ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 21 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 401 - 420 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
401 | ขอความเห็นชอบการชดเชยค่าใช้จ่ายกรณีเกิดภาวะขาดทุนจากการดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2558/59 ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 13/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการชดเชยภาระขาดทุนจากการดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๘/๕๙ จำนวน ๙๐๖.๘๒ ล้านบาท ให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ผ่านการขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป และให้ ธ.ก.ส. จัดทำรายละเอียดและหลักฐานแสดงผลการดำเนินโครงการที่ขาดทุน พร้อมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในการดำเนินการร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์การผลิต การตลาด และราคาข้าวเปลือก ในการดำเนินการระบายข้าวเปลือกเพื่อลดภาระขาดทุนจากการดำเนินโครงการ รวมทั้งนำบทเรียนจากการดำเนินการที่ผ่านมาและข้อเสนอแนะของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีตามนัยมติคณะรัฐมนตรี (๙ มกราคม ๒๕๖๑) มาพิจารณากำหนดเป็นแนวทางในการดำเนินการโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีในปีต่อ ๆ ไป รวมทั้งกำหนดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินโครงการเพื่อพิจารณาความคุ้มค่าในการดำเนินงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
402 | การปรับปรุงค่าตอบแทนของผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง | นร10 | 13/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ และร่างพระราชกฤษฎีกา รวม ๖ ฉบับ ตามที่คณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ได้แก่ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ และกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการโดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๒.๑ ให้แก้ไขกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมและกฎหมายจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง โดยทบทวนบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการกำหนดเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวตามภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากได้นำเงินเพิ่มค่าครองชีพมารวมกับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งตามร่างพระราชบัญญัติตามข้อ ๑.๑ และ ๑.๒ แล้วแต่ละองค์กรจึงไม่ควรมีอำนาจกำหนดเงินเพิ่มค่าครองชีพดังกล่าวอีก ๒.๒ ให้แยกการกำหนดเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกจากร่างพระราชบัญญัติตามข้อ ๑.๓ เป็นกฎหมายเฉพาะ เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งได้แยกศาลรัฐธรรมนูญออกจากองค์กรอิสระเป็นองค์กรศาลแล้ว และให้กำหนดการมีสิทธิได้รับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวตามภาวะเศรษฐกิจในลักษณะเดียวกันกับประธานศาลฎีกา รองประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด และรองประธานศาลปกครองสูงสุด ในอัตรา ๑๒,๕๐๐ บาท/เดือน และ ๗,๓๐๐ บาท/เดือน ตามลำดับ โดยให้เงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ จนถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ และตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ โดยให้นำเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวมารวมเป็นเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งตามหลักการเดียวกับกรณีของศาลยุติธรรมและศาลปกครอง ๒.๓ ให้นำการกำหนดเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมากำหนดเพิ่มเติมไว้ในร่างพระราชบัญญัติตามข้อ ๑.๓ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ และองค์กรอิสระอื่น ๒.๔ ให้รวมร่างพระราชบัญญัติตามข้อ ๑.๕ และ ๑.๖ เป็นฉบับเดียวกันเพื่อความสะดวกในการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติตามข้อ ๑.๑-๑.๓ เมื่อส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตามข้อ ๑.๑-๑.๔ แล้ว ให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป สำหรับร่างพระราชกฤษฎีกาตามข้อ ๑.๕ และ ๑.๖ เมื่อสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว ให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยกำหนดให้ตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งข้าราชการการเมืองที่ได้รับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งเท่ากับตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และมีจำนวนเท่ากับคณะรัฐมนตรี และให้พิจารณาการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ช่วยรัฐมนตรีไว้ด้วย โดยคำนึงถึงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และให้เสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณา ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๔. ให้ความเห็นชอบสำหรับค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงค่าตอบแทนของผู้ดำรงตำแหน่งในฝ่ายตุลาการและองค์กรอิสระและองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญดังกล่าว โดยให้ใช้งบประมาณของแต่ละหน่วยงานก่อน ตามที่คณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
403 | เกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ ประเภทถ้ำ | ทส | 06/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ ประเภทถ้ำ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฯ ประเภทถ้ำ ประกอบด้วย (๑) ปัจจัยชี้วัด เพื่อแสดงถึงคุณภาพของสภาวะแวดล้อมด้านต่าง ๆ รวม ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านองค์ประกอบของระบบถ้ำและสิ่งแวดล้อม ด้านองค์ประกอบภูมิสถาปัตยกรรมและสถาปัตยกรรม ด้านผลผลิตจากการบริการสิ่งแวดล้อมของถ้ำ และด้านการบริหารจัดการ และ (๒) ระดับเกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม กำหนดเป็น ๓ ระดับ ได้แก่ ระดับสูงหรือดี คือ ไม่มีผลกระทบหรือมีระดับผลกระทบน้อย ระดับปานกลาง คือ มีระดับผลกระทบปานกลาง และระดับต่ำ คือ มีระดับผลกระทบมากหรือรุนแรง ๒. คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๐ มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฯ ประเภทถ้ำ และมอบหมายให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลพื้นที่แหล่งธรรมชาติ ประเภทถ้ำ ทำการประเมินตามเกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฯ เป็นประจำทุกปี โดยมีสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานประสานกลางให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะ รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำเกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฯ ประเภทถ้ำ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
404 | การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในอนุภูมิภาค ด้านการต่อต้านการก่อการร้าย | กห | 30/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในอนุภูมิภาค ด้านการต่อต้านการก่อการร้าย (Joint Ministerial Statement Sub-Regional Defence Ministers’ Meeting on Counter-Terrorism) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑-๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ณ นครเพิร์ท เครือรัฐออสเตรเลีย โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้าย เช่น การบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานด้านความมั่นคงทุกภาคส่วนของรัฐ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของประเทศที่เข้าร่วมประชุมฯ ในการปฏิบัติการเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย รวมทั้งสภาวะแวดล้อมที่เป็นภัยคุกคามต่อภูมิภาค ความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้าย และการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารความมั่นคง ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงกลาโหมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
405 | ผลการประชุมขยะทะเลระดับอาเซียน เรื่อง การลดปริมาณขยะทะเลในกลุ่มประเทศอาเซียน (ASEAN Conference on Reducing Marine Debris in ASEAN Region) | ทส | 23/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมขยะทะเลระดับอาเซียน เรื่อง การลดปริมาณขยะทะเลในกลุ่มประเทศอาเซียน (ASEAN Conference on Reducing Marine Debris in ASEAN Region) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๒-๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ จังหวัดภูเก็ต โดยที่ประชุมได้ร่วมกันทบทวนสถานภาพและสถานการณ์ของมลภาวะด้านขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านนโยบาย ความคิดริเริ่ม และการดำเนินงานที่ประสบความสำเร็จในระดับประเทศ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบข้อเสนอแนะแนวทางในการจัดการและแก้ไขปัญหาขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียนร่วมกัน ได้แก่ (๑) สนับสนุนและเสริมสร้างความเข้มแข็งทางด้านนโยบาย โดยกำหนดนโยบายแบบบูรณาการและกรอบแนวทางความร่วมมือข้ามภาคส่วนในการจัดการขยะจากแหล่งทั้งบนบกและในทะเล (๒) เสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการและการริเริ่มต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหามลภาวะขยะทะเลระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และภูมิภาค (๓) เร่งดำเนินการศึกษาเพื่อให้ได้ฐานข้อมูลสถานภาพและผลกระทบของมลภาวะด้านขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียน และพัฒนาขีดความสามารถในการวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีทางทะเล (๔) ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการกำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหาขยะทะเล และ (๕) สร้างความตระหนักรู้และการรณรงค์ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับปัญหาและผลกระทบของขยะทะเล โดยผลสำเร็จจากการประชุมดังกล่าวได้ถูกนำเสนอในที่ประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ ๓ ณ สาธารณรัฐเคนยา เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ และจะถูกนำเข้าสู่กระบวนการประชุมของอาเซียนอย่างเป็นทางการ เพื่อพิจารณาข้อเสนอแนะดังกล่าวทั้ง ๕ ข้อ เป็นกรอบการดำเนินงานในแนวทางที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการกำจัดขยะในพื้นที่ต่าง ๆ ให้เหมาะสม เป็นระบบครบวงจร ทั้งที่เป็นขยะต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ทั้งนี้ หากโครงการ/กิจกรรมใดมีความพร้อมขอให้เริ่มดำเนินการก่อน และในกรณีที่มีการฝังกลบขยะในพื้นที่แล้ว ให้พิจารณาปรับปรุงพื้นที่ดังกล่าวให้เกิดประโยชน์เพิ่มขึ้นด้วย เช่น ปรับปรุงเป็นสวนสาธารณะ ปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วน รวมทั้งบริษัท ห้างร้าน หรือสถานประกอบการต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการลดการใช้วัสดุที่ผลิตขึ้นจากพลาสติกเนื่องจากจะกลายเป็นขยะตกค้างที่ย่อยสลายได้ยาก เช่น การใช้ถุงพลาสติกใส่สินค้าเท่าที่จำเป็นและกระตุ้นให้ผู้ซื้อสินค้านำถุงผ้ามาใส่สินค้าเอง การให้ส่วนลดราคาสินค้ากรณีที่ลูกค้าไม่ใช้ถุงพลาสติก เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
406 | การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน (กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม) | กค | 09/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบผลการพิจารณาการขอจัดตั้งกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ครั้งที่ ๖/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๐ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการการจัดตั้งกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา โดยมีข้อสังเกตว่า (๑) เงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นรายปี ควรให้กองทุนฯ เสนอขอรับการจัดสรรตามความจำเป็นต่อไป และเป็นไปตามกำลังเงินของแผ่นดิน (๒) ควรกำหนดให้มีเลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบไว้ในองค์ประกอบคณะกรรมการตรวจสอบตามร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. .... (๓) ควรกำหนดให้กองทุนฯ เข้าสู่กระบวนการประเมินผลการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ (๔) ควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายและหลักเกณฑ์วิธีการในการจัดสรรเงินสนับสนุนช่วยเหลือให้กับนักเรียนนักศึกษาให้ชัดเจน เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนกับการดำเนินงานของหน่วยงานอื่นของรัฐ และ (๕) การกำหนดโครงสร้างและกรอบอัตรากำลังควรกำหนดให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๒ เห็นชอบในหลักการการจัดตั้งกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม โดยมีข้อสังเกตว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ควรกำกับการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ให้เกิดประสิทธิภาพโดยสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การจัดตั้งกองทุนฯ รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์การช่วยเหลือประชาชนในภาวะลำบากให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการคลัง (สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง) รับข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
407 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนตุลาคม 2560 และคาดการณ์เดือนพฤศจิกายน 2560 | อก | 03/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนตุลาคม ๒๕๖๐ และคาดการณ์เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนตุลาคม ๒๕๖๐ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๐.๕ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) และขยายตัวร้อยละ ๔.๙ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) ซึ่งเป็นการขยายตัวเป็นบวกต่อเนื่องกันเป็นเดือนที่ ๔ โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ สินค้ายางแผ่นและยางแท่ง สินค้าเครื่องยนต์ดีเซล สินค้าน้ำมันปาล์มดิบ สินค้าสับปะรดกระป๋อง ส่วนการนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย การนำเข้าเครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ มีมูลค่า ๑,๖๐๑.๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๒๐.๕ (YoY) จากการนำเข้าเครื่องยนต์ เครื่องจักรใช้ในการก่อสร้างและส่วนประกอบ สำหรับการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า ๖,๙๒๖.๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๓.๘ (YoY) จากการนำเข้าเคมีภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ๒. คาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของไทยเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมคาดว่าขยายตัวร้อยละ ๑.๐-๑.๕ (YoY) โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่ขยายตัว เช่น ผลิตภัณฑ์ยางอื่นที่มิใช่ยางรถยนต์ รถยนต์ และชิ้นส่วนรถยนต์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
408 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสามปี 2560 | นร11 | 19/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสามปี ๒๕๖๐ ประกอบด้วย (๑) สถานการณ์ทางสังคม การจ้างงานโดยรวมลดลง ค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น ผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้น อัตราการว่างงานสูงขึ้นเล็กน้อย การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังโดยรวมเพิ่มขึ้น การเจ็บป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่เพิ่มขึ้น คดีอาญารวมและคดียาเสพติดเพิ่มขึ้น ส่วนคดีชีวิตร่างกายและเพศ และคดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ลดลง การเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกลดลง สำหรับการเปิดพื้นที่การเรียนรู้ : และนวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุมีส่วนสำคัญอย่างมากที่จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี พึ่งพาตนเอง และอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณค่า และ (๒) บทความเรื่อง “ระบบการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวในประเทศไทย” กล่าวถึงทิศทางการจัดบริการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งมีการกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว ได้แก่ แผนบูรณาการพัฒนาสุขภาพกลุ่มวัยสูงอายุ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๖ ของกระทรวงสาธารณสุข แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
409 | สรุปผลการประชุม Asia-Pacific Ministerial Summit on the Environment | ทส | 12/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุม Asia-Pacific Ministerial Summit on the Environment ระหว่างวันที่ ๕-๘ กันยายน ๒๕๖๐ ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นการประชุมที่ควบรวมการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมภายใต้องค์การสหประชาชาติของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกไว้ด้วยกัน ได้แก่ การประชุมระดับรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสำหรับเอเชียและแปซิฟิกของเอสแคป (Ministerial Conference on Environment and Development in Asia and Pacific : MCED) ครั้งที่ ๗ และการประชุมระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ด้านสิ่งแวดล้อมของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกในกรอบโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UN Environment’s Forum of Ministers and Environment Authorities of Asia Pacific) ครั้งที่ ๒ โดยมีหัวข้อหลัก คือ “Towards a resource efficient and pollution free Asia-Pacific” โดยมีประเด็นการประชุมที่สำคัญ เช่น (๑) การทบทวนความก้าวหน้าการดำเนินงานที่สำคัญจากการประชุม MCED ครั้งที่ ๖ โดยมีการหารือถึงความร่วมมือทั้งในระดับภูมิภาค ความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนาด้วยกัน และความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนากับประเทศพัฒนาแล้ว เพื่อแก้ไขปัญหาในภูมิภาค (๒) การหารือถึงความก้าวหน้าการดำเนินงานตามข้อมติ UNEA สถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมและประเด็นสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของภูมิภาค รวมถึงข้อคิดเห็นต่อการประชุม UNEA สมัยที่ ๓ ในประเด็นหัวข้อ “Towards to a pollution free planet” และร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับสูง และ (๓) การอภิปราย Ministerial Dialogue : “Towards a resource-efficient and pollution free Asia-Pacific region” เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับมาตรการที่จะมุ่งไปสู่การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และภาวะปลอดมลพิษในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก เป็นต้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
410 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม - มิถุนายน 2560) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 04/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๖๐) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สรุปภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี ๒๕๖๐ มีทิศทางขยายตัวชัดเจนมากขึ้นที่ร้อยละ ๓.๕ โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการภาคการส่งออกสินค้าและบริการที่ขยายตัวดีตามเศรษฐกิจโลก ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามรายได้ในภาคเกษตรกรรมที่ปรับดีขึ้นเป็นสำคัญ สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในประเทศอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่ากังวล ส่วนเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี ๒. สรุปการดำเนินงานของ ธปท. ๒.๑ ด้านนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เห็นว่า การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมในเวลานี้อาจไม่สามารถช่วยให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเร่งขึ้นได้มากนัก อีกทั้งยังประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะมีทิศทางปรับสูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๐ กนง. จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๑.๕๐ ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๐ ๒.๒ ด้านนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. อยู่ระหว่างการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสถาบันการเงิน เช่น แนวทางการกำกับดูแลเกี่ยวกับการจัดชั้นและการกันเงินสำรองเพื่อรองรับมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ ๙ (IFRS 9) ส่วนด้านนโยบายการกำกับตรวจสอบ ธปท. ได้ให้ธนาคารพาณิชย์จัดทำ Supervisory Stress Test ภายใต้สถานการณ์จำลองที่กำหนด เพื่อประเมินผลกระทบของสถานการณ์จำลองต่อเสถียรภาพระบบการเงินในระยะ ๓ ปีข้างหน้า (ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๒) สำหรับการตรวจสอบด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้ตรวจสอบด้านการเตรียมความพร้อมในการรับมือภัยไซเบอร์ และระบบรองรับ National e-Payment และการดำเนินการตามแผนการยกระดับความปลอดภัยของ ATM ๒.๓ ด้านนโยบายระบบการชำระเงิน ธปท. ได้ผลักดันการดำเนินงานภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment) และร่วมกับกระทรวงการคลังผลักดันร่างพระราชบัญญัติระบบการชำระเงิน พ.ศ. .... (ปัจจุบันได้ประกาศใช้แล้วเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๐) รวมทั้งร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เพื่อยกระดับการกำกับดูแลบริการการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ ธปท. ได้ดำเนินการปรับปรุงการบริหารจัดการความเสี่ยงของระบบบาทเนต (Bank of Thailand Automated High-value Transfer Network : BAHTNET)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
411 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2560 | กค | 04/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๐ ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ ๓.๕ เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๙ (ร้อยละ ๓.๑) อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๐ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๐.๖๗ เร่งตัวขึ้นจากปีก่อน (ร้อยละ ๐.๑๙) เสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินไทยโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี จากการที่สถาบันการเงินมีเงินสำรองและเงินกองทุนอยู่ในระดับสูงเพียงพอ ส่วนด้านเสถียรภาพต่างประเทศของไทยยังคงเข้มแข็งและสามารถรองรับความผันผวนของตลาดการเงินโลกได้ อย่างไรก็ดี กนง. เห็นว่า มีสัญญาณความเสี่ยงต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินเพิ่มขึ้นในบางจุด ได้แก่ (๑) ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ด้อยลงจากภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง และ (๒) พฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นภายใต้ภาวะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานานโดยเฉพาะแนวโน้มการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ๒. การดำเนินนโยบายการเงิน กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๑.๕๐ ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๐ ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๐ เงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐปรับแข็งค่าขึ้น สอดคล้องกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค ซึ่งเป็นผลมาจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์สหรัฐ ๓. ประเด็นสำคัญต่าง ๆ ที่ กนง. ให้ความสำคัญ ได้แก่ (๑) การพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารด้านการดำเนินนโยบายการเงินต่อสาธารณชน เพื่อสร้างความโปร่งใสและเพิ่มประสิทธิผลในการดำเนินนโยบายการเงิน (๒) การติดตามพัฒนาการและประเมินความเสี่ยงด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินอย่างต่อเนื่อง และผลักดันให้เกิดการปฏิรูปกรอบการกำกับดูแลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น (๓) การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย เช่น ปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ของภาคเอกชน และศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และ (๔) การติดตามการพัฒนาเครื่องชี้วัดทางเศรษฐกิจควบคู่กับการใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อประโยชน์ต่อการพิจารณาดำเนินนโยบายในระยะต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
412 | ร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีของการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 3 | ทส | 04/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนประเทศไทยในการเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ ๓ (The third session of the United Nations Environment Assembly : UNEA 3) ระหว่างวันที่ ๔-๖ ธันวาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา ประกอบด้วย เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจำสหประชาชาติ ณ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา เป็นหัวหน้าคณะ ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ และผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข ๑.๒ เห็นชอบร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรี (Ministerial Declaration) ของ UNEA 3 เป็นเอกสารที่แสดงถึงการตระหนักว่า มลพิษที่เกิดขึ้นในทุกรูปแบบ ทั้งทางอากาศ ดิน และน้ำ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ สังคม ระบบนิเวศ เศรษฐกิจ ความมั่นคง และความอยู่รอดของมนุษย์ และยังเชื่อมโยงกับปัญหาอื่นและเกี่ยวข้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ ซึ่งการแก้ไขปัญหามลพิษเป็นการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศ ทั้งการต่อสู้ความยากจน การปรับปรุงให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น การสร้างงานที่เหมาะสม การปรับปรุงให้สิ่งมีชีวิตทั้งบนบกและในน้ำให้ดีขึ้น และการลดภาวะโลกร้อน ๑.๓ เห็นชอบกรอบคำมั่นโดยสมัครใจที่ประเทศไทยจะประกาศเพื่อให้นานาชาติทราบว่า ประเทศไทยมีความตื่นตัวในการแก้ปัญหามลพิษ โดยมีกรอบคำมั่นโดยสมัครใจที่ยึดตามนโยบายของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี และยุทธศาสตร์การจัดการมลพิษ ๒๐ ปี โดยจะนำเสนอผลการดำเนินงานของรัฐบาลที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ๑.๔ อนุมัติให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองในร่างปฏิญญาฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
413 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2560 และแนวโน้มปี 2560 - 2561 | นร11 | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๐ และแนวโน้มปี ๒๕๖๐-๒๕๖๑ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๐ ขยายตัวร้อยละ ๔.๓ เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๓.๘ ในไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๐ ขยายตัวจากไตรมาสที่สองของปี ๒๕๖๐ ร้อยละ ๑.๐ รวม ๙ เดือนแรกของปี ๒๕๖๐ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๓.๘ เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๓.๓ ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๐ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๙ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวร้อยละ ๘.๖ การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๓.๒ และร้อยละ ๒.๐ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๐.๗ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๑๐.๔ ของ GDP สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๑ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๖-๔.๖ ๓. ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี ๒๕๖๐ และปี ๒๕๖๑ ควรให้ความสำคัญกับ (๑) การสนับสนุนการขยายตัวของการผลิตนอกภาคเกษตร (๒) การขับเคลื่อนการลงทุนภาครัฐให้สามารถขยายตัวตามเป้าหมายได้อย่างต่อเนื่อง (๓) การดูแลเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย และการสร้างความเข้มแข็งให้ SMEs และเศรษฐกิจฐานราก และ (๔) การเตรียมความพร้อมด้านกำลังแรงงานและคุณภาพแรงงานให้มีเพียงพอต่อการรองรับการขยายตัวของภาคการผลิตและการลงทุนทั้งในด้านกำลังแรงงานทักษะฝีมือ แรงงานกึ่งทักษะฝีมือ และแรงงานต่างชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
414 | รายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี 2560 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี ๒๕๖๐ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี ๒๕๖๐ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) คาดว่า การเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวร้อยละ ๓.๖ ในปี ๒๕๖๐ และร้อยละ ๓.๗ ในปี ๒๕๖๑ ซึ่งได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของการลงทุน การค้าระหว่างประเทศ และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งนี้ ธนาคารโลก และ IMF ยังคงเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และกฎระเบียบภายในประเทศที่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึง (Inclusive Growth) ในระยะยาว โดยในส่วนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้นำเสนอถ้อยแถลงถึงภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของไทย ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ส่งผลให้ประมาณการเศรษฐกิจของไทยในปี ๒๕๖๐ เติบโตในอัตราร้อยละ ๓.๗ และในปีหน้าจากเดิมคาดว่าจะเติบโตร้อยละ ๓.๓ เพิ่มเป็นร้อยละ ๓.๕ ๒. การประชุมร่วมระหว่างประเทศสมาชิกกลุ่มออกเสียงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของธนาคารโลก และ IMF (Joint Meeting of the World Bank-IMF Southeast Asia Group : SEA Group) โดย IMF ได้แนะนำประเทศสมาชิกให้ใช้โอกาสที่สภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวขึ้นในขณะนี้ เร่งปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจในประเทศให้สมดุล นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลก และ IMF ได้นำเสนอบทบาทที่เพิ่มขึ้นของนวัตกรรมทางการเงินในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลในการช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการทางการเงินของผู้มีรายได้น้อย ๓. การประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลก ครั้งที่ ๙๖ (96th Development Committee Meeting) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุมฯ ๔ ประเด็นหลัก ได้แก่ (๑) การพัฒนาระบบการศึกษาเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และเสริมสร้างทักษะที่ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต ซึ่งจะสามารถบรรเทาปัญหาความเหลื่อมล้ำและนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน (๒) การส่งเสริมบทบาทและมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการลงทุนเพื่อการพัฒนา (๓) ให้ธนาคารโลกเป็นองค์กรอิสระที่มีความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการสนับสนุนประเทศสมาชิกทั้งด้านโครงการเงินกู้และการช่วยเหลือทางวิชาการ และ (๔) เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกเร่งหาข้อสรุปเกี่ยวกับแนวทางเพิ่มทุนของธนาคารโลกให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ประชุมหารือทวิภาคีกับรองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก คณะผู้จัดทำรายงาน Doing Business และ Logistics Performance Index และผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินต่างประเทศ โดยมีการหารือที่สำคัญ เช่น (๑) แนวทางความร่วมมือระหว่างไทยและธนาคารโลกภายใต้กรอบความเป็นหุ้นส่วนระหว่างประเทศที่อยู่ระหว่างการจัดทำ (๒) ผลงานของรัฐบาลไทยที่ได้ปฏิรูปกฎหมาย และลดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น และ (๓) สถาบันการเงินต่างประเทศเล็งเห็นถึงความสำคัญของไทยในฐานะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคและอาเซียน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
415 | บันทึกความเข้าใจด้านการปกป้องสุขอนามัยและระบาดวิทยาสุขภาวะของประชาชนระหว่างสำนักงานคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคและสวัสดิภาพของมนุษย์แห่งสหพันธรัฐรัสเซียและกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทย | สธ | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบบันทึกความเข้าใจด้านการปกป้องสุขอนามัยและระบาดวิทยาสุขภาวะของประชาชนระหว่างสำนักงานคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคและสวัสดิภาพของมนุษย์แห่งสหพันธรัฐรัสเซียและกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทย (Memorandum of Understanding in the Field of Protection of Sanitary and Epidemiological Wellbeing of the Population between the Federal Service for Surveillance on Consumer Rights Protection and Human Wellbeing of the Russian Federation and the Ministry of Public Health of The Kingdom of Thailand) มีสาระสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการปกป้องสุขอนามัยและระบาดวิทยาสุขภาวะของประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยจะร่วมมือกันในสาขางานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การเตรียมการป้องกันโรค การให้ความช่วยเหลือทางวิธีการและการปฏิบัติ การเข้าร่วมประชุมและการแลกเปลี่ยนข้อมูล ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ในช่วงการประชุม First WHO Global Ministerial Conference on “Ending Tuberculosis in the Sustainable Development Era : A Multisectoral Response” ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ สหพันธรัฐรัสเซีย ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงสาธารณสุขใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว ส่วนในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
416 | ขอเปลี่ยนแปลงกำลังผลิตไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ 1 - 2) | พน | 07/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการเปลี่ยนแปลงกำลังผลิตไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ ๑-๒) จากกำลังผลิตสุทธิ ๑,๓๐๐ เมกะวัตต์ เป็นกำลังผลิตสุทธิ ๑,๔๐๘.๗ เมกะวัตต์ ด้วยกรอบวงเงินลงทุนเดิมที่ ๓๓,๙๔๒.๖๕ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติเปลี่ยนแปลงการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนเริ่มโครงการ จากประจำปี ๒๕๕๙ เป็นประจำปี ๒๕๖๐ สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ ๑-๒) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓,๐๖๖.๙๗ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงพลังงาน และ กฟผ. ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๐ และมติคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ครั้งที่ ๓๒/๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๔๗๔) เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๐ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ปรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ (Power Development Plan : PDP 2015) ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนไปตามสภาวะเศรษฐกิจของประเทศและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมทั้งให้พิจารณาหลักเกณฑ์ในการประกวดราคาโรงไฟฟ้าให้เหมาะสมโดยคำนึงถึงผลกระทบกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองและอัตราค่าไฟฟ้าโดยรวม และควรให้ กฟผ. ดำเนินการด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตลอดจนวางแผนการกู้เงินและการเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินของ กฟผ. โดยให้พิจารณาใช้เงินรายได้เป็นลำดับแรกก่อนการใช้เงินกู้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
417 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกันยายน 2560 และคาดการณ์เดือนตุลาคม 2560 | อก | 31/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกันยายน ๒๕๖๐ และคาดการณ์เดือนตุลาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกันยายน ๒๕๖๐ ดัชนีอุตสาหกรรมภาพรวม การผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๒ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ ที่ขยายตัวร้อยละ ๔.๒ เช่นกัน และขยายตัวเป็นบวกต่อเนื่องกันเป็นเดือนที่ ๓ ๒. คาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนตุลาคม ๒๕๖๐ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ ๑๑๔.๖ โดยจะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ ๔.๕-๕.๐ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนกันยายน ๒๕๖๐ ซึ่งขยายตัวร้อยละ ๔.๒ โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่คาดว่าจะขยายตัว อาทิ ผลิตภัณฑ์ยางอื่นที่มิใช่ยางรถยนต์ รถยนต์ และชิ้นส่วนรถยนต์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
418 | รายงานสรุปผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 18 (18th ASCC Council Meeting) ณ เมืองตาไกไต สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และคณะ | พม | 10/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ ๑๘ (18th ASCC Council Meeting) ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และคณะ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ กันยายน ๒๕๖๐ ณ เมืองตาไกไต สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมฯ รับทราบรายงานของประธานการประชุมคณะเจ้าหน้าที่อาวุโสสำหรับคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (SOCA) เกี่ยวกับผลการดำเนินงานในปี ๒๕๖๐ และความก้าวหน้าของเอกสารผลลัพธ์สำคัญที่จะเสนอต่อผู้นำอาเซียนในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ ๓๑ ที่จะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ เมืองปัมปังกา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ รวม ๑๑ ฉบับ เช่น (๑) ฉันทามติอาเซียนว่าด้วยการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของแรงงานต่างด้าว (๒) ปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการยุติภาวะทุพโภชนาการในทุกรูปแบบ และ (๓) ดัชนีการพัฒนาเยาวชนอาเซียนฉบับที่หนึ่ง เป็นต้น ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้แสดงข้อคิดเห็นว่าอาเซียนในระยะต่อไปควรเน้นการทำงานที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในภูมิภาค โดยเฉพาะใน ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) การส่งเสริมให้มีสภาพแวดล้อมที่สนองต่อทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะประชาชนในระดับฐานราก (๒) ทุกประเทศควรเร่งดำเนินการตามข้อตกลงและพันธสัญญาต่าง ๆ ของอาเซียน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน และ (๓) การร่วมมือกับสาขาต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ๓. การประชุมคณะเจ้าหน้าที่อาวุโสสำหรับคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (SOCA) และการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนครั้งต่อไปจะจัดขึ้นในปี ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
419 | สรุปผลการประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) ครั้งที่ 49 | ศธ | 03/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) ครั้งที่ ๔๙ ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีศึกษาในประเทศสมาชิกซีมีโอได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้และหารือร่วมกันเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่ดีในการส่งเสริมวาระการศึกษาของซีมีโอด้านการจัดการศึกษาและการดูแลเด็กปฐมวัย การจัดการอุปสรรคในการเข้าถึงการศึกษา การเตรียมความพร้อมการศึกษาเพื่อเผชิญกับสภาวะฉุกเฉิน การส่งเสริมการศึกษาและฝึกอบรมด้านเทคนิคและอาชีวศึกษา การปฏิรูประบบการพัฒนาครู การเสริมสร้างความร่วมมือด้านการอุดมศึกษาและการวิจัย และการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ ๒. ประเทศไทยได้เสนอเรื่องการจัดตั้งศูนย์ระดับภูมิภาคแห่งใหม่ในประเทศไทย จำนวน ๒ แห่ง ได้แก่ ศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อความยั่งยืนของซีมีโอ (SEAMEO Regional Centre for Sufficiency Economy Philosophy for Sustainability : SEAMEO SEPS) และศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาของซีมีโอ (SEAMEO Regional Centre for STEM Education : SEAMEO STEM-ED) ๓. ที่ประชุมฯ ได้รับรอง “Jakarta Framework for Action for SEAMEO Education Agenda Towards Achieving Sustainable Development Goals ในระหว่างการประชุม Strategic Dialogue for Education Ministers on Education Agenda 3 (SDEM 3)” เพื่อประเทศสมาชิกได้ยึดถือเป็นแนวทางความร่วมมือระหว่างกัน อันจะเป็นการพัฒนาการศึกษาของภูมิภาคต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
420 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสองปี 2560 | นร11 | 26/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสองปี ๒๕๖๐ ประกอบด้วย (๑) สถานการณ์ทางสังคม ซึ่งมีประเด็นที่มีความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญในเชิงบวกและประเด็นที่ต้องติดตามและเฝ้าระวัง ได้แก่ การจ้างงานโดยรวมเพิ่มขึ้น ค่าจ้างแรงงานภาคเอกชนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้น หนี้สินครัวเรือนชะลอตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง เด็กไทยมีระดับสติปัญญา (IQ) เฉลี่ยสูงขึ้น คนไทยมีอายุยืนยาวขึ้น แต่ต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันโรคไม่ติดต่อมากขึ้น ค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ลดลง คดีอาญาโดยรวม ยาเสพติดลดลง การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ยังคงมุ่งมั่นแก้ปัญหาการค้ามนุษย์อย่างจริงจังต่อไป การร้องเรียนสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น การสร้างสภาพแวดล้อมสีเขียวด้วยการใช้พลังงานสะอาด พบว่ามีการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเปิดพื้นที่การเรียนรู้ : การศึกษาเพื่อพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์กับ “โรงเรียนมีชัยพัฒนา” หรือโรงเรียนไม้ไผ่ จังหวัดบุรีรัมย์ และ (๒) บทความเรื่อง “ดัชนีความก้าวหน้าของคน ปี ๒๕๖๐ : เครื่องมือวัดความก้าวหน้าของคนในระดับจังหวัด” ซึ่งภาพรวมของประเทศ การพัฒนาคนด้านที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมมีความก้าวหน้ามากที่สุด แต่ด้านการศึกษาก้าวหน้าน้อยที่สุด โดยในระดับภาค ภาคกลางมีความก้าวหน้ามากที่สุด ส่วนภาคใต้มีความก้าวหน้าน้อยที่สุด ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
.....