ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 18 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 341 - 360 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
341 | รายงานสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย พ.ศ. 2560 | ทส | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ประกอบด้วย (๑) ปัจจัยขับเคลื่อน (Drivers) ทิศทางการพัฒนา นโยบาย และแผนยุทธศาสตร์ที่สำคัญของประเทศ (๒) ภาวะกดดัน (Pressures) : สถานการณ์การใช้ประโยชน์พื้นที่ชายฝั่งและทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (๓) สถานภาพทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (States) (๔) สถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่ง (๕) สถานการณ์ด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งในระดับจังหวัด (๖) การวิเคราะห์สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศ (๗) การตอบสนอง (Responses) ต่อสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และ (๘) ข้อเสนอแนะการปรับปรุงกระบวนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
342 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านสังคม ดังนี้
๑. โดยที่ในช่วงที่ผ่านมาสภาพอากาศในหลายพื้นที่ของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีการถ่ายเทน้อย และมีฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน ๒.๕ ไมครอน สูงเกินกว่ามาตรฐาน ซึ่งส่งผลกระทบแก่สุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งในเบื้องต้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกรุงเทพมหานครได้เร่งดำเนินการควบคุมดูแลเพื่อบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้าไปแล้ว สำหรับในระยะต่อไป ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหน่วยงานในฝ่ายตำรวจ ทหาร เร่งรัดกำหนดมาตรการเพื่อดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหามลภาวะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยเฉพาะปัญหาฝุ่นละอองเกินมาตรฐานให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและมีความยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้ ให้ขอความร่วมมือภาคเอกชน องค์กร และประชาชนทุกภาคส่วน โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ร่วมกันกวดขัน ดูแล และดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกัน/ลดการก่อมลภาวะในรูปแบบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานในพื้นที่ร่วมกันดูแลความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่จะมีการจัดแสดงมหรสพหรือจัดกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ (พ.ศ. ๒๕๖๒) รวมทั้งให้มีการรณรงค์การรักษาวินัยจราจรของผู้ใช้รถใช้ถนน เพี่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
343 | โครงการห้องเรียนกีฬา | ศธ | 18/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการห้องเรียนกีฬา ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕ มีวัตถุประสงค์เพื่อหานักกีฬาใหม่เพื่อให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศและต่อยอดให้กีฬากลายเป็นอาชีพ โดยมีเป้าหมายคือ รับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลายที่สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเข้ามาศึกษาในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ รวมทั้งสิ้น ๙ โรงเรียน (๘ จังหวัด) โดยโรงเรียนดังกล่าวตั้งอยู่ในจังหวัดที่เป็นที่ตั้งของสถาบันการพลศึกษา แต่ไม่มีโรงเรียนกีฬาสังกัดสถาบันการพลศึกษา รวมถึงมีความพร้อมและมีความเข้มแข็งด้านวิชาการ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สำหรับกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการฯ กรณีเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายหัวของนักเรียนที่ขออนุมัติในอัตรา ๗๕,๓๑๐ บาท/คน/ปี เห็นควรพิจารณาอัตราค่าใช้จ่ายรายหัวที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับนักเรียน ประกอบด้วย ค่าอาหารและชุดกีฬา ภายในอัตรา ๔๑,๗๐๐ บาท/คน/ปี ส่วนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ประกอบด้วย ค่าอุปกรณ์กีฬา เวชศาสตร์การกีฬา ค่าสาธารณูปโภค และค่าเข้าร่วมการแข่งขัน รวมถึงค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการฯ และงบลงทุน เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานพิจารณาจัดทำรายละเอียดประมาณการค่าใช้จ่ายของแต่ละรายการ ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้รับการจัดสรรงบประมาณบางส่วนตามแผนโครงการฯ แล้ว จำนวน ๗๘.๓๕๐๗ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้างในสถานศึกษา หากมีความจำเป็นที่ต้องอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายหัวและค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการฯ ให้พิจารณาโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ มาดำเนินการก่อนในโอกาสแรก ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณารายการค่าใช้จ่าย โดยเทียบเคียงกับค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาด้านกีฬาในทุกงบรายจ่าย เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและความเหลื่อมล้ำในการใช้จ่ายเงินเพื่อการศึกษา การติดตามประเมินผลการจัดการศึกษาดังกล่าวทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ รวมถึงการกำหนดเป้าหมายและกรอบระยะเวลาวัดผลตามตัวชี้วัดที่กำหนดให้ชัดเจน การคัดเลือกชนิดกีฬาที่จะเปิดสอนของแต่ละโรงเรียนควรตั้งอยู่บนพื้นฐานความพร้อมของโรงเรียนทั้งระบบ และการให้นักเรียนในโครงการฯ มีส่วนร่วมในการส่งเสริมการใช้กิจกรรมนันทนาการและกีฬาเป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างสุขภาวะของประชาชน สร้างนิสัยรักกีฬา และสร้างความสามัคคีในชุมชน และเป็นต้นแบบที่ดีให้แก่เด็กและเยาวชน รวมทั้งความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการบูรณาการกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในการใช้ทรัพยากรร่วมกัน เช่น บุคลากรผู้ฝึกสอน วัสดุอุปกรณ์ด้านกีฬา อาคารสถานที่ สนามกีฬา เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
344 | ขออนุมัติดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 พื้นที่โซน C ของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) | กค | 26/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๐๐ พื้นที่โซน C ของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) โดยดำเนินโครงการฯ บนที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท.๐๔๙๓ (บางส่วน) โฉนดที่ดินเลขที่ ๒๗๙ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ประมาณ ๘๑-๒-๕๙ ไร่ (๑๓๐,๖๓๕ ตารางเมตร) กรอบวงเงินลงทุนรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับกรอบวงเงินลงทุนรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาแหล่งเงินทุนและวิธีการระดมทุนที่เหมาะสม โดยให้คำนึงถึงต้นทุนทางการเงิน ความเหมาะสม คุ้มค่า ภาระงบประมาณหรือภาระทางการคลังที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ และ ธพส.รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงบประมาณ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสำนักงานศาลปกครอง เช่น (๑) เห็นควรให้ ธพส. ประสานหน่วยงานการจัดสรรพื้นที่ให้เหมาะสมกับภารกิจและการปฏิบัติราชการ และดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย (๒) เห็นควรมีแผนการรองรับผลกระทบหากการพัฒนาพื้นที่โซน C ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานอื่นในศูนย์ราชการฯ โดยเฉพาะปัญหาการจราจรและปัญหาน้ำท่วมขังในภาวะฝนตกหนักบริเวณถนนแจ้งวัฒนะ และ (๓) เห็นควรให้ ธพส. จัดสรรพื้นที่ให้แก่สำนักงานศาลปกครอง โดยคำนึงถึงแบบก่อสร้างที่สำนักงานศาลปกครองได้ดำเนินการออกแบบไว้แล้ว เนื่องจาก ธพส. จัดสรรพื้นที่ให้แก่สำนักงานศาลปกครองตามหลักเกณฑ์การจัดสรรของสำนักงบประมาณ ซึ่งน้อยกว่าที่สำนักงานศาลปกครองเสนอขอไว้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ และ ธพส. พิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมได้แก่ การจัดทำแผนปฏิบัติการที่ชัดเจนในแต่ละขั้นตอนโดยคำนึงถึงความเสี่ยงทางด้านรายได้ในกรณีที่ไม่มีผู้เช่าพื้นที่ตามที่ประมาณการไว้ เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามแผนแม่บทการพัฒนาและรายละเอียดของโครงการฯ ตามมติของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๑ ต่อไป รวมทั้งการบริหารจัดการพื้นที่จอดรถของโครงการฯ ให้เหมาะสมเพียงพอต่อความต้องการของหน่วยงานต่าง ๆ ภายในโครงการฯ และให้ประสานงานกับกระทรวงคมนาคม กรุงเทพมหานคร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการบริหารจัดการการจราจรในบริเวณพื้นที่โดยรอบและที่เชื่อมโยงกับถนนแจ้งวัฒนะให้เหมาะสมและมีความคล่องตัว เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดคับคั่งทั้งในช่วงเวลาปกติและช่วงชั่วโมงเร่งด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
345 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2561 และแนวโน้มปี 2561-2562 | นร11 | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
346 | รายงานผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ของโฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี และผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ ประจำเดือนกันยายน 2561 | นร02 | 13/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ของโฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี และผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ ประจำเดือนกันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (๖ ตุลาคม ๒๕๕๘ และ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะประธานกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานภายใต้โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยมีการประชาสัมพันธ์ในประเด็นแอปพลิเคชันถุงเงินประชารัฐและอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐผ่านสื่อในช่องทางต่าง ๆ (สื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อออนไลน์) โดยทางสื่อออนไลน์มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ทั้งหมด ๒๒,๙๒๕ ครั้ง จำนวนการเข้าถึง ๓,๕๗๕,๔๕๗ คน จำนวนการลดไลค์ ๑๖,๗๗๒ ครั้ง จำนวนการแชร์ ๖,๖๓๕ ครั้ง และจำนวนการแสดงความคิดเห็น ๓๕๖ ครั้ง ๒. การติดตามสถานการณ์น้ำและการเตรียมรับมือจากพายุ โดยมีการประชาสัมพันธ์ในประเด็นสถานการณ์น้ำประจำวัน การควบคุมปริมาณน้ำในเขื่อน และการเตือนภัยสภาวะอากาศผ่านสื่อในช่องทางต่าง ๆ โดยทางสื่อออนไลน์มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ทั้งหมด ๙๓๖ ครั้ง จำนวนการเข้าถึง ๑,๘๖๑,๘๓๖ คน จำนวนการกดไลค์ ๘,๙๒๕ ครั้ง จำนวนการแชร์ ๓,๗๘๘ ครั้ง และจำนวนการแสดงความคิดเห็น ๙๐๔ ครั้ง ๓. การปฏิรูปประเทศ ๑๑ ด้าน โดยมีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ในประเด็นแนวทางและเป้าหมายการปฏิรูปประเทศและโครงการตามแผนการปฏิรูปประเทศผ่านสื่อในช่องทางต่าง ๆ โดยทางสื่อออนไลน์มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ทั้งหมด ๖๐๐ ครั้ง จำนวนการเข้าถึง ๑,๐๐๕,๒๒๔ คน จำนวนการลดไลค์ ๔,๘๑๖ ครั้ง จำนวนการแชร์ ๑,๘๕๕ ครั้ง และจำนวนการแสดงความคิดเห็น ๑๖๘ ครั้ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
347 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนสิงหาคม 2561 | นร11 | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๖๑ ขยายตัวต่อเนื่อง ได้แก่ ด้านการใช้จ่าย ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ ๔.๑ ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้าที่มีการขยายตัวร้อยละ ๕.๗ ส่วนมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕.๘ มีสาเหตุสำคัญจาก (๑) อุปสงค์จากต่างประเทศที่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในหมวดยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องจักรและอุปกรณ์ และกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และ (๒) ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น และการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๕.๗ เมื่อรวม ๑๑ เดือนแรกของปีงบประมาณ ๒๕๖๑ รัฐบาลมีการเบิกจ่ายงบประมาณเพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๒.๐ ในด้านการผลิต ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมและรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศขยายตัวร้อยละ ๒.๘ ชะลอตัวลงจากการขยายตัวร้อยละ ๖.๔ ในเดือนก่อนหน้า โดยมีสาเหตุจากการชะลอตัวลงของรายรับจากนักท่องเที่ยวในเกือบทุกภูมิภาค ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศขยายตัวต่อเนื่องโดยเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๐ ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรขยายตัวในเกณฑ์สูงเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๑ ซึ่งเป็นการขยายตัวในหมวดพืชผลสำคัญและหมวดปศุสัตว์ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ การจ้างงานเพิ่มขึ้น ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอย่างต่อเนื่อง สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๑ ยังคงขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่องและกระจายตัวมากขึ้นในทุกภูมิภาค ตามการขยายตัวในเกณฑ์ดีของเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจในประเทศสำคัญ ๆ นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา กลุ่มยูโรโซนและญี่ปุ่น ในขณะที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียอื่น ๆ ส่วนใหญ่ขยายตัวได้ดีตามการขยายตัวของการส่งออก ทั้งนี้ ภายใต้การขยายตัวของเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและแรงกดดันเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาและอีกหลายประเทศปรับทิศทางนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติอย่างต่อเนื่อง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนกันยายน ๒๕๕๗) โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจรายเดือนของประเทศในภาพรวม โดยครอบคลุมถึงความเคลื่อนไหวของดัชนีเศรษฐกิจที่สำคัญด้านต่าง ๆ เช่น ภาคการเกษตร การค้า การลงทุน เป็นต้น และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบเฉพาะในคราวที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญจนอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสาธารณชนในวงกว้างเท่านั้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
348 | ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมผู้นำ RCEP ครั้งที่ 2 ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 33 และขออนุมัติเป็นหลักการให้จ่ายเงินอุดหนุนสำนักเลขาธิการอาเซียนเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ในการดำเนินโครงการจัดทำระบบรักษาความลับข้อมูลเกี่ยวกับ RCEP | พณ | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมผู้นำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Joint Leaders’ Statement on the Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ครั้งที่ ๒ รวมทั้งเอกสารประกอบที่แนบหรือที่อ้างอิง ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๓ ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญเป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญของ RCEP ว่าเป็นความตกลงที่ทันสมัยเพื่ออำนวยความสะดวก สร้างสภาวะแวดล้อมทางการค้าและการลงทุน และเร่งสรุปผลการเจรจา RCEP ให้แล้วเสร็จโดยเร็วในประเด็นต่าง ๆ เช่น การค้าสินค้า พิธีการศุลกากร มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช เป็นต้น ๑.๒ เห็นชอบการเข้าร่วมการแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายในการประชุมผู้นำ RCEP ครั้งที่ ๒ ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๓ ๑.๓ อนุมัติให้จ่ายเงินอุดหนุนสำนักเลขาธิการอาเซียนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดทำระบบรักษาความลับข้อมูลเกี่ยวกับ RECP (RCEP Secured Online Platform) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบออนไลน์ในการสนับสนุนด้านความปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวกับการเจรจา RCEP โดยจะดำเนินการช่วงเดือนมกราคม-เมษายน ๒๕๖๒ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในการดำเนินโครงการจัดทำระบบรักษาความลับข้อมูลเกี่ยวกับ RCEP งวดแรก จำนวน ๑,๖๒๕ ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ ๕๓,๖๒๕ บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๓ บาท) เห็นควรให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ส่วนงวดถัดไป (ทุก ๒ ปี) จำนวน ๒๕๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ ๘,๒๕๐ บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๓ บาท) เพื่อเป็นค่าบำรุงรักษาระบบ เห็นควรให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
349 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร02 | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะประธานกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างการรับรู้และความเข้าใจในข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐสู่ประชาชนตามนโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) โดยกำหนดประเด็นการประชาสัมพันธ์ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ผ่านการจัดทำแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์แห่งชาติทั้งระดับกระทรวงและระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ พบว่า หน่วยงานภาครัฐมีการสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้แก่ประชาชนตามนโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติฯ ในยุทธศาสตร์ที่ ๒ การประชาสัมพันธ์นโยบายแห่งรัฐมากที่สุด สำหรับยุทธศาสตร์ที่มีการสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้แก่ประชาชนน้อยที่สุดคือ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การประชาสัมพันธ์ในภาวะวิกฤต ๒. การดำเนินงานตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านที่ ๘ ด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ จำนวน ๓ คณะ และมีผลการประชุมขับเคลื่อนการดำเนินงาน ดังนี้ ๒.๑ การประชุมคณะอนุกรรมการทบทวนนโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๑ ได้มีมติให้ทบทวนนโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติฯ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ในขั้นตอนของการกำหนดประเด็นการประชาสัมพันธ์หลักของประเทศร่วมกัน ๒.๒ การประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารภาครัฐเพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๑ ได้มีมติให้มีการบริหารจัดการข่าวสารลวง (Fake News) โดยให้มีการจัดทำโลโก้ จัด campaign รณรงค์ต่อต้านข่าวลวง และกำหนดให้มี “วันต่อต้านข่าวลวงแห่งชาติ” พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายต่อต้านข่าวลวง ๒.๓ การประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาบุคลากรด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนของประเทศ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๑ ได้มีมติให้มีการพัฒนาบุคลากรด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนของประเทศ แบ่งเป็น ๓ ระดับ ได้แก่ ระดับต้น (ผู้ปฏิบัติ) ระดับกลาง (หัวหน้าฝ่าย/งาน) และระดับสูง (ผู้บริหาร) รวมทั้งให้มีการพัฒนาหลักสูตร กำหนดรายวิชาให้เหมาะสมกับการพัฒนาบุคลากรแต่ละระดับ และให้สำนักงาน ก.พ. นำหลักสูตรหรือรายวิชาด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนไปบรรจุไว้ในหลักสูตรการพัฒนาข้าราชการพลเรือนของประเทศด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
350 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2561 | กค | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประเมินภาวะเศรษฐกิจการเงินและแนวโน้ม เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๑ ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ ๔.๘ เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๐ (ร้อยละ ๔.๒) เป็นผลมาจากการขยายตัวของการส่งออกสินค้า การส่งออกบริการ (การท่องเที่ยว) การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนภาคเอกชนที่ได้รับแรงส่งจากความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจภายหลังการลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และโครงการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๑ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๑.๐ เร่งตัวขึ้นจากปีก่อน (ร้อยละ ๐.๓) ส่วนเสถียรภาพระบบการเงินไทยโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี ๒. การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๑ กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๑.๕ ต่อปี โดยพิจารณาผลบวกและผลลบของแต่ละทางเลือกนโยบาย (Policy Trade-Offs) ทั้งในด้าน (๑) ระยะเวลาที่อัตราเงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย (๒) การสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน และ (๓) การดูแลความเปราะบางในระบบการเงินที่อาจสะสมในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
351 | การพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน | กค | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน โดยกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วไม่ขัดข้องกับผลการพิจารณาของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เห็นควรให้คงอัตราเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงินที่ร้อยละ ๐.๔๖ ต่อปี เนื่องจากมีความเหมาะสมและสอดรับกับสมมติฐานอัตราการขยายตัวของฐานเงินฝากที่อาจได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจและการเงินทั้งในประเทศและตลาดการเงินโลก และเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งกำหนดให้กระทรวงการคลัง และ ธปท. พิจารณาความเหมาะสมของอัตราเรียกเก็บเงินนำส่งของ ธปท. โดยให้แจ้งความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบอย่างน้อยเป็นรายปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
352 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน 2561) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๖๑) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกปี ๒๕๖๑ ขยายตัวได้ร้อยละ ๔.๘ โดยมีแรงขับเคลื่อนมาจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ การส่งออกขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและจำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวเพิ่มขึ้น การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่องสอดคล้องกับกำลังซื้อของครัวเรือนที่มีทิศทางที่ดีขึ้น การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ดีขึ้น และการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวและยังเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ประกอบกับภาวะการเงินยังอยู่ในระดับผ่อนคลายต่อเนื่อง รวมทั้งเสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่ากังวล ๒. สรุปการดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย (๑) แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายการเงิน (๒) แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน และ (๓) แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายการชำระเงิน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
353 | รายงานผลการประเมินสมรรถนะหลักในการปฏิบัติตามกฎอนามัยระหว่างประเทศของประเทศไทย | สธ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอผลการประเมินสมรรถนะหลักในการปฏิบัติตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๘ (International Health Regulations 2005 : IHR 2005) ของประเทศไทย โดยผู้ประเมินจากภายนอกขององค์การอนามัยโลก ระหว่างวันที่ ๒๖-๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ ซึ่งประเทศไทยได้รับผลการประเมินโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับสูง และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่ได้จากการประเมินดังกล่าว โดยเฉพาะด้านการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินและการจัดการปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพซึ่งเป็นสมรรถนะที่ประเทศไทยยังมีความจำเป็นต้องปรับปรุง และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยให้กระทรวงสาธารณสุขประสานงานกับทุกหน่วยงานเพื่อติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามความเหมาะสม เพื่อให้การเสริมสร้างความเข้มแข็งและรักษาระดับสมรรถนะหลักของประเทศไทยในการป้องกัน ตรวจจับ และตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ให้กระทรวงสาธารณสุขประสานงานกับทุกหน่วยงานเพื่อติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามความเหมาะสม ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ข้อเสนอแนะบางส่วนในตัวชี้วัดที่ได้รับผลการประเมินอยู่ในระดับที่ต่ำ ยังไม่ครอบคลุมถึงปัญหาสำคัญด้านสาธารณสุขในปัจจุบัน โดยเฉพาะด้านการดื้อยาต้านจุลชีพและด้านปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน จึงควรให้ความสำคัญกับการยกระดับสมรรถนะดังกล่าว โดยการกำหนดมาตรการป้องกันการดื้อยาต้านจุลชีพที่ครอบคลุมถึงการจำหน่ายยาผ่านทางร้านขายยาปลีก และการพัฒนาความร่วมมือการป้องกันและควบคุมโรคกับต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศไทยซึ่งมีชายแดนผ่านช่องทางธรรมชาติที่ยากต่อการตรวจสอบควบคุมโรค เพื่อให้การปฏิบัติการตอบโต้ในภาวะฉุกเฉินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
354 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสองปี 2561 | นร11 | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสองปี ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสสองปี ๒๕๖๑ เทียบกับไตรมาสสองปี ๒๕๖๐ การจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๙ การจ้างงานภาคเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๐ อัตราการว่างงานลดลงคงเหลือร้อยละ ๑.๑ ค่าจ้างภาคเอกชนเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๐ หนี้สินครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแต่ยังมีความสามารถในการชำระหนี้ สะท้อนจากยอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๐ สัดส่วนสินเชื่อลดลงเกือบทุกประเภทยกเว้นสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ยอดคงค้าง NPL ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๐.๔ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นเกือบ ๒ เท่า ค่าใช้จ่ายและจำนวนผู้สูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วอย่างต่อเนื่องร้อยละ ๒.๔ และ ๑.๓ ตามลำดับ คดีอาญารวมเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๖๐ ร้อยละ ๓๔.๑ ส่วนใหญ่เป็นคดียาเสพติด และการเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๖๐ ร้อยละ ๒๓.๓ ๒. สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ เช่น (๑) ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ดีขึ้น เป็น “Tier 2” (๒) การลดขยะพลาสติกด้วยการใช้มาตรการที่เป็นรูปธรรมร่วมกับการรณรงค์ให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ (๓) สถานการณ์ปัญหาผู้ต้องขังล้นเรือนจำ (๔) Airbnb เทคโนโลยีกับการเปลี่ยนรูปแบบบริโภคและผลกระทบต่อสังคม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
355 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง สาเหตุการตายของปลากระเบนราหูในแม่น้ำแม่กลอง ของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง สาเหตุการตายของปลากระเบนราหูในแม่น้ำแม่กลอง โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นว่า ยังไม่มีความจำเป็นต้องแต่งตั้งคณะกรรมการระงับอุบัติเหตุจากมลพิษในขณะนี้ แต่อาจต้องมีการดำเนินการปรับปรุงมาตรการ แนวทางหรือแผนงานในการแก้ไขเหตุฉุกเฉิน ในแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ แผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด แผนปฏิบัติการในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มาตรการป้องกันและแผนฉุกเฉินเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่แก้ไขไว้ล่วงหน้า และแผนปฏิบัติการเพื่อป้องกันและแก้ไขอันตรายอันเกิดจากการแพร่กระจายมลพิษหรือภาวะมลพิษตามมาตรา ๕๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้ชัดเจนและครอบคลุมมากขึ้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
356 | รายงานผลการบูรณาการขับเคลื่อนโครงการตลาดประชารัฐ ครั้งที่ 3 | มท | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการบูรณาการขับเคลื่อนโครงการตลาดประชารัฐ ครั้งที่ ๓ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ถึงปัจจุบัน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การขับเคลื่อนตลาดประชารัฐในแต่ละประเภท กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลตลาดประชารัฐทั้ง ๑๐ ประเภท จำนวนตลาดทั้งหมด ๖,๖๑๐ แห่ง ได้ดำเนินการเปิดตลาดประชารัฐ โดยส่วนใหญ่เป็นการขยายพื้นที่ค้าขายในตลาดที่เปิดทำการอยู่แล้ว และจัดสรรพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้กับผู้ลงทะเบียนเป็นผู้ประกอบการโครงการตลาดประชารัฐทั่วประเทศและกรุงเทพมหานคร ๒. การจัดสรรพื้นที่จำหน่ายสินค้าและรายได้ของผู้ประกอบการ กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลตลาดประชารัฐทั้ง ๑๐ ประเภท ขยายพื้นที่ค้าขายเพื่อรองรับผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตลาดประชารัฐ จำนวน ๖,๖๑๐ แห่ง โดยมีผู้ลงทะเบียน ๑๐๕,๓๙๘ ราย ปัจจุบันได้ดำเนินการจัดสรรจำหน่ายสินค้าแล้วร้อยละ ๙๑.๓๒ (จำนวน ๙๖,๒๔๖ ราย) มีจังหวัดที่ดำเนินการจัดสรรพื้นที่ให้ผู้ประกอบการเสร็จสิ้นแล้ว ๕๑ จังหวัด ยังคงเหลือผู้ประกอบการที่รอการจัดสรรพื้นที่ค้าขาย ๙,๑๕๒ ราย และนับตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ มีการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากทั้งประเทศ ๑,๒๑๙.๓๓ ล้านบาท สร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นเฉลี่ย ๑,๘๑๐ บาท ต่อเดือน (ข้อมูล ณ วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑) ๓. การปรับปรุงตลาดให้ได้มาตรฐานตลาดประชารัฐ หน่วยงานที่กำกับดูแลตลาดประชารัฐได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุกประเภทโดยผู้บริหารจัดการตลาดประชารัฐ (Chief Marketing Officer : CMO) กระทรวงสาธารณสุข กรมอนามัย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการตรวจประเมินตลาด โดยได้ดำเนินการประเมินแล้ว จำนวน ๑,๗๗๖ แห่ง คิดเป็นร้อยละ ๓๗.๓๐ ของจำนวนตลาดประชารัฐ ผลจากการประเมิน พบว่า มีตลาดที่อยู่ในระดับดีมาก ๒๕๓ แห่ง (ร้อยละ ๑๔.๒๕) และต้องปรับปรุง ๓๔๙ แห่ง (ร้อยละ ๑๙.๖๕) ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการปรับปรุงตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้คุณภาพที่ยั่งยืนต่อไป ๔. หลักสูตรและจัดการอบรมผู้บริหารจัดการตลาดประชารัฐ (CMO) องค์การบริหารส่วนจังหวัดได้จัดทำหลักสูตรอบรมการบริหารจัดการตลาดให้กับ CMO และผู้ประกอบการ โดยได้ดำเนินการจัดอบรมแล้ว จำนวน ๒๕ จังหวัด มีผู้เข้าร่วมอบรม ๓,๐๓๙ คน ๕. คลินิกผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชน ได้จัดทำคลินิกผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ ในระดับอำเภอ เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการที่ไม่มีประสบการณ์ค้าขาย ปัจจุบันได้พัฒนาไปแล้ว ๖,๒๙๘ ราย แบ่งเป็นการพัฒนาด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ๒,๑๑๑ ราย ด้านประสบการณ์ค้าขาย ๒,๑๙๑ ราย ด้านประสานแหล่งทุนเพื่อต่อยอดการผลิตสินค้าให้ได้คุณภาพมาตรฐาน ๑,๙๐๔ ราย และด้านอื่น ๆ (ภาษาอังกฤษ การลงทะเบียน OTOP) ๙๒ ราย ๖. การส่งเสริมตลาดประชารัฐเพื่อการท่องเที่ยว ตลาดประชารัฐได้รับการยกระดับเป็นตลาดเพื่อการท่องเที่ยวจังหวัด ดำเนินการร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยจังหวัดคัดเลือกตลาดประชารัฐที่มีศักยภาพเพื่อเสนอเป็นกิจกรรมในการปฏิทิน “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” จำนวนตลาด ๑๗๑ แห่ง จาก ๗๐ จังหวัด โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รับข้อมูลตลาดประชารัฐเพื่อบรรจุในปฏิทิน “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” แล้ว และบูรณาการร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในการประชาสัมพันธ์ตลาดประชารัฐในช่องทางสื่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง และมีการบรรจุตลาดประชารัฐไว้ในโปรแกรมแนะนำนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ๗. การสนับสนุนพื้นที่ในตลาดประชารัฐช่วยเหลือเกษตรกรนำสินค้าเกษตรมาจำหน่ายในตลาดประชารัฐ หน่วยงานที่กำกับดูแลตลาดประชารัฐได้สนับสนุนการรับสินค้าเกษตรเพื่อเป็นแหล่งระบายสินค้าทางการเกษตรตามฤดูกาลช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภาวะสินค้าล้นตลาด โดยในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๑ ได้ดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรในการจำหน่ายสินค้าข้าว ผักผลไม้ เกษตรอินทรีย์ และสินค้าแปรรูป มีเกษตรกร ๕,๗๐๒ ราย สร้างรายได้ ๒,๔๓๓,๓๖๔ บาท ๘. การประเมินโครงการเพื่อติดตามประเมินผลความสำเร็จโครงการตลาดประชารัฐ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชนได้จัดทำแบบสอบถามออนไลน์เพื่อติดตามประเมินผลความสำเร็จโครงการตลาดประชารัฐ ซึ่งผลการสำรวจพบว่า ผู้ซื้อมีความพึงพอใจในการใช้บริการตลาดประชารัฐ ๙. ก้าวต่อไปของโครงการตลาดประชารัฐ ได้แก่ ขยายตลาดประชารัฐในพื้นที่ให้เป็นตลาดกลางพืชผลทางการเกษตรของจังหวัดหรืออำเภอ และคัดเลือกตลาดประชารัฐที่มีการดำเนินการเป็นเลิศ (Best Practice) ของจังหวัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
357 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 4/2561 | นร | 04/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๑ ซึ่งมีความคืบหน้าการติดตามเร่งรัดการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล ๓ เรื่อง โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของ กขร. เพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และรวบรวมและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงประโยชน์ที่ได้รับ ตามที่ กขร. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการยาเพื่อประชาชน กขร. มีมติให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแบบสำรวจการจัดซื้อยาทั่วไป ยาชีววัตถุ และเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาในบัญชีนวัตกรรมไทยในโรงพยาบาลสังกัดของกระทรวงอื่นเพิ่มเติม และร่วมกับกรมบัญชีกลางพิจารณาแนวทางการจัดซื้อยาทั่วไป ยาชีววัตถุ และเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา ซึ่งได้ขึ้นบัญชีนวัตกรรมตามความเหมาะสมต่อไป ๒. การปรับกฎหมายหรือระเบียบเพื่อจัดจ้างผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง กขร. มีมติให้กระทรวงมหาดไทย โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พิจารณาปรับปรุงกฎหมายหรือระเบียบเพื่อให้รองรับการจ้างงานนักบริบาลชุมชน (Care Giver) ครอบคลุมการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน ๓. การจัดให้มีบริการหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉินแห่งชาติหมายเลขเดียว (National Single Emergency Number) กขร. มีมติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดการดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณพิจารณางบประมาณเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการจัดให้มีบริการหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉินแห่งชาติหมายเลขเดียวเพิ่มเติมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
358 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการออกใบอนุญาตขับรถและการขอต่ออายุและการอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตขับรถ พ.ศ. .... | คค | 21/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการออกใบอนุญาตขับรถและการขอต่ออายุและการอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตขับรถ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการออกใบอนุญาตขับรถ รวมทั้งการขอต่ออายุและการอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตขับรถให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับไปพิจารณาความชัดเจนในการกำหนดโรคที่จะออกใบรับรองแพทย์เพื่อแสดงว่า มีโรคประจำตัวหรือสภาวะของโรคที่อาจเป็นอันตรายขณะขับรถ เพื่อสร้างความชัดเจนแก่ผู้ขอใบอนุญาตขับรถและผู้ขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถ แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
359 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี 2561 และแนวโน้มปี 2561 | นร11 | 21/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี ๒๕๖๑ และแนวโน้มปี ๒๕๖๑ โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่สองของปี ๒๕๖๑ ขยายตัวร้อยละ ๔.๖ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๔.๙ ในไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี ๒๕๖๑ ขยายตัวจากไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๑ ร้อยละ ๑.๐ (QoQ_SA) รวมครึ่งแรกของปี ๒๕๖๑ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๔.๘ สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๑ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๔.๒-๔.๗ โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ ๑๐.๐ การบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๔.๑ และร้อยละ ๔.๔ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ ๐.๙-๑.๔ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๘.๔ ของ GDP ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
360 | การพัฒนาคลองแสนแสบและการเดินทางสัญจร | นร04 | 07/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐ (เรื่อง การทบทวนแผนปฏิบัติการเพื่อให้คลองแสนแสบสะอาดภายใน ๒ ปี) รับทราบแผนปฏิบัติการเพื่อให้คลองแสนแสบสะอาดภายใน ๒ ปี โดยในส่วนของระยะเร่งด่วน ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๑ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทุก ๖ เดือน เพื่อรวบรวมนำเสนอต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน (กขป.) คณะที่ ๕ ต่อไป นั้น เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น เร่งรัดการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อให้คลองแสนแสบมีความสะอาด ไม่มีวัชพืช หรือมีการทิ้งขยะหรือสิ่งปฏิกูลลงในคลอง ไม่มีมลภาวะทางกลิ่นและเสียง และสภาพคลองมีความพร้อมในการใช้สัญจรได้อย่างสะดวกปลอดภัย ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น ดำเนินการจัดระบบการเดินเรือโดยสารในคลองแสนแสบใหม่ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยมุ่งเน้นการนำเรือที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะทั้งทางกลิ่นและเสียงมาให้บริการประชาชน เช่น การนำเรือที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้ามานำร่องในการเดินเรือ การสนับสนุนผู้ประกอบการในการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของเรือโดยสาร เป็นต้น รวมทั้งให้เชื่อมต่อการเดินทางของประชาชนจากคลองแสนแสบไปยังระบบขนส่งอื่น ๆ ให้เกิดความสะดวกและคล่องตัวด้วย ๒. ให้ กขป. คณะที่ ๕ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัด ติดตามการดำเนินการทั้ง ๒ ข้อข้างต้น ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐ ต่อไป
|
.....