ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 27 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 521 - 540 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
521 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยอัตราค่าบำรุงสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย พ.ศ. .... | กษ | 28/06/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยอัตราค่าบำรุงสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงอัตราค่าบำรุงสันติบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน จากอัตราเดิม “ร้อยละห้าของกำไรสุทธิ แต่ไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท” เป็นอัตราใหม่ “ร้อยละหนึ่งของกำไรสุทธิ แต่ไม่เกินสามหมื่นบาท” ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
522 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสแรกของปี 2559 | นร11 | 21/06/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ ซึ่งความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญในเชิงบวกทั้งในด้านการจ้างงานโดยรวม รายได้และผลิตภาพแรงงานเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินดีขึ้น ความร่วมมือประชารัฐเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหามลพิษหมอกควันได้อย่างยั่งยืน แต่ยังมีความเคลื่อนไหวทางสังคมที่ต้องติดตาม เฝ้าระวังเพื่อบรรเทาผลกระทบของปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งการจ้างงานภาคเกษตรกรรมที่ลดลงเนื่องจากผลกระทบจากภาวะภัยแล้ง จำนวนผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกและไข้หวัดใหญ่ที่เพิ่มขึ้น การเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในช่วงเทศกาล การกำกับดูแลการโฆษณาของรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กให้เหมาะสม รวมทั้งการเร่งแก้ไขปัญหาและจัดการผลกระทบจากภัยแล้งให้กับเกษตรกรและภาคการเกษตร
|
|||||||||||||||||||||
523 | มาตรการกำกับดูแลสินค้าสำคัญ 205 รายการ และบริการ 20 รายการ เดือนมิถุนายน 2559 | พณ | 21/06/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานมาตรการกำกับดูแลสินค้าสำคัญ ๒๐๕ รายการ และบริการ ๒๐ รายการ เดือนมิถุนายน ๒๕๕๙ ซึ่งได้มีการประเมินและคาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์ด้านราคาและปริมาณของสินค้าและบริการ โดยได้ปรับเปลี่ยนการจัดระดับความสำคัญของสินค้า ๓ กลุ่ม เป็นดังนี้
๑. กลุ่ม Sensitive List (SL) หรือสินค้าและบริการมีความอ่อนไหวเป็นพิเศษ ติดตามราคาและภาวะเป็นประจำทุกวัน จากเดิม ๓๐ รายการ เป็น ๒๘ รายการ โดยปรับเพิ่มขึ้นจาก Priority Watch List (PWL) ๑ รายการ ได้แก่ น้ำตาลทราย และปรับลดลงเป็น Priority Watch List (PWL) ๓ รายการ ได้แก่ สบู่ แชมพู และผงซักฟอก ๒. กลุ่ม Priority Watch List (PWL) หรือสินค้าและบริการที่ติดตามราคาและภาวะอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษสัปดาห์ละ ๒ ครั้ง จากเดิม ๕ รายการ เป็น ๘ รายการ โดยปรับเพิ่มขึ้นเป็น Sensitive List (SL) ๑ รายการ ได้แก่ น้ำตาลทราย และปรับเพิ่มขึ้นจาก Watch List (WL) ๑ รายการ ได้แก่ ท่อพีวีซี และปรับลดลงจาก Sensitive List (SL) ๓ รายการ ได้แก่ สบู่ แชมพู และผงซักฟอก ๓. กลุ่ม Watch List (WL) หรือสินค้าและบริการที่ติดตามราคาและภาวะอย่างใกล้ชิดเป็นประจำทุกปักษ์ จากเดิม ๑๗๐ รายการ เป็น ๑๖๙ รายการ โดยปรับเพิ่มขึ้นเป็น Priority Watch List (PWL) ๑ รายการ ได้แก่ ท่อพีวีซี
|
|||||||||||||||||||||
524 | รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2558 | ทส | 21/06/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ความเคลื่อนไหวที่สำคัญด้านสิ่งแวดล้อมในระดับโลก ระดับอาเซียน และในประเทศไทย ซึ่งให้ความสำคัญกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเน้นการเชื่อมโยงและปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อม ๒. สถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมรายสาขา พบว่า สถานการณ์สิ่งแวดล้อมมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ได้แก่ สถานการณ์มลพิษ มลภาวะจากฝุ่นละออง ขยะชุมชนและขยะตกค้างมีปริมาณลดลง รวมทั้งการเพิ่มพื้นที่สีเขียว และสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนที่เพิ่มขึ้น และสถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่มีแนวโน้มเสื่อมโทรมลง ได้แก่ การสูญเสียพื้นที่ป่า การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติและการใช้ทรัพยากรอย่างเกินความพอดี ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการเกิดปัญหาภัยแล้ง ๓. สถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่สำคัญ ได้แก่ การมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ พื้นที่ปนเปื้อนมลพิษในประเทศไทย และการบริหารจัดการการท่องเที่ยวในพื้นที่อนุรักษ์ทางธรรมชาติ ๔. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ได้แก่ (๑) ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น โดยควรยึดหลักการป้องกันไว้ก่อนในการกำหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม (๒) ปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน เศรษฐกิจสีเขียว และแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง (๓) สนับสนุนการบูรณาการทางความคิด การวางแผนงาน และการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐ และ (๔) กำหนดให้มีการประเมินผลกระทบและผลได้ของนโยบายที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ ๕. ข้อเสนอแนะเชิงมาตรการ ได้แก่ (๑) พัฒนาระบบสารสนเทศและการจัดเก็บข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมของหน่วยงาน โดยให้มีการรวบรวมเรื่องที่สำคัญอย่างสม่ำเสมอและเน้นการจัดเก็บข้อมูลตามสาขาสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ (๒) สนับสนุนการมีส่วนร่วมในการดูแลอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของภาคเอกชนและภาคประชาชน (๓) ใช้กลไกงบประมาณเพื่อเป็นเครื่องมือในการยกระดับความสำคัญของประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อม และ (๔) พัฒนาเครื่องมือที่ทันสมัยในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์เพื่อสร้างแรงจูงใจในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
|||||||||||||||||||||
525 | สรุปผลการเยือนสหพันธรัฐรัสเซียของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระหว่างวันที่ 17 - 20 พฤษภาคม 2559 | ยธ | 21/06/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานสรุปผลการเยือนสหพันธรัฐรัสเซียของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระหว่างวันที่ ๑๗-๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ณ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สหพันธรัฐรัสเซีย สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของนายกรัฐมนตรีในระหว่างการเยือนนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สหพันธรัฐรัสเซีย มีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือกับรัสเซียอย่างเป็นรูปธรรมและอย่างรอบด้าน ซึ่งถือเป็นประเทศแรกนอกภูมิภาคเอเชียที่นายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนในลักษณะทวิภาคี ๒. การเข้าพบหารือข้อราชการกับ H.E. Mr. Igor ZUBOV รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยรัสเซีย ทั้งสองฝ่ายได้มีการแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับความเชื่อมโยงของปัญหาอาชญากรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการลักลอบค้ายาเสพติด การลี้ภัย และการอพยพของมนุษย์อย่างผิดกฎหมาย โดยรัสเซียยืนยันว่าจะยังคงให้มีเจ้าหน้าที่ประสานงานด้านยาเสพติดอยู่ในประเทศไทยต่อไป นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นการส่งผู้ร้ายข้ามแดนและการโอนตัวนักโทษระหว่างกัน ความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจด้านยาเสพติดระหว่างสำนักงาน ป.ป.ส. และหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของรัฐเซีย ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๙ และร่างแผนปฏิบัติการสำหรับความร่วมมือด้านยาเสพติดที่จะพิจารณาร่วมกันและจะมีการลงนามในอนาคต การแลกเปลี่ยนข้อกังวลเกี่ยวกับปัญหาพื้นที่ผลิตยาเสพติด เฮโรอีน และสารสังเคราะห์ การสนับสนุนในการออกคะแนนเสียงให้กับผู้แทนรัสเซียในองค์กรตำรวจสากล (INTERPOL) และการสนับสนุนบทบาทของรัสเซียในองค์กรตำรวจอาเซียน (ASEANAPOL) การส่งเสริมและผลักดันการทำงานผ่านคณะทำงานร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมไทย-รัสเซีย รวมทั้งการเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของไทยและคณะในการเดินทางเยือนรัสเซียเพื่อร่วมงานแสดงเทคโนโลยีเกี่ยวกับกิจการตำรวจ ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย ๓. การเข้าร่วมการประชุมว่าด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ ครั้งที่ ๖ (VI St. Petersburg International Legal Forum) ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมแนวทางการปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัยขึ้นในสภาวะโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลที่จำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือทางกฎหมายเข้าไปช่วยดำเนินการ รวมทั้งมุ่งส่งเสริมแนวคิดแห่งการเปลี่ยนแปลง โดยมุ่งหวังให้ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาเพื่อนำไปเป็นพื้นฐานในการปฏิรูป ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้หารือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในประเด็นที่หลากหลายกับหน่วยงานด้านกระบวนการยุติธรรมจากประเทศต่าง ๆ รวมถึงได้เรียนรู้พัฒนาการใหม่ ๆ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของนานาประเทศเพื่อนำไปสู่การพัฒนากฎหมายที่สำคัญของประเทศไทยต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
526 | แผนปฏิบัติการ พ.ศ. 2559 - 2561 ภายใต้แผนงานทันตสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุประเทศไทย พ.ศ. 2558 - 2565 | สธ | 14/06/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติการ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑ ภายใต้แผนงานทันตสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ ระยะที่ ๑ (ปีงบประมาณ ๒๕๕๙-๒๕๖๑) ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) การพัฒนารูปแบบบริการระบบบริการ คุณภาพบริการ การเข้าถึงบริการด้านทันตสุขภาพของผู้สูงอายุ (๒) การศึกษาวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุ (๓) การพัฒนาบุคลากรและหลักสูตรด้านทันตกรรมผู้สูงอายุ และ (๔) การบริหารจัดการ การพัฒนาระบบฐานข้อมูล การติดตามประเมินผลการดำเนินงานเพื่อให้มีระบบบริหารจัดการที่ดี ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. สำหรับงบประมาณในการดำเนินงานให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และ พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อดำเนินการและเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการดังกล่าวตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนแต่ละกลุ่ม รวมทั้งผู้สูงอายุได้รับทราบสิทธิประโยชน์ของตนเอง การประชาสัมพันธ์หน่วยบริการทันตกรรมที่มีศักยภาพและความสามารถในการจัดบริการเฉพาะทางให้ประชาชนทุกช่วงวัยทราบ เพื่อให้ได้มีโอกาสเข้าถึงบริการด้านทันตกรรมและทันตสาธารณสุขเพิ่มมากขึ้น การนำแผนไปสู่การปฏิบัติต้องมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินโครงการ กิจกรรม ที่หน่วยงานนั้น ๆ ดำเนินการอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าคุ้มทุนและเป็นการประหยัดงบประมาณแผ่นดิน การดำเนินการร่วมกันระหว่างสถานพยาบาลภาครัฐทุกสังกัดและภาคเอกชนในแต่ละเขตสุขภาพ เพื่อก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกันในการจัดบริการและเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงบริการทันตสุขภาพของผู้สูงอายุ การกำหนดตัวชี้วัดที่สะท้อนผลสัมฤทธิ์ด้านการส่งเสริมป้องกันการเกิดโรค นอกจากการเข้าถึงบริการการรักษา อาทิ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลช่องปากของผู้สูงอายุ และภาวะโภชนาการที่สัมพันธ์กับสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุ เพื่อนำไปสู่การปรับแผนปฏิบัติการฯ ในระยะที่สองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการบูรณาการขั้นตอนและการดำเนินงานให้ครอบคลุมทั้งระบบสวัสดิการและสิทธิต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
527 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2559 และแนวโน้มปี 2559 | นร11 | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ และแนวโน้มปี ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ขยายตัวร้อยละ ๓.๒ เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๘ ในไตรมาสก่อนหน้า และเป็นการขยายตัวในอัตราสูงสุดในรอบ ๑๒ ไตรมาส เมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ ขยายตัวจากไตรมาสสี่ของปี ๒๕๕๘ ร้อยละ ๐.๙ สูงขึ้นจากช่วงที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ และการส่งออกบริการท่องเที่ยวขยายตัวในระดับสูง เป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวที่สำคัญ รวมทั้งการขยายตัวต่อเนื่องของการใช้จ่ายภาคครัวเรือน ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๕๙ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๐-๓.๕ โดยมีค่ากลางที่ร้อยละ ๓.๓ เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๘ ในปี ๒๕๕๘ โดยมีปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวต่อเนื่องจาก (๑) การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐที่ขยายตัวในเกณฑ์สูง (๒) แรงขับเคลื่อนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ได้จัดทำเพิ่มเติมในช่วงเดือนกันยายน ๒๕๕๘-มีนาคม ๒๕๕๙ (๓) จำนวนนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่อง (๔) ราคาน้ำมันที่คาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำ และ (๕) แนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นของการผลิตภาคเกษตรในช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะลดลงร้อยละ ๑.๗ การบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๒.๓ และร้อยละ ๔.๒ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วงร้อยละ ๐.๑-๐.๖ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๙.๔ ของ GDP ๓. การบริหารนโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี ๒๕๕๙ ควรให้ความสำคัญกับการเบิกจ่ายงบประมาณและการดำเนินโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ประสิทธิภาพการดำเนินการตามมาตรการภายใต้กรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การดูแลเงินบาทไม่ให้ผันผวนมากและเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ การฟื้นฟูเกษตรกรและเตรียมเกษตรกรให้มีความพร้อมสำหรับปีการเพาะปลูก ๒๕๕๙/๒๕๖๐ การสนับสนุนการฟื้นตัวและการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน การดูแลและขับเคลื่อนภาคการส่งออก และการดูแลภาคการท่องเที่ยว
|
|||||||||||||||||||||
528 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนมีนาคม 2559 | อก | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนมีนาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัวเป็นบวกร้อยละ ๑.๘๓ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อุตสาหกรรมสำคัญที่ขยายตัว เช่น รถยนต์และชิ้นส่วน เคมีภัณฑ์ เครื่องประดับ และเครื่องปรับอากาศ ๒. การนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย การนำเข้าเครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบหดตัวร้อยละ ๔.๗ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการนำเข้าเครื่องยนต์ เพลาส่งกำลังและส่วนประกอบอื่น ๆ เครื่องสูบลม เครื่องสูบของเหลว รวมถึงเครื่องจักรใช้ในการแปรรูปโลหะและส่วนประกอบที่ลดลง ด้านการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า ๕,๙๗๑.๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๑.๘ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการนำเข้าด้ายและเส้นใย เคมีภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ รวมถึงอุปกรณ์ส่วนประกอบของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ลดลง ๓. การใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมการผลิต มีปริมาณทั้งหมดจำนวน ๑๐,๘๐๗.๒ ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ร้อยละ ๑๕.๗ และร้อยละ ๔.๐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๘ ๔. ภาวะการประกอบกิจการ มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ จำนวน ๓๗๘ ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ร้อยละ ๔๗.๗ มียอดเงินลงทุนรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕.๒๘ แต่มีจำนวนการจ้างงานลดลงร้อยละ ๖.๕ และเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการเพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ร้อยละ ๕.๙ สำหรับโรงงานที่ปิดกิจการมีจำนวน ๒๐๙ ราย น้อยกว่าเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ร้อยละ ๑.๔ แต่มากกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ ๕๔.๘
|
|||||||||||||||||||||
529 | ข้อแนะนำการเริ่มการเพาะปลูกฤดูกาลผลิต ปี 2559/60 | กษ | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อแนะนำการเริ่มการเพาะปลูกฤดูการผลิต ปี ๒๕๕๙/๖๐ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สภาพอากาศ กรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร ได้สรุปว่าสภาพอากาศเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว และคาดการณ์ว่า ปริมาณฝนปีนี้จะมากกว่าปกติ ร้อยละ ๖ สำหรับประเทศไทยคาดการณ์ว่าทั้งปีจะมีปริมาณฝนอยู่ในเกณฑ์ปกติ และจะเข้าสู่ฤดูฝนในสัปดาห์ที่ ๓ ของเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ ๒. สถานการณ์น้ำ ณ วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๙ มีปริมาณน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีน้ำใช้การได้ ๑๐,๓๙๐ ล้านลูกบาศก์เมตร กรณีที่ไม่มีฝนตกปริมาณน้ำดังกล่าวสามารถสนับสนุนการใช้น้ำสำหรับอุปโภค บริโภค และรักษาระบบนิเวศ ได้จนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ ๓. การบริหารจัดการน้ำในฤดูฝน ปี ๒๕๕๙ เพื่อให้ปริมาณน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำมีเพียงพอสำหรับการใช้น้ำตลอดฤดูฝน ๒๕๕๙ และเก็บกักไว้ใช้ในฤดูแล้งที่จะถึง กรมชลประทานพิจารณาดำเนินการจัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค และรักษาระบบนิเวศให้เพียงพอตลอดทั้งปี ส่งเสริมการปลูกพืชฤดูฝนให้ใช้น้ำฝนเป็นหลัก บริหารจัดการน้ำท่าให้มีประสิทธิภาพสูงสุดด้วยระบบและอาคารชลประทาน และดำเนินการเก็บกักน้ำในเขื่อนให้มากที่สุด ๔. การวางแผนการเพาะปลูกฤดูกาลผลิต ปี ๒๕๕๙/๖๐ ประกอบด้วย (๑) พื้นที่เพาะปลูกในเขตชลประทาน ได้แก่ ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลอง พื้นที่ลุ่มต่ำ แนะนำให้เกษตรกรทำการเพาะปลูกเมื่อกรมอุตุนิยมวิทยาประกาศการเข้าสู่ฤดูฝนของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๙ และพื้นที่ดอน ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจะมีปริมาณมากเพียงพอ แนะนำให้เพาะปลูกได้ตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม สำหรับพื้นที่โครงการชลประทานอื่น ๆ การเพาะปลูกพืชฤดูฝนจะดำเนินการตามมติคณะกรรมการจัดการชลประทาน (JMC) ของแต่ละพื้นที่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดเตรียมการประชุม จะแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ (๒) พื้นที่เพาะปลูกนอกเขตชลประทาน แนะนำให้เกษตรกรทำการเพาะปลูกตามฤดูกาลปกติ ประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ทั้งนี้ ในพื้นที่ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) ฤดูฝนจะแตกต่างจากภาคอื่น แนะนำให้เกษตรกรทำการเพาะปลูกตามฤดูกาลปกติประมาณเดือนตุลาคม ๒๕๕๙
|
|||||||||||||||||||||
530 | ผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 10 และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน - จีน อย่างไม่เป็นทางการ | กห | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงกลาโหมรายงานผลการเดินทางเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ ๑๐ และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน-จีน อย่างไม่เป็นทางการ ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ ระหว่างวันที่ ๒๔ ถึงวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ ๑๐ รัฐมนตรีกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมกันลงนามปฏิญญาร่วมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคง เพื่อพลวัตประชาคมอาเซียน และให้ความเห็นชอบเอกสารความร่วมมือ จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ (๑) เอกสารขอบเขตการปฏิบัติงานของศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน (๒) เอกสารขอบเขตการปฏิบัติงานของกองกำลังเตรียมพร้อมอาเซียนด้านการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ และ (๓) เอกสารแนวความคิดว่าด้วยการจัดตั้งคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ ในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ๒. การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน-จีน อย่างไม่เป็นทางการ รัฐมนตรีกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียนได้มีความเห็นร่วมกันว่า อาเซียนและสาธารณรัฐประชาชนจีนอยู่ในสภาวะต้องเผชิญกับภัยคุกคามร่วมกัน โดยความสัมพันธ์อาเซียน-จีน ในลักษณะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ควรได้รับการพัฒนาให้มีความก้าวหน้าบนพื้นฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจและเน้นผลประโยชน์ร่วมกัน สำหรับกรณีทะเลจีนใต้ ได้เสนอให้แก้ไขปัญหาด้วยความยับยั้งชั่งใจ ไม่ใช้กำลังข่มขู่ ปฏิบัติตามปฏิญญาร่วมว่าด้วยการปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้ (Declaration on the Conduct of Parties in the South China Sea : DOC) อย่างเต็มที่ และอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งควรมีการพัฒนาระเบียบปฏิบัติว่าด้วยการเผชิญหน้าโดยไม่ตั้งใจในทะเล (Code for Unplanned Encounters at Sea : CUES) เพื่อลดโอกาสในการเกิดและป้องกันเหตุการณ์บานปลายในทะเล รวมทั้งได้แสดงความพร้อมให้การสนับสนุนไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนในการปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานร่วมคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านการก่อการร้ายในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจาในปี ๒๕๖๐-๒๕๖๒ ๓. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้มีการหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมิตรประเทศ ได้แก่ การหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงป้องกันประเทศ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน และการสนับสนุนไทยในการเป็นประธานร่วมคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านการก่อการร้าย ในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปี ๒๕๖๐-๒๕๖๒ และการหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐประชาชนจีนเกี่ยวกับการขยายความร่วมมือร่วมกันในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านการฝึก การศึกษา และการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเพื่อพัฒนาศักยภาพด้านการต่อต้านการก่อการร้าย
|
|||||||||||||||||||||
531 | ข้อคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี | นร | 24/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รายงานข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนี้
๑. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รายงานเกี่ยวกับการเดินทางเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ สาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙ และการหารือข้อราชการกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐฟิจิ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ๑.๑ การเข้าร่วมกิจกรรมในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) ในฐานะประธานกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติพร้อมคณะได้เป็นเจ้าภาพถวายพระกระยาหารค่ำแด่ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ในโอกาสเสด็จทรงร่วมงานเทศกาลฯ และทรงเป็นประธานงาน Thai Night เพื่อประชาสัมพันธ์อุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของไทย รวมทั้งได้เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่าง ๆ ซึ่งการเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้แสดงถึงศักยภาพและความพร้อมของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในการร่วมลงทุนกับต่างชาติ รวมทั้งความเหมาะสมของสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ ๑.๒ การหารือข้อราชการกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐฟิจิ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้พบหารือข้อราชการกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐฟิจิ ในโอกาสเดินทางเข้าร่วมการประชุมประจำปีสมัยที่ ๗๒ ของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (UNESCAP) ที่ประเทศไทย โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมบทบาทในฐานะหุ้นส่วนการพัฒนาที่สำคัญ เช่น การส่งเสริมความสัมพันธ์ในทุกด้านโดยเฉพาะการค้าการลงทุน ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาหมู่เกาะแปซิฟิก การให้ความช่วยเหลือของไทยแก่ฟิจิกรณีเหตุภัยพิบัติ การจัดทำบันทึกความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการทหาร การให้สิทธิขอรับการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมืองไทย (Visa on Arrival) กับผู้ถือหนังสือเดินทางฟิจิ ในการนี้ ฝ่ายไทยได้ขอรับการสนับสนุนการสมัครเป็นสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ ด้วย ๒. รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานว่า ๒.๑ คณะกรรมการบูรณาการด้านพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ โดยสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) และหน่วยงานต่าง ๆ เช่น องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศและการบินแห่งชาติ องค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ หอสมุดแห่งชาติได้ดำเนินโครงการ “ปิดเทอมนี้... สนุกคิด... สนุกเรียนรู้... สู่อนาคต” เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนและประชาชนทั่วไปได้เรียนรู้โดยตรงจากพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ และใช้เวลาว่างในช่วงปิดเทอมให้เป็นประโยชน์ ระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน ๒๕๕๙ และในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๙ มีแผนในการดำเนินโครงการติดปีกความรู้ ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้นอกห้องเรียน และโครงการรวบรวมข้อมูลพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้เพื่อเป็นศูนย์กลางข้อมูลองค์ความรู้ การให้บริการ และกิจกรรมที่จัดในแหล่งเรียนรู้และพิพิธภัณฑ์ทั่วประเทศไทย รวมทั้งได้กำหนดให้มีแผนยุทธศาสตร์ในการบูรณาการด้านพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ระยะเวลา ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๙) โดยมีเป้าหมายให้พิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญาเป็นกลไกหนึ่งในการพัฒนาให้ประเทศไทยเติบโตได้อย่างมั่นคงและพัฒนาไปสู่ประเทศที่มั่นคงและมีความยั่งยืนต่อไปในอนาคต ๒.๒ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ได้เป็นประธานเปิดการแข่งขันการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ระดับโลก ครั้งที่ ๔๐ (ACM-ICPC World Finals 2016) ณ จังหวัดภูเก็ต โดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน มีผู้เข้าแข่งขันเป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยจาก ๔๐ ประเทศ ๖ ทวีปทั่วโลก จำนวน ๑๒๘ ทีม โดยมีทีมจากประเทศไทยเข้าร่วม จำนวน ๒ ทีม คือ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้รับรางวัล First to Solution เนื่องจากสามารถแก้โจทย์ข้อแรกสำเร็จได้รวดเร็วที่สุด ๓. รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๙ มีความเสี่ยงจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงชะลอตัว ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออกของไทย ดังนั้น เพื่อให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมีแรงขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลจึงควรเร่งรัดโครงการลงทุนภาครัฐให้สามารถขับเคลื่อนได้ตามแผนงานและสนับสนุนให้มีการลงทุนภาคเอกชนมากขึ้นในช่วงเวลาที่เหลือของปี ๒๕๕๙ ๔. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รายงานว่า ๔.๑ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ได้ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙ เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาแหล่งน้ำตามนโยบายรัฐบาลเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ ๗๐ ปี ๙ มิถุนายน ๒๕๕๙ และโครงการบูรณาการการขุดลอกแหล่งน้ำ โดย (๑) จะมีการบูรณาการแผนงานในการปรับปรุงและพัฒนาแหล่งน้ำร่วมกัน ทั้งลำน้ำสายหลัก สายรอง และแหล่งน้ำ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเก็บกักน้ำสามารถกระจายน้ำเข้าสู่ชุมชนและพื้นที่การเกษตรได้อย่างทั่วถึง (๒) ใช้เครื่องจักรและเครื่องมือของทุกส่วนราชการที่มีอยู่แล้วในการดำเนินการ โดยคาดว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๒ เดือน (๓) กำชับทุกส่วนราชการในการประสานความร่วมมือและดำเนินการร่วมกับประชาชนในทุกพื้นที่ให้เป็นไปตามความต้องการและเกิดประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง และ (๔) จะต้องดำเนินการอย่างโปร่งใส ไม่มีการทุจริตโดยเด็ดขาด และจะได้รายงานผลการบูรณาการแผนงานฯ ต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๔.๒ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีผลการดำเนินการที่สำคัญ ได้แก่ เรื่องเชิงนโยบายและการบริหาร เช่น การประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ของพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ การจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด เรื่องการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เช่น โครงการระบบรถไฟทางคู่ รถไฟชานเมืองร่วมกับรถไฟทางไกล โครงการโรงไฟฟ้าทดแทนโรงไฟฟ้าแม่เมาะ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบก และการก่อสร้างโรงพยาบาล รวมทั้งการประกาศพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมและการกำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อมเพื่อควบคุมการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม การแต่งตั้งกรรมการ เช่น คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงาน EIA ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และการเร่งรัดการควบคุม ติดตาม กำกับ ดูแลเรื่องที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ๕. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รายงานความคืบหน้าการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ ๗๐ ปี ๙ มิถุนายน ๒๕๕๙ และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ ในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ๒๕๕๙ ได้แก่ การจัดโครงการบรรพชาอุปสมบทหมู่เฉลิมพระเกียรติฯ พิธีตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศลและพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลเฉลิมพระเกียรติฯ ทั้งนี้ ตราสัญลักษณ์เฉลิมพระเกียรติของทั้ง ๒ กิจกรรม ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแล้ว
|
|||||||||||||||||||||
532 | รายงานสรุปสถานการณ์และการดำเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือของประเทศไทย ปี 2559 | ทส | 16/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอรายงานสรุปสถานการณ์และการดำเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือของประเทศไทย ปี ๒๕๕๙ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สรุปสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ถึง๑๕ เมษายน ๒๕๕๙ พบว่าตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เป็นต้นมา พื้นที่ภาคเหนือมีหมอกควันปกคลุมหนาแน่นเป็นบริเวณกว้างต่อเนื่องหลายวัน สาเหตุหลักเกิดจากกิจกรรมการเผาในพื้นที่ ลักษณะภูมิประเทศและสภาพอุตุนิยมวิทยาของภาคเหนือที่เป็นแอ่งกระทะ ล้อมรอบด้วยภูเขาสูง และหมอกควันข้ามแดน พบจุดความร้อนและหมอกควันหนาแน่นในอนุภูมิภาคแม่โขง อย่างไรก็ตาม พบว่า ๕ จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง น่าน และตาก มีสถานการณ์ดีขึ้น ทั้งจำนวนวันที่ฝุ่นละอองสูงเกินมาตรฐานและปริมาณฝุ่นละอองสูงสุดมีค่าลดลง ๑.๒ สรุปการดำเนินงานเพื่อป้องกันและรับมือสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือ ได้แก่ การมอบนโยบายและซักซ้อมความเข้าใจหน่วยงานในพื้นที่ การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือ ปี ๒๕๕๙ และการดำเนินงานในระดับพื้นที่ ๙ จังหวัดภาคเหนือ ๑.๓ สรุปสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๑๖ เมษายน ถึง ๒๙ เมษายน ๒๕๕๙ กลับสู่สภาวะปกติ ฝุ่นละอองอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานทุกสถานี แต่ในปีนี้เกิดความแห้งแล้งต่อเนื่องและยาวนาน ทำให้พื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์หมอกควันอย่างต่อเนื่อง ๑.๔ มาตรการเร่งด่วนรับมือสถานการณ์ และการแก้ไขปัญหาหมอกควันอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้กำชับทุกหน่วยให้ยังคงเฝ้าระวังสถานการณ์หมอกควันอย่างต่อเนื่อง โดยให้มีการสับเปลี่ยนกำลังพลเพื่อลดความเหนื่อยล้า เน้นย้ำให้จังหวัดกำหนดมาตรการควบคุมการเผาหลังพ้นช่วงเวลาห้ามเผาที่กำหนด รวมทั้งได้ขอให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการลดและควบคุมการเผาในที่โล่งอย่างต่อเนื่อง ระดมสรรพกำลังเฝ้าระวังและดับไฟอย่างเต็มที่ เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณากำหนดแนวทางการสร้างจิตสำนึกในการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันให้มีประสิทธิภาพเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับรู้และตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นด้วย
|
|||||||||||||||||||||
533 | รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2559 และแนวโน้มปี 2559 | อื่นๆ | 16/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ และแนวโน้มเศรษฐกิจปี ๒๕๕๙ เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ ขยายตัวร้อยละ ๓.๒ เร่งตัวขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๘ ในไตรมาสก่อนหน้า และเป็นการขยายตัวในอัตราสูงสุดในรอบ ๑๒ ไตรมาส โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ และการส่งออกบริการท่องเที่ยวที่ขยายตัวในระดับสูง รวมทั้งการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการใช้จ่ายภาคครัวเรือน ส่วนประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๙ คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ ๓.๐-๓.๕ โดยมีค่ากลางที่ร้อยละ ๓.๓ เร่งตัวขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๘ ในปี ๒๕๕๘ โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญมาจาก (๑) การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐที่ขยายตัวในเกณฑ์สูง (๒) แรงขับเคลื่อนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ได้จัดทำเพิ่มเติมในช่วงเดือนกันยายน ๒๕๕๘-มีนาคม ๒๕๕๙ (๓) จำนวนนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่อง (๔) ราคาน้ำมันที่คาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำ และ (๕) แนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นของการผลิตภาคเกษตรในช่วงครึ่งปีหลัง
|
|||||||||||||||||||||
534 | การให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิต ปี 2558/2559 | อก | 10/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือด้านปัจจัยการผลิตแก่ชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิต ปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ โดยให้เงินช่วยเหลือกับชาวไร่อ้อยในอัตรา ๑๖๐ บาทต่อตันอ้อย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวไร่อ้อยจากภาวะภัยแล้ง เป็นการชั่วคราวเฉพาะฤดูการผลิตนี้ ตามมติคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ๑.๒ อนุมัติให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรหรือธนาคารพาณิชย์อื่น ตามนัยมาตรา ๒๗ (๖) แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ตามปริมาณอ้อยที่เข้าหีบในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ จำนวน ๙๔,๐๔๗,๐๔๑.๕๖๒ ตัน วงเงินประมาณ ๑๕,๐๔๗,๕๒๖,๖๔๙.๙๒ บาท หรือจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายจริงตามปริมาณอ้อยที่เข้าหีบในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ เพื่อจ่ายให้กับชาวไร่อ้อย แล้วนำเงินรายได้ของกองทุนฯ ที่ได้รับจากการขายน้ำตาลทรายโควตา ก. และเงินรักษาเสถียรภาพอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของกองทุนฯ ตามมติคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายมาชำระหนี้ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยให้ถึงมือชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิ์ให้ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ มีการบันทึกบัญชีให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเป็นลูกหนี้ของกองทุนฯ และให้มีข้อมูลลูกหนี้แยกเป็นรายให้ชัดเจน อีกทั้งจัดระบบควบคุม ตรวจสอบ และกำกับดูแล โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการด้วย ๑.๓ เห็นชอบในหลักการของข้อเสนอแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่ (๑) การปรับปรุงพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย รวมทั้งกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้ครอบคลุมการนำอ้อยไปผลิตเอทานอลและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้ (๒) การเพิ่มผลิตภาพอ้อยและน้ำตาลทราย (๓) การกำหนดต้นทุนมาตรฐานอ้อยและน้ำตาลทราย และมาตรฐานการผลิตน้ำตาลทราย (๔) การรักษาเสถียรภาพกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย และ (๕) การจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาอ้อยและน้ำตาลทราย และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ทั้งนี้ เพื่อกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยให้ถึงมือชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิ์ให้ถูกต้องโดยเร็ว อีกทั้งจัดระบบควบคุมตรวจสอบและกำกับดูแลโดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการด้วย และควรปรับปรุงข้อเสนอแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายให้มีรายละเอียดที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และมีการหารือกับผู้มีส่วนได้เสียและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการยอมรับร่วมกัน ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมประสานกระทรวงพาณิชย์ (กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามความคืบหน้าในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามข้อกำหนดขององค์การการค้าโลก (WTO) (การอุดหนุนราคาน้ำตาลในตลาดโลก) เพื่อประกอบการจัดทำแผนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายให้เกิดผลเป็นรูปธรรมได้โดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ ให้นำเสนอแผนดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๙ |
|||||||||||||||||||||
535 | การประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย ครั้งที่ 49 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 19 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | นร | 10/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรายงานว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพร้อมคณะได้เข้าร่วมการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย ครั้งที่ ๔๙ การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ ๑๙ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒-๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โดยมีกิจกรรมการประชุมต่าง ๆ ดังนี้
๑. การประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย ครั้งที่ ๔๙ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้รายงานนโยบายสำคัญในการสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลางต่อที่ประชุม ๒. การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ ๑๙ ที่ประชุมได้รับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจโลก การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ และความคืบหน้าภายใต้กรอบความร่วมมือทางการเงินอาเซียนบวกสาม ๓. การประชุมทวิภาคีกับรองประธานธนาคารโลก ได้มีการหารือเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับธนาคารโลก ๔. การประชุมทวิภาคีกับประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย ได้มีการหารือเกี่ยวกับความช่วยเหลือทางการเงินและความช่วยเหลือทางวิชาการสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและด้านการศึกษา
|
|||||||||||||||||||||
536 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกุมภาพันธ์ 2559 | อก | 03/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหดตัวร้อยละ ๑.๖๒ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อุตสาหกรรมสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ เหล็กและเหล็กกล้า เครื่องแต่งกาย และผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ ๒. การนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย การนำเข้าเครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ ๑๓.๒ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการนำเข้าเครื่องยนต์ เพลาส่งกำลังและส่วนประกอบอื่น ๆ เครื่องสูบลม เครื่องสูบของเหลว รวมถึงเครื่องจักรใช้ในการแปรรูปโลหะและส่วนประกอบที่ลดลง ด้านการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า ๕,๐๕๒.๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๑๕.๔ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการนำเข้าด้ายและเส้นใย ผ้าผืน เคมีภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ รวมถึงอุปกรณ์ส่วนประกอบของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ลดลง ๓. การใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมการผลิต มีปริมาณทั้งหมดจำนวน ๙,๓๔๑.๔ ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ลดลงจากเดือนมกราคม ๒๕๕๙ ร้อยละ ๒.๖ แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๕ จากช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๘ ๔. การเปิดปิดโรงงาน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการจำนวน ๒๕๖ ราย ลดลงจากเดือนมกราคม ๒๕๕๙ ร้อยละ ๔.๘๓ แต่มียอดเงินลงทุนรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๑.๙ และมีจำนวนการจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔๐.๘ และมีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ร้อยละ ๑๕.๒๓ สำหรับโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการมีจำนวน ๒๑๒ ราย มากกว่าเดือนมกราคม ๒๕๕๙ ร้อยละ ๕๗.๐๔ และมากกว่าเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ร้อยละ ๑๓๕.๕๖
|
|||||||||||||||||||||
537 | แผนการเจรจาจัดทำอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ | กค | 03/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนการเจรจาจัดทำอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดประเทศคู่เจรจาของประเทศไทย โดยพิจารณาจากข้อกฎหมาย สภาวะทางเศรษฐกิจ ความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดทำหรือแก้ไขอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน ซึ่งปัจจุบันกระทรวงการคลังได้รับการทาบทามให้มีการเปิดการเจรจาจัดทำหรือแก้ไขอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน จำนวน ๑๑ ประเทศ ประกอบด้วยกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน และกลุ่มประเทศในภูมิภาคที่มีศักยภาพและเป็นคู่ค้าที่สำคัญของประเทศไทย โดยเป็นการเริ่มเจรจาตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๕๙ เป็นต้นไป และให้ดำเนินการจนกระทั่งเจรจาแล้วเสร็จ โดยแบ่งเป็น (๑) ประเทศที่อยู่ในระหว่างการเจรจาฯ และยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ ๓ ประเทศ ได้แก่ ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน และญี่ปุ่น และ (๒) ประเทศที่จะเปิดเจรจาแก้ไขอนุสัญญาฯ ฉบับเดิม ๘ ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐโปแลนด์ ราชอาณาจักรนอร์เวย์ สมาพันธรัฐสวิส ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ราชรัฐลักเซมเบิร์ก สาธารณรัฐไอร์แลนด์ ราชอาณาจักรเดนมาร์ก และรัฐบรูไนดารุสซาลาม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในระยะต่อไปกระทรวงการคลังควรให้ความสำคัญกับการเจรจาและจัดทำอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับกลุ่มประเทศที่นักลงทุนไทยให้ความสนใจ และมีศักยภาพในการเข้าไปลงทุนเป็นลำดับแรก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
538 | ผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมสหพันธรัฐรัสเซียอย่างไม่เป็นทางการ | กห | 03/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงกลาโหมรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมสหพันธรัฐรัสเซียอย่างไม่เป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๘ เมษายน ๒๕๕๙ ณ กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีกลาโหมสหพันธรัฐรัสเซียได้กล่าวถึงความสำคัญของการประชุมฯ เป็นกิจกรรมสำคัญในการเฉลิมฉลองครบรอบ ๒๐ ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-รัสเซีย ซึ่งเป็นการสนับสนุนประเด็นความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงของการประชุมสุดยอดอาเซียน-รัสเซีย ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ ณ เมืองโซชิ สหพันธรัฐรัสเซีย รวมทั้งได้ให้ความสำคัญต่อความร่วมมือภายใต้กลไกการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (ASEAN Defence Ministers’ Meeting-Plus : ADMM-Plus) โดยเฉพาะการจัดตั้งศูนย์แพทย์ทหารอาเซียนที่กรุงเทพฯ สำหรับประเด็นด้านความมั่นคงที่สหพันธรัฐรัสเซียให้ความสำคัญ ได้แก่ การก่อการร้ายและการเผยแพร่แนวคิดแบบสุดโต่ง ความมั่นคงทางทะเล และการสู้รบในซีเรีย ๒. รัฐมนตรีกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ (๑) การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาโดยมีอาเซียนเป็นศูนย์กลาง (๒) ความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับสหพันธรัฐรัสเซียมีความสำคัญต่อเสถียรภาพ ความมั่นคง และสันติภาพของภูมิภาคและการขับเคลื่อนประชาคมอาเซียน (๓) ความร่วมมือระหว่างกลาโหมอาเซียนกับกระทรวงกลาโหมสหพันธรัฐรัสเซีย ภายใต้กรอบ ADMM-Plus (๔) อาเซียนและสหพันธรัฐรัสเซียสามารถร่วมมือกันในการลดการแพร่ขยายแนวคิดแบบสุดโต่ง (๕) ภัยพิบัติเป็นความท้าทายที่กองทัพของประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศคู่เจรจาควรมีการเตรียมความพร้อมร่วมกัน และ (๖) อาเซียนและสหพันธรัฐรัสเซียควรมีการพัฒนาค่านิยม กลไก และกฎระเบียบด้านความมั่นคงทางทะเลเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติร่วมกัน ๓. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้กล่าวถึงสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงในภูมิภาค โดยอาเซียนและสหพันธรัฐรัสเซียต้องร่วมมือกันสร้างกลไกการดำเนินการสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และแผนงาน ๑๐ ปีของประชาคมอาเซียน เพื่อขับเคลื่อนประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน รวมถึงสนับสนุนความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาภายใต้กลไก ADMM-Plus ให้ก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ๔. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ได้หารือทวิภาคีกับมิตรประเทศ ประกอบด้วย (๑) สหพันธรัฐรัสเซีย ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านข่าวกรอง การฝึกศึกษา การพัฒนาเทคโนโลยี การจัดตั้งศูนย์ซ่อมอากาศยานในไทย (๒) สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการฝึกศึกษา การแลกเปลี่ยนการเยือนของกำลังพลและครอบครัวในทุกระดับ และการจัดตั้งคณะกรรมการคามร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ (๓) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ได้แก่ การจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อขยายความร่วมมือในการแก้ไขปัญหายาเสพติด การบริหารจัดการและการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวชายแดน การฝึกศึกษา การแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้บริหารในทุกระดับ การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำของไทย และการแก้ไขปัญหาผู้อพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายชาวโรฮีนจา (๔) สาธารณรัฐสิงคโปร์ ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการฝึกศึกษา และการต่อต้านการก่อการร้าย และ (๕) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดและการค้าผิดกฎหมายตามแนวชายแดน การแลกเปลี่ยนการเยือน การฝึกศึกษาและดูงาน
|
|||||||||||||||||||||
539 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม 2558) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 26/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๕๘) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยเนื้อหา ๒ ส่วน ได้แก่ (๑) สรุปภาวะเศรษฐกิจ ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๘ ด้านเสถียรภาพในประเทศและต่างประเทศ เศรษฐกิจไทยในปี ๕๕๙ เและ (๒) สรุปการดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ในเรื่องแนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายการเงิน แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน และแนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายระบบการชำระเงิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
540 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเป็นการทั่วไป พ.ศ. .... | กค | 26/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขขั้นตอนกระบวนการจ่ายคืนเงินฝากแก่ผู้ฝากเงิน กระบวนการดำเนินงานของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเป็นการทั่วไป พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดระดับวงเงินความคุ้มครองเงินฝากเป็นการทั่วไปใหม่ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาตามที่กระทรวงการคลังเสนอ (ตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๑๐๐๘/๗๕๙๗ ลงวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๙) และให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการตรวจสอบระบบการเชื่อมโยงข้อมูลของสถาบันคุ้มครองเงินฝากและสถาบันการเงินให้มีความสมบูรณ์ การตรวจสอบรายงานฐานะทางการเงินของสถาบันการเงินอย่างรอบคอบ การพิจารณาทบทวนอัตราการนำส่งเงินของสถาบันการเงินให้มีความเหมาะสมกับสภาวะทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงในระบบสถาบันการเงิน รวมทั้งการให้สถาบันคุ้มครองเงินฝากชี้แจงรายละเอียดของเงินคืนรวมถึงการหักหนี้ให้ผู้ฝากได้รับทราบอย่างชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
.....