ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 28 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 541 - 560 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
541 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 4 ปี 2558 และภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนมกราคม 2559 | อก | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๔ ปี ๒๕๕๘ และภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนมกราคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๔ (ตุลาคม-ธันวาคม) ปี ๒๕๕๘ สถานการณ์การค้า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหดตัวลง เนื่องจากการส่งออกและการนำเข้ามีมูลค่าลดลง โดยการส่งออกมีมูลค่าลดลงร้อยละ ๘.๐๙ และการนำเข้ามีมูลค่าลดลงร้อยละ ๑๒.๕๖ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ ๑๐๖.๑ ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาร้อยละ ๐.๕ แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๗ ร้อยละ ๐.๓ โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา เช่น ผลิตภัณฑ์เหล็ก เฟอร์นิเจอร์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เช่น เครื่องประดับเพชรพลอย รถยนต์ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบสำหรับยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ๒. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนมกราคม ๒๕๕๙ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหดตัวร้อยละ ๓.๓ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อุตสาหกรรมสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบสำหรับยานยนต์ เหล็กและเหล็กกล้า อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อตอบสนองในประเทศ (สัดส่วนส่งออกน้อยกว่าร้อยละ ๓๐) ยังคงขยายตัวได้ เช่น น้ำมันประกอบอาหาร น้ำมันเชื้อเพลิง ผลิตภัณฑ์กระดาษ
|
|||||||||||||||||||||
542 | การเข้าร่วมโครงการขจัดความหิวโหย (Zero Hunger Challenge: ZHC) ของประเทศไทย | กษ | 12/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าร่วมโครงการขจัดความหิวโหย (Zero Hunger Challenge : ZHC) โดยร่วมมือกับองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO) อย่างใกล้ชิด โดยโครงการดังกล่าวประกอบด้วยเป้าหมาย ๕ ประการ ได้แก่ เป้าหมายที่ ๑ การเข้าถึงอาหารได้ร้อยละ ๑๐๐ ตลอดทั้งปี เป้าหมายที่ ๒ การหยุดภาวะแคระแกร็นในเด็กอายุต่ำกว่า ๒ ปี เป้าหมายที่ ๓ ระบบอาหารทั้งหมดมีความยั่งยืน เป้าหมายที่ ๔ ผลผลิตและรายได้ของเกษตรกรรายย่อยเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๐๐ และเป้าหมายที่ ๕ การลดจำนวนการสูญเสียอาหารให้เป็นศูนย์ ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการดำเนินงาน โดยให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนเพื่อขจัดความหิวโหยและการขาดแคลนอาหารให้บรรลุเป้าหมายภายใน พ.ศ. ๒๕๖๘ ๑.๓ มอบหมายสำนักงบประมาณสนับสนุนการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการตามแผนงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการพิจารณาแผนปฏิบัติการที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของไทยเพื่อให้แผนปฏิบัติการสอดคล้องกับบริบทของไทยและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ การนำประเด็นภาวะโภชนาการล้นเกินหรือโรคอ้วนในเด็กเข้าเป็นประเด็นพิจารณาเสริม ในเป้าหมายที่ ๕ : การลดจำนวนการสูญเสียอาหารให้เป็นศูนย์ และในกรอบแนวทางการดำเนินงานในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกภายใต้เป้าหมายหลัก ในข้อที่ ๕ : การลดการสูญเสียและการทิ้งอาหารต้องให้เหลือศูนย์ การนำกรณีตัวอย่างแผนปฏิบัติการของประเทศอื่น ๆ ที่ได้เข้าร่วมโครงการความช่วยเหลือของ FAO มาประกอบการพิจารณาด้วย การจัดทำแผนปฏิบัติการในระดับประเทศ โดยประสานและบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนรับฟังความคิดเห็นให้รอบด้านและครบถ้วน ทั้งนี้ การเข้าร่วมโครงการฯ ดังกล่าว ยังมิได้มีการจัดทำความตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร กรณีจึงไม่มีประเด็นที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับการเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ส่วนการพิจารณามอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องภายหลังจากการเข้าร่วมโครงการนั้นเป็นอำนาจของรัฐมนตรีที่จะพิจารณาได้ตามความเหมาะสม สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามโครงการฯ เห็นควรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตลอดจนรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการในระดับประเทศ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
543 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนมกราคม ปี 2559 | พณ | 05/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนมกราคม ปี ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมมูลค่าการส่งออกของไทยเดือนมกราคมปี ๒๕๕๙ ยังคงเผชิญแรงฉุดรั้งสำคัญที่กดดันมูลค่าส่งออก ซึ่งเป็นปัจจัยสืบเนื่องจากปี ๒๕๕๘ เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว ราคาน้ำมันที่ลดลงกระทบมูลค่าการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน และกำลังซื้อของประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน ราคาสินค้าเกษตรโลกที่อยู่ในระดับต่ำ การใช้มาตรการลดค่าเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการส่งออกของหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยยังมีสถานการณ์ที่ดีกว่าประเทศผู้ส่งออกสำคัญในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย อีกทั้งข้อมูลการนำเข้าของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยแสดงว่าไทยยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาด (Market Share) ในตลาดและสินค้าส่งออกสำคัญไว้ได้ สะท้อนให้เห็นว่าความสามารถทางการแข่งขันของไทยไม่ได้ลดลงตามมูลค่าส่งออก ๒. มูลค่าการค้าระหว่างประเทศในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ การส่งออกเดือนมกราคม ๒๕๕๙ มีมูลค่า ๑๕,๗๑๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๘.๙๑ (YoY) แต่หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและทองคำ มูลค่าการส่งออกจะหดตัวอยู่ที่ร้อยละ ๕.๔ (YoY) และมีแนวโน้มหดตัวในอัตราที่ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๓ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรลดลงร้อยละ ๔.๑ (YoY) และมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหดตัวลดลงร้อยละ ๘.๕ (YoY) สำหรับการนำเข้าเดือนมกราคม ๒๕๕๙ มีมูลค่า ๑๕,๔๗๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๑๒.๓๗ (YoY) ส่งผลให้ดุลการค้าระหว่างประเทศเดือนมกราคม ๒๕๕๙ ยังคงเกินดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๙ ติดต่อกัน เป็นมูลค่า ๒๓๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๓. แนวทางการขับเคลื่อนการส่งออกของไทย ปี ๒๕๕๙ มี ๕ ด้าน ได้แก่ การขยายการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะตลาดอินโดจีน หรือ CLMV การเร่งรัดขยายตลาดส่งออกเชิงรุก การส่งเสริมการค้าบริการ (Trade in Services) การส่งเสริมผู้ประกอบการไทยไปดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ และการผลักดันและแก้ปัญหาทางการค้าร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน
|
|||||||||||||||||||||
544 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สี่และภาพรวมของปี 2558 | นร11 | 05/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สี่และภาพรวมของปี ๒๕๕๘ ซึ่งมีความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญในเชิงบวกทั้งในด้านการจ้างงานโดยรวม รายได้และผลิตภาพแรงงานเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินดีขึ้น คนไทยลดการสูบบุหรี่ อย่างไรก็ดี ยังมีความเคลื่อนไหวทางสังคมที่ต้องติดตาม เฝ้าระวังเพื่อบรรเทาผลกระทบของปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งการจ้างงานภาคเกษตรกรรมยังลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะภัยแล้ง จำนวนผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกที่เพิ่มขึ้น อัตราการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ในกลุ่มเยาวชนและการเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกที่เพิ่มขึ้น สถานการณ์ความรุนแรงของเด็กและสตรี การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการคุ้มครองผู้บริโภค รวมทั้งความจำเป็นในการเร่งยกระดับคุณภาพการศึกษาพื้นฐานและเร่งผลิตกำลังคนให้มีคุณภาพและตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน
|
|||||||||||||||||||||
545 | ร่างบัญชีราคามาตรฐานการออกแบบอาคารที่ทำการ อาคารอยู่อาศัยรวม และบ้านพัก | นร07 | 05/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ยกเลิกมาตรฐานอาคารประเภทที่ทำการของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๒๑ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๒๑ แจ้งตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ สร ๐๒๐๓/ว ๑๒๐ ลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๒๑ เรื่อง การกำหนดมาตรฐานอาคารประเภทที่ทำการของทางราชการ ๑.๒ ให้หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์การอิสระ ใช้ร่างบัญชีราคามาตรฐานการออกแบบอาคารที่ทำการ อาคารอยู่อาศัยรวม และบ้านพัก เพื่อกำหนดรูปแบบในการก่อสร้างอาคารให้มีความเหมาะสมกับภารกิจที่รับผิดชอบ และมีราคาค่าก่อสร้างต่อเนื้อที่ใช้สอยของอาคารเฉลี่ยต่อตารางเมตรไม่เกินราคาที่สำนักงบประมาณกำหนด ทั้งนี้ หากมีปัญหาในทางปฏิบัติหรือสภาวะทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป สมควรมอบหมายให้สำนักงบประมาณวินิจฉัยปัญหาข้อหารือ และกำหนดบัญชีราคามาตรฐานการออกแบบอาคารที่ทำการ อาคารอยู่อาศัยรวม และบ้านพัก ได้ตามความจำเป็น ๒. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๒๑ (เรื่อง การกำหนดมาตรฐานอาคารประเภทที่ทำการของทางราชการ) ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
|||||||||||||||||||||
546 | รายงานผลการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง (Mekong - Lancang Cooperation : MLC) ครั้งที่ 1 และการประชุม Boao Forum for Asia ประจำปี 2559 | กต | 29/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation : MLC) ครั้งที่ ๑ และการประชุม Boao Forum for Asia ประจำปี ๒๕๕๙ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation : MLC) ครั้งที่ ๑ ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๓ มีนาคม ๒๕๕๙ ณ เมืองซานย่า มณฑลไห่หนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ๑.๑ นายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานร่วมกับนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และได้ผลักดันประเด็นสำคัญต่าง ๆ ได้แก่ การน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการลดความยากจน เพิ่มรายได้ และพัฒนาความเป็นอยู่ของเกษตรกร การสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์ความร่วมมือทรัพยากรน้ำของจีนเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน การส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในทุกมิติเพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุนและปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชน การส่งเสริมการเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนกับประเทศสมาชิกเพื่อส่งเสริมห่วงโซ่อุปทาน การสนับสนุนการลงทุนของเอกชน รวมถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ๑.๒ การรับรองเอกสารผลลัพธ์ ๓ ฉบับ ได้แก่ ปฏิญญาซานย่าการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๑ (Sanya Declaration of the First Lancang-Mekong Cooperation Leaders’ Meeting) แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านศักยภาพในการผลิตระหว่างประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Joint Statement on Production Capacity Cooperation Among Lancang-Mekong Countries) และรายงานโครงการเร่งด่วนเพื่อดำเนินการทันทีภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง [Tentative Joint List of the Lancang-Mekong Coopreration (LMC) Early Harvest Projects] ๒. การประชุม Boao Forum for Asia ประจำปี ๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๙ นายกรัฐมนตรีได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับ (๑) เอเชียมีศักยภาพที่จะนำโลกฟื้นตัวจากสภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจและขับเคลื่อนการเจริญเติบโตในภูมิภาค (๒) ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้มแข็งจากภายใน เช่น กลไกประชารัฐ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งจะต่อยอดไปสู่ความเข้มแข็งในระดับอนุภูมิภาคและภูมิภาค รวมถึงการเป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อประชาคมโลก และ (๓) ภาคเอกชนต้องเพิ่มบทบาทในการมีส่วนร่วมและเป็นตัวเชื่อมเพื่อสร้างหุ้นส่วน 4Ps (Public-Private-People-Partnership) ๓. เรื่องอื่น ๆ ได้แก่ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ปล่อยน้ำจากเขื่อนในมณฑลยูนนานลงสู่แม่น้ำโขงตามคำขอของประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังประสบภาวะภัยแล้ง และขอความร่วมมือสาธารณรัฐประชาชนจีนในการนำเข้าข้าวและยางพาราจากไทย รวมทั้งได้แจ้งว่า ไทยตัดสินใจจะดำเนินโครงการความร่วมมือรถไฟไทย-จีน ในรูปแบบโครงการรถไฟความเร็วสูง โดยระยะแรกจะดำเนินการในเส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ซึ่งไทยจะเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด แต่ขอความร่วมมือจากจีนในการปรับลดราคาการก่อสร้าง โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ๒๕๕๙ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ตอบรับเรื่องกรอบเวลาและจะจัดทำข้อเสนอ/เงื่อนไขที่ไทยยอมรับได้ ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะหารือกันในรายละเอียดต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
547 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง รายงานการศึกษาและข้อเสนอแนะแนวทางการสร้างความปรองดอง) | ยธ | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง รายงานการศึกษาและเข้อเสนอแนะแนวทางการสร้างความปรองดอง) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ จำนวน ๖ ประเด็น ได้แก่ (๑) การสร้างความเข้าใจร่วมของสังคมต่อเหตุแห่งความขัดแย้ง (๒) การแสวงหาและเปิดเผยข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ความรุนแรง (๓) การอำนวยความยุติธรรม การสำนึกรับผิดและการให้อภัย (๔) การเยียวยา ดูแลและการฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมือง (๕) การสร้างสภาวะที่เอื้อต่อการอยู่ร่วมกัน และ (๖) มาตรการป้องกันการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งกระทรวงยุติธรรมได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นชอบในหลักการของข้อเสนอดังกล่าว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาของกระทรวงยุติธรรมให้คณะกรรมการประสานงานรวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||
548 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเร่งดำเนินการรักษาความสงบเรียบร้อยโดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้ความสำคัญกับการแสวงหาความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๖ เดือน ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณ เร่งพิจารณาจัดทำมาตรการ/โครงการเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในระดับท้องที่ตามแผนของจังหวัดและอำเภอ โดยพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่ออุดหนุนให้เกิดการสร้างงานและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เพื่อพิจารณากำหนดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางการลงทุนเพิ่มเติม การผ่อนปรนหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งรถยนต์ การยกเว้นภาษีศุลกากรและภาษีสรรพสามิตของชิ้นส่วนสำคัญที่ใช้ในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยให้เป็นอุตสาหกรรมใหม่ และรักษาสถานะของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ของภูมิภาค ๒.๓ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณากำหนดแนวทางในการสนับสนุนให้ภาคเอกชนรับซื้อยางพารามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อยกระดับราคายางพาราให้ได้ราคาตามเป้าหมาย ๒.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบและกำกับดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศให้เกิดความเหมาะสมและเป็นธรรม ๒.๕ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทยพิจารณากำหนดแนวทางการขยายพื้นที่เพาะปลูกและเพิ่มผลผลิตมะพร้าวในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคใต้ เพื่อป้องกันไม่ให้ประสบภาวะการขาดแคลนผลผลิตมะพร้าวในอนาคต ๓. ด้านสังคม ให้กระทรวงแรงงานและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกันพิจารณาแนวทางเพื่อสนับสนุนให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศในการได้รับโอกาสเข้าทำงาน รวมทั้งการกำหนดชั่วโมงทำงาน ความก้าวหน้าในการทำงาน และการประเมินผลการทำงานด้วย ๔. ด้านการต่างประเทศ ให้กระทรวงการต่างประเทศประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมในการที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมกลุ่ม ๗๗ ว่าด้วยการลงทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (G77 Meeting on Investment for Sustainable Development) ในวันที่ ๔-๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙ เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะการพัฒนาความร่วมมือส่งเสริมการลงทุนระหว่างประเทศ ๕. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๕.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินแต่ละคณะให้นายกรัฐมนตรีทราบทุกเดือน ๕.๒ ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาหาแนวทางในการนำสินทรัพย์ของหน่วยงานที่อยู่ระหว่างการบริหารจัดการทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว มาใช้ประโยชน์ในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล เช่น สินทรัพย์ของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ๕.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการก่อสร้างฝายกักเก็บน้ำขนาดเล็กโดยเฉพาะในพื้นที่ประสบภัยแล้ง ทั้งนี้ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ ๕.๔ ให้กระทรวงกลาโหมจัดหน่วยทหารในพื้นที่ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้ง ๕.๕ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาดำเนินการจัดให้มีมาตรการคัดแยกขยะอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้สามารถนำขยะบางประเภทกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) หรือใช้ประโยชน์อื่นได้ โดยดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙
|
|||||||||||||||||||||
549 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนธันวาคม 2558 | อก | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ เปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ดัชนีผลผลิตขยายตัวร้อยละ ๑.๓๓ อุตสาหกรรมสำคัญที่ขยายตัว เช่น ผลิตภัณฑ์พลาสติก เครื่องประดับ น้ำมันประกอบอาหาร การนำเข้าเครื่องจักรอุตสาหกรรมและเครื่องมือกล มีมูลค่า ๙๙๔.๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑.๙ การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า ๕,๑๐๔.๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๑๕.๗ การใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมการผลิต มีปริมาณทั้งหมดจำนวน ๙,๖๙๕.๓ ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง เพิ่มขึ้นร้อยละ ๕.๘ ภาวะการประกอบกิจการโรงงาน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการมากกว่าร้อยละ ๐.๒๘ มีการจ้างงานรวมลดลงร้อยละ ๑๔.๔๓ และมียอดเงินลงทุนรวมลดลงร้อยละ ๒๘.๐๕ ภาวะการเลิกกิจการของโรงงาน มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการมากกว่าร้อยละ ๑๑๕.๖๙ ส่วนภาวะการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในปี ๒๕๕๘ มีจำนวนโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น ๑,๐๓๘ โครงการ ลดลงร้อยละ ๖๗.๕๓ และมีเงินลงทุน ๒๑๘,๑๒๐ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๘๘.๘๕ ประเภทกิจการที่ขอรับการส่งเสริมมากที่สุด คือ หมวดบริการ และสาธารณูปโภค มีมูลค่าเงินลงทุนรวม ๑๑๘,๔๑๐ ล้านบาท ๒. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของไทยเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ เปรียบเทียบกับประเทศสำคัญในเอเชีย การผลิตในภาคอุตสาหกรรมไทยเมื่อพิจารณาจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) เพิ่มขึ้นหรือขยายตัวร้อยละ ๑.๓ อุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้การผลิตเพิ่มขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์พลาสติก เครื่องประดับเพชรพลอย น้ำมันประกอบอาหาร การผลิตในภาคอุตสาหกรรม
|
|||||||||||||||||||||
550 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง แนวทางปฏิรูปการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในภาคอุตสาหกรรม) | อก | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง แนวทางปฏิรูปการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในภาคอุตสาหกรรม) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ รวม ๕ ข้อ ได้แก่ (๑) ตรวจสอบมลพิษที่วัตถุดิบและเก็บภาษีมลพิษที่วัตถุดิบและของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม (๒) การมอบอำนาจการอนุญาตกรณีต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการประกอบกิจการโรงงานให้แก่จังหวัดนั้น ๆ เป็นผู้อนุญาตโดยอยู่ในรูปของคณะกรรมการ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ของรัฐและภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการอนุญาตให้ประกอบกิจการโรงงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ (๓) เปลี่ยนการอนุญาตตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนเครื่องจักร พ.ศ. ๒๕๑๔ ในการแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของอุตสาหกรรมจังหวัด (๔) เปลี่ยนการอนุญาตให้ขนขยะอุตสาหกรรมภายในจังหวัด ตลอดจนอนุญาตให้มีและครอบครองวัตถุอันตรายตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของอุตสาหกรรมจังหวัด และ (๕) เสนอให้ปรับผังองค์กรของกรมโรงงานอุตสาหกรรมตามรูปแบบใหม่ คือ ปรับกระบวนการให้ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานตามสภาวะสิ่งแวดล้อมของการดำเนินการ โดยเพิ่มบุคลากรเจ้าหน้าที่ให้เหมาะสมกับภาระงาน และมุ่งเน้นให้บริการส่งเสริมและลดปัญหาการเกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับผลการพิจารณาข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปฯ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาของกระทรวงอุตสาหกรรมให้คณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||
551 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับคณะกรรมการพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศที่ประสบภัยพิบัติ | กต | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับคณะกรรมการพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศที่ประสบภัยพิบัติ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เปลี่ยนชื่อคณะกรรมการฯ เป็น "คณะกรรมการประสานงานช่วยเหลือคนไทยและประเทศที่ประสบภัยพิบัติในภาวะฉุกเฉิน" ๒. ปรับองค์ประกอบรองประธานคณะกรรมการฯ จาก “อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ” เป็น “รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศที่กำกับกลุ่มงานภารกิจความสัมพันธ์ทวิภาคี หรือ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศที่กำกับกลุ่มงานภารกิจส่งเสริมกิจการต่างประเทศ” ตามที่ปลัดกระทรวงการต่างประเทศมอบหมาย เพื่อดำเนินภารกิจในสถานการณ์ที่เน้นการช่วยเหลือประเทศที่ประสบภัยหรือเน้นการช่วยเหลืออพยพคนไทย ๓. เพิ่มองค์ประกอบกรรมการจากหน่วยงานทั้งในกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานภายนอกกระทรวงการต่างประเทศ จากเดิม จำนวน ๑๔ คน เพิ่มเป็น จำนวน ๔๒ คน ๔. ปรับปรุงอำนาจหน้าที่ โดยคงอำนาจหน้าที่เดิม ๓ ข้อ ตัดอำนาจหน้าที่เดิม ๑ ข้อ และเพิ่มอำนาจหน้าที่อีก ๕ ข้อ ได้แก่ ๔.๑ ให้คำปรึกษาแก่กระทรวงการต่างประเทศในเรื่องรูปแบบและวิธีการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศที่ประสบภัยพิบัติ ๔.๒ พิจารณาแผนงานและประสานงานการช่วยเหลือแก่ประเทศที่ประสบภัยพิบัติ ๔.๓ กำหนดแนวทางและประสานงานการให้ความช่วยเหลืออพยพคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ ๔.๔ ทำหน้าที่กลั่นกรองเรื่องการให้ความช่วยเหลือและเรื่องงบประมาณ ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติต่อไป ๔.๕ สามารถจัดตั้งคณะทำงานในภารกิจที่เห็นสมควรต่อไป โดยเน้นการปฏิบัติเพื่อความรวดเร็วและคล่องตัว ๔.๖ สามารถเชิญหน่วยงานเอกชนและมูลนิธิที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความร่วมมือในการช่วยเหลือแล้วแต่กรณี ๔.๗ ประชาสัมพันธ์การให้ความช่วยเหลือคนไทยและประเทศที่ประสบภัย ๔.๘ ดำเนินการอื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมายในส่วนที่เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือคนไทยและประเทศที่ประสบภัยพิบัติ
|
|||||||||||||||||||||
552 | การผ่อนปรนหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ สำหรับการจำหน่าย หนี้สูญจากการประกันภัยต่อกรณีภาวะอุทกภัยปี 2554 [ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่าย หนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้] | กค | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการผ่อนปรนหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้สำหรับการจำหน่ายหนี้สูญจากการประกันภัยต่อกรณีภาวะอุทกภัยปี ๒๕๕๔ และอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้บริษัทประกันวินาศภัยสามารถจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ตามประมวลรัษฎากรได้ในส่วนของหนี้ที่ได้ดำเนินการด้อยค่าสินทรัพย์จากประกันภัยต่อครบถ้วนตามหลักเกณฑ์การพิจารณาค่าเผื่อการด้อยค่าของสินทรัพย์จากการประกันภัยต่อกรณีภาวะอุทกภัยปี ๒๕๕๔ ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยกำหนด เพื่อบรรเทาภาระให้บริษัทประกันวินาศภัยดังกล่าว ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมสรรพากรติดตามตรวจสอบการได้รับชำระค่าสินไหมทดแทนน้ำท่วมจากบริษัทประกันภัยต่อ ที่บริษัทประกันวินาศภัยได้รับชำระมาภายหลังจากการด้อยค่าสินทรัพย์แล้วของบริษัทประกันวินาศภัยอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานและบรรเทาภาระรายได้ภาษีของรัฐที่ต้องสูญเสียจากการคืนเงินภาษีในกรณีดังกล่าว และให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยควรเพิ่มมาตรการลงโทษสำหรับกรณีที่บริษัทประกันภัยได้รับค่าสินไหมทดแทนน้ำท่วมจากบริษัทประกันภัยต่อภายหลัง แล้วไม่นำค่าสินไหมทดแทนน้ำท่วมที่ได้รับมารับรู้เป็นรายได้ทั้งจำนวนในรอบบัญชีที่ได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนน้ำท่วม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
553 | ข้อคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี | นร04 | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนี้ ๑.๑ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รายงานว่า ๑.๑.๑ ในปัจจุบันมีประชาชนมาติดต่อหน่วยงานราชการภายในบริเวณทำเนียบรัฐบาลเป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มาติดต่อราชการ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจึงอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดระเบียบภายในทำเนียบรัฐบาล เช่น สถานที่จอดรถ การจัดระบบการเข้า-ออกของบุคคล และการรักษาความปลอดภัย เป็นต้น ๑.๑.๒ ตามที่ได้มีข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการมิให้เกิดการกระทำผิดกฎหมายหรือมีอาวุธไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งปราบปรามผู้มีอิทธิพล ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้มีผลสัมฤทธิ์ภายใน ๖ เดือน นั้น ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ๑.๑.๓ กระทรวงกลาโหมจะได้ดำเนินการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกองทัพบก กองทัพอากาศ และกองทัพเรือ เกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และหลังจากดำเนินการเสร็จแล้วจะได้รายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๑.๔ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๙ มอบหมายให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักบูรณาการร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนและวางระบบการตรวจคนเข้าเมืองตามด่านตรวจคนเข้าเมืองต่าง ๆ รวมถึงให้มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาเสริมสร้างขีดความสามารถในการดำเนินการด้วย เช่น การใช้ระบบ Biometrics หรือการใช้ข้อมูลทางชีวภาพ เพื่อสามารถเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องได้แล้วนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ เดือน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ นั้น ขณะนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) ได้นำระบบ Biometrics มาใช้ในท่าอากาศยานแล้ว (นำร่อง) และจะขยายผลการดำเนินการต่อไป ๑.๒ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รายงานผลการจัดงานประกาศรางวัล ๕๐ ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย ประจำปี ๒๕๕๙ (Asia’ 50 Best Restaurants 2016) ว่า ในปีนี้มีร้านอาหารของไทยติดอันดับจำนวน ๔ ร้าน โดยหนึ่งในนั้นได้รับรางวัลชนะเลิศเป็นปีที่ ๒ ติดต่อกัน ซึ่งในอนาคตอาจมีการพิจารณานำผลผลิตของโครงการหลวงมาใช้เป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์และสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยด้วย ๑.๓ รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานว่า สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศและการบินแห่งชาติ และองค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นต้น ดำเนินโครงการ “ปิดเทอมนี้... สนุกคิด... สนุกเรียนรู้... สู่อนาคต” ประกอบด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ ได้แก่ ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านดาราศาสตร์ ด้านความคิดสร้างสรรค์ ด้านศิลปวัฒนธรรม ด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และด้านส่งเสริมนิสัยรักการอ่านและทักษะชีวิต เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้มีโอกาสแสวงหาความรู้จากพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ในช่วงปิดภาคเรียน (เดือนมีนาคม-พฤษภาคม ๒๕๕๙) ๑.๔ รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รายงานว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกในปี ๒๕๕๙ มีแนวโน้มชะลอตัว เห็นได้จากมูลค่าการส่งออกและนำเข้าที่หดตัวของประเทศหลักในภูมิภาค ประกอบกับอุปสงค์ภายในประเทศของสาธารณรัฐประชาชนจีนมีแนวโน้มชะลอตัวลง แม้ว่าสถานการณ์การส่งออกของประเทศไทยในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ ดีกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค แต่ยังมีความเสี่ยงจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมุ่งเน้นการสนับสนุนเศรษฐกิจภายในประเทศ ผ่านการเร่งรัดการเบิกจ่ายตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในช่วงครึ่งแรกของปี และเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ให้สามารถเริ่มดำเนินโครงการได้ภายในไตรมาสที่ ๓ และ ๔ ของปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ๑.๕ รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รายงานเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านกฎหมายว่า ๑.๕.๑ ช่วงระยะเวลาหลังจากร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติแล้ว สภานิติบัญญัติแห่งชาติจะต้องพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหลายฉบับและต้องพิจารณาโดยเร็ว และเพื่อให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและตามกรอบระยะเวลา เห็นควรให้ส่วนราชการเร่งรัดเสนอร่างพระราชบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อคณะรัฐมนตรีในห้วงระยะเวลาก่อนที่จะมีการออกเสียงประชามติ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเพื่อให้สามารถเสนอร่างพระราชบัญญัติต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้โดยเร็ว ๑.๕.๒ ปัจจุบันสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้เห็นชอบกฎหมายมาแล้ว ๑๕๑ ฉบับ และเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการออกกฎหมายลูกบทต่อไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ (เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) ๒. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการเกี่ยวกับการออกกฎหมายต่าง ๆ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
554 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. .... | สว | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การออกกฎกระทรวงของกระทรวงแรงงานเพื่อกำหนดประเภทของสถานประกอบกิจการและการดำเนินการของสถานประกอบกิจการ กระทรวงแรงงานควรพิจารณาออกกฎกระทรวงให้ครอบคลุมถึงกลุ่มลูกจ้างหรือคนงานที่ทำงานในสถานประกอบกิจการประเภทก่อสร้างนอกที่ตั้งของสำนักงานปกติหรือกลุ่มแรงงานไร้ฝีมือด้วย ๑.๒ กรณีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ควรแต่งตั้งผู้แทนจากองค์กรพัฒนาเอกชนและนักวิชาการที่ทำงานด้านสุขภาวะทางเพศเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๓ กรมอนามัยควรมีการจัดทำกระบวนการคุ้มครองหรือแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการป้องกัน ช่วยเหลือ แก้ไข และเยียวยาปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ๑.๔ ในกรณีที่มีการกำหนดมาตรฐานการจัดสวัสดิการสังคม ควรคำนึงถึงสิทธิของวัยรุ่นที่จะได้รับในประเด็นเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และเพียงพอ โดยเสมอภาคและไม่ถูกเลือกปฏิบัติ ๒. มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และกระทรวงแรงงานเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมแล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
555 | รายงานสถานการณ์หนี้สินภาคครัวเรือนและมาตรการในการลดภาระหนี้สินภาคครัวเรือนและหนี้นอกระบบ | กค | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์หนี้สินภาคครัวเรือนและมาตรการในการลดภาระหนี้สินภาคครัวเรือนและหนี้นอกระบบ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ดังนี้
๑. สถานการณ์หนี้สินภาคครัวเรือน สัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วง ๘ ปีที่ผ่านมา โดยพิจารณาจากเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนที่ขยายตัวของ GDP ทำให้หนี้สินภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๘๑.๑ ของ GDP ในช่วง ๓ ปีที่ผ่านมา อัตราการขยายตัวเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนและการขยายตัวของอัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ต่อสินเชื่อรวมมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ๒. ผลกระทบของหนี้สินภาคครัวเรือนในปัจจุบันยังไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทยมากนัก เนื่องจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหนี้สินภาคครัวเรือนส่งผลกระทบต่อ NPL ในระบบสถาบันการเงินในระดับต่ำแม้ว่าคุณภาพสินเชื่อจะด้อยลงบ้างแต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ดี สถานการณ์หนี้สินภาคครัวเรือนในปัจจุบันยังทรงตัวในระดับสูงแต่อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี ๒๕๕๖ และยังขยายตัวช้ากว่าการเพิ่มขึ้นของหนี้สินภาคครัวเรือน อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่มีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเพิ่มขึ้นของหนี้สินภาคครัวเรือน และไม่ได้ทำให้ภาระการผ่อนชำระสินเชื่อเพิ่มขึ้นมากนัก และหนี้สินจากบัตรเครดิตมีสัดส่วนค่อนข้างน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับหนี้สินภาคครัวเรือนทั้งหมดและมีอัตราการขยายตัวชะลอลง ๓. ความคืบหน้าของการดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนและหนี้นอกระบบของกระทรวงการคลังที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ได้แก่ การส่งเสริมการเพิ่มรายได้ โครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรรายย่อยผ่าน ธ.ก.ส. การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ การให้ความคุ้มครองผู้ที่เป็นลูกหนี้ การให้ความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) โครงการของขวัญปีใหม่ ๒๕๕๙ ของกระทรวงการคลัง และมาตรการบรรเทาภาระหนี้สินของผู้ถือบัตรเครดิต
|
|||||||||||||||||||||
556 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนธันวาคม ปี 2558 | พณ | 23/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนธันวาคม ปี ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมมูลค่าการส่งออกของไทยปี ๒๕๕๘ หดตัวที่ร้อยละ ๕.๗๘ โดยมีสาเหตุสำคัญจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว รวมทั้งราคาน้ำมันที่ลดลงกระทบมูลค่าส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน อีกทั้งยังกดดันให้ราคาสินค้าเกษตรโลกอยู่ในระดับต่ำ ๒. มูลค่าการค้าระหว่างประเทศในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ การส่งออกเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ มีมูลค่า ๑๗,๑๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๘.๗๓ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน (YoY) และทั้งปี ๒๕๕๘ มีมูลค่า ๒๑๔,๓๗๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๕.๗๘ เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) ๓. มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมเกษตร หดตัวตามราคาสินค้าเกษตรโลก โดยภาพรวมเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ลดลงร้อยละ ๙.๘ (YoY) และทั้งปี ๒๕๕๘ ลดลงร้อยละ ๗.๔ (YoY) ตามทิศทางของราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่ยังคงชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม หดตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมัน โดยภาพรวมเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ลดลงร้อยละ ๖.๗ (YoY) และทั้งปี ๒๕๕๘ ลดลงร้อยละ ๔.๐ (YoY) ปัจจัยหลักยังคงมาจากการหดตัวของมูลค่าส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันดิบหรืออุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างการใช้วัตถุดิบซึ่งมาจากการกลั่นปิโตรเลียม และมีแนวโน้มลดต่ำลงมากต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า ๔. การนำเข้าเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ มีมูลค่า ๑๕,๖๑๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๙.๒๓ (YoY) และทั้งปี ๒๕๕๘ มีมูลค่า ๒๐๒,๖๕๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๑๑.๐๒ (YoY) ส่งผลให้ดุลการค้าระหว่างประเทศเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ เกินดุล ๑,๔๘๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ทั้งปี ๒๕๕๘ เกินดุล ๑๑,๗๒๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการกลับมาเกินดุลการค้าครั้งแรกในรอบ ๔ ปี อีกทั้งเป็นมูลค่าเกินดุลที่สูงสุดนับตั้งแต่ปี ๒๕๕๒
|
|||||||||||||||||||||
557 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ ทั้งปี 2558 และแนวโน้มปี 2559 | นร11 | 23/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ ทั้งปี ๒๕๕๘ และแนวโน้มปี ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๕๘ ขยายตัวร้อยละ ๒.๘ สูงกว่าการขยายตัวร้อยละ ๐.๘ ในปี ๒๕๕๗ โดยการบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๒.๑ และร้อยละ ๔.๗ ตามลำดับ การผลิตนอกภาคเกษตรขยายตัวร้อยละ ๓.๖ การผลิตภาคเกษตรลดลงร้อยละ ๔.๒ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราการว่างงานทั้งปีเท่ากับร้อยละ ๐.๘ อัตราเงินเฟ้อเท่ากับร้อยละ -๐.๙ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๘.๙ ของ GDP ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๕๙ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๒.๘-๓.๘ โดยมีค่ากลางที่ร้อยละ ๓.๓ เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๘ ในปี ๒๕๕๘ มูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ ๑.๒ การบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๒.๗ และร้อยละ ๔.๙ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วงร้อยละ (-๐.๑) -๐.๙ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๘.๒ ของ GDP ๓. ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี ๒๕๕๙ ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการดูแลฐานรายได้เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย การดูแลขับเคลื่อนการส่งออกและการท่องเที่ยวควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศและยกระดับศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว
|
|||||||||||||||||||||
558 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | เวียน | 23/02/2559 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง ให้กระทรวงกลาโหมเร่งรัดการดำเนินการศึกษา วิจัย และพัฒนาการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ในประเทศให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานด้านความมั่นคง และลดภาระงบประมาณในการนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น การผลิตเรือดำน้ำขนาดเล็ก ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประสานภาคธุรกิจเพื่อจัดตั้งคณะกรรมการภาครัฐและเอกชนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ (Public-Private Steering Committee) เพิ่มเติมอีก ๑ ชุด เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในด้านการวิจัย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเชิญคนไทยที่มีความรู้ความสามารถทั้งในและต่างประเทศร่วมในคณะกรรมการดังกล่าว ๒.๒ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณานำร่องการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) ในหน่วยงาน รวมทั้งให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงอุตสาหกรรมสนับสนุนการผลิต Solar Cell ภายในประเทศ รวมถึงการทำลายแผง Solar Cell ที่ไม่ใช้งานแล้วด้วย ๓. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๓.๑ ในการจัดทำข้อเสนอแนวทางการปฏิรูปตำรวจ ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยเน้นการปฏิรูปด้านการให้บริการหรือการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน การเพิ่มประสิทธิภาพ และการสร้างความไว้วางใจให้แก่ประชาชน รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายตำรวจแห่งชาติและกฎหมายลำดับรองเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน ๓.๒ ให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการนำไม้พะยูงหรือส่งมอบไม้มีค่าที่อยู่ในความครอบครองและการดำเนินคดีสิ้นสุดแล้วมาใช้ประโยชน์ให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ให้ทุกส่วนราชการจัดทำแผนงานในภารกิจหลักของหน่วยงานระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) เช่น แผนงานโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม แผนงานด้านสาธารณูปโภค แผนงานด้านการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว โดยให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเสนอโครงการที่ต้องขออนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี) ได้แก่ (๑) ระบุรายละเอียดโครงการ/กิจกรรมที่จะดำเนินการและผลที่จะได้รับในแต่ละระยะ เช่น ๑ เดือน ๓ เดือน ๖ เดือน ๑๒ เดือน ตลอดระยะเวลาของแผนงานและเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของแผน (๒๐ ปี) (๒) บูรณาการการทำงานและงบประมาณร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (๓) คำนึงถึงความเชื่อมโยงในระดับภูมิภาค จังหวัด และท้องถิ่น และ (๔) ประเมินและทบทวนแผนงานทุก ๆ ๕ ปี ทั้งนี้ ให้ทุกส่วนราชการจัดทำแผนงานดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ และส่งให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรวบรวมนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔.๒ ให้ทุกส่วนราชการที่จะดำเนินโครงการที่ต้องจัดจ้างให้เอกชนผู้รับจัดงาน (Organizer) งานโฆษณา และงานประชาสัมพันธ์ให้ใช้จ่ายงบประมาณโดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัดเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ให้พิจารณาดำเนินการให้กิจกรรมที่สามารถดำเนินการได้เองก่อนเป็นลำดับแรก ๔.๓ ในกรณีที่ส่วนราชการจัดทำข้อมูลในเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ ของหน่วยงาน ให้หน่วยงานบูรณาการข้อมูลต่าง ๆ ให้เกิดความเชื่อมโยงกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารด้วย ๔.๔ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการบูรณาการระบบ CCTV ของท่าอากาศยานทั่วประเทศ ระบบ BIOMETRICS และระบบ CCTV เพื่อการควบคุมทางศุลกากรเข้าด้วยกันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และให้รายงานความก้าวหน้าต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนด้วย ๔.๕ ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาโรงเรียนที่มีจำนวนครูและนักเรียนน้อย เช่น การปรับเปลี่ยนโรงเรียนให้เป็นศูนย์การเรียนรู้หรือการจัดทำห้องเรียนเคลื่อนที่ โดยการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาสนับสนุน ๔.๖ ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาคเอกชนที่มีจำนวนนักศึกษาน้อยและประสบภาวะการขาดทุน เช่น การรวมสถานศึกษาที่มีลักษณะใกล้เคียงกันเพื่อให้การพัฒนาการศึกษาด้านอาชีวศึกษามีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||
559 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนอ้อมใหญ่ จังหวัดนครปฐม พ.ศ. .... | มท | 16/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนอ้อมใหญ่ จังหวัดนครปฐม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งศิลปกรรม การพัฒนาระบบผลิตพลังงานทดแทนบางประเภทที่เข้าข่ายเป็น “โรงไฟฟ้า” อาจจะจัดตั้งไม่ได้ในเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินบางประเภท ควรยกเว้นให้สามารถพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนบางประเภทที่ไม่มีมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมหรือมีแต่น้อยมาก ตามที่หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมจะกำหนด และข้อกำหนดของร่างกฎกระทรวงไม่สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงที่การประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม จำนวน ๗๔ ประเภท ๓๔๐โรงงาน ส่งผลให้ไม่สามารถตั้งหรือขยายโรงงานได้ ควรเพิ่มประเภทและขนาดโรงงานในร่างกฎกระทรวงดังกล่าว รวมทั้งเพิ่มโรงงานประเภท ๑๐๕ โรงงานคัดแยก ฝังกลบสิ่งปฏิกูล และประเภท ๑๐๖ โรงงานนำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้วหรือของเสียจากโรงงานมาผลิตเป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เพื่อให้การบังคับใช้กฎกระทรวงฉบับนี้มีผลในทางปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อร่างกฎกระทรวงประกาศใช้ เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะต้องให้ความสำคัญต่อการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎกระทรวงอย่างเข้มงวดและจริงจัง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
560 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองสระบุรี พ.ศ. .... | มท | 16/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองสระบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลผึ้งรวง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ และตำบลดาวเรือง ตำบลตะกุด ตำบลปากเพรียว ตำบลตลิ่งชัน ตำบลปากข้าวสาร ตำบลโคกสว่าง อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงคมนาคม และกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งศิลปกรรม และพิจารณาเพิ่มระบบโครงข่ายคมนาคมขนส่งในอนาคตที่เชื่อมโยงศูนย์ราชการจังหวัดสระบุรีแห่งใหม่ และชุมชนเมือง ถนนมิตรภาพ และบริเวณที่สำคัญอื่น ๆ การพัฒนาระบบผลิตพลังงานทดแทนบางประเภทที่เข้าข่ายเป็น “โรงไฟฟ้า” อาจจะจัดตั้งไม่ได้ในเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินบางประเภท ควรยกเว้นให้สามารถพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนบางประเภทที่ไม่มีมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมหรือมีแต่น้อยมาก รวมทั้งข้อกำหนดของร่างกฎกระทรวงอาจส่งผลให้ไม่สามารถตั้งหรือขยายโรงงานได้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
.....