ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 26 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 501 - 520 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
501 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนมิถุนายน ปี 2559 | พณ | 30/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนมิถุนายน ปี ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การส่งออกของไทยเริ่มมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและหดตัวต่ำสุดในรอบ ๓ เดือน แต่ยังอยู่ในภาวะชะลอตัว เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังเป็นไปอย่างเปราะบางและมีความไม่แน่นอนสูง รวมทั้งราคาสินค้าเกษตรและน้ำมันยังอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกของไทยในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๙ ยังคงหดตัวที่ร้อยละ ๐.๑ ๒. มูลค่าการค้าในรูปของเงินบาท เดือนมิถุนายน ๒๕๕๙ การส่งออกมีมูลค่า ๖๔๒,๓๘๘ ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๖.๕ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า ๕๗๙,๖๖๑ ล้านบาท หดตัวร้อยละ ๔.๒ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้การค้าเกินดุล ๖๒,๗๒๗ ล้านบาท สำหรับมูลค่าการค้าในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนมิถุนายน ๒๕๕๙ การส่งออกมีมูลค่า ๑๘,๑๔๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๐.๑ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ในขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า ๑๖,๑๘๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หดตัวร้อยละ ๑๐.๑) ส่งผลให้การค้าเกินดุล ๑,๙๖๕ ดอลลาร์สหรัฐ ๓. การส่งออกรายสินค้า มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๓ ตามการลดลงของทั้งปริมาณการส่งออกและราคาสินค้าเกษตรสำคัญ โดยสินค้าสำคัญที่ลดลง ได้แก่ ข้าว ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และน้ำตาล ในขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ ๓ เดือน โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ ๔. ตลาดส่งออกสำคัญที่ขยายตัวต่อเนื่อง ได้แก่ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา และเอเชียใต้ โดยขยายตัวร้อยละ ๕๖.๑ ๔.๗ และร้อยละ ๓.๑ ตามลำดับ ในขณะที่สหภาพยุโรปกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ ๔ เดือน ที่ร้อยละ ๐.๙ ส่วนตลาดอาเซียน จีน และญี่ปุ่น ยังหดตัวต่อเนื่อง โดยหดตัวร้อยละ ๑๖.๙ ๑๑.๙ และร้อยละ ๓.๘ ตามลำดับ ๕. การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน เดือนมิถุนายน ๒๕๕๙ ปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดยการค้าชายแดน (ระหว่างไทยกับมาเลเซีย เมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา) มีมูลค่า ๘๑,๒๔๐ ล้านบาท (ลดลงร้อยละ ๑.๙) ในขณะที่การค้าผ่านแดน (สิงคโปร์ จีนตอนใต้ เวียดนาม) มีมูลค่า ๑๑,๗๗๒ ล้านบาท (ลดลงร้อยละ ๒.๕)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
502 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี 2559 และแนวโน้มปี 2559 | นร11 | 30/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี ๒๕๕๙ และแนวโน้มปี ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี ๒๕๕๙ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ขยายตัวร้อยละ ๓.๕ เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๓.๒ ในไตรมาสแรก และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี ๒๕๕๙ ขยายตัวจากไตรมาสแรกปี ๒๕๕๙ ร้อยละ ๐.๘ รวมครึ่งแรกของปี ๒๕๕๙ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๓.๔ ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๕๙ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๐-๓.๕ เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๘ ในปี ๒๕๕๘ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก (๑) การใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ โดยในครึ่งปีหลังคาดว่าจะมีเม็ดเงินภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอีกประมาณ ๑,๖๔๕,๔๗๖.๔ ล้านบาท (๒) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ประกาศเพิ่มเติมในเดือนกันยายน ๒๕๕๘-เมษายน ๒๕๕๙ โดยในครึ่งปีหลังคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอีกประมาณ ๑๐๐,๔๘๘ ล้านบาท (๓) จำนวนนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง (๔) ราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มจะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ และ (๕) การปรับตัวดีขึ้นของรายได้ครัวเรือนภาคการเกษตร เนื่องจากสถานการณ์ภัยแล้งที่ผ่อนคลายลง และการปรับตัวดีขึ้นของราคาสินค้าเกษตรสำคัญ ๆ ๓. ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี ๒๕๕๘ ควรให้ความสำคัญกับ (๑) การเบิกจ่ายและการขับเคลื่อนโครงการของภาครัฐให้เป็นไปตามแผน (๒) การดำเนินการตามมาตรการที่อยู่ภายใต้กรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้มีการอนุมัติไปแล้วให้สัมฤทธิ์ผล (๓) การฟื้นฟูเกษตรกรและการเตรียมเกษตรกรให้มีความพร้อมสำหรับปีการเพาะปลูก ๒๕๕๙/๒๕๖๐ โดยสนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกฤดูกาลใหม่ การดูแลคุณภาพและราคาปัจจัยการผลิต การส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ การประกันภัยพืชผล และการเตรียมมาตรการและการจัดหาตลาดเพื่อรองรับผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดมากขึ้นในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยว (๔) การสนับสนุนการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน (๕) การดูแลและขับเคลื่อนภาคการส่งออก และ (๖) การสร้างความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยวและการลงทุน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
503 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินงานและการใช้จ่ายงบประมาณ และปรับเปลี่ยนสถานที่ดำเนินงานโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรในพื้นที่ประสบภัยแล้ง ระยะเร่งด่วน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 (งบกลาง) ภายใต้โครงการบูรณาการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ปี 2558/59 ตามมาตรการที่ 6 การเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุน | ทส | 30/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาลขยายระยะเวลาดำเนินงานโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรและการใช้จ่ายงบประมาณ จากวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๙ เป็นวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ และรับทราบการปรับเปลี่ยนสถานที่ดำเนินงานโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรในพื้นที่ประสบภัยแล้งระยะเร่งด่วน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ (งบกลาง) ภายใต้โครงการบูรณาการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ตามมาตรการที่ ๖ การเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุน จำนวนทั้งสิ้น ๒๒๓ แห่ง ซึ่งเป็นการรับเปลี่ยนภายในจังหวัดเดิม เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์น้ำที่เปลี่ยนแปลงไป ศักยภาพน้ำบาดาล และปัญหากรรมสิทธิ์ที่ดิน รวมทั้งปรับให้ตรงกับความต้องการของประชาชน โดยยังอยู่ภายใต้กรอบวัตถุประสงค์ วงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ และสอดคล้องกับกรอบแนวทางที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติกำหนดไว้ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการเร่งรัดการดำเนินงานภายใต้โครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ทันในฤดูแล้งปีต่อไป สำหรับการปรับเปลี่ยนสถานที่ดำเนินงานโครงการฯ เนื่องจากในปัจจุบันเป็นห้วงฤดูฝน ซึ่งมีบางพื้นที่ประสบภาวะน้ำท่วมจึงให้พิจารณาปรับเปลี่ยนพื้นที่ดำเนินการเฉพาะที่สามารถดำเนินการได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
504 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนมิถุนายน 2559 | อก | 23/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนมิถุนายน ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๐.๘ โดยขยายตัวเป็นบวกต่อเนื่อง อุตสาหกรรมสำคัญที่ขยายตัว เช่น รถยนต์ เครื่องปรับอากาศ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ที่ใช้ในบ้าน รถจักรยานยนต์ ๒. การนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย การนำเข้าเครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ มีมูลค่า ๑,๔๑๙.๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๕.๒ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการนำเข้าเครื่องกังหันไอพ่นและส่วนประกอบ เครื่องจักรใช้ในการแปรรูปโลหะ และเครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมการพิมพ์ที่ลดลง ด้านการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า ๖,๑๒๐.๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๐.๖ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการนำเข้าด้ายและเส้นใย ผ้าผืน รวมถึงอุปกรณ์ส่วนประกอบของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ลดลง ๓. การใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมการผลิต มีปริมาณทั้งหมด ๑๐,๕๓๐.๐ ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ลดลงจากเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ ร้อยละ ๕.๒ แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๑ จากช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๘ ที่ปริมาณ ๑๐,๓๑๑.๓ ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ๔. ภาวะการประกอบกิจการ เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการจำนวน ๓๖๒ ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๘ มียอดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๑๘,๖๐๔ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๗ และมีการจ้างงานจำนวน ๙,๔๐๖ คน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๙.๗ สำหรับโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการมีจำนวน ๑๒๐ ราย มากกว่าเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ ร้อยละ ๗๓.๙ มีการเลิกจ้างงานจำนวน ๒,๑๗๗ คน มากกว่าเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ ซึ่งมีการเลิกจ้างงานจำนวน ๑,๔๕๒ คน แต่มีเงินทุนของการเลิกกิจการรวม ๓,๐๕๗ ล้านบาท น้อยกว่าเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ ที่การเลิกกิจการคิดเป็นเงินทุน ๘,๒๓๗ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
505 | ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบที่จะรับรองในการประชุมรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ 5 | รง | 23/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบที่จะรับรองในการประชุมรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ ๕ ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา ซึ่งเป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ของผู้นำกระบวนการโคลัมโบเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิกกระบวนการโคลัมโบในฐานะประเทศผู้ส่งแรงงาน และกลุ่มประเทศในรัฐอ่าวอาหรับในฐานะประเทศผู้รับแรงงานเพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการในการจัดส่งแรงงานไปทำงานในต่างประเทศอย่างเป็นระบบและเป็นธรรม โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวข้องกับความคืบหน้าของกิจกรรมความร่วมมือภายใต้กรอบความร่วมมือกระบวนการโคลัมโบ ๕ สาขา ได้แก่ (๑) ทักษะฝีมือและกระบวนการยอมรับคุณสมบัติ (๒) การดูแลการจัดหางานที่มีจริยธรรม (๓) การอบรมก่อนการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ และการเสริมสร้างความเข้มแข็งโดยเน้นเรื่องการโยกย้ายถิ่นฐานและสุขอนามัย (๔) การส่งเงินกลับภูมิลำเนาอย่างปลอดภัยและลดค่าใช้จ่ายในการส่งเงินกลับ และ (๕) การวิเคราะห์ตลาดแรงงาน และอาจมีการพิจารณาเพิ่มความร่วมมืออีก ๔ สาขา ได้แก่ การโยกย้ายถิ่นฐานและสุขอนามัย การดำเนินงานตามเป้าหมายแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืนที่เกี่ยวกับการโยกย้ายถิ่นฐาน ความเท่าเทียมทางเพศสำหรับแรงงานโยกย้ายถิ่นฐานหญิง และแรงงานโยกย้ายถิ่นฐานในประเทศที่ประสบภาวะวิกฤติ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองร่างปฏิญญาฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
506 | ร่างแผนผนึกกำลังและทรัพยากรเพื่อการป้องกันประเทศ | นร08 | 17/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบร่างแผนผนึกกำลังและทรัพยากรเพื่อการป้องกันประเทศ เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติต่อไป มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการเตรียมความพร้อมตามแผนการผนึกกำลังและทรัพยากรสนับสนุนการปฏิบัติการของฝ่ายทหาร ตามแผนป้องกันประเทศหรือภารกิจเพื่อความมั่นคงที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล ตั้งแต่ภาวะปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการระดมทรัพยากรด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านกำลังคน ด้านอาหาร ด้านน้ำ ด้านการคมนาคม ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ด้านอุตสาหกรรมและปัจจัยการผลิต ด้านเชื้อเพลิงและพลังงาน ด้านการประชาสัมพันธ์ และด้านสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ โดยได้กำหนดวิธีปฏิบัติให้หน่วยงานต่าง ๆ ให้การสนับสนุนเพื่อระดมสรรพกำลัง ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรและการจัดการ และการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงความมั่นคงของชาติและประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ และในการขับเคลื่อนแผนดังกล่าวควรดำเนินการขับเคลื่อนในเชิงรุกทำให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม สามารถสนับสนุนและรองรับกับวิกฤตและภัยคุกคามความมั่นคงในรูปแบบต่าง ๆ ได้ อาทิ สถานการณ์ภัยพิบัติที่รุนแรงหรือสาธารณภัยร้ายแรงในประเทศได้ รวมทั้งความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางปฏิบัติในร่างแผนผนึกกำลังและทรัพยากรเพื่อการป้องกันประเทศ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการบรรจุหลักสูตรการศึกษาวิชาทหารในยามสงครามไว้ในหลักสูตรภาคพลเรือนในทุกระดับชั้นนั้น อาจทำให้เกิดปัญหาความไม่คล่องตัวในการปฏิบัติ ควรกำหนดให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการจัดฝึกอบรม ให้ความรู้เกี่ยวกับวิชาทหารในยามสงครามกับภาคพลเรือนในทุกระดับชั้นเท่านั้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
507 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... | พน | 17/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้น โดยโอนภารกิจมาจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๔/๒๕๔๗ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๗ และโอนภารกิจหน้าที่ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงานตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๖ ให้กับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้เกิดความชัดเจนในบทบาท อำนาจหน้าที่และการใช้ประโยชน์ของเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเกี่ยวกับการให้อำนาจสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงกู้ยืมเงิน การกำหนดวัตถุประสงค์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นเพื่อนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และควรมีช่องทางให้สามารถนำงบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนหนึ่งมาใช้สนับสนุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพสูง รวมทั้งโครงสร้างของคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และการกำหนดเพดานฐานะของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขั้นสูงสุดและต่ำสุด เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้ สำหรับการจัดตั้งสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้กระทรวงพลังงานดำเนินการตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แล้วแจ้งผลการดำเนินการไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเกี่ยวกับความซ้ำซ้อนอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานของกระทรวงพลังงาน การบูรณาการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงพลังงาน ความไม่สอดคล้องกับแนวทางการขอจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ และเห็นควรกำหนดให้จัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในสำนักนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง การกำหนดกลไกการกลั่นกรองการลงทุนของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และการวางแผนกรอบอัตรากำลังเจ้าหน้าที่และอัตราผลตอบแทน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. รับทราบแผนการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
508 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม 2559 | อก | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๒.๖ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่ขยายตัว เช่น รถยนต์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องยนต์สำหรับรถยนต์ ผลิตภัณฑ์ยางยกเว้นยางรถยนต์ ยาสูบ ๒. การนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย การนำเข้าเครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ มีมูลค่า ๑,๓๙๑.๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๒.๖ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการนำเข้าเครื่องยนต์ เพลาส่งกำลังและส่วนประกอบ รวมถึงเครื่องสูบลม เครื่องสูบของเหลว ที่เพิ่มขึ้น ด้านการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า ๕,๙๐๒.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๑.๒ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการนำเข้าด้ายและเส้นใย ผ้าผืน เคมีภัณฑ์ และอุปกรณ์ส่วนประกอบของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ลดลง ๓. การใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมการผลิต มีปริมาณทั้งหมด ๑๑,๑๐๖.๗ ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน ๒๕๕๙ ร้อยละ ๙.๖ และเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๗ จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ๔. ภาวะการประกอบกิจการ เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน ๒๕๕๙ มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการจำนวน ๓๑๘ ราย ลดลงร้อยละ ๒๒.๖ มียอดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๑๔,๖๕๓ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๖๔.๘ มีการจ้างงานจำนวน ๗,๘๕๘ คน ลดลงร้อยละ ๓.๓ สำหรับโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการมีจำนวน ๖๙ ราย มากกว่าเดือนเมษายน ๒๕๕๙ ร้อยละ ๒๑.๑ มีเงินทุนของการเลิกกิจการรวม ๘,๒๓๗ ล้านบาท และมีการเลิกจ้างงานจำนวน ๑,๔๕๒ คน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
509 | การขยายระยะเวลากำหนดวงเงินดำเนินโครงการรับจำนำผลผลิตทางการเกษตรคงค้างทั้งหมด | กค | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ที่เห็นชอบให้ขยายระยะเวลากำหนดวงเงินดำเนินโครงการรับจำนำผลผลิตทางการเกษตรคงค้างทั้งหมดให้อยู่ภายในกรอบวงเงิน ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยแยกเป็นวงเงินกู้ ๔๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และเงินทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ๙๐,๐๐๐ ล้านบาท จากเดิมภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ เป็นภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ เนื่องจากการระบายข้าวจะต้องพิจารณาจากสภาวะตลาดในเวลาที่เหมาะสมและไม่ให้มีผลกระทบต่อราคาข้าวภายในประเทศ ๑.๒ รายงานสถานะหนี้คงค้างจากการดำเนินโครงการรับจำนำผลผลิตทางการเกษตร ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕-ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ ทั้งในส่วนเงินกู้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน และเงินทุน ธ.ก.ส. ณ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ วงเงินรวม ๔๙๘,๗๖๗.๔๕๕ ล้านบาท ซึ่งอยู่ภายในกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ที่ได้ในแต่ละฤดูกาลด้วย ๓. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดแผนการระบายข้าวในสต็อกของโครงการรับจำนำผลผลิตทางการเกษตร ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕-ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ และการลดกรอบวงเงินกู้คงค้างที่เหมาะสมในแต่ละปี โดยแผนดังกล่าวต้องแสดงให้เห็นถึงแนวทางการลดภาระหนี้เงินกู้ทั้งในส่วนการระบายข้าวและภาระงบประมาณที่ต้องชดเชยเงินต้นและดอกเบี้ยเงินกู้อย่างชัดเจนเป็นรายปี และนำเสนอคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวพิจารณาเพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
510 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนพฤษภาคม ปี 2559 | พณ | 26/07/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนพฤษภาคม ปี ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การส่งออกของไทยได้รับอิทธิพลจากกระแสการค้าโลกในช่วงที่ผ่านมายังอยู่ในภาวะชะลอตัว และมีความไม่แน่นอนสูง กระทบต่อกำลังซื้อและการนำเข้าของประเทศคู่ค้า ประกอบกับราคาสินค้าเกษตรและน้ำมันยังหดตัวสูงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การส่งออกของไทยในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ ยังคงหดตัวที่ร้อยละ ๔.๔ ๒. มูลค่าการค้าระหว่างประเทศในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ การส่งออกเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ มีมูลค่า ๑๗,๖๑๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๔.๔๐ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ในขณะที่การนำเข้าเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ มีมูลค่า ๑๖,๐๗๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๐.๕๐ (YoY) ส่งผลให้ดุลการค้าระหว่างประเทศเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ ยังคงเกินดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๓ ติดต่อกัน มีมูลค่า ๑,๕๓๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๓. มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรหดตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ ๗.๔ (YoY) ตามการลดลงของปริมาณการส่งออกและราคาสินค้าเกษตรสำคัญ ส่วนมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม แม้ยังหดตัวที่ร้อยละ ๒.๘ แต่ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน โดยเฉพาะการส่งออกรถยนต์และส่วนประกอบที่กลับมาขยายตัวอีกครั้งในเดือนนี้ ในขณะที่ราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลต่อการหดตัวอย่างต่อเนื่องของสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ๔. แนวทางการขับเคลื่อนการส่งออกของไทย ปี ๒๕๕๙ ได้แก่ ขยายการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะตลาดอินโดจีนหรือ CLMV เร่งรัดขยายตลาดส่งออกเชิงรุก โดยใช้ความต้องการตลาดเป็นตัวนำการผลิต (Demand Driven) ผลักดันและแก้ปัญหาทางการค้าร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน เร่งเจรจาการค้าผ่านการเยือนตลาดคู่ค้าที่มีศักยภาพ รวมทั้งปรับบทบาทสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศให้ทำงานเชิงลึก ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยไปดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ และการส่งเสริมการค้าบริการ (Trade in Services)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
511 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตท่าเรือระนอง จังหวัดระนอง พ.ศ. .... | คค | 26/07/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตท่าเรือระนอง จังหวัดระนอง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตท่าเรือระนอง จังหวัดระนอง ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับกิจกรรมการขนส่งทางน้ำที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน เพื่อจัดระเบียบการจราจรทางน้ำและระบบการขนส่งทางน้ำ เพื่อให้การคมนาคมขนส่งทางน้ำมีความปลอดภัยและมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น ตลอดจนการควบคุมมลภาวะทางทะเล ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ให้กรมเจ้าท่าต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการปรับปรุงท่าเทียบเรืออเนกประสงค์ระนองของกรมเจ้าท่า ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
512 | ขออนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรโครงการสนับสนุนเงินทุนเพื่อสร้างระบบน้ำในไร่นาของสมาชิก | กษ | 26/07/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ จัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ยืมเงิน จำนวน ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยจัดเก็บดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๐ กำหนดชำระคืนภายใน ๕ ปี เพื่อดำเนินโครงการสนับสนุนเงินทุนเพื่อสร้างระบบน้ำในไร่นาของสมาชิกสถาบันเกษตรกร ๑.๒ เงินจ่ายขาด สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานโครงการฯ จำนวน ๒,๙๙๗,๕๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำกับดูแลการจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้ทันต่อสถานการณ์อย่างทั่วถึง เป็นธรรม โปร่งใส และบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ รวมถึงติดตามการชำระคืนเงินจากสถาบันเกษตรกรอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การชำระคืนเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด และให้ความสำคัญตั้งแต่กระบวนการชี้แจงทำความเข้าใจถึงวัตถุประสงค์และเงื่อนไขการชำระคืน การกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาและจัดสรรเงินกู้ ซึ่งควรพิจารณาทั้งสถานการณ์น้ำและภาวะภัยแล้งในพื้นที่ ควบคู่กับศักยภาพและความพร้อมของเกษตรกรในการประกอบอาชีพและการชำระคืนเงินตามโครงการฯ การสำรวจและการจัดทำแผนผังและออกแบบแหล่งน้ำในไร่นาให้สามารถรับน้ำและกักเก็บน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถูกต้องตามหลักวิชาการ ร่วมกับการส่งเสริมการเพาะปลูกพืชใช้น้ำน้อยหรือการทำเกษตรผสมผสานที่เหมาะสมกับเงื่อนไขในพื้นที่ โดยในส่วนเกษตรกรที่ยังขาดความพร้อมด้านอาชีพและรายได้ และได้รับความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำในไร่นา กรมส่งเสริมสหกรณ์ควรประสานกรมพัฒนาที่ดิน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสถาบันเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อพิจารณาแนวทางให้ความช่วยเหลือด้านแหล่งน้ำและการประกอบอาชีพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
513 | การขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร07 | 12/07/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางหลักเกณฑ์ และขั้นตอนการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางและหลักเกณฑ์การเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เสนอคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เฉพาะรายการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนอย่างแท้จริง และสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศ โดยมีแนวทางและหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ ๑.๑.๑ เป็นรายจ่ายที่สอดคล้องกับร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี ทิศทางและกรอบยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ แผนแม่บทระดับชาติ นโยบายสำคัญของรัฐบาล และยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑.๑.๒ เป็นรายจ่ายที่ต้องดำเนินการตามข้อผูกพันทางกฎหมาย หรือเป็นรายจ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในเรื่องน้ำอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อการเกษตร การป้องกันและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศในเรื่องน้ำท่วมหรือภัยแล้ง หรือเป็นรายจ่ายที่ส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศทั้งด้านการค้า การลงทุน สิ่งแวดล้อม หรือโครงสร้างพื้นฐาน หรือเป็นรายจ่ายที่ประชาชนได้รับประโยชน์โดยตรง ทั้งนี้ การเสนอคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายฯ ดังกล่าว ไม่ควรทำให้เกิดภาระรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่ควรผูกพันงบประมาณรายจ่ายข้ามปีในปีต่อ ๆ ไป โดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่เสนอคำขอต้องมีศักยภาพที่จะดำเนินงานและมีความพร้อมที่จะดำเนินการได้ทันทีและต้องเสนอโครงการ/รายการ ภายใต้ขอบเขตอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานนั้น ๆ ๑.๒ ขั้นตอนในการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ๑.๒.๑ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น จัดทำคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่ได้มีการตรวจสอบและรับรองข้อมูลแล้วว่าการดำเนินงานนั้นไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายหรือระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และให้เสนอขอรับความเห็นชอบต่อนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับ หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด รวมทั้งรวบรวมจัดส่งให้สำนักงบประมาณ ภายในวันพฤหัสบดีที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ๑.๒.๒ สำหรับหน่วยงานของรัฐสภา หน่วยงานของศาล และหน่วยงานอิสระของรัฐ ให้ยื่นคำขอแปรญัตติต่อประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยตรง ภายในวันพฤหัสบดีที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ เพื่อที่สำนักงบประมาณจะได้สามารถประมวลผลภาพรวมการขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑.๒.๓ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และนำเสนอผลการพิจารณาต่อคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ เพื่อนำเสนอคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ต่อไป ๒. เรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรี ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรวบรวมเรื่องดังกล่าวส่งไปยังสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินการตามหลักเกณฑ์และแนวทางที่สำนักงบประมาณเสนอต่อไป ๓. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
514 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2559 (ครั้งที่ 7) | พน | 12/07/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ (ครั้งที่ ๗) เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านพลังงาน รวม ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) แนวทางการบริหารจัดการแหล่งก๊าซธรรมชาติที่สัมปทานจะสิ้นสุดอายุในปี ๒๕๖๕-๒๕๖๖ (๒) แผนระบบรับส่งและโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อความมั่นคง (LNG) (๓) แนวทางการดำเนินการกับข้อร้องเรียนของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (Small Power Producer : SPP) ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาในปี ๒๕๖๐-๒๕๖๘ และ (๔) แนวทางการบริหารจัดการน้ำมันปาล์มในกิจการพลังงาน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดอัตราภาษีรถยนต์ที่ใช้น้ำมันไบโอดีเซล บี ๑๐ ต้องพิจารณาถึงต้นทุนที่แท้จริงในการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ ซึ่งผู้ประกอบการรถยนต์ยังไม่สามารถกำหนดต้นทุนในการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ได้ เนื่องจากยังไม่มีคุณลักษณะของน้ำมันไบโอดีเซล บี ๑๐ ที่จะใช้ในการทดสอบรถยนต์ ส่วนแนวทางการบริหารจัดการน้ำมันปาล์มในกิจการพลังงาน การใช้น้ำมันปาล์มในกิจการพลังงาน ควรพิจารณาถึงผลประโยชน์อื่น ๆ ที่ได้จากการดำเนินงานดังกล่าวเพิ่มเติม อาทิ การประเมินปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้จากการใช้น้ำมันปาล์ม (เชื้อเพลิงชีวมวล) แทนน้ำมันเตาในโรงไฟฟ้า และจากค่าใช้จ่ายทั้งส่วนที่ลงทุนโรงไฟฟ้าและราคาน้ำมันปาล์มที่สูงกว่าน้ำมันเตาที่รายงานโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งจะสามารถประเมินค่าใช้จ่ายในรูปบาทต่อตันก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้ และสามารถนำข้อมูลไปเทียบเคียงกับการลดก๊าซเรือนกระจกวิธีอื่น ๆ เพื่อเป็นทางเลือกในการทำแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทย นอกจากนี้ ควรพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการแหล่งก๊าซธรรมชาติที่จะให้สัมปทานในเงื่อนไขที่เหมาะสมกับสภาวะปัจจุบันและในอนาคตโดยตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง รวมทั้งการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับจำนวนชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ชัดเจน โดยคำนึงถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำมันของผู้ให้บริการ และการส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตลอดจนเป็นทิศทางที่ชัดเจนในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
515 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 1 ปี 2559 และภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนเมษายน 2559 | อก | 05/07/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๑ ปี ๒๕๕๙ และภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนเมษายน ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๑ (มกราคม-มีนาคม) ปี ๒๕๕๙ สถานการณ์การค้าหดตัวเนื่องจากการนำเข้าที่หดตัวอย่างต่อเนื่องจากความต้องการภายในประเทศและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกปรับตัวลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนำเข้ามีมูลค่าลดลงร้อยละ ๑๑.๙๙ สำหรับการส่งออกกลับมาขยายตัวเล็กน้อยที่ระดับร้อยละ ๐.๙๐ เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ ๔ ของปี ๒๕๕๘ มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๘๙ และมูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ ๖.๗๕ ๒. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนเมษายน ๒๕๕๙ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ ๑.๕ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อุตสาหกรรมสำคัญที่ขยายตัว เช่น รถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องปรับอากาศ การกลั่นน้ำมัน โดยการนำเข้าเครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ และการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) หดตัวร้อยละ ๘.๖ และ ๗.๘ ตามลำดับ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
516 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนเมษายน 2559 | นร11 | 05/07/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนเมษายน ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเดือนเมษายน ๒๕๕๙ มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ ในด้านการผลิต ดัชนีราคาสินค้าเกษตรปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕.๐ ในขณะที่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวเป็นบวกต่อเนื่องเป็นเดือนที่สองร้อยละ ๑.๕ และจำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่องร้อยละ ๙.๘ ในด้านอุปสงค์ ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕.๕ ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ ๑.๔ ในขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๘.๓ อย่างไรก็ตาม มูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ ๗.๖ เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้ายังอยู่ในภาวะชะลอตัว เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อกลับมาเป็นบวกเล็กน้อย อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ ดุลการค้าและดุลบริการเกินดุล ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ในเดือนเมษายน ๒๕๕๙ โดยรวมยังคงอยู่ในช่วงของการชะลอตัวตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ญี่ปุ่น และประเทศสำคัญอื่น ๆ แม้จะมีสัญญาณการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ของเศรษฐกิจยุโรปก็ตาม การชะลอตัวทางเศรษฐกิจทำให้ประเทศต่าง ๆ ยังคงดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายและมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปี ๒๕๕๙ ช้าลงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
517 | ท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 40 | ทส | 05/07/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ ระหว่างวันที่ ๑๐-๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ณ นครอิสตันบูล สาธารณรัฐตุรกี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายงานสถานภาพการอนุรักษ์พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยและรองหัวหน้าคณะผู้แทนไทยชี้แจงทำความเข้าใจและโน้มน้าวคณะกรรมการมรดกโลก ๒๑ ประเทศ องค์กรที่ปรึกษา และศูนย์มรดกโลก เพื่อไม่ให้พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกในภาวะอันตราย ๑.๒ การขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน ให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยและรองหัวหน้าคณะผู้แทนไทยชี้แจงทำความเข้าใจและโน้มน้าวคณะกรรมการมรดกโลก ๒๑ ประเทศ องค์กรที่ปรึกษา และศูนย์มรดกโลก เกี่ยวกับสถานการณ์และวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน และสนับสนุนไทยในการขอปรับแก้ร่างข้อมติที่จะส่งผลต่อการดำเนินงานของไทยในอนาคต ๑.๓ การขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี ให้ถอน (Withdraw) วาระการนำเสนออุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทเป็นมรดกโลกออกจากวาระการประชุม ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือประสานสถานเอกอัครราชทูตไทยในประเทศรัฐภาคีสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลก ๒๑ ประเทศ เพื่อขอให้สนับสนุนท่าทีของไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ ๓. กรณีมีประเด็นอื่นที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ให้อยู่ในดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการพิจารณากำหนดท่าทีในประเด็นอื่น ๆ โดยคำนึงถึงหลักการของอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และข้อมูลด้านเทคนิคและวิชาการจากองค์กรที่ปรึกษา ๔. รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวหน้าคณะ และเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีสเป็นรองหัวหน้าคณะ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมอบหมายให้ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเลขานุการหัวหน้าคณะ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอองค์ประกอบของคณะผู้แทนไทยเพื่อเข้าร่วมประชุมระหว่างประเทศและกรอบการเจรจา) ๕. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
518 | โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Development) | นร11 | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบหลักการโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Development) ให้เป็นเขตเศรษฐกิจชั้นนำของอาเซียน เพื่อส่งเสริม ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมายให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) โดยมีกรอบแนวคิดในการดำเนินโครงการ ดังนี้ ๑.๑ พื้นที่ดำเนินการ โดยดำเนินการใน ๓ จังหวัดภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง และจังหวัดฉะเชิงเทรา แบ่งเป็นเขตอุตสาหกรรม เขตพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และเขตพัฒนาเมือง ๑.๒ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วย ทางอากาศ ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ทางเรือ ได้แก่ ท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ ท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือมาบตาพุด ทางถนน ได้แก่ ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง กรุงเทพฯ-ชลบุรี พัทยา-มาบตาพุด และแหลมฉบัง-นครราชสีมา และทางราง ได้แก่ รถไฟทางคู่ ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย และช่วงกรุงเทพฯ-ระยอง ๑.๓ การดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชน ประกอบด้วย การให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนเพิ่มขึ้นจากเดิม การจัดตั้งกองทุนพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ การจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จการลงทุน (One Stop Service) การอำนวยความสะดวกในการอนุมัติเรื่องการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมและผังเมือง ความรวดเร็วในการออกใบอนุญาต การประกาศเป็นเขตปลอดภาษี การจัดหาที่ดินและระยะเวลาเช่าที่ดิน ระยะเวลาพำนักและทำงานของนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ สิทธิในการทำธุรกรรมทางการเงิน การใช้เงินตราต่างประเทศ การจัดตั้งศูนย์ธุรกรรมการเงิน และการจัดตั้งกองทุนในพื้นที่ร่วมกับชุมชนในท้องถิ่น ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงคมนาคม กองทัพเรือ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำแผนการดำเนินโครงการและงบประมาณค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๑ ให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยให้มีรายละเอียดครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ๒.๑ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการขนส่งที่เชื่อมโยงทั้งระบบ ด้านพลังงาน ด้านสาธารณูปโภคและสาธารณูปการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งด้านการวิจัยและพัฒนา ๒.๒ แผนดำเนินการด้านผังเมืองและการใช้ประโยชน์ที่ดิน แผนบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการขยะ และมลภาวะต่าง ๆ ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและประชาชนในพื้นที่ด้วย ๒.๓ กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนและดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชน โดยเฉพาะการให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี สิทธิการเช่าที่ดิน และการจัดหาแรงงาน รวมทั้งการจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จการลงทุน (One Stop Service) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนในการขออนุมัติอนุญาตการประกอบกิจการและให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ๒.๔ แผนการพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
519 | ร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยออกตามความในมาตรา 18 (13) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543 จำนวน 3 ฉบับ | คค | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยออกตามความในมาตรา ๑๘ (๑๓) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๓ จำนวน ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสาร วิธีการจัดเก็บค่าโดยสาร และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงคลองบางไผ่-เตาปูน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าโดยสาร และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงคลองบางไผ่-เตาปูน ซึ่งมีอัตราค่าโดยสารเริ่มต้นที่ ๑๔ บาท สูงสุด ๔๒ บาท ๑.๒ ร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยอัตราค่าบริการจอดรถยนต์และวิธีการจัดเก็บค่าบริการจอดรถยนต์ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าบริการจอดรถยนต์โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ซึ่งมีอาคารจอดแล้วจร จำนวน ๔ แห่ง โดยกำหนดอัตราค่าบริการสำหรับผู้มาใช้บริการรถไฟฟ้า ในอัตราค่าบริการ ๑๐ บาท ต่อ ๒ ชั่วโมง และสำหรับผู้ไม่ใช้บริการรถไฟฟ้าชั่วโมงละ ๒๐ บาท ๑.๓ ร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสารร่วม วิธีการจัดเก็บค่าโดยสารร่วม และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารร่วมระหว่างรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ และรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าโดยสารร่วมระหว่างรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ และรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ซึ่งมีอัตราค่าโดยสารสูงสุดอยู่ที่ ๗๐ บาท และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารร่วม ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินการนำระบบตั๋วร่วม (e-ticket) มาใช้ในการเชื่อมการเดินทางของประชาชนที่สัญจรโดยเรือโดยสาร รถไฟฟ้า และรถประจำทางตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง แผนการดำเนินงานโครงการลงทุนพัฒนาด้านคมนาคมขนส่ง ปี พ.ศ. ๒๕๕๘) และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) พิจารณากำหนดเงื่อนไขหลักเกณฑ์การปรับอัตราค่าโดยสารที่สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจและเป็นธรรมกับทั้ง รฟม. และประชาชนผู้ใช้บริการเพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานของ รฟม. ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
520 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ โดยที่พระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๕๙ ได้มีการแก้ไขเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ให้ครอบคลุมลูกหนี้ที่ประกอบธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อให้มีโอกาสฟื้นฟูกิจการและไม่ต้องตกเป็นบุคคลล้มละลาย นั้น ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงยุติธรรมหารือร่วมกันเพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ประสบปัญหาทางการเงินและประสบภาวะล้มละลายเพื่อให้สามารถฟื้นฟูกิจการของตนเองได้ รวมทั้งให้กำหนดมาตรการเพื่อการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนด้วย ๑.๒ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๙ และ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๙ รับทราบกรอบการดำเนินโครงการประชารัฐ และโครงการประชารัฐบนที่ดินราชพัสดุ (โครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ) นั้น ให้กระทรวงการคลังกำกับดูแลการดำเนินโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ อย่างเคร่งครัด ๒. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากฎหมายเกี่ยวกับการให้บริการภาครัฐเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ซึ่งมีผลต่อการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก เช่น กฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจ กฎหมายล้มละลาย ที่ประกาศใช้บังคับแล้วว่ามีบทบัญญัติ กฎ หรือระเบียบใดที่เป็นอุปสรรคในการประกอบธุรกิจหรือทำให้การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวไม่เกิดประสิทธิภาพเท่าที่ควร เช่น การไม่สามารถใช้บังคับกับทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวให้เร่งดำเนินการเพื่อให้มีผลใช้บังคับโดยเร็วต่อไป ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) ร่วมกับกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการกำกับดูแลการก่อสร้างเส้นทางจราจร หรือทางเดินเท้าในบริเวณพื้นที่มีต้นไม้ใหญ่เป็นจำนวนมาก เพื่อให้การก่อสร้างดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อต้นไม้ในบริเวณนั้น รวมทั้งให้พิจารณาจัดหารุกขกรเพื่อมาทำหน้าที่ในการดูแลรักษาและตัดแต่งต้นไม้ใหญ่ให้เป็นไปตามหลักวิชาการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน ๓.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำดัชนีผลงานรัฐบาล (Government Performance Index) เพื่อประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับผลการบริหารราชการแผ่นดินที่ผ่านมาของรัฐบาลในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม กฎหมาย การต่างประเทศ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้นำเสนอดัชนีผลงานรัฐบาลดังกล่าวในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาปรับปรุงรูปแบบการนำเสนอให้สามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้นและนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งในสัปดาห์ต่อไป ๓.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ชะลอเรื่องหลักการการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารไว้ก่อน
|
.....