวน ๔๘.๓๓ ล้านคน (ร้อยละ ๙๙.๙๓) ๑.๒ หน่วยบริการขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประกอบด้วย (๑) หน่วยบริการปฐมภูมิ จำนวน ๑๑,๕๖๕ แห่ง (๒) หน่วยบริการประจำ จำนวน ๑,๓๐๑ แห่ง และ (๓) หน่วยบริการรับส่งต่อ จำนวน ๑,๑๐๙ แห่ง ๑.๓ การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ เช่น (๑) บริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัว ให้บริการผู้ป่วยนอก จำนวน ๑๗๓.๒๓ ล้านครั้ง (๓.๖ ครั้ง/คน/ปี) ให้บริการผู้ป่วยใน จำนวน ๕.๗๘ ล้านครั้ง (๐.๑ ครั้ง/คน/ปี) ให้บริการกรณีอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน จำนวน ๑.๓ ล้านครั้ง (๒) บริการเฉพาะ ให้บริการผู้ป่วย HIV จำนวน ๒๗๐,๙๓๓ คน ให้บริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรังโดยการบำบัดแทนไต จำนวน ๔๕,๖๒๙ คน ปลูกถ่ายไต จำนวน ๑๗๒ คน ให้บริการผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง จำนวน ๑.๗ ล้านคน และให้บริการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง จำนวน ๘๐,๘๒๖ คน ๑.๔ การคุ้มครองสิทธิ มีการประสานส่งต่อผู้ป่วยผ่านช่องทางต่าง ๆ จำนวน ๕๗๙,๓๓๘ เรื่อง ช่วยเหลือเบื้องต้นให้แก่ผู้รับบริการ จำนวน ๘๘๕ คน ๑.๕ ความพึงพอใจ ประชาชนผู้มีสิทธิมีความพึงพอใจร้อยละ ๘๙.๕ และความพึงพอใจของผู้ให้บริการร้อยละ ๗๐ ๒. ปัญหาและอุปสรรค เช่น มีความกดดันระหว่างหน่วยบริหารงบประมาณและหน่วยให้บริการจากการบริหารกองทุนภายใต้ข้อกำจัดด้านงบประมาณ ความต้องการบริการสุขภาพที่สูงขึ้นจากโครงสร้างประชากรผู้สูงอายุ และปัญหาสุขภาพที่เป็นผลจากพฤติกรรมสุขภาพที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
454 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม 2559) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 11/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๕๙) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ประกอบด้วยเนื้อหา ๒ ส่วน ดังนี้
๑. สรุปภาวะเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๙ ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง เป็นผลจากปัจจัยสนับสนุนต่าง ๆ เช่น การใช้จ่ายลงทุนของภาครัฐที่ยังคงขยายตัวดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการด้านคมนาคม และการฟื้นตัวของภาคการส่งออกสินค้า รวมทั้งเสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่ากังวล โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศ และอัตราการว่างงานทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งเสถียรภาพด้านต่างประเทศยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี ๒. สรุปการดำเนินงานของ ธปท. ๒.๑ ด้านนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงินประเมินว่า นโยบายการเงินในช่วงครึ่งปีหลังของปี ๒๕๕๙ อยู่ในระดับที่ผ่อนปรนเพียงพอและเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๑.๕๐ ๒.๒ ด้านนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเข้ารับการประเมินภาคการเงินตามโครงการ Financial Sector Assessment Program (FSAP) และได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลบริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ให้รัดกุมและสะท้อนความเสี่ยงได้ดีขึ้น รวมทั้งได้เข้าร่วมการเจรจาเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงินรอบที่ ๘ ภายใต้กรอบอาเซียน และอยู่ระหว่างการเจรจาทวิภาคีเพื่อจัดตั้ง Qualified ASEAN Banks กับมาเลเซียและอินโดนีเซีย ๒.๓ ด้านนโยบายระบบการชำระเงิน ธปท. ได้ผลักดันการดำเนินงานภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment) โดยรับผิดชอบ ๒ โครงการ คือ โครงการระบบพร้อมเพย์ และโครงการขยายการใช้บัตร และร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติในการยกระดับความปลอดภัยของบริการชำระเงินผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Banking) นอกจากนี้ ได้ดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติระบบการชำระเงิน พ.ศ. .... (Payment Systems Act B.E. ….) โดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติรับหลักการวาระแรกร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
455 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2559 | กค | 11/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๙ ขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ร้อยละ ๓.๑ โดยมีปัจจัยหลักมาจากการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน สัญญาณฟื้นตัวของการส่งออกสินค้า และการใช้จ่ายภาครัฐที่ยังขยายตัวได้ดีและเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจ รวมทั้งในภาพรวมเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินไทยอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากฐานะทางการเงินของธุรกิจขนาดใหญ่และสถาบันการเงินมีความเข้มแข็ง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๙ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๐.๔๗ ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี ๒๕๕๙ เป็นบวกที่ร้อยละ ๐.๑๙ ซึ่งยังคงต่ำกว่ากรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน ๒. การดำเนินนโยบายการเงิน ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๙ ประเมินว่า ในภาพรวมนโยบายการเงินอยู่ในระดับที่ผ่อนปรนเพียงพอและเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๑.๕๐ ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๙ เงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ จากการแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์สหรัฐตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
456 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงสถานที่ดำเนินการรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 และปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 แผนงานพัฒนาด้านสาธารณสุข | ศธ | 04/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้เปลี่ยนแปลงสถานที่ดำเนินการรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ แผนงานพัฒนาด้านสาธารณสุข ในการดำเนินโครงการของคณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โดยเปลี่ยนแปลงสถานที่ดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ จาก ตำบลหนองพลับ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็น ตำบลบางปลา อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และรายละเอียดแบบแปลนอาคารสิ่งปลูกสร้าง จำนวน ๒ รายการ ได้แก่ (๑) โครงการศูนย์เรียนรู้และพัฒนาสุขภาวะผู้สูงอายุแบบครบวงจรและบริบาลผู้ป่วยระยะท้าย วงเงินทั้งสิ้น ๖๔๙ ล้านบาท และ (๒) โครงการศูนย์การเรียนรู้และพัฒนาสุขภาวะผู้สูงอายุแบบครบวงจรและบริบาลผู้ป่วยระยะท้าย (ระยะที่ ๒) วงเงินทั้งสิ้น ๓๖๓.๗๘ ล้านบาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการ (มหาวิทยาลัยมหิดล) ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มหาวิทยาลัยมหิดลดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า และประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ รวมทั้งให้มีการจัดทำรายละเอียดแผนการดำเนินงาน พร้อมทั้งการกำกับติดตามโครงการฯ ให้แล้วเสร็จทันตามระยะเวลาที่กำหนด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
457 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวมปี 2559 | นร11 | 28/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวมปี ๒๕๕๙ ประกอบด้วย (๑) สถานการณ์ทางสังคม อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อย รายได้และผลิตภาพแรงงานยังคงเพิ่มขึ้น การเร่งยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยเพื่อเตรียมเด็กและเยาวชนให้พร้อมเข้าสู่ยุคประเทศไทย ๔.๐ ผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังโดยรวมลดลง แต่ยังต้องเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โรคไม่ติดต่อเรื้อรังยังเป็นปัญหาสำคัญและทวีความรุนแรงมากขึ้น ค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลง แต่ยังต้องเฝ้าระวังในกลุ่มเยาวชนซึ่งมีอัตราการดื่มเพิ่มขึ้น ความรุนแรงในเด็กและสตรีส่วนใหญ่เกิดจากคนใกล้ชิด คดีอาญาโดยรวมลดลงจากการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมอย่างต่อเนื่อง การลดอุบัติเหตุทางถนนด้วยการพัฒนาขนส่งสาธารณะที่หลากหลาย ปลอดภัย และมีคุณภาพ ความมุ่งมั่นของไทยในการขจัดการค้ามนุษย์ และประชาชนมีการออมเพื่อเกษียณอายุเพิ่มขึ้น การร้องเรียนของผู้บริโภคลดลง แต่ยังต้องเร่งคุ้มครองผู้บริโภคด้าน ICT และสถานการณ์การจัดการปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ และ (๒) บทความเรื่อง “การออกแบบที่เป็นสากล : รูปธรรมของสังคมเสมอภาค” ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
458 | การเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี 2560 | มท | 28/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดทุกจังหวัดดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดเมื่อเกิดหรือคาดว่าจะเกิดสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ตลอดจนรวบรวมปัญหา และข้อเท็จจริงเป็นฐานข้อมูลกลางให้ส่วนราชการใช้ร่วมกันเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติ และให้อำเภอ/องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์อำเภอ/ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินท้องถิ่น พร้อมทั้งแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รับผิดชอบประจำศูนย์ฯ และแบ่งมอบหน้าที่การปฏิบัติอย่างชัดเจนและเป็นระบบ ๒. ให้จังหวัดประกาศเขตให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งของจังหวัด โดยให้พิจารณาประกาศพื้นที่ประสบภัย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยแยกเป็นรายตำบลเฉพาะหมู่บ้านที่มีสถานการณ์ภัยแล้งเกิดขึ้นแล้วเท่านั้น รวมทั้งรายงานข้อมูลจำนวนราษฎรและครัวเรือนที่ประสบภัยแล้งตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และให้ประสานข้อมูลพื้นที่การเกษตรที่ได้รับความเสียหายแล้วและที่คาดว่าจะเสียหายกับสำนักงานเกษตรจังหวัด โดยใช้ข้อมูลของสำนักงานเกษตรจังหวัดเป็นหลัก ๓. ให้สรุปสถานการณ์ภัยแล้งและการให้ความช่วยเหลือที่ได้ดำเนินการแล้วในด้านต่าง ๆ และจัดส่งให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทุกวันจันทร์ โดยเริ่มรายงานครั้งแรกในวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์ภัยแล้งจะเข้าสู่สภาวะปกติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
459 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนมกราคม 2560 | นร11 | 28/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนมกราคม ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเดือนมกราคม ๒๕๖๐ ขยายตัวต่อเนื่องเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนต่าง ๆ เช่น (๑) การขยายตัวของการส่งออกสินค้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๕ (๒) การขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวร้อยละ ๑๐.๓ (๓) การใช้จ่ายครัวเรือนที่ยังขยายตัวต่อเนื่องตามการขยายตัวของการใช้จ่ายในหมวดรถยนต์และรายได้เกษตรกร และ (๔) ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๓ ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ในเดือนมกราคม ๒๕๖๐ ภาพรวมปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า ตามการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและเศรษฐกิจจีนเป็นสำคัญ ในขณะที่เศรษฐกิจกลุ่มประเทศยูโรโซนและเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ และแรงกดดันด้านภาวะเงินฝืดลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ธนาคารกลางประเทศสำคัญ ๆ ยังคงมีนโยบายการเงินผ่อนคลายไว้ที่ระดับเดิม โดยธนาคารกลางสหรัฐอเมริกามีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงร้อยละ ๐.๕๐-๐.๗๕
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
460 | การเสนอชื่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเข้ารับการคัดเลือกเป็นคณะกรรมการผู้ตรวจสอบภายนอกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Board of Auditors) และผู้ตรวจสอบภายนอก (External Auditor) ของหน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาชาติหรือหน่วยงานระหว่างประเทศอื่น | ตผ | 28/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินสมัครเข้ารับการคัดเลือกและปฏิบัติหน้าที่เป็นคณะกรรมการผู้ตรวจสอบภายนอกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Board of Auditors : UNBOA) และผู้ตรวจสอบภายนอก (External Auditor) ของหน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาชาติหรือหน่วยงานระหว่างประเทศอื่น โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทย ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศประสานการสนับสนุน ติดตาม ผลักดัน เกี่ยวกับการหาเสียง ขอเสียง แลกเปลี่ยนเสียงสนับสนุน ทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคีในโอกาสและรูปแบบที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการจัดกิจกรรมที่เป็นการสร้างความโดดเด่นหรือ raise visibility/raise profile ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินในการสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นคณะกรรมการผู้ตรวจสอบภายนอกแห่งสหประชาชาติ (UNBOA) และผู้ตรวจสอบภายนอก (External Auditor) ของหน่วยงานภายใต้สหประชาชาติหรือหน่วยงานระหว่างประเทศอื่นทุกหน่วยงาน ๒. ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมของตำแหน่งที่ลงสมัครเป็นรายกรณี และประเมินภาวะแข่งขันอย่างรอบคอบ เพื่อช่วยให้การสมัครรับเลือกตั้งเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสามารถกำหนดแนวทางและขั้นตอนการรณรงค์ขอรับการสนับสนุนเพื่อให้ได้รับการเลือกตั้งตามเป้าหมายที่วางไว้ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....