ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 25 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 481 - 500 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
481 | รายงานผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร ไตรมาส 3 (กรกฎาคม - กันยายน) พ.ศ. 2559 | ดท | 13/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
482 | ร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกลไกในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือสถาบันการเงินที่ประสบภาวะวิกฤตทางการเงินอันอาจจะกระทบต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและระบบการเงิน และเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินตามแผน แนวทาง และวิธีการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีการกำหนดให้รัฐบาลอาจชดเชยภาระของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในการให้ความช่วยเหลือแก่สถาบันการเงินทั้งหมดหรือบางส่วน อาจส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณที่จะต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีชดใช้ จึงเห็นควรให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติให้ชัดเจน โดยคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการและวงเงินที่มีการเรียกเก็บจากสถาบันการเงินในระบบให้เหมาะสมและเพียงพอเป็นลำดับแรก เพื่อมิให้มีผลกระทบต่อภาระงบประมาณในอนาคต ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าการแก้ไขฟื้นฟูสถาบันการเงินควรยึดหลักการถ่วงดุลอำนาจโดยให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูฯ แยกเป็นอิสระจากหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการกำกับดูแล ประกอบกับการช่วยเหลือสถาบันการเงินเมื่อประสบภาวะวิกฤติอาจก่อให้เกิดปัญหาภาวะภัยทางศีลธรรม (Moral Hazard) ดังนั้น เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว การพิจารณาให้ความช่วยเหลือสถาบันการเงินที่ประสบปัญหาจึงควรยึดหลักการป้องกันก่อนที่จะเกิดปัญหาและดำเนินการเท่าที่เหมาะสมจำเป็น และเห็นควรให้มีการดำเนินการตามมาตรา ๔๒ ของพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๑ ก่อน หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้หรือพิจารณาแล้วไม่ใช่ปัญหาด้านสภาพคล่อง จึงจะดำเนินการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูฯ ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลังในครั้งนี้ และให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า ควรมีการกำกับดูแลสถาบันการเงินทั้งระบบอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้สถาบันการเงินประสบภาวะวิกฤติทางการเงินอันอาจกระทบต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและระบบการเงินของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมต่อประเด็นข้อสังเกตของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นชอบให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี โดยส่งร่างให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อตรวจพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป โดยให้รับข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและคำชี้แจงเพิ่มเติมของธนาคารแห่งประเทศไทยไปประกอบการพิจารณาด้วย เพื่อจะได้แก้ไขปรับปรุงในรายละเอียดให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ต่อไป ทั้งนี้ ให้กำชับให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเตรียมความพร้อมในการสร้างการรับรู้ในช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและลดประเด็นข้อคัดค้านที่อาจเกิดขึ้นต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
483 | การพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน | กค | 29/11/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน โดยยังคงเรียกเก็บในอัตราเดิมที่ร้อยละ ๐.๔๖ ต่อปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ผลการชำระหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ได้มีการชำระคืนต้นเงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนฯ พ.ศ. ๒๕๔๑ (FIDF1) และพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนฯ ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ (FIDF3) เป็นจำนวน ๑๘๗,๘๘๔.๘๖ ล้านบาท มีผลให้ต้นเงินกู้ FIDF1 และ FIDF3 มียอดคงค้างจำนวนทั้งสิ้น ๙๔๙,๑๒๑.๐๓ ล้านบาท ในส่วนของเงินนำส่งจากสถาบันการเงินนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รับมาแล้ว ๙ งวด (งวดเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕-เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙) เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น ๒๒๒,๙๕๖.๗๐ ล้านบาท โดยนำเงินดังกล่าวไปชำระต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย และค่าบริหารจัดการเกี่ยวกับ FIDF1 และ FIDF3 ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕-๑๕ กันยายน ๒๕๕๙ เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น ๒๐๐,๐๐๙.๒๐ ล้านบาท สำหรับเงินส่วนที่เหลือสำรองไว้เพื่อชำระดอกเบี้ยในงวดต่อ ๆ ไป ๒. กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่า จากการประมาณการความสามารถในการชำระหนี้ดังกล่าว ยังคงมีความเสี่ยงหลายปัจจัย เช่น การชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจการเงินในประเทศ ความผันผวนของเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก ภาระดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มเติมจากการทยอยกู้เงินล่วงหน้า (Pre-funding) ของกระทรวงการคลัง เป็นต้น จึงเห็นควรคงอัตราเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงินไว้ที่ร้อยละ ๐.๔๖ ต่อปี ไว้ตามเดิม โดยอาจพิจารณาปรับเปลี่ยนอัตราเงินนำส่งให้เหมาะสมและสอดคล้องกับปัจจัยและสถานการณ์แวดล้อมทางเศรษฐกิจการเงินที่เปลี่ยนแปลงต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
484 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกันยายน 2559 | อก | 29/11/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกันยายน ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๐.๖ โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องประดับ เครื่องปรับอากาศ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน ผลิตภัณฑ์กระดาษ เป็นต้น ๒. โรงงานที่ได้รับใบอนุญาตและแจ้งประกอบกิจการเพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม ๒๕๕๙ ร้อยละ ๑๙.๑ การจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๗.๑ แต่มียอดเงินลงทุนรวมลดลงร้อยละ ๑๖.๓ และเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปี ๒๕๕๘ มีโรงงานที่ได้รับใบอนุญาตและแจ้งประกอบกิจการลดลงร้อยละ ๘.๔ ๓. การนำเข้าเครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบขยายตัวร้อยละ ๕.๗ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการนำเข้าเครื่องสูบลม เครื่องสูบของเหลว ตลับลูกปืน เครื่องจักรใช้ในการแปรรูปโลหะ รวมถึงเครื่องจักรใช้ในการแปรรูปไม้ที่เพิ่มขึ้น ส่วนด้านการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวร้อยละ ๓.๑ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการนำเข้าอุปกรณ์ส่วนประกอบของเครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์ทำจากพลาสติกที่เพิ่มขึ้น ๔. การใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมการผลิตลดลงจากเดือนสิงหาคม ๒๕๕๙ ร้อยละ ๑.๕ แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๓ จากช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
485 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2559 และแนวโน้มปี 2559 - 2560 | นร11 | 29/11/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี ๒๕๕๙ และแนวโน้มปี ๒๕๕๙-๒๕๕๐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่สามของปี ๒๕๕๙ ขยายตัวร้อยละ ๓.๒ รวม ๙ เดือนแรกของปี ๒๕๕๙ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๓.๓ เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๘ ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้จ่ายภาคครัวเรือน การส่งออกบริการและสินค้า และการลงทุนภาครัฐขยายตัวดีขึ้น นอกจากนี้ การผลิตทุกภาคโดยเฉพาะสาขาการโรงแรมและภัตตาคารปรับตัวดีขึ้น และการผลิตสาขาเกษตรกรรมกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ ๘ ไตรมาส ๒. เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำร้อยละ ๐.๙ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยร้อยละ ๐.๓ บัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๑๐,๒๙๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (๓๕๘,๖๒๘ ล้านบาท) หรือคิดเป็นร้อยละ ๑๐.๒ ของ GDP เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๙ อยู่ที่ ๑๘๐.๕ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๙ มีมูลค่าทั้งสิ้น ๕,๙๔๙,๓๓๐.๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๒.๔ ของ GDP ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๕๙ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๒ ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๘ ในปี ๒๕๕๘ โดยการส่งออกสินค้าและบริการ การใช้จ่ายภาคครัวเรือน และการลงทุนรวมมีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ ๓.๒ ร้อยละ ๓.๐ และร้อยละ ๓.๐ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ ๐.๒ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๑๑.๓ ของ GDP ๔. เศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๐ มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ ๓.๐-๔.๐ ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๘ และร้อยละ ๓.๒ ในปี ๒๕๕๘ และปี ๒๕๕๙ ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยยังคงมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงจากความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก ๕. ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี ๒๕๕๙ และปี ๒๕๖๐ ควรให้ความสำคัญกับ (๑) การเพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่ายงบประมาณ (๒) การรักษาแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจจากภาคการท่องเที่ยว (๓) การสนับสนุนและเร่งรัดการส่งออกให้สามารถกลับมาขยายตัว (๔) การฟื้นฟูเกษตรกรและการเตรียมมาตรการรองรับการขยายตัวของการผลิตทางการเกษตร และ (๕) การสร้างความเชื่อมั่นและสนับสนุนการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
486 | ผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน อย่างไม่เป็นทางการ และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน - ญี่ปุ่น อย่างไม่เป็นทางการ | กห | 22/11/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน อย่างไม่เป็นทางการ และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน-ญี่ปุ่น อย่างไม่เป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ณ กรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน อย่างไม่เป็นทางการ ๑.๑ รัฐมนตรีกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียนได้เห็นพ้องกันว่า (๑) การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนได้รับการพัฒนาให้มีความก้าวหน้ามาเป็นลำดับ และเป็นกลไกหลักในการเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงในประชาคมอาเซียน (๒) ความท้าทายด้านความมั่นคงที่สำคัญในภูมิภาค ได้แก่ การแพร่ขยายของแนวคิดนิยมความรุนแรง การก่อการร้าย ความมั่นคงทางทะเล ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และความมั่นคงทางไซเบอร์ (๓) ความท้าทายดังกล่าวมีความสลับซับซ้อน มีลักษณะข้ามชาติ ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และ (๔) กระทรวงกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียนควรร่วมมือกันและร่วมมือกับกระทรวงกลาโหมประเทศคู่เจรจาเพื่อพัฒนาศักยภาพในการป้องกันและแก้ไขปัญหาโดยใช้ทั้งกลไกความร่วมมือที่มีอยู่และพัฒนากลไกใหม่ที่เหมาะสมบนพื้นฐานหลักการของอาเซียนและกฎหมายระหว่างประเทศ ๑.๒ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เสนอแนวคิดในการขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนให้มีความมั่นคงและยั่งยืน ประเทศสมาชิกควรก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เน้นการพัฒนาที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง มีความอยู่ดีกินดี และการให้บริการประชาชนทุกระดับอย่างเท่าเทียมกัน โดยยกตัวอย่างนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายประเทศไทย ๔.๐ และความร่วมมือของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านผ่านการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน รวมทั้งการลงทุนในลักษณะ ๑+๑ ๑.๓ รัฐมนตรีกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมชมการสาธิตเครือข่ายการสื่อสารแบบเร่งด่วนครั้งที่ ๑ โดยผู้แทนกระทรวงกลาโหมบรูไนดารุสซาลาม เป็นผู้บรรยายและเข้าร่วมพิธีส่งมอบการเป็นประธานการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนให้กับกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ๒. การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน-ญี่ปุ่น อย่างไม่เป็นทางการ ๒.๑ รัฐมนตรีกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียนมีความเห็นร่วมกันว่า อาเซียนและญี่ปุ่นอยู่ในสภาวะต้องเผชิญกับภัยคุกคามร่วมกัน โดยความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่นควรได้รับการพัฒนาให้มีความก้าวหน้าบนพื้นฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจและเน้นผลประโยชน์ร่วมกัน และกล่าวชื่นชมกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นในการดำเนินการสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไกด้านความมั่นคงในภูมิภาคที่มีอาเซียนเป็นแกนกลางเพื่อเสถียรภาพและความมั่นคงที่ยั่งยืนให้กับภูมิภาคต่อไป ๒.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นได้กล่าวว่า ญี่ปุ่นให้ความสำคัญต่อการดำรงไว้ซึ่งสันติภาพในภูมิภาคและการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีด้วยการเจรจา และสนับสนุนความเป็นแกนกลางและความเป็นหนึ่งเดียวกันของอาเซียน รวมทั้งได้เสนอร่างวิสัยทัศน์เวียงจันทน์ ซึ่งระบุแนวทางการพัฒนาความร่วมมือระหว่างกระทรวงกลาโหมอาเซียนกับกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น ประกอบด้วย การยึดถือหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ การเสริมสร้างความมั่นคงทางทะเล และการพัฒนาศักยภาพของอาเซียนในด้านต่าง ๆ เช่น บุคลากร ยุทโธปกรณ์ เทคโนโลยี เป็นต้น ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมอาเซียนกับกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นจะได้พัฒนาร่างวิสัยทัศน์ฯ และเสนอให้ที่ประชุมในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนพิจารณาและให้การรับรองในปี ๒๕๖๐ ณ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ๒.๓ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้กล่าวสนับสนุนความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับญี่ปุ่น โดยมีอาเซียนเป็นศูนย์กลาง เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงทั้งแบบดั้งเดิม และรูปแบบใหม่ รวมทั้งแนวคิดการพัฒนาที่สอดคล้องกันของทั้งสองฝ่าย และเห็นว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ มีความก้าวหน้าด้านอุตสาหกรรม และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ สามารถให้การสนับสนุนประเทศสมาชิกอาเซียนได้ โดยเฉพาะในเรื่องอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและการบรรเทาภัยพิบัติ นอกจากนี้ ได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมิตรประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อพัฒนาความร่วมมือให้เกิดประสิทธิผลและมีความเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
487 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยเครื่องพันธนาการและวิธีการใช้เครื่องพันธนาการสำหรับผู้ต้องกักขัง พ.ศ. .... | ยธ | 15/11/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยเครื่องพันธนาการและวิธีการใช้เครื่องพันธนาการสำหรับผู้ต้องกักขัง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประจำสถานที่กักขังสามารถใช้เครื่องพันธนาการกับผู้ต้องกักขังได้ภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งจะเป็นการช่วยป้องกันการหลบหนีหรือการทำอันตรายต่อชีวิตหรือร่างกายของผู้ต้องกักขังหรือผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของสำนักงานศาลยุติธรรมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรกำหนดเงื่อนไขการใช้เครื่องพันธนาการเพิ่มขึ้นจากกรณีปกติที่ต้องใช้กุญแจมือกับผู้ต้องกักขังควรใช้ในกรณีที่เห็นว่าไม่มีทางอื่นที่จะป้องกันได้ดีกว่า ควรกำหนดหลักเกณฑ์การใช้ดุลพินิจของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการสั่งให้ใช้หรือเพิกถอนการใช้เครื่องพันธนาการสำหรับผู้ต้องกักขังเพื่อให้การใช้ดุลพินิจของพนักงานเจ้าหน้าที่ในกรณีดังกล่าวสามารถตรวจสอบได้ ควรมีการกำหนดระยะเวลาในการใช้เครื่องพันธนาการสำหรับผู้ต้องกักขังให้มีความชัดเจน และคำนึงถึงผู้ต้องกักขังที่ต้องใช้เครื่องพันธนาการดังกล่าวเป็นระยะเวลานาน รวมทั้งการใช้เครื่องพันธนาการสำหรับผู้ต้องกักขัง ควรนำเทคโนโลยีมาใช้เช่นเดียวกับการให้ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรืออุปกรณ์อื่นใดที่สามารถตรวจสอบหรือจำกัดการเดินทางของผู้ถูกปล่อยชั่วคราว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา สำหรับการกำหนดให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ใช้เครื่องพันธนาการแก่ผู้ต้องกักขังหญิงที่เป็นคนดุร้าย หรือมีพฤติกรรมหรืออาการส่อว่าเป็นบุคคลวิกลจริต ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต้องป้องกันมิให้ก่อภยันตรายแม้หญิงนั้นอยู่ในภาวะเจ็บท้องก่อนคลอดบุตร ขณะคลอดบุตร หรือภายหลังการคลอดบุตร อาจไม่สอดคล้องกับข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำแห่งสหประชาชาติ ว่าด้วยการปฏิบัติต่อนักโทษ และข้อกำหนดสหประชาชาติ ว่าด้วยการปฏิบัติต่อนักโทษหญิงในเรือนจำและมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำความผิดหญิง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
488 | รายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี 2559 และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 23 | กค | 08/11/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี ๒๕๕๙ ระหว่างวันที่ ๖-๙ ตุลาคม ๒๕๕๙ ณ สหรัฐอเมริกา รวมทั้งการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ ๒๓ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ ณ สาธารณรัฐเปรู โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. การประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี ๒๕๕๙ ที่ประชุมได้เน้นความสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีส่วนร่วมและการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์เพื่อขจัดความยากจนและลดความเสี่ยงที่ประชาชนจะกลับไปสู่ความยากจนอีกครั้งจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ๒. การประชุมร่วมของประเทศสมาชิกกลุ่มออกเสียงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) สภาวะเศรษฐกิจโลกอยู่ในสภาวะชะลอตัว ที่ประชุมแนะนำให้มีการใช้เครื่องมือนโยบายทางการเงินและนโยบายทางการคลังเพื่อกระตุ้นภาคอุปสงค์และลดความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก (๒) การดำเนินตามกรอบ Environment and Social Framework ซึ่งจะขยายการคุ้มครองคนและสิ่งแวดล้อมในโครงการที่ได้รับการสนับสนุนโดยธนาคารโลก โดยคาดว่าจะบังคับใช้ได้ในปี ๒๕๖๑ และ (๓) การหารือการเพิ่มทุนสมาคมพัฒนาการระหว่างประเทศ ครั้งที่ ๑๘ โดยสมาคมฯ จะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการระดมทุนให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการเงินทุนที่เพิ่มขึ้นมากเพื่อให้สามารถรองรับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในปี ค.ศ. ๒๐๓๐ ๓. การประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลก ครั้งที่ ๙๔ มีการหารือเกี่ยวกับ (๑) การสนับสนุนวิสัยทัศน์ของธนาคารโลกเพื่อรองรับการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในปี ค.ศ. ๒๐๓๐ ขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ และ (๒) การสนับสนุนข้อเสนอการคำนวณการถือหุ้นของประเทศสมาชิกในการเพิ่มทุนของธนาคารโลกเพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายของธนาคารโลกในการขจัดความยากจน ๔. การประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย (๑) การประชุมร่วมระหว่างผู้ว่าการธนาคารโลกและผู้ว่าการกองทุนการเงินระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยที่ประชุมมีข้อสังเกตว่า ไทยจำเป็นต้องเร่งรัดการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การส่งเสริมนวัตกรรม และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และ (๒) การประชุมหารือทวิภาคีกับรองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของรายงาน Systemic Country Diagnostic จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถกำหนดมาตรการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีความยั่งยืน และได้กล่าวถึงความต้องการของประเทศไทยในการเพิ่มอันดับของประเทศในรายงาน Doing Business รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของภาคการเกษตรของไทย และความเชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (CLMV) และ (๓) การประชุมหารือทวิภาคีกับสถาบันการเงินต่างประเทศ โดยสถาบันการเงินฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง ระบบการเงินและตลาดตราสารหนี้มีความเข้มแข็ง ส่งผลให้ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศที่น่าลงทุน ๕. การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ ๒๓ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) สถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินของโลกยังคงเผชิญความท้าทายต่าง ๆ สมาชิกเอเปคจะต้องร่วมมือกันเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคควบคู่ไปกับการรักษาความยั่งยืนทางการคลัง (๒) เห็นชอบแนวทางการปรับปรุงกรอบการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค และเห็นชอบแผนกลยุทธ์การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเซบู และ (๓) หารือประเด็นที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการเซบู ได้แก่ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโดยเน้นการเชื่อมโยงศูนย์รวมข้อมูลความรู้การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน การสนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการเงินให้ประชาชนทุกภาคส่วน และการบริหารความเสี่ยงจากภัยพิบัติของประเทศสมาชิกผ่านการสนับสนุนให้มีการทำประกันภัย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
489 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนสิงหาคม 2559 | อก | 01/11/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนสิงหาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๓.๑ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (ขยายตัวสูงสุดในรอบ ๔๐ เดือน นับตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๕๖) โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องปรับอากาศ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ยางอื่น ๆ ที่มิใช่ยางรถยนต์ เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน ๒. การนำเข้าเครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบขยายตัวร้อยละ ๓.๙ ด้านการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวร้อยละ ๖.๒ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ๓. โรงงานที่เริ่มประกอบกิจการเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๘.๙ การจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๒.๕ ยอดเงินลงทุนรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕๑.๖ และมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการเพิ่มขึ้นร้อยละ ๙๘.๗ เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ แต่เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการลดลงร้อยละ ๓๘.๗ และเงินทุนของการเลิกกิจการรวมทั้งการเลิกจ้างน้อยกว่า ๔. การใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ ร้อยละ ๓.๑ และเพิ่มขึ้นร้อยละ ๖.๒ จากช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
490 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนสิงหาคม 2559 | นร11 | 01/11/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเดือนสิงหาคม ๒๕๕๙ เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ ในด้านการใช้จ่าย ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน ดัชนีปริมาณการส่งออก และดัชนีปริมาณการนำเข้าขยายตัวร้อยละ ๐.๕ ร้อยละ ๔.๐ และร้อยละ ๙.๑ ตามลำดับ ขณะที่ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนลดลงร้อยละ ๐.๒ ในด้านการผลิต ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๖.๔ ขณะที่ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร และจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงร้อยละ ๖.๙ และร้อยละ ๔.๓ ตามลำดับ และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง ในด้านการใช้จ่าย เครื่องชี้วัดด้านการใช้จ่ายส่วนใหญ่ขยายตัวทั้งดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน การส่งออก และการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ ในด้านการผลิต ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัว ขณะที่ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรลดลง เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ ดุลการค้าและดุลบริการเกินดุล ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๙ โดยรวมเริ่มปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ยูโรโซน และจีนจะยังคงชะลอตัว ในขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวอย่างช้า ๆ และยังเผชิญแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดที่ยาวนาน ส่งผลให้ประเทศสำคัญ ๆ ยังคงดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
491 | สรุปรายงานการหารือเกี่ยวกับการดำเนินการด้านการท่องเที่ยว | นร04 | 01/11/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการหารือเกี่ยวกับการดำเนินการด้านการท่องเที่ยวและการจัดกิจกรรมต่าง ๆ
ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) กรรมการและเลขานุการศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ (ศตส.) เสนอ ดังนี้ ๑. เพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ให้เข้าสู่สภาวะปกติ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ จึงให้ทุกภาคส่วนจัดกิจกรรมตามประเพณี วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวได้ตามปกติตั้งแต่วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เป็นต้นไป ๒. ในการจัดกิจกรรมตามข้อ ๑ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอความร่วมมือผู้จัดกิจกรรมพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสม ดังนี้ ๒.๑ กิจกรรมใดที่ได้ดำเนินการอยู่แล้วในปัจจุบัน ทุกภาคส่วนสามารถดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ต่อไปได้ เช่น การจัดประชุม สัมมนา งานมงคลสมรส กฐิน กิจกรรมทางวัฒนธรรม ประเพณี หรือการเลี้ยงสังสรรค์ที่ทำในอาคารหรือพื้นที่ที่มีขอบเขตเหมาะสม และเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มตามที่จัดเป็นปกติหรือได้เตรียมการไว้แล้ว เช่น การต้อนรับนักท่องเที่ยว หรือผู้เข้าร่วมประชุม ๒.๒ ทุกหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน สามารถจัดกิจกรรมได้ตามปกติ เช่น งานมหรสพ งานแสดงดนตรี วัฒนธรรมพื้นบ้าน โดยผู้จัดงานพิจารณาความเหมาะสมและให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดให้คำแนะนำและปรึกษาหารือกับภาคส่วนต่าง ๆ โดยเน้นการใช้กลไกประชาคมเพื่อให้การจัดกิจกรรมเป็นไปอย่างเหมาะสม ๒.๓ การจัดรายการของสถานีวิทยุโทรทัศน์สามารถดำเนินการได้ตามปกติ โดยให้ผู้รับผิดชอบรายการพิจารณาความเหมาะสม และควรมีรายการที่สร้างความรับรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และพระราชกรณียกิจในแง่มุมต่าง ๆ รวมทั้งการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาและที่จะดำเนินการในห้วงเวลาต่อไปทุกวัน ทั้งนี้ ในกรณีที่มีพระราชกรณียกิจในพระราชพิธีหรือรัฐพิธีสำคัญ หรือมีเรื่องสำคัญอื่นใดให้ดำเนินการถ่ายทอดผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ทั่วกัน ๒.๔ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ทุกข์มีกำหนด ๑ ปี ส่วนประชาชนและนักท่องเที่ยวให้เป็นไปตามความเหมาะสม ๒.๕ ในกรณีที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ฝ่ายเลขานุการ ศตส. โทร ๐๒ ๒๘๘๖๔๖๔
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
492 | การเร่งรัดร่างกฎหมายสำคัญของรัฐบาล | นร | 01/11/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. ให้เร่งรัดการดำเนินการให้มีการเสนอร่างกฎหมายสำคัญของรัฐบาลเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติหรือให้มีผลใช้บังคับภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๙ ดังต่อไปนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างพระราชบัญญัติพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... ๑.๗ ร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... ๑.๘ ร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สถาบันการเงินที่ประสบภาวะวิกฤติทางการเงิน ตามมาตรา ๑๙) ๑.๙ ร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๑๐ ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... ๑.๑๑ ร่างพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. .... ๑.๑๒ ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา พ.ศ. .... ๑.๑๓ ร่างพระราชบัญญัติปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม พ.ศ. .... ๑.๑๔ ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ พ.ศ. .... ๑.๑๕ ร่างพระราชบัญญัตินโยบายการกีฬาแห่งชาติ พ.ศ. .... ๑.๑๖ ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ ๒. ในการเสนอร่างกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรี ให้ทุกส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐพิจารณาความสอดคล้องกับร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ผ่านความเห็นชอบการออกเสียงประชามติ รวมทั้งพิจารณาความสอดคล้องกับกฎหมายที่ต้องดำเนินการตราตามรัฐธรรมนูญดังกล่าวด้วย อาทิ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ กฎหมายยุทธศาสตร์ชาติ กฎหมายว่าด้วยแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ โดยให้บรรจุเป็นรายการเพิ่มเติมในแบบตรวจสอบความจำเป็นในการตรากฎหมาย (Checklist ๑๐ ประการ) ที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐทุกแห่งต้องถือปฏิบัติ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอความเห็นในประเด็นความสอดคล้องดังกล่าวก่อนนำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
493 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม - มิถุนายน 2559) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 11/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๙) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ประกอบด้วยเนื้อหา ๒ ส่วน ดังนี้
๑. สรุปภาวะเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๙ ขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ถึงแม้ว่าการส่งออกสินค้ายังคงซบเซาและอุปสงค์ในประเทศยังคงฟื้นตัวอย่างช้า ๆ แต่เศรษฐกิจไทยยังคงมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากภาคการท่องเที่ยว เสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในประเทศในภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่ากังวล เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับมาเป็นบวกตั้งแต่เดือนเมษายน และอัตราการว่างงานทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งเสถียรภาพด้านต่างประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดีและเอื้อให้ตลาดการเงินไทยสามารถรองรับความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้นจากปัจจัยเสี่ยงด้านต่างประเทศ ๒. สรุปการดำเนินงานของ ธปท. ๒.๑ ด้านนโยบายการเงิน ภาวะการเงินโดยรวมอยู่ในระดับผ่อนคลายอย่างต่อเนื่องและไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๑.๕๐ เนื่องจากนโยบายการเงินอยู่ในระดับที่ผ่อนปรนเพียงพอและเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเปราะบางต่อปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทำให้จำเป็นต้องรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบาย (Policy Space) ไว้เพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ๒.๒ ด้านนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. ได้ติดตามและประเมินความเสี่ยงที่มีต่อเสถียรภาพระบบการเงินอย่างต่อเนื่อง และได้ปรับปรุงเกณฑ์การกำกับดูแลให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา รวมทั้งได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การรับฝากเงินหรือการรับเงินจากประชาชนเพื่อรองรับแนวโน้มการทำธุรกรรมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนได้เสนอกระทรวงการคลังพิจารณาร่างหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Special Financial Institutions : SFIs) ระยะที่ ๑ รวม ๒๔ ฉบับ ๒.๓ ด้านนโยบายระบบการชำระเงิน ธปท. ได้ผลักดันการดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ National e-Payment โดยรับผิดชอบ ๒ โครงการ คือ โครงการระบบพร้อมเพย์ และโครงการขยายการใช้บัตร รวมทั้งได้ส่งเสริมการโอนเงินและการเชื่อมโยงเอทีเอ็มระหว่างประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียน และได้เพิ่มความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคในการใช้บริการบัตรอิเล็กทรอนิกส์ โดยกำหนดให้สถาบันการเงินเปลี่ยนบัตรเดบิตและบัตรเอทีเอ็มให้เป็นชิปการ์ดทดแทนบัตรแถบแม่เหล็ก นอกจากนี้ ธปท. ได้ยกร่างกฎหมายเพื่อกำกับดูแลระบบการชำระเงิน (Payment Systems Act) เพื่อยกระดับการกำกับดูแลระบบการชำระเงินของประเทศให้มีประสิทธิภาพสอดคล้องตามมาตรฐานสากล
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
494 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2559 | กค | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. เศรษฐกิจช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๙ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยติดลบร้อยละ ๐.๐๙ ต่ำกว่าขอบล่างของกรอบนโยบายการเงิน (ร้อยละ ๒.๕?๑.๕) ตามราคาน้ำมันโลกที่ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ กนง. ประเมินว่าไม่ได้เป็นสัญญาณของภาวะเงินฝืดเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังเป็นบวก และคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะโน้มสูงขึ้นและกลับเข้าสู่ขอบล่างของเป้าหมายตามอุปสงค์ในประเทศที่ค่อย ๆ พื้นตัว โดยแรงขับเคลื่อนหลักมาจากภาคการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายภาครัฐ ในส่วนของเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินไทย กนง. ประเมินว่าในภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากฐานะทางการเงินที่มีความเข้มแข็งของธุรกิจขนาดใหญ่และสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เช่น หนี้สินภาคครัวเรือนที่ขยายตัวเร็วกว่ารายได้ และพฤติกรรมการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่า เป็นต้น ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๙ จะขยายตัวร้อยละ ๓.๑ ๒. การดำเนินนโยบายการเงิน กนง. มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๑.๕๐ เนื่องจากเห็นว่านโยบายการเงินอยู่ในระดับผ่อนปรนเพียงพอและเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ กนง. จะติดตามปัจจัยเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และใช้เครื่องมือนโยบายที่มีอยู่อย่างเหมาะสมเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพทางการเงินต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
495 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนกรกฎาคม 2559 | นร11 | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านการใช้จ่าย ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน และการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ขยายตัวร้อยละ ๒.๔ ร้อยละ ๐.๘ และร้อยละ ๒๔.๘ ตามลำดับ ในขณะที่การเบิกจ่ายรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนของภาครัฐลดลงร้อยละ ๑๗.๓ และร้อยละ ๑.๖ ตามลำดับ เนื่องจากมีการเร่งรัดเบิกจ่ายไปมากแล้วในช่วงก่อนหน้า ส่วนมูลค่าการส่งออกยังคงลดลงต่อเนื่องร้อยละ ๔.๕ เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะจีน อาเซียน และสหภาพยุโรป ด้านการผลิต ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ ๗ เดือน ร้อยละ ๒.๓ ในขณะที่ดัชนีราคาสินค้าเกษตรขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ ๑๖.๒ ส่งผลให้รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๘.๙ ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวเร่งขึ้นเป็นร้อยละ ๑๐.๘ แต่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ ๕.๑ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ ดุลการค้าและดุลบริการเกินดุล ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ โดยรวมยังคงอยู่ในช่วงของการชะลอตัวตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา จีน และประเทศสำคัญอื่น ๆ รวมทั้งการฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ของเศรษฐกิจยูโรโซน และญี่ปุ่น ซึ่งยังคงเผชิญความเสี่ยงจากภาวะเงินฝืด โดยประเทศต่าง ๆ ยังคงดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
496 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 2 ปี 2559 และภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกรกฎาคม 2559 | อก | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๒ ปี ๒๕๕๙ และภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๒ ปี ๒๕๕๙ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ ๑๐๖.๕ ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาร้อยละ ๕.๑ แต่ขยายตัวจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๘ ร้อยละ ๑.๕ อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีขยายตัวจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๘ ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องปรับอากาศ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบสำหรับยานยนต์ แป้งมัน กลูโคส เครื่องสำอางและเคมีภัณฑ์ที่ใช้ในการทำความสะอาด ๒. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหดตัวร้อยละ ๕.๑ โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ เครื่องยนต์ เครื่องแต่งกาย ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยางอื่น ๆ ที่มิใช่ยางรถยนต์ การนำเข้าเครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบขยายตัวร้อยละ ๐.๙ ด้านการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) หดตัวร้อยละ ๕.๔ โรงงานที่เริ่มประกอบกิจการลดลงร้อยละ ๑๑.๑ การจ้างงานลดลงร้อยละ ๒๙.๒ ยอดเงินลงทุนรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๐ และมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการลดลงร้อยละ ๓๕ และการใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมการผลิต ลดลงร้อยละ ๑.๔
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
497 | ร่างพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการร่างพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ ซึ่งได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานให้มีบทบัญญัติที่เหมาะสมกับกาลสมัย ตลอดจนแก้ไขบทกำหนดโทษและปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมให้เหมาะสมเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไปเพิ่มเติมบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องในการควบคุมอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน ซึ่งกำหนดไว้ในประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพื่อให้กฎหมายในเรื่องนี้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
498 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ปี 2559 ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ | กค | 04/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ปี ๒๕๕๙ ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. ศูนย์ข้อมูลฯ สามารถดำเนินงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย โดยรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ และนำข้อมูลเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ รวมทั้งมีการให้ความรู้เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรก ปี ๒๕๕๙ ได้มีการจัดการอบรมและสัมมนาเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์และสร้างบทบาทของศูนย์ข้อมูลฯ ให้เป็นแหล่งข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ที่น่าเชื่อถือและนำไปใช้ในการวิเคราะห์เพื่อประกอบการตัดสินใจของทั้งผู้ประกอบการ ผู้ที่สนใจและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ๒. สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีแรก ปี ๒๕๕๙ ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยอยู่ในสภาวะค่อนข้างดี เนื่องจากรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งมีมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนองอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๘ ถึงวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ดัชนีความคาดหวังในอีก ๖ เดือนข้างหน้า ประจำไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๕๙ มีค่าเท่ากับ ๖๕.๔ ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่แล้ว ซึ่งมีค่าเท่ากับ ๖๔.๔
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
499 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง ปี 2559 | นร11 | 27/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง ปี ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์ทางสังคม ประกอบด้วย ๑๑ ประเด็น โดยความเคลื่อนไหวที่สำคัญในเชิงบวก ได้แก่ ด้านรายได้และผลิตภาพแรงงานเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยโรคเฝ้าระวังโดยรวมลดลง คนไทยมีความสุขเพิ่มขึ้น การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นลดลง ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินดีขึ้น การเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกลดลง การร้องเรียนสินค้าและบริการลดลง สำหรับสถานการณ์ที่ต้องติดตามและเฝ้าระวัง ได้แก่ สถานการณ์การจ้างงาน การว่างงาน การเร่งพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยเฉพาะภาษาต่างประเทศ การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ และสถานการณ์ขยะที่เพิ่มขึ้น ๒. บทความเรื่อง การประกอบอาชีพค้าขายรายย่อยของแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย จากการสำรวจร้านค้า จำนวน ๑๐,๔๕๓ แห่ง พบว่ามีคนต่างด้าวเป็นเจ้าของร้อยละ ๓.๒ โดยลักษณะที่ทำงานเป็นร้านค้าและแผงลอยในห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด ตลาดสดและตลาดชุมชน ซึ่งมีเพียงครึ่งหนึ่งที่ทราบว่าการประกอบอาชีพค้าขายของแรงงานต่างด้าวเป็นเรื่องผิดกฎหมาย จึงเสนอให้มีการปรับปรุงฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าวให้ทันสมัย ปรับปรุงและบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด รวมถึงประชาสัมพันธ์และรณรงค์ผ่านสื่อเพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของคนต่างด้าวให้แรงงานต่างด้าวเข้าใจก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงานไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
500 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 40 | ทส | 06/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ณ นครอิสตันบูล สาธารณรัฐตุรกี มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ และการขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกในภาวะอันตราย การดำเนินการของคณะผู้แทนไทยในการหารือร่วมกับกรรมการมรดกโลก ศูนย์มรดกโลก องค์กรที่ปรึกษา และรัฐภาคี และข้อมติคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๐ ที่เกี่ยวข้องกับไทย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับการดำเนินการตามข้อมติที่ประชุมคณะกรรมการฯ ที่ขอให้ไทยยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรว่าโครงการขยายทางหลวงหมายเลข ๓๔๘ จะไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการ นั้น จะส่งผลให้กระทรวงคมนาคมโดยกรมทางหลวงไม่สามารถดำเนินการพัฒนาเส้นทางดังกล่าวได้อีก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....