ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 15 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 281 - 300 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
281 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด เจริญผลการศิลา ที่จังหวัดชุมพร | อก | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ตามคำขอประทานบัตรที่ ๑/๒๕๕๙ ของห้างหุ้นส่วนจำกัด เจริญผลการศิลา ที่จังหวัดชุมพร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กำกับให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด เจริญผลการศิลา ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรมีการกำกับติดตามให้ผู้ขอประทานบัตรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ความสำคัญกับการดำเนินงานภายใต้กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ ในการเฝ้าระวังสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ดำเนินการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งทางด้านอุปทานและความต้องการใช้ในระยะปานกลางและระยะยาว เพื่อใช้ประกอบกับการพิจารณาความสามารถในการรองรับด้านสิ่งแวดล้อม และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรทำการศึกษาเพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของพื้นที่ป่าต้นน้ำของประเทศทั้งในภาพรวม และในเชิงพื้นที่ของแต่ละลุ่มน้ำให้ชัดเจนทั้งระดับความจำเป็นที่ต้องรักษาพื้นที่ป่าต้นน้ำ และความเพียงพอของพื้นที่ที่คงเหลือ พื้นที่ใดที่อยู่ในภาวะวิกฤติ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายที่ถูกต้องตามสภาพความเป็นจริงของประเทศในภาพรวมและตามบริบทของแต่ละพื้นที่ ทั้งในการให้อนุญาตทำประโยชน์ การกำกับดูแล และการฟื้นฟูต่อไป และเมื่อสามารถจำแนกพื้นที่ป่าต้นน้ำที่มีความจำเป็นต่อประเทศอย่างชัดเจนแล้ว ควรพิจารณาตรากฎหมายเพื่อคุ้มครองพื้นที่ป่าต้นน้ำ เพื่อไม่ให้มีการบุกรุกหรือนำไปใช้ประโยชน์ที่ไม่เหมาะสมอีกต่อไป รวมทั้งการให้ข้อมูลและสร้างความเข้าใจกับประชาชนถึงการบริหารจัดการลุ่มน้ำที่มีการผ่อนผันในคราวต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
282 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท เทพอุทิศธุรกิจ จำกัด ที่จังหวัดกาญจนบุรี | อก | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ เพื่อทำเหมืองแร่โดโลไมต์ ตามคำขอประทานบัตรที่ ๑/๒๕๕๓ ของบริษัท เทพอุทิศธุรกิจ จำกัด ที่จังหวัดกาญจนบุรี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กำกับให้บริษัท เทพอุทิศธุรกิจ จำกัด ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงสาธารณสุขเห็นควรมีการกำกับติดตามให้ผู้ขอประทานบัตรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ความสำคัญกับการดำเนินงานภายใต้กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ ในการเฝ้าระวังสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ดำเนินการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งทางด้านอุปทานและความต้องการใช้ในระยะปานกลางและระยะยาว เพื่อใช้ประกอบกับการพิจารณาความสามารถในการรองรับด้านสิ่งแวดล้อม และเห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการศึกษาเพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของพื้นที่ป่าต้นน้ำของประเทศทั้งในภาพรวม และในเชิงพื้นที่ของแต่ละลุ่มน้ำให้ชัดเจนทั้งระดับความจำเป็นที่ต้องรักษาพื้นที่ป่าต้นน้ำ และความเพียงพอของพื้นที่ที่คงเหลือ พื้นที่ใดที่อยู่ในภาวะวิกฤติ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายที่ถูกต้องตามสภาพความเป็นจริงของประเทศในภาพรวมและตามบริบทของแต่ละพื้นที่ ทั้งในการให้อนุญาตทำประโยชน์ การกำกับดูแล และการฟื้นฟูต่อไป และเมื่อสามารถจำแนกพื้นที่ป่าต้นน้ำที่มีความจำเป็นต่อประเทศอย่างชัดเจนแล้ว ควรพิจารณาตรากฎหมายเพื่อคุ้มครองพื้นที่ป่าต้นน้ำ เพื่อไม่ให้มีการบุกรุกหรือนำไปใช้ประโยชน์ที่ไม่เหมาะสมอีกต่อไป รวมทั้งการให้ข้อมูลและสร้างความเข้าใจกับประชาชนถึงการบริหารจัดการลุ่มน้ำที่มีการผ่อนผันในคราวต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
283 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด เพชรสมุทร (1970) ที่จังหวัดเพชรบุรี | อก | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ตามคำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๑/๒๕๕๘ ของห้างหุ้นส่วนจำกัด เพชรสมุทร (๑๙๗๐) ที่จังหวัดเพชรบุรี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กำกับให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด เพชรสมุทร (๑๙๗๐) ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงสาธารณสุขเห็นควรมีการกำกับติดตามให้ผู้ขอประทานบัตรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ความสำคัญกับการดำเนินงานภายใต้กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ ในการเฝ้าระวังสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ดำเนินการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งทางด้านอุปทานและความต้องการใช้ในระยะปานกลางและระยะยาว เพื่อใช้ประกอบกับการพิจารณาความสามารถในการรองรับด้านสิ่งแวดล้อม และเห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการศึกษาเพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของพื้นที่ป่าต้นน้ำของประเทศทั้งในภาพรวม และในเชิงพื้นที่ของแต่ละลุ่มน้ำให้ชัดเจนทั้งระดับความจำเป็นที่ต้องรักษาพื้นที่ป่าต้นน้ำ และความเพียงพอของพื้นที่ที่คงเหลือ พื้นที่ใดที่อยู่ในภาวะวิกฤติ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายที่ถูกต้องตามสภาพความเป็นจริงของประเทศในภาพรวมและตามบริบทของแต่ละพื้นที่ ทั้งในการให้อนุญาตทำประโยชน์ การกำกับดูแล และการฟื้นฟูต่อไป และเมื่อสามารถจำแนกพื้นที่ป่าต้นน้ำที่มีความจำเป็นต่อประเทศอย่างชัดเจนแล้ว ควรพิจารณาตรากฎหมายเพื่อคุ้มครองพื้นที่ป่าต้นน้ำ เพื่อไม่ให้มีการบุกรุกหรือนำไปใช้ประโยชน์ที่ไม่เหมาะสมอีกต่อไป รวมทั้งการให้ข้อมูลและสร้างความเข้าใจกับประชาชนถึงการบริหารจัดการลุ่มน้ำที่มีการผ่อนผันในคราวต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
284 | คำแนะนำเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีต่าง ๆ และพิธีทางศาสนาในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) | วธ | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำแนะนำเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีต่าง ๆ และพิธีทางศาสนาในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้
๑. คำแนะนำการปฏิบัติโดยทั่วไปในการจัดกิจกรรมตามเทศกาล ประเพณีต่าง ๆ และพิธีทางศาสนา โดยควรงวดเว้น หรือเลื่อนกำหนดการจัดงานเทศกาล งานประเพณี หรืองานอื่นใดที่มีการรวมตัวของคนเป็นกลุ่มหรือการรวมตัวกันของคนหมู่มากไปก่อน หากเป็นงานจำเป็นที่ไม่สามารถเลื่อนออกไปได้ เช่น งานศพ ควรดำเนินการมาตรการของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขกำหนด รวมถึงควรเน้นแบบแผนที่ปฏิบัติที่เป็นคุณค่าและสาระที่ถูกต้อง และตระหนักถึงสุขภาวะและความปลอดภัยของคนในชุมชน และหากพื้นที่ใดที่รัฐบาล หรือกระทรวงสาธารณสุขประกาศให้เป็นพื้นที่งดเว้นการจัดกิจกรรมใด ๆ ให้ปฏิบัติตามประกาศดังกล่าวโดยเคร่งครัด ทั้งนี้ ควรส่งเสริมให้มีการปฏิบัติตามวิถีวัฒนธรรมไทยอันดีงาม และไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เช่น การสวัสดีและไหว้แบบไทย ๒. คำแนะนำสำหรับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ในปี ๒๕๖๓ เป็นการเฉพาะ ๒.๑ การสืบสานคุณค่าสาระในประเพณีสงกรานต์แบบไทยหรือท้องถิ่น โดยงดเว้นการจัดงานสงกรานต์ในทุกระดับและปฏิบัติเฉพาะภายในครัวเรือนเท่านั้น เช่น ทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระพุทธรูป รดน้ำขอพรผู้ใหญ่ โดยสมาชิกในครอบครัวเข้าร่วมกิจกรรม สำหรับสมาชิกที่เดินทางไปทำงานต่างถิ่นควรงดการเดินทางกลับภูมิลำเนา ในช่วงเวลาที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาออกไปก่อน โดยอาจจะแสดงความสัมพันธ์ต่อครอบครัวและเครือญาติผ่านทางระบบสื่อสารสมัยใหม่ อาทิ โทรศัพท์ หรือสื่อสังคมสมัยใหม่ (Social Media) เช่น facebook Line ฯลฯ ๒.๒ การปฏิบัติตน สมาชิกที่ร่วมกิจกรรมในครัวเรือนควรแต่งกายให้มิดชิด สวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล หรือด้วยน้ำสะอาด และสบู่เหลว กรณีการรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ควรตระหนักว่าการรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ที่เป็นผู้สูงอายุที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ง่าย ทั้งนี้ การทำความสะอาดบ้านเรือน ควรสวมใส่ถุงมือ สวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือให้สะอาดด้วย และควรหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรมที่มีการรวมตัวของคนเป็นกลุ่มหรือการรวมตัวกันของคนหมู่มาก หรือในพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค รวมทั้งงดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเสพของมึนเมาทุกชนิด ทั้งนี้ ควรคำนึงถึงการมีจิตสำนึกและรับผิดชอบต่อสังคม โดยไม่ประพฤติปฏิบัติในลักษณะที่เป็นพฤติกรรมเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคตามคำแนะนำและมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขโดยเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
285 | การจัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 | นร04 | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า เพื่อเป็นการยกระดับการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในประเทศไทยให้อยู่ในวงจำกัด ลดผลกระทบต่อภาวะสุขภาพของประชาชน เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ สร้างความตระหนักรู้เท่าทัน และเตรียมความพร้อมในการรับมือกับการระบาดของโรคอย่างมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล ตลอดจนประเมินสถานการณ์เพื่อการบังคับใช้กฎหมายให้ตรงกับความรุนแรงของปัญหาและวางมาตรการป้องกัน ควบคุม และช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างเหมาะสม คณะรัฐมนตรีจึงมีมติมอบหมายให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ขึ้น เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบายและมาตรการเร่งด่วนในการบริหารสถานการณ์ดังกล่าว โดยให้คณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ และศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
286 | ขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | สธ | 03/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติงบประมาณสำหรับกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ภายในวงเงิน ๑๙๔,๕๐๘,๗๘๙,๙๐๐ บาท ประกอบด้วย ค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัว ค่าบริการสุขภาพผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ ค่าบริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ค่าบริการควบคุม ป้องกันและรักษาโรคเรื้อรัง ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับหน่วยบริการในพื้นที่กันดาร พื้นที่เสี่ยงภัย และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน และค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับการบริการระดับปฐมภูมิที่มีแพทย์ประจำครอบครัว ๑.๒ สำหรับงบประมาณบริหารงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ วงเงิน ๒,๑๑๘,๘๓๓,๖๐๐ บาท นั้น มอบหมายให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้ตามความจำเป็น เหมาะสม ประหยัดและสอดคล้องกับภารกิจการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ๑.๓ เนื่องจากปริมาณการใช้บริการและอัตราค่าใช้จ่ายในการให้บริการแก่ผู้ป่วยของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณแผ่นดินมากเกินไป เห็นควรที่กระทรวงสาธารณสุขจะเร่งดำเนินการด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคแก่ประชาชนทั่วไปโดยเร่งด่วน พร้อมทั้งให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติบริหารจัดการและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณค่ารักษาพยาบาล และหากมีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เหลือจ่ายจากการดำเนินงาน และในปีงบประมาณที่ผ่านมามีเงินคงเหลือกรณีรายได้สูงกว่ารายจ่ายสะสม เห็นควรให้นำเงินดังกล่าวของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมาสมทบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ๒. การเสนอขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในปีต่อ ๆ ไป ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติดำเนินการให้เป็นไปตามกระบวนการจัดทำงบประมาณอย่างเคร่งครัด โดยให้จัดส่งคำของบประมาณต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดก่อนส่งสำนักงบประมาณดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
287 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ครั้งที่ 1 และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ครั้งที่ 1 | นร12 | 18/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.) คณะต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๑ ตามมติที่ประชุม ค.ต.ป. ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๒ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธานกรรมการ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่ (๑) การพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกใน ๖ โครงการใหญ่ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน โครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก พบว่า โครงการมีความเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง) ความเสี่ยงจากความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและข้อกังวลด้านกฎหมาย ความเสี่ยงที่เกิดจากความไม่พร้อมด้านเทคโนโลยี การศึกษา และแรงงาน ความเสี่ยงจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญาของคู่สัญญา เป็นต้น และ (๒) การดำเนินงานตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ พบว่า การกำหนดหลักเกณฑ์รายละเอียดวิธีในการปฏิบัติงานตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ หลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้แล้วยังขาดความชัดเจน และอัตรากำลังบุคลากรไม่เพียงพอต่อการให้คำปรึกษาและแนะนำประเด็นข้อหารือต่าง ๆ ในการนี้ ค.ต.ป. ได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในประเด็นต่าง ๆ เพื่อให้รัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง กรม และจังหวัดรับไปพิจารณาดำเนินการ พร้อมทั้งรายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินการต่อ ค.ต.ป. คณะต่าง ๆ ต่อไป ๑.๒ ผลการประเมินตนเองของ ค.ต.ป. และคณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่าง ๆ เพื่อพิจารณาทบทวนการปฏิบัติงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบในรอบปีงบประมาณที่ผ่านมาพบว่า ผลการปฏิบัติงานเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับดีเยี่ยม โดยผลการประเมินรายคณะ เฉลี่ยรวม ๔.๕๔ คะแนน และผลการประเมินรายบุคคล เฉลี่ยรวม ๔.๔๒ คะแนน (คะแนนเต็ม ๕ คะแนน) ๒. ให้กระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การพัฒนาระบบฐานข้อมูลในการดำเนินงานเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สามารถเข้าถึงระบบฐานข้อมูลดังกล่าวและนำไปใช้ในการวิเคราะห์ เนื่องจากข้อมูลบางส่วนอาจไม่สามารถเผยแพร่ได้ จำเป็นต้องมีระบบการจัดการและเชื่อมโยงข้อมูลที่เหมาะสมเพื่อให้การพัฒนาระบบฐานข้อมูลของ สกพอ. เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสนับสนุนการพัฒนาประเทศได้อย่างแท้จริง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
288 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี 2562 ทั้งปี 2562 และแนวโน้มปี 2563 | นร11 | 18/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๒ ทั้งปี ๒๕๖๒ และแนวโน้มปี ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๒ ขยายตัวร้อยละ ๑.๖ ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๖ ในไตรมาสก่อนหน้า (%YOY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๒ ขยายตัวจากไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๒ ร้อยละ ๐.๒ (%QoQ SA) รวมทั้งปี ๒๕๖๒ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๒.๔ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๔.๒ ในปี ๒๕๖๑ ทั้งนี้ การชะลอตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสนี้มีปัจจัยสำคัญจากการขยายตัวในเกณฑ์ที่ต่ำของเศรษฐกิจโลก ความไม่แน่นอนของทิศทางมาตรการกีดกันทางการค้า และการแข็งค่าของเงินบาท ความล่าช้าของกระบวนการงบประมาณ ผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง และปัจจัยชั่วคราวในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมบางรายการ ๒. เศรษฐกิจไทยโดยรวมทั้งปี ๒๕๖๒ ขยายตัวร้อยละ ๒.๔ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๔.๒ ในปี ๒๕๖๑ โดยในด้านการใช้จ่าย การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ ๔.๕ และร้อยละ ๒.๘ ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ ๔.๖ และร้อยละ ๔.๑ ในปี ๒๕๖๑ ตามลำดับ ส่วนการใช้จ่ายของรัฐบาล และการลงทุนภาครัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑.๔ และร้อยละ ๐.๒ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๒.๖ และร้อยละ ๒.๙ ในปี ๒๕๖๑ ตามลำดับ ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าลดลงร้อยละ ๓.๒ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๗.๕ ในปี ๒๕๖๑ ในด้านการผลิต การผลิตสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง สาขาโรงแรมและภัตตาคาร สาขาการขายส่ง การขายปลีก และการซ่อมยานยนต์ และจักรยานยนต์ และสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าขยายตัวร้อยละ ๐.๑ ร้อยละ ๕.๕ ร้อยละ ๕.๗ และร้อยละ ๓.๔ ชะลอตัวลงจาการขยายตัวร้อยละ ๕.๕ ร้อยละ ๗.๖ ร้อยละ ๖.๖ และร้อยละ ๔.๔ ในปี ๒๕๖๑ ตามลำดับ ขณะที่การผลิตสาขาอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ ๐.๗ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๓.๒ ในปี ๒๕๖๑ รวมทั้งปี ๒๕๖๒ ผลิตภัณฑ์รวมมวลในประเทศ (GDP) อยู่ที่ ๑๖,๘๗๙.๐ พันล้านบาท (๕๔๓.๗ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๓ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๑.๕-๒.๕ ชะลอตัวลงจากปี ๒๕๖๒ ตามข้อจำกัดที่เกิดจากการระบาดของไวรัสโควิด-๑๙ ปัญหาภัยแล้ง และความล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายรัฐบาล มูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ ๑.๔ การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๓.๕ และร้อยละ ๓.๖ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ ๐.๔-๑.๔ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๕.๓ ของ GDP
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
289 | มาตรการการเงินการคลังเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ปี 2563 | กค | 04/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมาตรการด้านการเงิน ประกอบด้วย (๑) มาตรการสินเชื่อ และ (๒) มาตรการการขยายเวลาการชำระหนี้และค่าธรรมเนียม และการขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากร ภ.ง.ด. ๙๐ และ ภ.ง.ด. ๙๑ เพื่อช่วยเหลือผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ประกอบกับการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่อาจส่งผลต่อสภาวะเศรษฐกิจของไทย โดยขยายระยะเวลา ๓ เดือน (ภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๓) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. เห็นชอบมาตรการด้านภาษี จำนวน ๓ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ (๒) มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงกิจการโรงแรม และ (๓) มาตรการลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ๓. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน ๒ ฉบับ และร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน ๑ ฉบับ เพื่อรองรับมาตรการลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๔. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการดำเนินมาตรการด้านภาษีดังกล่าว ควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการกระจายรายได้ไปสู่พื้นที่เมืองรอง รวมถึงการสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมตามนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๕. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
290 | ขอทบทวนและยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 | ทส | 28/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๖ (เรื่อง ขอผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเพื่อให้กองทัพอากาศใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ) เฉพาะในส่วนของข้อ ๒.๒ ที่ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ ที่มิให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ ไม่ว่ากรณีใด เป็นว่ากรณีจำเป็นที่ต้องขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ ต่อคณะรัฐมนตรี ส่วนราชการจะต้องจัดทำรายงานการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาก่อน เพื่อเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีทุกครั้ง ๑.๒ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๒๘ (เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดชั้นของป่าต้นน้ำลำธารและการทำเหมืองในพื้นที่ป่าปิด) เฉพาะในส่วนที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ในเขตลุ่มน้ำปิงและวัง ที่กำหนดว่าในกรณีที่ส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการดังกล่าวนำโครงการนั้นเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ๑.๓ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๙ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำยมและน่าน และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) เฉพาะในส่วนที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ในเขตลุ่มน้ำยมและน่าน ที่กำหนดว่าในกรณีที่ส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการดังกล่าวนำโครงการนั้นเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ๑.๔ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๓๑ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำมูลและชี และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) เฉพาะในส่วนที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ในเขตลุ่มน้ำมูลและชี ที่กำหนดว่าในกรณีที่ส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการดังกล่าวนำโครงการนั้นเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ๑.๕ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคใต้ และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) เฉพาะในส่วนที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ในเขตลุ่มน้ำภาคใต้ ที่กำหนดว่าในกรณีที่ส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาต่อไป ๑.๖ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพน้ำภาคตะวันออก และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) เฉพาะในส่วนที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันออก ที่กำหนดให้ในกรณีส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณา ๑.๗ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ [เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน)] เฉพาะในส่วนที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก ในเขตลุ่มน้ำภาคเหนือส่วนอื่น ๆ และในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน) ที่กำหนดให้ในกรณีที่ส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ ตั้งแต่ในระยะทำการศึกษาความเหมาะสมของโครงการเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณา ๒. ในการขอเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๑ และประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ รวมถึงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ (เรื่อง ขอผ่อนผันใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ เพื่อก่อสร้างทางเพื่อความมั่นคง) อย่างเคร่งครัด ๓. ในกรณีโครงการ กิจการ หรือการดำเนินงานของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ได้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ก่อนวันที่ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ มีผลบังคับใช้ ซึ่งเมื่อครบกำหนดการขออนุญาตให้ใช้พื้นที่ลุ่มน้ำแล้วยังประสงค์จะใช้พื้นที่ลุ่มน้ำดังกล่าวต่อไป โดยเป็นการดำเนินโครงการ กิจการหรือการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์เดิมและอยู่ภายในขอบเขตพื้นที่เดิม รวมถึงกรณีโครงการ กิจการ หรือการดำเนินงานอื่น ๆ ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : รายงาน EIA) ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดังกล่าว แต่ต้องจัดทำรายงานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Accounting Report : รายงาน EAR) ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการ กิจการ หรือการดำเนินงานนั้น ๆ ถือปฏิบัติให้เป็นไปตามรายงาน EAR อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการเกี่ยวกับการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่อนุมัติหรืออนุญาต เช่น กรมป่าไม้หรือกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ติดตาม กำกับดูแลการดำเนินการให้เป็นไปตามรายงาน EAR ดังกล่าวอย่างเคร่งครัดด้วย ๔. ในการดำเนินการตามข้อ ๒ และ ๓ หากปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการกระทำการ ไม่กระทำการ หรือการดำเนินการใด ๆ ทั้งของเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐหรือเอกชนที่ไม่ถูกต้องตามข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ มติคณะรัฐมนตรี ประกาศ ตลอดจนข้อกำหนดและเงื่อนไขในรายงานที่เกี่ยวข้อง ให้ถือเป็นความผิดอันก่อให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ และให้ผู้มีอำนาจหน้าที่เร่งดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายอย่างเข้มงวด ๕. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรทำการศึกษาเพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของพื้นที่ป่าต้นน้ำของประเทศไทยทั้งในภาพรวม และในเชิงพื้นที่ของแต่ละลุ่มน้ำ ให้มีความชัดเจนว่าอยู่ในสภาวะอย่างไร ประเทศไทยจำเป็นต้องมีพื้นที่ป่าต้นน้ำเท่าไร พื้นที่ที่คงเหลืออยู่นั้นเพียงพอหรือไม่ พื้นที่ใดที่อยู่ในภาวะวิกฤติ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายที่ถูกต้องตามสภาพความเป็นจริงของประเทศในภาพรวม และตามบริบทของแต่ละพื้นที่ ทั้งในการให้อนุญาตทำประโยชน์ การกำกับดูแล และการฟื้นฟูต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
291 | คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 23/2563 (เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ) | นร04 | 28/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๓/๒๕๖๓ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ ลงวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) เป็นประธานคณะกรรมการดังกล่าว โดยให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานบูรณาการการดำเนินการร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์การระบาดของโรคติดต่ออุบัติใหม่จะเข้าสู่ภาวะปกติ และให้รายงานผลการปฏิบัติงานประจำวันของหน่วยงานไปยังศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (Prime Minister Operation Center : PMOC) รวมทั้งให้ความร่วมมือและดำเนินการตามมาตรการในการแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ตามที่คณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติกำหนดอย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
292 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2562/2563 | อก | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๒/๒๕๖๓ ในอัตรา ๗๕๐.๐๐ บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส หรือเท่ากับร้อยละ ๙๗.๙๑ ของประมาณการราคาอ้อยเฉลี่ยทั่วประเทศ ๗๖๖.๐๑ บาทต่อตันอ้อย และกำหนดอัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อยเท่ากับ ๔๕.๐๐ บาท ต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส ผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๒/๒๕๖๓ เท่ากับ ๓๒๑.๔๓ บาทต่อตันอ้อย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรพิจารณาดำเนินการทบทวนระเบียบมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และแนวทางการจัดเก็บรายได้เพื่อให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายมีรายได้เพิ่มขึ้นเพียงพอต่อการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งพิจารณาถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยงาน เป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับ ฐานะเงินนอกงบประมาณ รายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐนั้นมีอยู่หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้ โดยต้องคำนึงถึงความโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด และประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศของไทยภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ด้วย และควรพิจารณาดำเนินการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การยกระดับคุณภาพความหวานของอ้อยเพื่อลดต้นทุนการผลิต และการส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอ้อยและน้ำตาลทรายภายในประเทศ เพื่อให้ชาวไร่อ้อยและผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาลทรายมีผลตอบแทนที่สูงขึ้น และรองรับภาวะราคาน้ำตาลทรายในตลาดสากลตกต่ำในอนาคต เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณากำหนดมาตรการเสริมเพิ่มเติมจากการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๒ (เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้) เพื่อจูงใจให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยลดการเผาอ้อยก่อนการเก็บเกี่ยว เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้และลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน ๒.๕ ไมครอน (PM2.5) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
293 | ขอความเห็นชอบกรอบโครงสร้างศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจและแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาวิกฤติน้ำ | นร14 | 07/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบกรอบโครงสร้างศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจและแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาวิกฤติน้ำ เพื่อเป็นการบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกันของหน่วยงานของรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ในการเตรียมความพร้อมป้องกัน แก้ไข ควบคุม ระงับ หรือบรรเทาผลร้ายจากความเสียหายด้านน้ำที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที และเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในกรณีเกิดภาวะวิกฤติ โดยศูนย์ดังกล่าวประกอบด้วยโครงสร้างที่กำหนดตามระดับสาธารณภัยด้านน้ำที่เกิดขึ้น ๓ ระดับ ได้แก่ ศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจ กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ และศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ ซึ่งในคราวประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๒ ได้มีมติเห็นชอบกรอบโครงสร้างดังกล่าวแล้ว ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ สำหรับงบประมาณที่จะเกิดขึ้น เห็นควรให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี หรือโอนงบประมาณรายจ่าย โอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร จากโครงการ/รายการที่ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์ และมีงบประมาณเหลือจ่าย และ/หรือรายการที่หมดความจำเป็น แล้วแต่กรณี เพื่อมาสมทบในการดำเนินการตามแผนของศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจ เป็นลำดับแรก ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติประชุมชี้แจงและประสานการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาวิกฤติน้ำมีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติจัดทำแนวทางการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ให้สอดรับกับพระราชบัญญัติการทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๖๑ และพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๐ เพื่อให้แผนปฏิบัติการฯ มีประสิทธิภาพและเป็นระบบ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติพิจารณาคัดกรองแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำทั้งหมดตามลำดับความสำคัญและจำเป็นเร่งด่วนที่มีความพร้อมและสามารถจะดำเนินการได้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เช่น โครงการพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำ โครงการประตูระบายน้ำ เป็นต้น โดยให้ระบุความสอดคล้องกับการดำเนินการตามแผนการบริหารจัดการน้ำที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) แผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำของประเทศ เป็นต้น แล้วนำเสนอนายกรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
294 | วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | นร07 | 07/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
๑. เห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ จำนวน ๓,๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตและความเห็นของที่ประชุม ๔ หน่วยงาน (สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย) เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป ดังนี้ ๒.๑ การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ควรเป็นการดำเนินนโยบายการคลังที่ยืดหยุ่นและสามารถตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจที่อาจไม่เป็นไปตามที่ประเมินได้อย่างทันท่วงที ๒.๒ การจัดทำงบประมาณควรคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีความท้าทายมากขึ้นในระยะ ๑-๒ ปีข้างหน้า โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาดแรงงานที่อาจได้รับผลกระทบจากการพัฒนาทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ซึ่งส่งผลให้แรงงานบางส่วนถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีและอาจไม่สามารถปรับตัวได้ดีดังเช่นอดีตที่ผ่านมาแม้เศรษฐกิจในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มดีขึ้น ๒.๓ การจัดสรรเงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นภาระงบประมาณเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งเงินอุดหนุนบางส่วนมีความซ้ำซ้อน จึงเห็นควรให้มีการพิจารณาทบทวนเงินอุดหนุนสำหรับภารกิจที่มอบหมายให้ อปท. ดำเนินการแทนรัฐบาล รวมถึงการพิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การกันเงินสำรองและการใช้จ่ายเงินสะสมของ อปท. ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ อปท. มีสภาพคล่องส่วนเกินอยู่ในระดับสูง สะท้อนให้เห็นได้จากเงินฝากของ อปท. ในระบบสถาบันการเงินที่มีจำนวนมากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
295 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สำหรับโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) | กค | 24/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ ๕ (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) สำหรับงานในฝั่ง สปป.ลาว ในรูปแบบเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรนทั้งจำนวน วงเงินรวม ๑,๓๘๐,๐๖๗,๐๐๐ บาท และอนุมัติให้สำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณแผ่นดินเป็นรายปี โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๘ รวมระยะเวลา ๕ ปี รวมวงเงินที่จะขอรับการจัดสรรเงินงบประมาณทั้งสิ้นเท่ากับ ๖๙๐,๐๓๓,๕๐๐ บาท รวมทั้งมอบหมาย สพพ. ดำเนินการกู้เงิน จำนวน ๖๙๐,๐๓๓,๕๐๐ บาท ตามรูปแบบและเงื่อนไขที่กำหนด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยในกรณีที่ สปป.ลาว ผิดนัดชำระหนี้ ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. พิจารณาใช้เงินสะสมของหน่วยงานในการชำระต้นเงินและดอกเบี้ยคืนแหล่งเงินกู้เป็นลำดับแรกก่อน รวมทั้งให้เร่งบรรจุวงเงินกู้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และขอจัดสรรงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงควรเร่งประสานกับ สปป.ลาว ในการจัดทำแผนปฏิบัติการในการดำเนินโครงการดังกล่าว โดยให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น การส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างเพื่อให้สามารถดำเนินโครงการและเปิดใช้งานได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในปี ๒๕๖๖ ต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย สพพ. ดำเนินการติดตามสภาวะเศรษฐกิจและประเมินความเสี่ยงด้านความสามารถในการชำระหนี้ของ สปป.ลาว อย่างใกล้ชิด และรายงานให้คณะกรรมการบริหาร สพพ. ทราบเป็นระยะ ๆ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
296 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดกิจการอื่นในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานด้านสถานที่ ความปลอดภัย และการให้บริการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพประเภทกิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียม การชำระค่าธรรมเนียม และการยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการประกอบกิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดกิจการอื่นในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. .... ) | สธ | 17/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดกิจการอื่นในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้กิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงเป็นกิจการอื่นในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานด้านสถานที่ ความปลอดภัย และการให้บริการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพประเภทกิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรฐานด้านสถานที่ ความปลอดภัย และการให้บริการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพประเภทกิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียม การชำระค่าธรรมเนียม และการยกเว้นค่าธรมเนียมเกี่ยวกับการประกอบกิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียม การชำระค่าธรรมเนียม และการยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการประกอบกิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง ๒. ให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วยว่า มาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่กำหนดให้รัฐพึงใช้ระบบอนุญาตในกฎหมายเฉพาะกรณีที่จำเป็น โดยมุ่งหวังให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาอย่างรอบคอบในการใช้ระบบการควบคุมกำกับดูแล นั้น หากกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาแล้วเห็นว่า การกำหนดให้กิจการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงเป็นสถานประกอบการเพื่อสุขภาพเพื่อจะได้กำกับดูแลการประกอบกิจการดังกล่าว โดยการใช้ระบบอนุญาตเป็นกรณีจำเป็นและเป็นมาตรการที่มีความเหมาะสมและได้สัดส่วนกับประโยชน์สาธารณะพึ่งจะได้รับ คณะรัฐมนตรีก็อาจพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการของร่างกฎกระทรวงทั้ง ๓ ฉบับนี้ได้ แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
297 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม ปี 2562 | นร11 | 17/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม ปี ๒๕๖๒ ผู้มีงานทำลดลงร้อยละ ๒.๑ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยภาคเกษตรมีการจ้างงานลดลงร้อยละ ๑.๘ และการจ้างงานภาคนอกเกษตรลดลงร้อยละ ๒.๓ สถานการณ์หนี้ครัวเรือนมีมูลค่า ๑๓.๐๘ ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๕.๘ ชะลอลงเมื่อเทียบกับร้อยละ ๖.๓ ในไตรมาสก่อน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๗๘.๗ ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังโดยรวมลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๖๑ ร้อยละ ๕.๒ การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ขยายตัวร้อยละ ๓.๑ โดยปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขยายตัวร้อยละ ๓.๐ ขณะที่การบริโภคบุหรี่ขยายตัวร้อยละ ๒.๙ คดีอาญารวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๗.๗ จากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๖๑ เป็นคดียาเสพติดเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๒.๘ และคดีประทุษร้ายต่อทรัพย์เพิ่มขึ้นร้อยละ ๖.๖ รวมทั้งสถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๖๑ ร้อยละ ๑๑.๑ ผู้เสียชีวิตและมูลค่าความเสียหายลดลงร้อยละ ๐.๙ และ ๒.๑ ตามลำดับ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
298 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 7/2562 | นร11 | 17/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝายเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๗/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ โดยมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ การเร่งรัดการลงทุนภายในประเทศ การดูแลค่าเงินบาท การติดตามสถานการณ์ด้านแรงงานและภาคการเกษตรเพื่อหาแนวทางการดำเนินมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะต่อไป การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด การเบิกจ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งความเห็นและข้อเสนอแนะต่อปัญหาเศรษฐกิจของภาคเอกชน ตามที่คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเสนอ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามสรุปผลการประชุมดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และสำนักงบประมาณ เช่น (๑) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันเกี่ยวกับสถานการณ์ค่าเงินบาทและแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นรูปธรรมต่อไป และ (๒) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและสร้างความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจไทยและการดำเนินมาตรการของภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ ตลอดจนกระตุ้นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำเงินสะสมมาใช้จ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และให้หน่วยงานของรัฐเตรียมการจัดซื้อจัดจ้างตามแนวทางที่คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐกำหนด เพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐเป็นไปด้วยความรวดเร็วสอดคล้องกับสถานการณ์และงบประมาณที่ได้รับ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
299 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดกิจการอื่นในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานด้านสถานที่ ความปลอดภัย และการให้บริการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพประเภทกิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียม การชำระค่าธรรมเนียม และการยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการประกอบกิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานด้านสถานที่ ความปลอดภัย และการให้บริการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพประเภทกิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง พ.ศ. .... ) | สธ | 17/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดกิจการอื่นในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้กิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงเป็นกิจการอื่นในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานด้านสถานที่ ความปลอดภัย และการให้บริการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพประเภทกิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรฐานด้านสถานที่ ความปลอดภัย และการให้บริการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพประเภทกิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียม การชำระค่าธรรมเนียม และการยกเว้นค่าธรมเนียมเกี่ยวกับการประกอบกิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียม การชำระค่าธรรมเนียม และการยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการประกอบกิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง ๒. ให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วยว่า มาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่กำหนดให้รัฐพึงใช้ระบบอนุญาตในกฎหมายเฉพาะกรณีที่จำเป็น โดยมุ่งหวังให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาอย่างรอบคอบในการใช้ระบบการควบคุมกำกับดูแล นั้น หากกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาแล้วเห็นว่า การกำหนดให้กิจการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงเป็นสถานประกอบการเพื่อสุขภาพเพื่อจะได้กำกับดูแลการประกอบกิจการดังกล่าว โดยการใช้ระบบอนุญาตเป็นกรณีจำเป็นและเป็นมาตรการที่มีความเหมาะสมและได้สัดส่วนกับประโยชน์สาธารณะพึ่งจะได้รับ คณะรัฐมนตรีก็อาจพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการของร่างกฎกระทรวงทั้ง ๓ ฉบับนี้ได้ แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
300 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดกิจการอื่นในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานด้านสถานที่ ความปลอดภัย และการให้บริการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพประเภทกิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียม การชำระค่าธรรมเนียม และการยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการประกอบกิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียม การชำระค่าธรรมเนียม และการยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการประกอบกิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง พ.ศ. ...) | สธ | 17/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดกิจการอื่นในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้กิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงเป็นกิจการอื่นในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานด้านสถานที่ ความปลอดภัย และการให้บริการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพประเภทกิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรฐานด้านสถานที่ ความปลอดภัย และการให้บริการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพประเภทกิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียม การชำระค่าธรรมเนียม และการยกเว้นค่าธรมเนียมเกี่ยวกับการประกอบกิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียม การชำระค่าธรรมเนียม และการยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการประกอบกิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง ๒. ให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วยว่า มาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่กำหนดให้รัฐพึงใช้ระบบอนุญาตในกฎหมายเฉพาะกรณีที่จำเป็น โดยมุ่งหวังให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาอย่างรอบคอบในการใช้ระบบการควบคุมกำกับดูแล นั้น หากกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาแล้วเห็นว่า การกำหนดให้กิจการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงเป็นสถานประกอบการเพื่อสุขภาพเพื่อจะได้กำกับดูแลการประกอบกิจการดังกล่าว โดยการใช้ระบบอนุญาตเป็นกรณีจำเป็นและเป็นมาตรการที่มีความเหมาะสมและได้สัดส่วนกับประโยชน์สาธารณะพึ่งจะได้รับ คณะรัฐมนตรีก็อาจพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการของร่างกฎกระทรวงทั้ง ๓ ฉบับนี้ได้ แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
.....